ความคิดเห็นที่ 55
เป็นนักเตะอีกคนที่เราก็ชื่นชอบ...เอาประวัติมาให้ค่ะ
โรแบร์โต้ บัจโจ้ ตำนานเปียทองคำ
อีกหนึ่งตำนานของ อัซซูรี่ โรแบร์โต้ บัจโจ้ บุรุษเปียทองคำอันป็นเอกลักษ์ เป็นหนึ่งในกองหน้าที่ดีที่สุดยุค 90 เมื่อปี 2003 ได้รับรางวัลทั้งนักเตะยอดเยี่ยมของยุโรป และของโลกเป็นเครื่องการันตีคุณสมบัติได้เป็นอย่างดี
บัจโจ้ เริ่มต้นอาชีพค้าแข้งกับ วิเชนซ่า ซึ่งขณะนั้นเป็นทีมในเซเรีย ซี1 เมื่อปี 1981 ถัดมาปี 1985 เมื่อฟอร์มเริ่มเข้าที่เข้าทางและมีวี่แววว่าจะก้าวขึ้นมาโด่งดังได้แน่ทีมระดับใหญ่ขึ้นอย่าง ฟิออเรนตินา ก็มาฉกตัวไปร่วมทีม ซึ่งชีวิต โรบี้ ที่ฟิเรนเซ่ นับว่าประสบความสำเร็จและเป็นที่รักต่อแฟนๆและเพื่อนร่วมทีม
และในปี 1990 แฟนๆฟิเรนเซ่ ก็ต้องหลั่งน้ำตาจนแทบจะกลายเป็นสายเลือด เมื่อบุรุษของทีมถูกขายให้ยักษ์ใหญ่แห่งตูรินอย่าง ยูเวนตุส ด้วยราคาอันเป็นสถิติโลกขณะนั้น 19 ล้านปอนด์ หลังจากได้รับตำแหน่งนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปี
ซึ่งปีนั้นเป็นปีแรกที่ โรบี้ ได้สัมผัสบรรยากาศฟุตบอลโลกและฉายแววความสามารถที่ไม่ธรรมดาให้หลายคนอยากจะติดตามมากขึ้น ถัดมาปี 1993 โรบี้ ได้แชมป์ระดับยุโรปเป็นครั้งแรกหลังพา ม้าลาย คว้าแชมป์ ยูฟ่า คัพ
บัจโจ้ เป็นกำลังหลักให้ทีมชาติอิตาลี ระหว่างลุยเวิลด์ คัพ ปี 1994 จะเรียกว่าเป็นฮีโร่ก็ไม่ผิดนักพาทีมผ่านเข้าชิงชนะเลิศสำเร็จ ยิง 5 ประตูในทัวร์นาเมนต์รอบสุดท้าย สองประตูจากรอบ 16 ทีม ชนะไนจีเรีย,ประตูชัยท้ายเกมในรอบควอเตอร์ ไฟนัล หักเขา กระทิงดุ สเปน,สองประตู ชนะ บัลแกเรีย ในรอบตัดเลือก
ทว่าความผิดพลาดครั้งเดียวของ โรบี้ แทบทำให้ตัวเองกลายเป็นปิศาจไปเลยในนัดชิงชนะเลิศกับ บราซิล บุรุษเปียทองคำพลาดจุดโทษลูกสุดท้าย (ขณะที่ บราซิลยังเหลือตัวยิง) ส่งผลให้บราซิล คว้าแชมป์โลกหลังเสมอกันในเวลา 0-0
แม้ว่าก่อนหน้าที่ โรบี้ จะพลาด สองนักเตะอิตาเลียน จะพลาดมาก่อนแล้วทั้ง ฟรังโก้ บาเรซี่ และ แดเนีล มาสซาโร่ แต่ความผิดพลาดของเพื่อนร่วมทีมสองคนเหมือนไม่มีใครมองเห็น สปอตไลต์ มาตกที่ โรบี้ คนเดียวเนื่องจากถ้า โรบี้ ยิงเข้า บราซิล ก็ยังคงต้องเสี่ยงยิงต่อ เพื่อจะได้แชมป์โลก
บัจโจ้ คว้า สคูเด็ตโต้ แรกกับ ยูเวนตุส ในปี 1995 และหลังจากนั้นก็ถูกขายให้กับ ปิศาจแดงดำ เอซี มิลาน สโมสรซึ่งเป็นที่มาของแชมป์ กัลโช่ เซเรีย อา ใบที่สองของ โรบี้
ที่มิลาน โรบี้ นับว่าอยู่ได้เพราะฝีเท้าดีล้วนๆเนื่องจากประธานสโมสรขณะนั้นอย่าง ซิลวิโอ แบร์ลุสโคนี่ ที่บอกว่าไม่เคยชื่นชอบเลยกับแฟชั่นหางเปียของ โรบี้ แต่ตราบใดที่เจ้าตัวยังยิงประตูได้แบบนี้ ก็ไม่ป็นไร
ในปี 1977 เมื่อเจ้าตัวเริ่มคิดว่าตัวเองเริ่มเข้าสู่ช่วงดาวน์ของชีวิตค้าแข้ง ก็ย้ายไปอยู่กับ โบโลญญ่า และเหมือนเป็นการชุบชีวิตใหม่อีกครั้งเมื่อยิงไปคนเดียว 22 ประตูเป็นสถิติของตัวเองในปีนั้นก่อนได้รับเรียกกลับไปติดทีมชาติอีกครั้งในการลุยฟุตบอลโลกปี 1998 ที่ฝรั่งเศส แทนที่ของกองหน้าที่ฟอร์มกำลังฮอตคราวนั้นอย่าง จิอันฟรังโก้ โซล่า จากการเรียกของโค้ช เชซาเร่ มัลดินี่ ซึ่งเหมือนว่าเป็นการขัดใจแฟนๆเล็กน้อยด้วย
โรบี้ ยิงสองประตูในทัวร์นาเมนต์ คือจุดโทษเกมกับ ชิลี ซึ่งเป็นจุดโทษที่ทำให้แฟนๆมะกะโลนี ยกโทษให้โรบี้ จากความผิดพลาดเมื่อปี 1994 นอกจากนี้ยังเป็นคนยิงประตูชัยในเกมเจอ ออสเตรีย ส่งอิตาลีเป็นแชมป์กลุ่ม
จุดโทษอีกลูกที่โรบี้ จัดการได้คือแมตช์ที่ อิตาลี เจอเจ้าภาพ และแชมป์ในปีนั้น ฝรั้งเศส ซึ่งผลการแข่งขันออกมาเป็นทีมแพ้ ตกรอบหลังจบทัวร์นาเมนต์ อิตาลี โดนวิพากษ์วิจารณ์อย่างกว้างขวางในด้านสไตล์การเล่นที่เน้นอุด และน่าเบื่อสำหรับแฟนๆ จนได้รับการขนานนามว่าเป็นต้นตำหรับของ Boring Football
หลังจบเวิลด์ คัพ ก็เข้าสู่บั้นปลายชีวิตของ บัจโจ้ เต็มตัว แต่ก็ยังได้เซ็นสัญญากับทีมยักษ์ใหญ่อย่าง อินเตอร์ มิลาน แต่นับเป็นการย้ายทีมที่โชคร้ายที่สุดในชีวิตหลังจากโค้ช มาเซลโล่ ลิปปี้ ไม่ค่อยชอบที่จะใช้งาน โรบี้ นักเรียกได้ว่าแทบจะไม่ได้ลงสนามเลย
แต่ก็ช่วยไม่ได้เมื่อตอนนั้น โล้นทองคำ โรนัลโด้ นักเตะบราซิลเลียน กำลังฮอตขึ้นหม้อส่งผลให้ โรแบร์โต้ เสียตำแหน่งตัวจริงเป็นการถาวร เช่นเดียวกับทีมชาติอิตาลี
หลังจากทนอยู่กับ งูใหญ่ ได้สองปี ก็ได้ย้ายไปอยู่กับ เบรสชา ทีมที่ไม่โด่งดังอะไรมากนัก ก่อนประกาศรีไทร์ในปี 2004 ยุติสถิติยิง 205 ประตูใน เซเรีย อา,สูงสุดเป็นอันดับ 5 ของสถิติตลอดกาล,ติดทีมชาติ 56 นัด ยิง 27 ประตู สูงสุดเป็นอันดับ 4 ของสถิติตลอดกาล
การลงเล่นฟุตบอลโลก 3 สมัย โรบี้ ยิงไป 9 ประตู เท่ากับ คริสเตียน วิเอรี่ และ เปาโล รอสซี่ ในฐานะนักเตะอิตาเลียนที่ยิงประตูสูงสุดในฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย
แมตช์สุดท้ายของโรบี้ จริงๆเลยคือการลงเตะแมตช์การกุศล ให้กับโครงการช่วยเหลือเหยื่อผู้เคราห์ร้ายจากคลื่นยักษ์ สึนามิ Football for Hope ที่ คัมป์ นู เมื่อวันที่ 15 กันยายน 2005
เป็นนักเตะอีกคนที่เราก็ชื่นชอบ...
จากคุณ :
aorlala
- [
วันอาสาฬหบูชา 12:55:35
]
|
|
|