ความคิดเห็นที่ 11
^ ^ ขอบคุณครับทีแก้ให้ เหะๆผมผิดอีกแล้ว อันนีเอามาให้อ่านกันเล่น เห็นมีประวั่ติศาสตร์นิดหน่อย
ความมั่นคงยงยืน ด้วยประวัติศาสตร์แห่งชาติฉบับใหม่
คอลัมน์ รายงานพิเศษ
สุจิตต์ วงษ์เทศ อ่านเรื่องเกี่ยวข้องเป็นรายละเอียดใน http://www.svbhumi.com e-mail : sv@bhumi.com
ประวัติศาสตร์แห่งชาติของไทยที่ใช้เป็นมาตรฐานทุกวันนี้ เริ่มมีขึ้นจากสถานการณ์ตึงเครียดของสยามกำลังเผชิญหน้ากับมหาอำนาจตะวันตกล่าอาณานิคม ในแผ่นดินรัชกาลที่ 4
อาจารย์ศรีศักร วัลลิโภดม ชี้ให้เห็นว่าต่อมาได้เจือปนกับประวัติศาสตร์อาณานิคมของมหาอำนาจตะวันตก จนทำให้เกิดประวัติเชื้อชาตินิยมตั้งแต่สมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นต้นมา
ฉะนั้น ประวัติศาสตร์แห่งชาติของไทยที่ใช้งานทุกวันนี้ จึงเป็นประวัติศาสตร์แห่งชาติแบบอาณานิคม ล้าหลัง คลั่งชาติ ผลักดันยั่วยุให้วิวาทบาดหมางกับเพื่อนบ้าน และเหยียดคนในประเทศที่เป็นคนไทย แต่ชาติพันธุ์อื่น เช่น มลายู เป็นต้น
อาจารย์นิธิ เอียวศรีวงศ์ เคยวิจัยเรื่องนี้ไว้นานแล้ว ได้บอกว่ารัชกาลที่ 5 ทรงมองเห็นปัญหาบางประการในประวัติศาสตร์แห่งชาติสำนวนที่ราชการใช้งานตั้งแต่รัชกาลที่ 4 เป็นต้นมา (แล้วยังใช้อยู่ทุกวันนี้) ซึ่งเป็นประวัติศาสตร์ของภาคกลางเท่านั้น จึงขาดความสืบเนื่องกับอดีตที่เกิดในภาคเหนือ อีสาน, ใต้, และรัฐมลายู โดยยังไม่นับกลุ่มชาติพันธุ์อื่นๆอีกมากมาย และหลากหลาย
ประวัติศาสตร์แห่งชาติของไทยฉบับปัจจุบัน ตัดขาดจากประวัติศาสตร์สุวรรณภูมิ(อุษาคเนย์เอเชียตะวันออกเฉียงใต้) ราวกับว่าประเทศไทยเกิดขึ้นลอยๆ ตั้งอยู่โดดๆ ไม่มีเครือญาติ ไม่มีเพื่อนมิตรชิดใกล้ ฯลฯ ซึ่งไม่จริงเลย แต่มีพยานหลักฐานประวัติศาสตร์โบราณคดีกระจายทั่วประเทศว่าความเป็นคนไทยมีบรรพชนเป็นคนดึกดำบรรพ์สุวรรณภูมิในสยามประเทศนี้ราว 3,000 ปีมาแล้วเป็นอย่างน้อย ฉะนั้นจึงเต็มไปด้วยเครือญาติเพื่อนมิตรชาติพันธุ์ต่างๆทั่วผืนแผ่นดินใหญ่สุวรรณภูมิในตระกูลมอญ-เขมร และหมู่เกาะในตระกูลชวา-มลายู ฯลฯ
คณะปฏิรูปฯ (คปค.) อย่าหลงมองความมั่นคงแค่เรื่องเศรษฐกิจการเมืองเพียงด้านเดียว ที่มีความผันผวนเปลี่ยนแปลงตลอดเวลา แต่ต้องให้ความสำคัญกับความมั่นคงทางสังคมวัฒนธรรม ที่เป็นรากฐานลึกซึ้งให้เกิดความมั่นคงทางเศรษฐกิจการเมืองอย่างยั่งยืนยาวนานเป็นหลักด้วย โดยสร้างประวัติศาสตร์แห่งชาติให้ทันสมัย
เบื้องต้นนี้ขอให้คณะปฏิรูปฯทำความเข้าใจให้ถ่องแท้เรื่องมาตุภูมิกับชาติภูมิ
ประวัติศาสตร์แห่งชาติ
ก็ต้องปฏิรูปให้เข้าร่องเข้ารอย
วิกฤติแห่งชาติ คือ วิวาทบาดหมางอย่างรุนแรง ผู้คนทั้งบ้านเมืองประเทศชาติขัดแย้งแตกแยกจนต่อไม่ติด และเข้ากันไม่ได้ ล้วนมีเหตุจากเศรษฐกิจการเมืองที่ไร้สำนึกประวัติศาสตร์สังคมวัฒนธรรมตั้งแต่ยุค"สงครามเย็น" หลัง พ.ศ. 2500 สืบจนปัจจุบัน
ประเทศไทยยุคสงครามเย็น มีประวัติศาสตร์แห่งชาติแบบอาณานิคม ที่งมงาย ล้าหลัง คลั่งชาติ จนถึงทุกวันนี้ ส่งผลให้ใช้ความรุนแรงในการแก้ปัญหาความขัดแย้งทุกระดับ ตั้งแต่ครอบครัวและชุมชนจนถึงท้องถิ่นและประเทศชาติ
หากไม่เริ่มแก้ไขปฏิรูปประวัติศาสตร์แห่งชาติแบบอาณานิคมให้ค่อยๆ ลด ละ เลิก ความงมงาย ล้าหลัง คลั่งชาติ เสียตั้งแต่บัดนี้ ก็มองไม่เห็นช่องทางแก้ไขวิกฤติแห่งชาติให้เกิดความปรองดองอย่างยั่งยืนได้
หนทางแก้ไขประวัติศาสตร์แห่งชาติให้ใกล้เคียงความถูกต้องและทันสมัยเพื่อ"ปฏิรูป"การศึกษา การเมือง การปกครอง เศรษฐกิจ ฯลฯ มีหลายช่องหลายแนว แต่ช่องทางแนวทางง่ายที่สุดและปลอดภัยได้ผลมากกว่า คือเผยแพร่แบ่งปันแลกเปลี่ยนเรียนรู้อย่างง่ายๆ ถึงร่องรอยและหลักฐานความเป็นมาทางภูมิสังคมวัฒนธรรมของผู้คนทุกชาติพันธุ์ในดินแดนประเทศไทย ตั้งแต่ 3,000 ปีมาแล้ว ที่ยังไม่เรียกตัวเองว่าคนไทย ต่อมาเรียกว่าชาวสยาม หลังจากนั้นถึงเรียกคนไทยสืบจนปัจจุบัน
ทุกฝ่ายต้องปฏิรูปตัวเองในเรื่องประวัติศาสตร์แห่งชาติ มิฉะนั้นการปฏิรูปที่ประกาศว่าเจตนาดีก็จะกลายเป็นตรงข้าม
ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น
กับ ประวัติศาสตร์แห่งชาติ
อาจารย์ศรีศักร วัลลิโภดม เขียนอธิบายเรื่อง"มาตุภูมิ" กับ"ชาติภูมิ"ฯ ไว้ใน มติชน (ฉบับวันศุกร์ที่ 29 กันยายน 2549) ตอนหนึ่งว่า ประวัติศาสตร์จึงมี 2 ระดับ คือ ระดับท้องถิ่นและระดับชาติ
ประวัติศาสตร์ท้องถิ่น คือประวัติศาสตร์สังคม ที่แสดงให้เห็นความเป็นมาของ ผู้คนในท้องถิ่นเดียวกันที่อาจมีความแตกต่างทางชาติพันธุ์ก็ได้ แต่เมื่อเข้ามาตั้งถิ่นฐานอยู่ในพื้นที่เดียวกันตั้งแต่ 2-3 ชั่วคนสืบลงไป ก็จะเกิดสำนึกร่วมขึ้นเป็นคนในท้องถิ่นเดียวกัน มีจารีต ขนบ ประเพณี พิธีกรรม ความเชื่อและกติกาในทางเศรษฐกิจและสังคมร่วมกัน โดยมีพื้นฐานทางความเชื่อและศีลธรรมเดียวกัน เช่น
ท้องถิ่นดงศรีมหาโพธิ์ ในอำเภอศรีมโหสถ จังหวัดปราจีนบุรี มีความเป็นมาทางชาติพันธุ์ต่างกัน คือมีทั้งมอญ เขมร ลาว เจ๊ก ฯลฯ แต่มีสำนึกความเป็นคนศรีมหาโพธิ์หรือศรี มโหสถร่วมกัน
ประวัติศาสตร์แห่งชาติ คือประวัติศาสตร์สังคมที่แสดงให้เห็นความเป็นมาของผู้คนในประเทศเดียวกัน
เหนือระดับท้องถิ่นอันหลากหลายก็เป็นพื้นที่หรือแผ่นดินที่เป็นประเทศชาติ เช่น ดินแดนประเทศไทยเรียกว่าสยามประเทศ มีประวัติศาสตร์การเมืองและเศรษฐกิจที่ยึดโยงผู้คนในระดับท้องถิ่นที่หลากหลายให้รวมเป็นพวกเดียวกัน เช่น มีภาษากลางร่วมกัน มีระบบความเชื่อและประเพณีพิธีกรรมเดียวกัน มีสถาบันพระมหากษัตริย์และการปกครองร่วมกัน เป็นต้น
ทั้งหมดนี้หล่อหลอมและผลักดันให้คนในดินแดนสยามสมมุติชื่อเรียกตนเองอย่างหลวมๆ ว่า คนไทย เริ่มมีหลักฐานตั้งแต่สมัยอยุธยา ฉะนั้นคนไทยเป็นชื่อรวมของคนในระดับชาติภูมิ
ประวัติศาสตร์ชาติภูมิ กลายเป็นประวัติศาสตร์รัฐชาติ หรือประวัติศาสตร์แห่งชาติ ที่สร้างขึ้นตั้งแต่สมัยรัชกาลที่ 4 ลงมา ต่อมาได้เจือปนกับประวัติศาสตร์อาณานิคมของมหาอำนาจตะวันตก จนทำให้เกิดประวัติศาสตร์เชื้อชาตินิยม (race) ตั้งแต่สมัยจอมพล ป. พิบูลสงคราม เป็นต้นมา
การมองคนไทยในลักษณะของความเป็นเลิศทางกรรมพันธุ์ ได้ทำลายความเป็นคนไทยที่เป็นชื่อสมมุติท่ามกลางความหลากหลายของชาติพันธุ์ต่างๆในประเทศไทยให้หมดไป จึงเป็นช่องทางให้เกิดกลุ่มผลประโยชน์ใช้อ้างอิงเพื่อความชอบธรรมในการปกครอง แล้วใช้ทำลายความสัมพันธ์ของคน ทั้งคนภายในประเทศไทยและคนภายนอกคือประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ลาว เขมร เวียดนาม และมลายู สืบมาจนทุกวันนี้
เพราะถ้ามองจากประวัติศาสตร์ท้องถิ่นแล้ว คนที่อยู่ในประเทศปัจจุบันแยกไม่ออกจากบรรดาชาติพันธุ์ของผู้คนต่างๆในประเทศเพื่อนบ้าน เช่น ลาว เขมร เวียดนาม และ มาเลเซีย ฯลฯ
จากคุณ :
win_mma
- [
วันเกิด PANTIP.COM 17:46:27
]
|
|
|