PANTIP.COM : S6354027 [[This is Our city]] >M<>A<>N<>C<>I<>T<>Y<21/02/08>>>วาสซ่ามั่นใจเรือใบสีฟ้ามีลุ้นโควตาชปล.>>> [ฟุตบอลต่างประเทศ]

ความคิดเห็นที่ 7

ควันหลง แชมเปี้ยนส์ ลีก

ลงสนามไปครบทุกคู่ทุกสนามแล้วสำหรับศึกฟุตบอลถ้วยรายการใหญ่สุดในยุโรปอย่าง ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่นับวันจะยิ่งเพิ่มความเข้มข้นและความสำคัญมากขึ้นทุกที จนสโมสรต่างๆ เริ่มละทิ้งฟุตบอลบางรายการในประเทศเพื่อที่จะเปิดทางให้ทีมมีโอกาสเข้าสู่รอบที่ลึกที่สุดของฟุตบอลรายการนี้

อย่างที่ทราบกันเมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมาจะเป็นคิวของอีก 4 คู่จะลงสนามฟาดแข้งกัน และผลการแข่งแฟนบอลคงทราบกันหมดแล้วไล่ตังแต่ กลาวโกว์ เซลติก เปิดบ้านพ่ายให้กับมหาอำนาจลูกหนังของโลกทีมหนึ่งอย่าง บาร์เซโลน่า 2-3 ผลของคู่นี้สะท้อนอะไรหลายอย่าง

เริ่มตั้งแต่การพัฒนาขึ้นของฟุตบอลสมัยใหม่ไม่ว่าทีมใหญ่แค่ไหนเมื่อเจอกับทีมที่อ่อนกว่าไม่สำควรอย่างยิ่งที่จะประมาท เกมที่ เซลติก พาร์ค เจ้าบ้านกล้าๆ ที่จะออกนำ บาร์ซ่า ถึงสองครั้งสองครานั่นหมายถึงเกมรับเจ้าบุญทุ่มนั้นยังไม่เป็นที่น่าไว้ใจเท่าใดนัก แต่กองหน้ายังคงเป็นที่พึ่งพิงได้เสมอ

เรื่องหลังรั่วเชื่อว่า แฟร้งค์ ไรจ์การ์ด ผู้เป็นกุนซือบาร์ซ่า มองเห็นจุดอ่อนนี้มาตั้งแต่ซีซั่นที่แล้ว และจัดการสอยนักเตะในแผงหลังมาเสริมทัพหลายตัว ไม่ว่าจะเป็น เอริก อบิดัล หรือว่า กาเบรียล มิลิโต้ แต่จนแล้วจนรอดปัญหาการเสียประตูง่ายยังคงเกิดกับยอดทีมเมืองกระทิงอยู่ดี

ตัดไปอีกคู่ที่น่าสนใจอย่างมากนั่นคือ "ไอ้ปืนโต" อาร์เซน่อล เปิดบ้านต้อนรับการมาเยือนของ เอซี มิลาน อีกทีมที่มักจะผ่านเข้ารอบลึกๆ ฟุตบอลรายการนี้อยู่เป็นประจำ สิ่งที่น่าจับตามองคือฟอร์มการเล่นของเจ้าบ้านปืนใหญ่ว่าหลังจากช็อกแพ้ แมนฯ ยูไนเต็ด ในเอฟเอ คัพ 0-4 ไม่กี่วันก่อนจะส่งผลกระทบมากน้อยเพียงใด

ผลการแข่งขันที่เสมอกัน 0-0 ฟังดูแล้วอาจจะคิดว่าเกมคงจืดชืด แต่ว่าความจริงไม่เป็นอย่างนั้นเมื่อเจ้าบ้านกลับเล่นได้อย่างสุดยอด เมื่อพวกเขาครองเกมบุกชนิดไม่กลัวดีกรีแชมป์เก่ารายการนี้แต่อย่างใด มองไม่เห็นอาฟเตอร์ช็อกจากเกมเอฟเอ คัพ ที่อาจจะตามมาแต่อย่างใด

สิ่งที่ขาดไปในเกมนี้คือประตูเพียงอย่างเดียวเมื่อเทียบกับโอกาสยิงที่มากเหลือเกินสำหรับ อาร์เซน่อล อีกอย่างพวกเขาจัดการกับแผงกองกลางทีมเยือนได้ชงัดดีนักแล ทำเอา กาก้า ที่ลงมายืนเป็นกองหน้าตัวต่ำแทบไม่มีโอกาสได้ยิง แต่สิ่งที่น่ากังวลคือการต้องเสีย โคโล ตูเร่ ตั้งแต่ต้นเกมและทำท่าว่าการอาบาดเจ็บจะดูไม่ดีเท่าไหร่นัก

สมมตินะครับหาก ตูเร่ เจ็บนานย่อมกระทบถึงโอกาสลุ้นแชมป์ลีกที่มี แมนฯ ยูฯ ตามจี้ติดๆ โดยไม่ต้องสงสัย ขณะที่ทีมเยือนอย่าง "ปีศาจแดงดำ" แสดงให้เห็นว่าพวกเขายังเขี้ยวลากดินกินยากอยู่เสมอ แม้ว่าจะต้องขาดผู้เล่นตัวหลักหลายคน

ต่อกันที่เมืองน้ำหอมฝรั่งเศส เจ้าบ้าน โอลิมปิก ลียง รับมืออีกทีมจากเกาะอังกฤษ "ปีศาจแดง" แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด เกมนัดนี้ดาราหน้าใหม่อย่าง คาริม เบนเซม่า กองหน้าดาวรุ่งโอแอลฉายฟอร์มเตะตากุนซือคนอีกนัดหนึ่งและหนึ่งในนั้นคือ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน กุนซือทีมเยือน เมื่อเจ้าตัวเล่นดีแบบไม่กลัวกองหลังที่แข็งแกร่งมากคู่หนึ่งของอังกฤษอย่าง ริโอ เฟอร์ดินานด์ และ เนมันย่า วิดิช

การได้โอกาสยิงประตูเพียงไม่กี่ครั้งกลับนำมาซึ่งสกอร์ขึ้นของเจ้าบ้าน 1-0 วันนี้มีโอกาสนั่งดูเจ้าตัวเล่นแต่ไม่สามารถบอกได้ว่าไอ้เด็กคนนี้ถนัดเท้าไหนกันแน่ เพราะไม่ว่าจะยิงจากเท้าซ้ายหรือเท้าขวา เอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์ ประตูผีแดงเป็นต้องผวาทุกทีไป

แต่แมน ออฟ เดอะ แมตช์ หรือจะเรียกให้ถูกว่าดาราน่ามองประจำเกมในวันนี้คือ เวส บราวน์ กองหลังที่กล้าๆ ขอเงินค่าเหนื่อยร่วมแสนปอนด์ต่อสัปดาห์พร้อมขู่ว่าจะย้ายทีมแน่หากไม่ได้ดังหวัง เกมนี้น้องน้ำตาลของเหล่าผองผีเล่นเรียกเสียงฮาตลอดทั้งเกมไม่ว่าการเตะสกัดบอลผิด เข้าบอลหลวมแล้วโดนโยกหลอก ฯลฯ

และช็อตเป็นไฮไลต์ประจำวันนี้คือเมื่อทีมเยือนได้โอกาสรุกจากลูกทุ่มทางฝั่งขวา แต่ น้องบราวน์ กลับรีบทุ่มทุมบอลใส่หลัง ไรอัน กิ๊กส์ เพื่อนร่วมทีมเป็นเหตุให้บอลกระดอนออกหลังหมดโอกาสทำประตู ผลที่ปรากฏคืออาการงงครับ....งงกันทั้งสนามไม่มีใครเข้าใจว่าตกลงกองหลังทีมชาติอังกฤษรายนี้คิดอะไรอยู่

ส่วนอีกคู่ดูเหมือว่าจะไม่เป็นที่จับตามองมากนักแต่อย่าประมาทไปเชียวเมื่อ เฟเนร์บาเช่ นั้นสะสมนักเตะมากประสบการณ์ไว้ในทีมหลายคน ไม่ว่าจะเป็น โรแบร์โต้ คาร์ลอส หรือว่า มาเตย่า เคซมัน และด้วยฟอร์มเอาชนะเซบีย่า 3-2 ย่อมขับเน้นความร้ายกาจของยอดทีมจากตุรกีทีมนี้ได้อย่างดี แถมทีมเยือนนั้นได้ประตูมาจากการทำเข้าประตูตัวเองเสียด้วยไม่งั้นสกอร์คงน่าเกลียดกว่านี้

บทสรุปยังไม่มีใครรู้ได้ว่าทีมใดจะเข้าสู่รอบ 16 ทีมเป็นที่แน่นอนคงต้องดูกันไปถึงนัดที่สองซึ่งจะกลับไปเล่นในบ้านของทีมเยือบ้าง แต่ทีมที่มีโอกาสมากๆ คือ น้องหงส์ ลิเวอร์พูล ที่ยัดเยียดความปราชัยให้อินเตอร์ 2-0 ในนัดที่สอง หากงูใหญ่ยิงเอาชนะลิเวอร์พูล ได้ 3-0 ก็คงไม่มีข้อแก้ตัว แต่โอกาสที่จะเกิดเหตุการณ์แบบนั้นคงยากมากเหลือเกิน

วันนี้ยังมีฟุตบอลสโมสรยุโรปให้ดูกันอีกหลายคู่ในศึกยูฟ่า คัพ ที่ความยิ่งใหญ่อาจจะไม่เทียบเท่าแชมเปี้ยนส์ ลีก แต่ว่าผลตอบแทนของฟุตบอลรายการนี้ก็ไม่ควรมองข้ามเช่นกันทีมจากอังกฤษยังมีเข้าร่วมหลายทีม ไม่ว่าจะเป็น โบลตัน, สเปอร์ส และ เอฟเวอร์ตัน ผลจะเป็นอย่างไรขอเชิญติดตามกันตามสะดวกวันนี้ต้งขอจรลีไปก่อน.....สวัสดี....

"Jamesdeen"

http://www.siamsport.co.th/Columnnews892.html

จากคุณ : yut - [ 21 ก.พ. 51 18:21:56 ]

ความคิดเห็นที่ 8

แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่รอคอย

ผ่านไปแล้วกับศึก ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบ 16 ทีมสุดท้าย นักแรก เมื่อวันอังคารและพุธที่ 19 และ 20 กุมภาพันธ์ที่ผ่านมา งานนี้ใครได้ติดตามดูควบทั้งสองวันก็คงจะรู้สึก ตื่นเต้น เร้าใจ ได้อารมณ์ สมกับที่ตั้งตาคอยมาตลอด 2 เดือน

ทีมที่ทำผลงานได้ซี้ดส์ สะใจ กว่าใครเพื่อนก็คงหนีไม่พ้น ลิเวอร์พูล ที่มาผิดฟอร์ม และเป็นอีกครั้งที่ ราฟาเอล เบนิเตซ ผู้จัดการทีมแดนกระทิง พิสูจน์ให้เห็นถึงการเป็นหนึ่งในกุนซือที่เก่งที่สุดของยุโรป ในการเล่นเกมแบบเหย้า-เยือน เมื่อจัดการเปิดรัง แอนฟิลด์ เอาชนะ อินเตอร์ มิลาน ทีมจ่าฝูงศึก กัลโช่ เซเรีย อา อิตาลี ชนิดแทบจำทางกลับบ้านไม่ถูกไป 2-0

ผลการแข่งขันอาจจะยังไม่ขาดลอย แต่ความเป็นจริงแล้วเมื่อยกสถิติการคุมทีมในยุโรป ของ เอล ราฟา มาประกอบ แทบจะรับประกันได้เลยว่า ประตูของ สตีเว่น เจอร์ราร์ด สามารถการันตีตั๋วเข้าไปเล่นในรอบ 8 ทีมสุดท้าย สำหรับพลพรรค "เดอะ ค็อป" ไว้เรียบร้อยแล้ว การที่ โรแบร์โต้ มันชินี่ จะถล่ม "หงส์แดง" ที่เดินทางไปเพื่อเน้นเกมรับให้ได้เกิน 3 ประตู ถือเป็นเรื่องที่แทบจะไม่มีทางเป็นไปได้เลย แต่ตราบใดที่ฟุตบอลยังมีทรงกลมอยู่ และ อินเตอร์ มีกองหน้าเป็น ซลาตัน อิบราฮิโมวิช ส่วน ลิเวอร์พูล มี ซามี่ ฮูเปีย เป็น เซนเตอร์แบ็ก แบบนี้ อะไรก็เกิดขึ้นได้

หลายคนอาจจะคิดว่าการถูกไล่ออกตั้งแต่ช่วงกลางครึ่งแรกของ มาร์โก มาเตรัซซี่ คือจุดเปลี่ยนของเกม แต่จริงๆ แล้ว จุดแพ้ชนะของเกมนี้อยู่ที่การคุมเกมแดนกลางแบบฝ่ายเดียวของ "เครื่องจักรสีแดง" ต่างหาก เมื่อ "งูใหญ่" เล่นได้ตามแท็กติกตลอด ไม่เปิดโอกาสให้ ลิเวอร์พูล ได้ยิงจะๆ แม้แต่ครั้งเดียวตลอดทั้ง 80 นาที จนกระทั่งจังหวะเสียประตูที่เกิดจากการเสียสมาธิของแผงหลัง ปล่อยให้กองหน้าที่ไม่อันตรายที่สุดในเกมอย่าง เดิร์ก เค้าท์ ยืนว่าง เอาบอลลง และกดเต็มหลอดพลัง

ทีมที่เก็บผลการแข่งขันได้ตามเป้าอีกทีม ก็คือ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด "เฟอร์กี้" วางหมากเกมนี้แบบเผยให้เห็นถึงจุดมุ่งหมายอย่างชัดเจนว่ามาเยือน สต๊าด เด แชร์กลองด์ แบบเน้นความแน่นอนไว้ก่อน เมื่อจัดแผนการเล่นในฝัน(ร้าย) 4-5-1 ด้วยการอัดเอา อันแดร์สัน, พอล สโคลส์ และ โอเว่น ฮาร์กรีฟส์ ไว้ในแดนกลางถึงสามคน พร้อมกับดร็อป คาร์ลอส เตเวซ ไว้บนม้านั่งสำรอง

ผลที่ได้คือ "ผีแดง" เก็บบอลในแดนมิดฟิลด์ได้เป็นส่วนใหญ่ แต่ขาดการทะลุทะลวงในแนวรุกอย่างชัดเจน การจ่ายบอลผิดพลาดง่ายๆ ของ ไรอัน กิ๊กส์ และ พอล สโคลส์ เริ่มสร้างความเซ็งเป็ดให้แก่บรรดากองเชียร์ "เร้ด อาร์มี่" มากขึ้นเรื่อยๆ เรื่อยๆ เรื่อยๆ เรื่อยๆ ...

ความเซ็งเป็ดมาถึงจุดที่เกินใจจะอดทน เมื่อ คาริม เบนเซอม่า โชว์ให้เห็นถึงความเฉียบคมด้วยการพลิกบอลเข้าไปยิงเสียบเสาแรกได้อย่างสุดยอด จึงทำให้ เซอร์ อเล็กซ์ เลือกที่จะแก้ปัญหากำจัดจุดอ่อน ด้วยการถอดเอาสองผู้เฒ่าของทีมออกจากสนาม แล้วส่ง เตเวซ และ นานี่ ลงมาทวงประตูคืน และก็เป็น ดาวยิง "ฟ้าขาว" ที่วันนี้สงสัยเจลใส่ผมที่บ้านหมด เลยลงสนามล่าตาข่ายปล่อยหัวฟูฟ่อง จัดการทำ อะเวย์โกล์ ตีเสมอได้สำเร็จในนาทีที่ 87

ทางด้าน อาร์เซน่อล ทีมจ่าฝูงศึก พรีเมียร์ลีก ที่สุดท้ายไม่สามารถเอาชนะความเก๋าเขี้ยวลากดิน ของ "ทีมบ้านบางแค" เอซี มิลาน ได้ถูกยันเสมอแบบโนสกอร์ ต้องไปลุ้นเกมที่สองที่สนาม ซาน ซิโร่ ในอีกสองสัปดาห์ข้างหน้าอีกที

แฟน "ปืนใหญ่" หลายๆ คนคงอยากจะเอามือกุมหัวพร้อมกับทิ้งตัวลงพื้นด้วยภาพสโลว์โมชั่น เพื่อแสดงถึงความท้อแท้ชีวิต แบบที่ เอ็มมานูเอล อเดบายอร์ ได้ทำในนาทีสุดท้ายของเกม หลังโขกเดี่ยวๆ กับตาข่ายไปชนคาน เมื่อ พลพรรค "เดอะ กันเนอร์ส" มีโอกาสยิงไกลเหน่งๆ หลายต่อหลายครั้งในช่วงครึ่งเวลาหลัง แต่ไม่ว่าจะยิงอย่างไรก็ติดเซฟของ เซลย์โก้ คาลัช นายทวารชาวออสซี่ หมดทุกลูก ทั้งๆ ที่ก่อนเกมมีข่าวว่าผู้รักษาประตูวัยทองรายนี้เจ็บนิ้วอยู่ด้วยซ้ำ

อาร์แซน เวนเกอร์ วางแท็กติกแตกต่างจากการเล่นแบบปกติในลีกแบบสิ้นเชิง ซึ่งแสดงให้เห็นได้เลยว่าปีนี้เขาเน้นกับฟุตบอลรายการนี้มากขนาดไหน และกุนซือเมืองน้ำหอม เกรงใจ เอซี มิลาน มากเพียงใด เมื่อเราได้เห็นการวางบอลยาวจากแนวรับให้ อเดบายอร์ พักบอลหลายต่อหลายครั้ง ผิดกับสไตล์การเซตบอลเท้าต่อเท้าอย่างที่เคยทำเป็นประจำทุกวันเวลา แถม กาเอล กลิชี่ และ บาการี่ ซานญ่า ที่เคยเติมเกมกันมันสะใจวัยรุ่นกลับเลือกไม่ทิ้งพื้นที่ของตัวเองพร่ำเพรื่อ รอเล่นเกมรุกในบางจังหวะเท่านั้น เพราะหลายครั้งเหลือเกินแล้วที่ "ปืนใหญ่" ต้องตกรอบจากการเล่นเกมรุกแบบบ้าระห่ำแล้วสุดท้ายก็ตกรอบซะงั้น

มาถึง เชลซี กันบ้าง ไม่รู้คนอื่นเป็นเหมือนกันรึเปล่า ที่ในฤดูกาลนี้ไม่เคยได้สนใจติดตามฟอร์มการเล่นของเชลซี เท่าไหร่นัก แต่มาดูอีกที ทีม "สิงโตน้ำเงินคราม" ยังมีลุ้นแชมป์ครบทั้ง 4 รายการอยู่เลย และล่าสุดก็สามารถบุกไปยันเสมอ โอลิมเปียกอส จากกรีซ ได้แบบนิ่มๆ 0-0

ในเกมนี้ อัฟราม แกรนท์ กล้าที่จะดร็อปทั้ง แฟร้งค์ แลมพาร์ด, นิโกล่าส์ อเนลก้า และ จอห์น เทอร์รี่ ไว้ลงเล่นในเกม คาร์ลิ่ง คัพ นัดชิงชนะเลิศ แถมยังสามารเก็บผลการแข่งขันที่ต้องการมาได้สบายๆ เชื่อแน่ว่าหากหนังเรื่องนี้ไม่มีการหักมุมในระดับ usual suspect หรือ the sixth sensse แล้วล่ะก็ บทสรุปในอีก 90 นาทีข้างหน้าคงลงเอยด้วยการทะลุเข้าไปเล่นในรอบ 8 ทีมสุดท้ายของ เชลซี อย่างแน่นอน

อีกสองสัปดาห์เราก็จะได้บทสรุปแล้วว่าตัวแทนจากเมืองผู้ดีทั้งสี่ทีมนี้ ทีมใดจะรุ่ง หรือทีมใดจะร่วง แต่ก็เชื่อแน่ว่าอย่างน้อย เราจะได้เห็นเกมการเล่นที่สนุกสนาน มันสะใจ สุดเท้า กันอย่างถ้วนหน้าแน่ เพราะว่านี่คือ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ฟุตบอลรายการที่ยอดเยี่ยมที่สุดในโลกลูกหนัง

ก๊องส์

ที่มา..สยามกีฬา

จากคุณ : yut - [ 21 ก.พ. 51 18:23:11 ]