 |
บทความพิเศษ.....เมื่ออลัน สมิธ กลับมา
เมื่ออลัน สมิธ กลับมา...
เป็นที่ทราบกันแล้วว่านักเตะที่หลับไหลอยู่ในความทรงจำของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เมื่อฤดูกาลก่อนได้กลับมาอีกครั้งในช่วงโค้งของฤดูกาลเพื่อทำให้ฝันของทุกคนในเมืองแมนเชสเตอร์ ที่ไม่มีซิตี้เป็นจริง
และคงจะเป็นใครไม่ได้นอกจากอลัน สมิธ นักเตะทีมชาติอังกฤษที่หายไปนานหลังจากบล๊อกลูก ไฟเยอร์ ซ๊อต ของริเซ่ แบ๊กซ้ายทีมชาตินอร์เวย์ หรือไอ้ตีนโหดของลิเวอร์พูล
เรื่องอย่างนี้เกิดขึ้นได้ครับ ไม่ใช่ความตั้งใจของริเซ่ หรือของใครทั้งหมด แต่มันเกิดจากความกล้าหาญของศูนย์หน้าหน้าหยก ผมทองตะหง่าน ต้านลมหนาว ตอนนั้นความเร็วลมเป็น 0 ความชื้นในอากาศ 12 เปอร์เซ็นต์
คิดง่ายๆคือ น้ำหนักที่รับทั้งหมด เป็นแรงโมเมนตั้มของลูกบอลที่พุ่งด้วยความเร็วประมาณ 120 กม/ชม. น้ำหนักบอลเท่าไหร่ไม่รู้ ไม่ได้ชั่ง ตวง วัด แต่ประมาณว่าพลังงานที่ได้รับคือ 12000 จูล ขนาดทำให้น้ำเดือดได้ภายใน 10 นาที
ร่างของสมิธ ลอยละลิ่ว เพราะออกแรงต้านทั้งหมดให้กระทำต่อลูกบอล จึงสูญเสียพลังงานในการทรงตัวกลางอากาศ และพลาดที่ลูกบอลมีพลังงานมากกว่าจึงจัดการร่างที่มีแต่มวลของสมิธได้อย่างง่ายดาย
แตกเวกเตอร์มาในแกน x y z ใน 3 มิติ พบว่าแรงในแนวแกน z ทะลักออกมาอย่างน่าเกลียด ทำให้ตัวของสมิธเอียงไปตามแนวแกน z ในขณะที่สูญเสียการทรงตัว ขาที่รับน้ำหนักตอนลงสู่พื้น ไม่สามารถรับศูนย์ถ่วงจากร่างกายที่เสียหลักมาในแนวแกน z ได้ ข้อเท้าจึงพลิกและได้เข้ารับการบำบัดรักษาในที่สุด
ผ่านมานานพอดู เมื่ออาการต่างๆเริ่มเข้าที่เข้าทาง สามารถเดิน และวิ่งได้บ้างแล้ว สมิธก็เริ่มสัมผัสกับฟุตบอลอีกครั้ง ถึงแม้ขาจะไม่มีแรงอย่างเก่า แต่หัวใจของเค้า รู้สึกจะไม่ได้รับความสึกหรอจากเหตุการณ์ในครั้งนั้นเลย มีแต่ความมุ่งมั่นที่จะกลับลงสู่สมรภูมิลูกหนังอีกครั้งหนึ่ง เพื่อทำในสิ่งที่ตนรัก และเฝ้ารอ และพร้อมที่จะทำต่อไปคือการเล่นฟุตบอลอย่างกล้าหาญ
ความมุ่งมั่น และความพยายาม ของเค้า ฟันฝ่าอุปสรรคต่างๆจนกลับมากลายเป็นสมิธคนเดิม ที่หัวใจยังเปี่ยมด้วยความกล้าหาญ แต่สิ่งที่ได้มาเพิ่มคือ ทรรศนะจากการเล่น เพราะเวลาที่นั่งข้างสนาม เค้าก็คิดอยู่เสมอว่าถ้าได้บอลในลักษณะนี้จะทำยังไง จะส่งไปทางไหนถึงจะทำให้เพื่อนได้เปรียบ จะสัมผัสบอลที่มาในลักษณะโปรเจกไทด์ พาราโบล่า เส้นตรง เส้นโค้ง ยังไง เค้าวาดไว้ในหัวทุกอย่าง ที่เหลือก็แค่ทำให้จินตนาการที่วาดไว้เป็นจริง จากการฝึกฝนซ้ำแล้วซ้ำเล่า รู้ทุกส่วนเว้า ส่วนโค้ง ของบอล สัมผัสแรกจึงนุ่มนวลกว่าที่คิด พลิกบอล พักบอลได้เป็นอย่างดี
ดังนั้นจริงไม่แปลกใจเลย ที่เค้าจะกลับมาแข็งแกร่ง และเก่งกว่าเดิม มากมายขนาดไหน แม้จะร้างลาสนามไปกี่เดือน กี่ปี ก็ตาม
ข้อสำคัญที่เค้าต้องเรียนรู้อย่างหนึ่งคือ การสงวนพลังงาน และการใช้พลังงานให้เกิดประโยชน์มากที่สุด การต้านพลังกันย่อมไม่เป็นผลดีต่อทุกฝ่าย ฝ่ายที่มีพลังมากอาจชนะ แต่ก็จะสูญเสียความต่างศักย์ไปในรูปต่างๆ ฝ่ายที่มีพลังน้อยอาจจะแพ้ และสูญเสียความต่างศักย์ที่มีทั้งหมด แต่คนที่ฉลาดจะสามารถจัดการกับพลังงานเหล่านั้นได้อย่างคุ้มค่าที่สุด คือ การนำพลังงานของอีกฝ่ายมาแปรเปลี่ยนให้เป็นพลังงานที่เป็นประโยชน์กับฝ่ายตน
ทุกคนคงสงสัยว่าแล้วเราจะเอาอะไร มาแปรเปลี่ยนพลังงานของคนอื่น มาเป็นพลังงานของเราเอง อันนี้มันขึ้นอยู่กับลักษณะของพลังงานที่กระทำกับเรา ยกตัวอย่างเช่น ถ้าพลังงานกระโจนมา เราต้องเคลื่อนที่เป็นวงกลม โดยให้มีรัศมีน้อยที่สุดแต่สามารถล้อมพลังงานกระโจนได้ พอทำได้เราจะได้พลังงานกระโจนมาอยู่ในการเคลื่อนไหวชั่วขณะ จากนั้นให้เราใช้กล้ามเนื้อต้านเฉพาะแรงจลน์เท่านั้น แปรเป็นแรงกระแทกจัดการกับเจ้าของพลังงานกระโจน ถ้าเอามาใช้ในทางฟุตบอลแล้วล่ะก็ คุณลองเอาพลังงานนั้นมาเตะบอลดูสิ บวกกับแรงคุณเองด้วย พลังที่เข้าไปในลูกบอลนี้อาจจะทำให้บอลแตกคาเท้าของคุณทันทีหรือไม่ก็หายออกไปในอวกาศลอยเคว้งคว้าง หลุดวงโคจร เป็นเสมือนดาวเทียมของเหล่าบ้าบอลให้ระลึกถึงประวัติศาสตร์ soccer ทั้งนี้เนื่องจากพลังงานมหาศาลได้เข้าไปในระบบปิดเรียบร้อย ต้องฝึกฝนควบคุมการแปรพลังงานให้ดี แล้วลูกเตะที่ว่าเร็วกว่าแสงจะเกิดขึ้นแน่นอน!!!
จากคุณ :
tanaka toshi
- [
20 เม.ย. 50 17:36:12
]
|
|
|
|
|