ความคิดเห็นที่ 6
อันนี้อ่านทำใจเย็น ไว้หน่อยนะครับ......
******แยก "แมนฯซิตี" ออกจาก "การเมือง"
ผมไม่แน่ใจว่า แมนฯซิตี้จะต้อง เซ็นสัญญา นักเตะไทยแน่ๆ 2 คนตามที่เป็นข่าว โดยคุณนพดล ปัทมะ (ไทยโพสต์) แต่ สามารถคอมเมนต์ได้ว่า หากเจ้าของ สโมสรใหม่ "ก้าวก่าย" ได้ขนาดนั้น สเวน โกรัน เอริคส์สัน เตรียมเซ็งชีวิตได้เลยครับ
เมื่อวันอังคารที่ 24 ก.ค.ที่ผ่านมาจัดเป็นวันแรก ของผมกับรายการ "คิกออฟ ออน ทีวี" ทางช่อง MVtv News ที่จะมีเป็นประจำทุกวันตั้งแต่เวลา 4 โมงถึง 5 โมงเย็น 40 นาที รายการจะออกอากาศทุกวันครับ แต่จะสลับสับเปลี่ยน หน้าผู้ดำเนินรายการที่จะนำโดย หมอเมา, เฮียนอส, พี่ป๋อง, เพลย์เมคเกอร์ และทีมงาน โดยเวรของผมนั้นตรงกับ "วันอังคาร" คู่กับ "คุณวาว" เจ้าเก่าที่จัดวิทยุรายการ "พรีเมียร์ชิพไกด์กับไข่มุกดำ" ด้วยกันทุกคืนวันศุกร์ทางเอฟเอ็ม 98 ผมเขียนเรื่องนี้ขึ้นมาก็เพราะในเช้าวันดังกล่าว มีข่าวฟุตบอลในประเทศข่าวหนึ่งที่น่าสนใจมาก ๆ คลอดออกมา "3 นักเตะไทยเตรียมลุยแมนฯซิตี้" คือพาดหัวข่าวดังกล่าว ส่วนเนื้อหาก็คือ ธีรศิลป์ แดงดา, เกียรติประวุฒิ สายแวว และสุรีย์ สุขะ คือ 3 นักเตะไทยที่ได้รับการเลือกจากสมาคมฟุตบอลแห่ง ประเทศไทยให้มีโอกาสไป "ทดสอบ" ฝีเท้ากับทีมเรือใบสีฟ้า แมนฯซิตี้ ในสัปดาห์หน้า กล่าวคือ สโมสรสีฟ้าแห่งเมืองแมนเชสเตอร์โดยเจ้าของคนใหม่ คุณทักษิณ ชินวัตร ได้ทำตามสัญญาที่กล่าว เอาไว้ก่อนการ "เทกโอเวอร์" ว่าจะให้โอกาสนักเตะไทยไปค้าแข้งที่อังกฤษหากการเข้ายึดครองสโมสรเสร็จสิ้นสมบูรณ์ ล่าสุดหลังซื้อหุ้นได้กว่า 75% และนำทีมออกจากตลาดหลักทรัพย์ได้แล้ว คุณทักษิณ และทีมงานก็ทำตามที่เคยได้ลั่นวาจาไว้แทบจะทันที ข่าวนี้ ผมยังรู้สึกเฉยๆ และไม่ได้พูดถึงเมื่อวานนี้ก็เพราะอยากจะดู "ท่าที" หรือ "รีแอกชัน" จากฝ่ายต่างๆ ทั้งใน และนอกประเทศเสียก่อน แต่หลังจาก "บีบีซี" รายงานข่าวนี้ในวันต่อมา ผมจึงเห็นว่า มันถึงเวลาที่ต้องหยิบยกเรื่องนี้มาเป็นหัวข้อสนทนา กันแล้ว ทั้งนี้ ผมต้องออกตัวก่อนเลยครับว่า ตัวเองได้เคยเขียนถึงเรื่องเกี่ยวข้องกับการ "เทกโอเวอร์" แมนฯซิตี้ไปแล้วบ่อยครั้ง และที่สุดของผมคือ การได้เห็นวงการฟุตบอล ไทย และเอเชีย สร้างความ "ได้เปรียบ" จากการมีคนเอเชียอย่างคุณทักษิณเป็นเจ้าของสโมสรให้มากที่สุด ที่พูดเช่นนั้นก็เพราะ "ชาตินิยม" แน่นอน แม้ลึกๆ แล้วยังเชื่อว่า คุณทักษิณไม่จำเป็นต้อง "เทกโอเวอร์" สโมสรก็ได้เพื่อการสร้างโอกาสนี้ อดีตนายกรัฐมนตรี พ.ต.ท. ดร.ทักษิณ ชินวัตร เจ้าของสโมสร คนใหม่ของแมนฯซิตี้ ยังทำงานไว และมีผลงานเร็วเหมือนเคย แต่งานนี้คนไทยคงต้องแยกเรื่อง ผลประโยชน์ด้านกีฬากับแมนฯซิตี้ ออกจากเรื่องการเมืองนะครับ ทำอย่าง "เบียร์ช้าง" หรือ "BEC Tero" ที่เป็นสปอนเซอร์ และพันธมิตรของเอฟเวอร์ตัน และอาร์เซนอลก็พอ แถมยังจ่ายเงินน้อยกว่า อีกทั้ง "อำนาจ" ในการตัดสินใจเลือกนักเตะ และความเป็นไปได้ในการเซ็นสัญญานักเตะอาชีพ นั้นก็ไม่ได้อยู่ที่เจ้าของสโมสรคนเดียว "ตัวแปร" ในการกำหนดอนาคตของนักเตะในกลุ่มประเทศนอก สหภาพยุโรป (อียู) อย่าง ไทยแลนด์ ยังมีอีกหลายประการที่ "3 ตัวอย่าง" ธีรศิลป์, เกียรติประวุฒิ และสุรีย์ ต้องฝ่าฟัน 1.ผมไม่เชื่อว่า คนเป็นโค้ชไม่ว่าระดับ สเวน โกรัน เอริคส์สัน หรือโนเนม, โนบอดี้ ที่ไหนจะยอมให้มีการ "ก้าว ก่าย" เลือกนักเตะให้โดยฝ่ายบริหารนอกสนามของสโมสร หากเรื่องนี้เป็นจริง โค้ชคนนั้นถือว่าไม่มี "ศักดิ์ศรี" ครับ ผมพูดได้คำเดียว... 2.ติ๊ต่างว่า หากสเวนเกิดประทับใจใครคนใดคนหนึ่ง ขึ้นมาจริงๆ การเซ็นสัญญาเป็นนักเตะอาชีพก็จะตามมา และปัญหาความยากลำบากอีกขั้นหนึ่งก็จะเข้ามาถามหาเช่นกัน หลักๆ แล้ว "โฮมออฟฟิศ" หรือหน่วยงานรัฐบาลที่ดูแลด้าน "วีซ่า" ของประเทศอังกฤษ มีกฎให้นักเตะนอกกลุ่มอียูติดทีมชาติชุดใหญ่อย่างน้อย 75% ในช่วงเวลา 2 ปีหลัง และประเทศของนักเตะนอกอียูนั้นก็ต้องติดอันดับดีกว่า 70 ของโลกตามมาตรฐาน "ฟีฟ่า" เช่นเดียวกัน จึงจะมีสิทธิ์ขอวีซ่าได้ ประเทศไทยนั้นอยู่อันดับที่ 122 ในตอนนี้ ดังนั้นนักเตะทีมชาติไทยทุกคนจึง "ไม่ผ่าน" มาตรฐานกฎหมายข้อนี้จากรัฐบาลอังกฤษ กฎนี้มีขึ้นก็เพื่อจะ "สกรีน" สินค้าซึ่งในที่นี้ก็คือ "นักเตะต่างชาติ" ที่มีฝีเท้าดีจริงๆ ให้มีโอกาสได้รับ "วีซ่า" หรือ "เวิร์กเพอร์มิต" เข้ามาทำงาน (เตะฟุตบอล) ในลีกอังกฤษ หาไม่แล้ว นักเตะที่ไหนก็จะสามารถมาเตะบอลที่เกาะอังกฤษได้ อันจะยิ่งเป็นการ "ปิดกั้น" โอกาสแจ้งเกิดของนักเตะท้องถิ่นที่ตอนนี้ปัญหานักเตะต่างชาติ VS ในประเทศก็มีมากพออยู่แล้ว แม้จะ "สกรีน" หลายชั้นแล้วก็ตาม อย่างไรก็ดีครับ "โฮมออฟฟิศ" ก็ไม่ได้ใจไม้ไส้ระกำเสียทีเดียว เพราะสโมสรอังกฤษสามารถ "อุทธรณ์" เพื่อจะเซ็นสัญญานักเตะได้ดังเช่นที่แมนฯยูไนเต็ดเพิ่งจะชนะคดีเซ็นสัญญาอันแดร์สันมาร่วมทีม ดังนั้น "โอกาส" ของทั้ง 3 นักเตะไทยในครั้งนี้จึงไม่ได้ "มืดสนิท" เสียทีเดียว แม้ว่าจะริบหรี่หากจะพิจารณาจาก "เหตุผล" ที่ผมเรียนไว้ข้างต้น ส่วนตัวแล้ว ไม่อยากให้คนไทยตั้งความหวังใด ๆ กับ "โอกาส" ของนักเตะไทยครั้งนี้ หรือครั้งต่อๆ ไปในอนาคต อันใกล้ข้างหน้า ผมอยากให้มองว่านี่จะเป็น "โอกาส" อาจจะครั้งเดียว ของแต่ละผู้โชคดีที่ถูกพิจารณาชื่อขึ้นมา เพราะประสบการณ์ ที่ได้จากการทดสอบฝีเท้าที่อังกฤษคือสิ่ง "ล้ำค่า" ประเมินมูลค่าไม่ได้ ผมเองยังต้องการให้มีมากกว่า "นักเตะ" เพราะเชื่อมั่นว่า "ผู้ฝึกสอน" หรือโค้ชฟุตบอล คือ อีกกลุ่มคนที่น่าจะได้รับโอกาสเช่นกัน โค้ชฟุตบอลยังให้ผลตอบแทนแน่ๆ เป็นประสบการณ์ ที่พวกเค้าสามารถถ่ายทอดได้ตลอดชั่วอายุตัวเอง ขณะที่นักเตะอาจไม่ได้ใช้อะไรหลังจากหมดอาชีพค้าแข้งไปแล้ว เจ้าหน้าที่ของสมาคมฟุตบอลฯ หรือหน่วยงานรัฐ เช่น การกีฬาแห่งประเทศไทย ก็สมควรได้รับโอกาส "ดูงาน" บริหารทีมกีฬาแบบมืออาชีพกับแมนฯซิตี้เช่นกัน โดย "ทุกโอกาส" ที่ได้กล่าวถึงไปนี้ ผมมองแต่ในแง่ "พัฒนา" วงการกีฬาจากต้นตำรับมืออาชีพนะครับ และไม่ได้สนใจเนื้อหาทาง "การเมือง" ที่จะเกี่ยวโยงกับอดีตนายกรัฐมนตรีอันเป็นประเด็นที่ไม่มีทางหลีกเลี่ยงได้ แต่สามารถ "แยกแยะ" ได้ครับ หากเราเลือกจะมอง และหยิบแต่ด้านดีๆ ของมันมาใช้...
ไข่มุกดำ 's column โดย ไข่มุกดำ ข้อมูลจาก หนังสือพิมพ์คิกออฟ ฉบับที่ 2926
จากคุณ :
popular_LV
- [
27 ก.ค. 50 15:39:01
]
|
|
|