 |
.......ไดอารี่พี่เบค ตอน ราชันย์ฟาดฟันเสือใต้.......
สวัสดีครับไม่รู้ว่าจะยังมีใครคิดถึงผมบ้างหรือเปล่า เดวิด โรเบิร์ต โจเซฟ เบคแค่มด้วยวัย31ปี ผมเคยเป็นซูเปอร์สตาร์อันดับ1ของวงการฟุตบอล ผมเคยเป็นนักเตะแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดทีมที่มีแฟนบอลมากมายที่สุดในโลก ผมเคยเป็นกัปตันทีมชาติอังกฤษ ผมสามารถยิงประตูในฟุตบอลโลกได้สามสมัยติดต่อกัน ผมเคยได้รองนักเตะยอดเยี่ยมแห่งปีของยุโรปและฟีฟ่าในปี1999และ2001 และตอนนี้ผมก็ยังเป็นนักเตะตัวจริงของทีมสโมสรที่เป็นแชมป์ยุโรปมากที่สุด
แต่น่าเสียดายที่ผมไม่ได้รับการยอมรับจากแฟนบอลบางกลุ่มเท่าที่ควร ผมก็ไม่รู้เหมือนกันว่าทำไม ช่างเถอะยังไงฤดูกาลนี้ก็เป็นฤดูกาลสุดท้ายของผมในเวทีฟุตบอลยุโรปแล้ว หลังจากนั้นผมก็จะไปผจญภัยครั้งใหญ่ในดินแดนที่ฟุตบอลเป็นที่รู้จักในชื่อว่า"ซอคเกอร์"
หลายๆคนอาจจะมองว่าผมหมดไฟกับการลงเล่นในเวทีระดับสูงแล้วหรือ ในตอนนี้ฟุตบอลไม่ได้สำคัญที่สุดสำหรับผมอีกต่อไปแล้ว ผมมีภรรยาที่ต้องเทิดทูน มีลูกชายที่น่ารักสามคนให้ดูแล ผมจึงต้องให้ความสำคัญกับครอบครัวเป็นลำดับแรก การจะย้ายจากสเปนไปอิตาลีคงไม่ใช่ทางเลือกที่ดีที่สุดสำหรับครอบครัวในเรื่องของความปลอดภัย การกลับอังกฤษก็ไม่อยู่ในความคิดของผม เพราะผมไม่สามารถลงเล่นให้ทีมใดในอังกฤษได้อีกนอกจากแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ด
ที่อเมริกา ผมและครอบครัวสามารถปักหลักและสร้างรากฐานความมั่นคงให้ชีวิตครอบครัวได้หลังจากที่ผมแขวนสตั๊ดแล้ว ผมมีอคาเดมี่สอนฟุตบอลที่นั่น และวิคกี้ก็สามารถทำตามฝันของเธอด้วยการเข้าสู่วงการฮอลลีวู้ด คนไม่มีเมียคงไม่เข้าใจหรอกครับ...
หลังจากจรดปากกาเซ็นสัญญากับเขาทราย เอ้ยแอลเอ แกแลคซี่แล้ว ผมก็ต้องเจอเรื่องที่ช็อคความรู้สึกของผมแบบไม่ทันได้ตั้งตัวมาก่อน ลุงยู่ยี่หรือโค้ชของรีลมาดริดประกาศว่าจะไม่ส่งผมลงเล่นอีกเพราะถือว่าผมกลายเป็นนักเตะทีมอื่นไปแล้ว ผมจะเป็นนักเตะทีมอื่นได้ยังไงล่ะ?? สัญญาของผมกับมาดริดยังมีถึงกลางปีนี่นา แต่ผมก็ไม่ได้ตอบโต้ด้วยวาจาหรอกนะ ผมเพียงแต่มุ่งมั่นฝึกซ้อมกับทีมต่อไปเท่านั้น ความเป็นมืออาชีพของผมมีมากพอที่จะไม่งอแงอะไรเป็นเด็กๆ
ในที่สุดเวลาของผมก็มาถึง ผลงานของรีลมาดริดไม่ดีนักและเพื่อนร่วมทีมอย่างราอูล กูตีและคาซึจังได้เข้าไปเจรจาบบอร์ดบริหาร ในช่วงเวลานั้นลุงยู่ยี่ก็พูดคุยกับผมเป็นการส่วนตัวเช่นเดียวกัน มันเป็นเรื่องราวที่ผมคงไม่นำออกมาเล่าให้ใครฟัง แต่นั่นก็เป็นสัญญาณที่ดีสำหรับผมแล้วล่ะ
และแล้วช่วงเวลาที่ผมโหยหวลมานับเดือนก็มาถึง สัมผัสจากปลายสตั๊ดบนพื้นหญ้าอันหนานุ่ม เสียงเชียร์จากแฟนๆและบรรยากาศการแข่งขันที่ผมคุ้นเคยดี ผมกลับมาเป็นตัวจริงอีกครั้งในนัดที่เราเอาชนะเรอัล โซเซียดาดไปได้2-1 ซึ่งผมก็ซัดฟรีคิกให้ทีมตีเสมอก่อนที่รุดจะโขกประตูชัยให้เราเก็บสามแต้มได้สำเร็จ
มันเป็นการคัมแบ๊กที่สุดยอดเหลือเกิน หลังจบเกมแฟนๆทั้งสนามต่างยืนปรบมือให้กับผม เช่นเดียวกับเพื่อนร่วมทีมทุกคนที่รุมกันเข้ามาสวมกอดยินดี มันเป็นความอบอุ่นทั้งด้านกายและใจอย่างแท้จริง
หนึ่งสัปดาห์หลังจากนั้นเราลงเล่นกับเรอัล เบติส น่าเสียดายที่พวกเราทำได้แค่เสมอ ผมคิดว่าเราขาดโชคไปนิดหน่อย ส่วนใบแดงของผมก็เป็นผลต่อเนื่องมาจากอารมณ์เดือดที่ปะทุขึ้นในจังหวะก่อนหน้านั้นอยู่แล้ว
เวทีที่ยิ่งใหญ่ที่สุดในการแข่งขันฟุตบอลระดับสโมสรของยุโรป ซึ่งก็คือรายการยูฟ่าแชมเปี้ยนส์ลีก ผมคิดว่าจะไม่ได้มีโอกาสลงเล่นรายการนี้อีกแล้วในชีวิต แต่การได้กลับมาฟังเสียงดนตรีแบบโอเปร่าตอนยืนเรียงแถวหน้ากระดานก่อนเริ่มเกม ช่างเป็นความรู้สึกที่ชวนขนลุกเสียจริงๆ
บาเยิร์นมิวนิคเป็นคุ่แข่งที่สุดยอดอยู่เสมอ ไม่ว่าพวกเขาจะอยู่ในฟอร์มย่ำแย่แค่ไหนก็ตาม แต่เกมระดับนี้พวกเขาไม่เคยยอมแพ้ง่ายๆ ความทรงจำที่ดีของผมในการเจอกับบาเยิร์นเมื่อปี1999ยังคงเต็มเปี่ยมและเติมเต็มความสุขในการเล่นฟุตบอลให้ผม และหากในฤดูกาลนี้ผมจะมีโอกาสได้สัมผัสความรู้สึกเช่นนั้นอีก มันก็คงจะเป็นบทส่งท้ายที่สมบูรณ์แบบเกินบรรยาย
จากคุณ :
maezono_no7
- [
21 ก.พ. 50 13:43:00
]
|
|
|
|
|