หลังจากผ่านนัดที่สองของบางทีมกันไปแล้วก็พอจะเห็นได้รางๆแล้วนะครับว่าทีมไหนที่น่าลุ้น และทีมไหนที่อาการน่าเป็นห่วง ถึงแม้ว่าบางคนอาจโต้ว่ายังเหลืออีก 36 นัด แต่มันก็พอเป็นไฟชี้ทางได้แล้วละครับว่าการไล่ล่าแชมป์ของทีมต่างๆจะดำเนินไปอย่างไร
[center][img]http://img505.imageshack.us/img505/8268/untitledty8.png[/img][/center]
สำหรับแฟนๆของปีศาจแดง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด คงจะต้องลุ้นกันเหนื่อยหน่อยนะครับ หลังจากที่ผ่านมาสองนัดมีแต้มเพียง 2 แต้มเท่านั้นเอง แล้วนัดหน้าก็ไม่ใช่งานที่ง่ายๆเลยกับการยกพลไปเยือน ทีมของท่าน แฟรงค์ ซินาตรา ณ ไทยแลนด์ ที่ฟอร์มกำลังหรูด้วยการเล่นแบบไม่เสียประตูพร้อมกับ 6 แต้มเต็มในสองนัดที่ผ่านมา ถือว่าเป็นดาร์บี้แมตช์ที่น่าจะดุเดือดไม่น้อยเลยครับ และทางด้านสิงห์บลูก็ต้องพบกับงานหนักไม่แพ้กันครับ ถึงแม้ว่าจะคว้า 6 คะแนนมาได้เหมือนกัน แต่ก็ผ่านมาแบบหืดจับทั้งสองนัด และในสุดสัปดาห์นี้ยังต้องออกไปเยือน ลิเวอร์พูล ซึ่งถึงแม้ว่าในนัดแรกเกือบจะโดน สิงห์ผงาด ยันเสมอซะสิ้นท่า แต่ก็ยังเอาตัวรอดมาได้เหมือนกัน คู่นี้ซัดกันไฟแลบแน่นอนครับ เพราะต่างฝ่ายต่างก็ย่อมไม่อยากโดนตัดแต้มตั้งแต่ในช่วงต้นฤดูกาลแน่นอน ส่วนงานของอาร์เซนอลในวันอาทิตย์นี้ก็ไม่ง่ายนักเช่นกัน เมื่อต้องออกไปเยือน กุหลาบไฟ แบล็กเบิร์น โรเวอร์ส ถึง อีวู้ด พาร์ค
[center][img]http://img505.imageshack.us/img505/8875/untitledab7.png[/img][/center]
พูดถึงบรรดาท๊อปโฟร์กันไปหมดแล้ว คราวนี้เราลองมามองทีมที่ออกสตาร์ทได้ไม่ค่อยดีกันบ้างนะครับ ไม่ว่าจะเป็น โบลตัน ของ แซมมี ลี ที่แข่งมาสองนัดก็ยังควานหาคำว่าชัยชนะไม่เจอเสียที แพ้ให้กับทั้ง นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด และ ฟูแล่ม โดยในวันเสาร์นี้ จะต้องแข่งเป็นคู่แรกครับ ด้วยการไปเยือน ปอมปีย์ ที่เพิ่งยันเสมอผีแดงมาได้สดๆร้อนๆเมื่อคืนนี้เอง ทางด้านไก่เดือยกุดก็ฟอร์มย่ำแย่ไม่แพ้กันครับ หลังจากนัดแรกแพ้น้องใหม่ ซันเดอร์แลนด์ไปแบบไม่มีโอกาสแก้ตัว แถมนัดล่าสุดยังโดนทอฟฟียัดเยียดความปราชัยให้อีกถึงสามเม็ดด้วยกัน แต่โปรแกรมในวันเสาร์นี้ดูจะเป็นใจให้กับ มาร์ติน โยล ในการลบเสียงกร่นด่าครับ ด้วยการเปิดบ้านต้อนรับน้องใหม่ อย่าง ดาร์บี เคานตี้ ซึ่งดูแล้วไม่น่าจะพลาดแต้มอีกเป็นหนที่สาม
[center][img]http://img505.imageshack.us/img505/319/untitledyk4.png[/img][/center]
แต่ในบรรดาทีมที่อยู่ในระดับกลางก็มีทีมที่ทำผลงานได้น่าสนใจอยู่เหมือนกันนะครับ ซันเดอร์แลนด์ ของ รอย คีน ทำเซอร์ไพรส์ด้วยการคว้าชัยเหนือ สเปอร์ส แต่นัดล่าสุดทำได้เพียงเสมอ เบอร์มิงแฮมเท่านั้น โดยนัดต่อไปจะต้องพบกับ วีแกน ที่เพิ่งชนะมิดเดิลสโบรช์มาได้ด้วยผลงานของ อองตวน ซิเบียร์สกี้ เด็กเก่าของ สาลิกาดง ที่ซัดไปสองประตูแล้วภายในสองนัด ขณะที่ทีมร่วมภูมิภาคอย่าง นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด ซึ่งจะเป็นหัวข้อที่เราจะพูดถึงในวันนี้ก็ทำผลงานได้น่าสนใจไม่แพ้กันครับ จากนัดแรกที่บุกไปถลุงโบลตันมา 3-1 และนัดนี้ซึ่งจะเป็นเกมอย่างเป็นทางการนัดแรกของ แซม อัลลาไดซ์ ใน เซนต์ เจมส์ ปาร์ค ก็ดูจะได้รับการคาดหวังสามคะแนนเต็มจากบรรดาทูนอาร์มี อย่างล้นหลามซะเหลือเกิน กับการเปิดบ้านรับการมาเยือนของ แอสตัน วิลลา ที่โชว์ฟอร์มได้ดีทีเดียวในนัดที่เกือบจะยันเสมอ ลิเวอร์พูล ได้อยู่แล้ว
[center][img]http://img91.imageshack.us/img91/6614/1boltona1108072pt0.jpg[/img][/center]
นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด หรือ สาลิกาดง ถูกได้รับการจัดวางให้เป็นเต็ง 6 ในการแข่งขัน พรีเมียร์ลีก ฤดูกาลนี้ครับ ปัจจัยสำคัญที่บรรดากูรูลูกหนังหลายต่อหลายคนให้ความสนใจ และจับตามองทีมทีมนี้เป็นพิเศษก็คือ การเปลี่ยนผู้จัดการคนใหม่ ซึ่งก็อย่างที่ทุกๆคนทราบกันดีอยู่แล้วว่า แซม อัลลาไดซ์ คือผู้ที่เข้ามารับหน้าที่นั้น สิ่งที่เปลี่ยนไปหลายๆอย่างในทีมเกิดขึ้นอย่างรวดเร็วครับ ไม่ว่าจะเป็นการโละนักเตะที่หมดสภาพออกไป หรือการเซ็นสัญญากับนักเตะที่น่าสนใจหลายต่อหลายคน รวมทั้งการต่อบอลที่เนียนตาขึ้น ซึ่งเป็นการลบข้อครหาที่บอกว่าบิ๊กแซมเล่นแต่บอลโยนลงไปได้ไม่น้อยเลยทีเดียว
สำหรับอีกจุดหนึ่งที่เปลี่ยนแปลงไปที่เราจะยกขึ้นมาเป็นประเด็นในวันนี้ก็คือแผนการเล่นครับ ผู้เล่นอย่างเฌเรมีหรือสมิธที่แซมซื้อเข้ามา ล้วนแต่เป็นผู้เล่นที่ได้รับคำชมว่าเป็นนักเตะสารพัดประโยชน์ด้วยกันทั้งนั้น เฌเรมีสามารถเล่นเป็นกลางตัวรับ ปีกขวา หรือแบ็กขวาก็ยังได้ ในขณะที่ อลัน สมิธ เองก็เล่นได้ทั้งกองหน้า กลางรุก และกลางรับ ซึ่งทำให้การปรับเปลี่ยนยุทธศาสตร์ของทีมระหว่างการเล่นเป็นไปอย่างราบรื่นขึ้น มีแผนการเล่นที่ยืดหยุ่นพอสมควรครับ ดูง่ายๆก็นัดแรกนี่แหละ ก่อนหน้านี้มา 2-3 ฤดูกาล นิวคาสเซิล ยูไนเต็ด แทบจะไม่เคยได้เล่นในแผน 4-3-3 เลย มิหนำซ้ำ ในช่วงหลังๆที่ เกล็น โรเดอร์ คุมทีม ยังมีหลายนัดที่ใช้แผน 4-5-1 ซะด้วยซ้ำ ซึ่งผลที่ตามมาก็ทำเอาเหล่าบรรดาแฟนๆหน้าเบ้ไปตามๆกัน
[center][img]http://img91.imageshack.us/img91/1310/hartlepool1707072cp9.jpg[/img][img]http://img91.imageshack.us/img91/2900/training6fz7.jpg[/img][img]http://img179.imageshack.us/img179/5863/1boltona1108071zf4.jpg[/img][/center]
การใช้กองหน้าสามตัวนี้เป็นการดึงเอาความสามารถนักเตะบริเวณริมเส้นออกมาใช้ให้เป็นประโยชน์มากยิ่งขึ้น เหมือนกับที่เชลซีเคยใช้ในช่วงก่อนที่บัลลัค และเชฟเชนโก้จะมาร่วมทีม และทำให้ทีมเชลซีประสบความสำเร็จมานักต่อนักแล้ว แต่ข้อแม้ก็คือ กองหน้ากึ่งปีกทั้งสองฟากจะต้องเป็นนักเตะที่มีความเร็ว และมีความสามารถเฉพาะตัวค่อนข้างสูง สามารถตัดเข้ามาทำเกมเองได้ หรือสามารถเปิดให้กองหน้าตัวเป้าได้ อย่างเช่นที่ รอบเบน(ดัฟฟ์) ดรอกบา โคล(กุ๊ด) เคยทำไว้ในทีมเชลซี หรือแม้แต่ในทีมใหญ่ๆเช่น บาร์เซโลน่าก็ใช้แผนนี้ในบางนัดเช่นกัน
เมื่อลองมองย้อนกลับมาที่ นิวคาสเซิล ผู้เล่นในตำแหน่งปีกที่ดีพอนั้นอาจจะมีไม่มากนัก เจมส์ มิลเนอร์ คือหนึ่งในนั้น ซึ่งก็ทำหน้าที่ได้ดีเสมอตัว ไม่เลวร้าย แต่ก็ยังไม่ถือว่ายอดเยี่ยมอะไร ชาร์ลส์ เอ็นซอกเบีย ดูจะเป็นอีกตัวเลือกหนึ่งที่น่าสนใจ แต่ก็ต้องถูกส่งลงไปเป็นแบ็คซ้ายจำเป็นซะก่อน ทำให้หน้าที่ในตำแหน่งนี้ตกเป็นของ โอบา มาร์ตินส์ อย่างไม่ต้องสงสัย ด้วยความเร็วที่มาร์ตินส์มี ความแข็งแกร่ง การครองบอลติดเท้า และเมื่อมีพื้นที่ให้เล่น ทำให้ประสิทธิภาพของโอบาแสดงออกมาได้อย่างชัดแจ้งมากขึ้น จะติดอยู่นิดเดียวก็ตรงการหวงบอลนี่แหละ บางจังหวะโอบายังดันทุรังลากเกินไปหน่อย แต่ก็ถือว่าเป็นอีกหนึ่งตำแหน่งที่บิ๊กแซมนำมาประยุกต์ให้ศูนย์หน้าร่างเล็กคนนี้ได้ดีทีเดียว
เมื่อมองไปยังหน้าตัวเป้าก็คงไม่ต้องสงสัยกันอีกต่อไปแล้วว่าทำไมแซมถึงซื้อวิดูก้ามา การพักบอลให้เพื่อน การครองบอลและเรียกฟาวล์ เป็นแทคติกที่ส่งเสริมให้ทีมได้ประตูขึ้นนำอย่างรวดเร็วในวันเสาร์ที่ผ่านมา และถ้าลองมองย้อนกลับมาที่แผงกองกลาง ทั้งสามคนที่บิ๊กแซมส่งลง เป็นมิดฟิลด์ที่ไม่หวือหวาก็จริง แต่เป็นนักเตะที่ช่วยทีมได้ดีทั้งสามหน่อ ไม่ว่าจะเป็น บัตต์ เฌเรมี หรือ สมิธ ครองบอล คุมเกม ดึงเกม รวมทั้งช่วยเกมรับได้ทั้งสามคน ทำให้กองหลังที่เป็นจุดโหว่ของทีมมาหลายปีดีดักลดภาระลงไปอีกโข ถ้าบาร์ตันหายเจ็บอีกคนหนึ่ง กองกลางที่ลงได้เพียงสามคนคงแย่งตำแหน่งกันระอุแน่นอน
[center][img]http://img91.imageshack.us/img91/5825/celtic2607071fl5.jpg[/img][img]http://img292.imageshack.us/img292/4425/training3mh8.jpg[/img][/center]
แต่ที่พูดมาทั้งหมดก็ไม่ได้แปลว่า 4-4-2 จะไม่ดีนะครับ การที่มีกองกลางถึง 4 คน จะช่วยทำให้เดินเกมได้ง่ายขึ้นและช่วงชิงความได้เปรียบตรงกลางสนามได้ดี แต่ปีกสองข้างต้องเป็นผู้เล่นที่เปิดได้แม่นพอควร และทำงานร่วมกับมิดฟิลด์ตรงกลางได้ดี มิดฟิลด์ตรงกลางก็จำเป็นต้องมีการส่งลูกที่แม่นยำพอสมควร ควรเปลี่ยนจากรับเป็นรุกได้ดี ซึ่งในจุดนี้ถ้า คีรอน ดายเออร์ หยุดงอแงและกลับมาตั้งใจซ้อมอีกครั้ง ตำแหน่งจอมทัพของทีมไม่น่าจะหนีไปไหนหรอกครับ แต่ถ้าไม่มีจริงๆ ก็ยังสามารถดันบาร์ตัน เอ็นซอกเบีย หรือสมิธ ขึ้นมาเป็นกลางรุกได้ครับ ไม่ถือว่าขี้เหร่เท่าไหร่
สำหรับกลางรับในแผน 4-4-2 คงหนีไม่พ้น เฌเรมีหรือสมิธแน่นอน ซึ่งจำเป็นจะต้องทำงานหนักมากถึงมากที่สุด เพราะเป็นคนเดียวที่ยืนจังก้าอยู่หน้าแผงหลัง คอยสกัดและชะลอการเข้าทำของฝ่ายตรงข้าม ความขยัน ทุ่มเท การอ่านเกม การยืนตำแหน่ง การตัดบอล การคุมเกม ทุกอย่างสำคัญหมดครับ กับตำแหน่งนี้ ทำให้ตำแหน่งนี้เป็นอีกหนึ่งหัวใจสำคัญของทีมเลย ซึ่งทั้งเฌเรมีและสมิธ ผมมองว่ามีความสามารถมากพอนะครับ และไม่น่าจะทำให้บรรดาแฟนๆของสาลิกาดงผิดหวังแน่นอน
4-4-2 จะมีกองหน้าเพียงสองคนนะครับ แต่ตำแหน่งการยืนจะไม่ฉีกออกข้างเท่ากับในแผนการเล่นแบบ 4-3-3 ดังนั้น บอลจะถูกลำเลียงมายัง กองหน้าทั้งสองคนนี้มากขึ้น และทั้งสองคนก็จำเป็นต้องลงไปช่วยปั้นเกมขึ้นมาอีกด้วย และหากการประสานงานของกองหน้ากับกองกลางเป็นไปด้วยดี โอกาสในการทำประตูก็จะมากขึ้น แต่ถ้าจะเล่นแผนนี้ น้าวิดูก้านอนมาแน่นอน เหลืออีกตำแหน่งเดียว แฟนคลับโอบา และแฟนคลับโอเว่นก็ต้องลุ้นกันต่อไปนะครับ ว่าใครที่จะได้รับโอกาสนี้ไป
สรุปแล้วทั้งสองแผนก็มีดีกันคนละแบบครับ 4-3-3 เน้นการเข้าทำจากการเปิด หรือการฉีกออกริมเส้น กองกลางจะไม่ดันสูงมากนัก แต่จะมีตัวเชื่อมเกมอย่างน้อยหนึ่งตัว ส่วนถ้าเป็น 4-4-2 ก็แล้วแต่ครับว่าตัวผู้เล่นเป็นแบบไหน บางทีอาจจะเน้นขึ้นเกมทางปีก แล้วโยนเข้ากลาง หรืออาจจะเน้นขึ้นตรงกลาง แล้วส่งทะลุช่อง กองหน้าคู่จะมีบทบาทมากกว่าหน้าเป้าในแผน 4-3-3 ที่มีหน้าที่ส่วนใหญ่กับการพักบอล ส่งบอลให้เพื่อน และเรียกฟาวล์ครับ แต่ตรงกลางอาจจะไม่แน่นพอ ต้องพึ่งพาความสามารถเฉพาะตัวของทั้งกลางรับ และกลางรุก ซึ่งผมคิดว่านิวคาสเซิลน่าจะมีพอนะครับ มารอดูกันดีกว่าว่าพอโอเว่นกลับมาแล้ว บิ๊กแซมจะจัดแผนยังไง เล่น 4-3-3 เหมือนสมัยที่คุมโบลตัน หรือ 4-4-2 วิดูก้า ยืนคู่ โอเว่น(โอบา)
[center][img]http://img166.imageshack.us/img166/4621/wallpaperlq1kl1.png[/img][/center]
การที่นิวคาสเซิลบุกไปชนะโบลตัน และหยุดสถิติอันน่าเลวร้ายตลอดห้าปีที่ผ่านมาฝังไว้ยัง รีบอค สเตเดี้ยม อาจจะดูเป็นฟอร์มที่ยอดเยี่ยม แต่ถ้ามองจากอีกมุมหนึ่ง จะเห็นได้ว่ามันไม่ได้เป็นการการันตีอะไรเลยครับ เนื่องจากทีมของ แซมมี ลี เองก็ยังหาฟอร์มที่แท้จริงสมัยที่บิ๊กแซมคุมอยู่ไม่ได้ หากเป็นโบลตันชุดก่อน สกอร์กับนิวคาสเซิลอาจจะไม่จบลงแบบนี้ และโบลตันก็คงจะไม่เสียแต้มให้กับฟูแล่มง่ายๆแบบนี้เช่นกัน และด้วยความคาดหวังที่ค่อนข้างสูงจากทูนอาร์มีทั่วทุกสารทิศจึงทำให้ภาระอันหนักอึ้งนี้ต้องตกไปอยู่ที่บ่า(อวบๆ)ของกุนซือรายนี้เพียงคนเดียวเท่านั้น ทุกคนต่างหวังว่าทูนอาร์มีปีนี้จะต้องบินสูง และยักษ์หลับตนนี้ จะตื่นขึ้นภายใต้การคุมทีมของบิ๊กแซม แมตช์ที่จะถึงในวันเสาร์นี้แหละครับ ที่จะเป็นตัวบ่งชี้ให้เห็นถึงกึ๋นของแซม หากแซมสามารถทำได้สำเร็จ สาลิกาดงตัวนี้จะต้องบินสูงอย่างแน่นอน ต้องมารอลุ้นกันดูครับ ว่าแซมจะทำได้หรือไม่ เสียงเฮใน เซนต์ เจมส์ ปาร์ค จะเป็นเสียงที่ดังมาจากใคร ทูนอาร์มี หรืออาคันตุกะจากเบอร์มิงแฮม
ปล.คราวนี้ผมตัดความยาวทิ้งไปนิดนึงแล้วนะครับ เพราะเห็นว่ามีบางคนบอกว่ายาวเกินไป แล้วก็เหมือนเดิมนะครับ ช่วยติชมกันมาเยอะๆนะครับ จะได้เป็นกำลังใจให้คนเขียน ไม่ว่าจะเป็นงานเขียนของผม หรือท่านอื่นๆก็เถอะครับ
ปล2.ขอบคุณพี่ก็อบกับพี่ต้นสำหรับข้อมูลเล็กๆน้อยๆนะครับ
ปล3.ขอบคุณพี่ต้นที่เอาบทความครั้งที่แล้วขึ้นปักหมุดให้นะครับ
: บทความเก่าครับ :
[url=http://www.nufcth.com/board/index.php?showtopic=6861]เจาะปีกสาลิกา#1 "เสริมทัพสไตล์บิ๊กแซม"[/url]
[url=http://www.nufcth.com/board/index.php?showtopic=7077]เจาะปีกสาลิกา#2 "บททดสอบแรกของบิ๊กแซม"[/url]
จากคุณ :
OreO019
- [
16 ส.ค. 50 17:11:27
]