ความคิดเห็นที่ 5
พรีเมียร์ลีก:ยอดนิยมที่สุดในโลก แต่ไม่ใช่ในยูโรป เมื่อวันศุกร์ที่ 29 ก.พ. 2551 มูลนิธิไทยคมได้เปิดตัวโครงการ เยาวชนไทยเปิดประสบการณ์ระดับโลกที่แมนเชสเตอร์ ซิตี อย่างเป็นทางการโดยมี 2 ผู้เล่นทีมเรือใบสีฟ้า : แคสเปอร์ ชไมเคิล และ เคลวิน เอตูฮู เป็นแขกรับเชิญพิเศษ รายละเอียดโครงการผมได้พูดถึงไปแล้วเมื่อสัปดาห์ก่อน ทว่าที่ต้องหยิบยกมาพูดอีกครั้งก็เพราะอยากจะให้ทุกท่าน สังเกต ความถี่ในการปฏิสัมพันธ์กันระหว่างตัวแทน ไทย และแมนฯซิตีที่ผ่านมา + ในอนาคตข้างหน้า หลัก ๆ จะจะที่เห็นก็มีแล้วฝ่ายละ 2 หนในรอบเวลาแค่ 4 เดือนเริ่มจาก 1.สเวน โกรัน อีริคส์สัน นำทีมมาเซ็นสัญญา 3 นักเตะไทยเมื่อเดือน พ.ย.ปีก่อน, 2.ทีมชาติไทยไปเก็บตัวครั้งแรกที่แมนฯซิตี เดือน ธ.ค.ที่แล้วตามด้วย 3.เก็บตัวครั้งที่สองในเดือนมกราคมที่ผ่านมา และ 4.ครั้งนี้ที่ แคสเปอร์ และเคลวิน เป็นตัวแทน เด็กสร้าง ซิตีมาเปิดตัวโครงการ สร้างเด็ก ของเรา โดยที่ผมอยากจะเน้นก็คือการมาของนักเตะอาชีพไม่กี่คนเช่นครั้งนี้ (ไม่ได้มาเป็นทีมเพื่อเตะกระชับมิตรเหมือนแต่ก่อน) ว่าจะเป็น เทรนด์ ในอนาคตของการสร้างสัมพันธ์ระหว่างสโมสรอาชีพ และตลาดฟุตบอลต่างประเทศ เช่น เอเชีย, แอฟริกา, อเมริกาเหนือ/กลาง/ใต้ ที่ผ่านมา เดวิด เบคแคม คือ มิสเตอร์โฆษณา ที่ใช้กลยุทธ์ทำการตลาดแบบนี้มาช้านานแล้วไม่ว่าจะส่วนตัว หรือเพื่อทีม อย่างล่าสุดก็มาทัวร์เอเชียอยู่กับทีมแอลเอ กาแล็กซี ต้นสังกัดของเขา ทั้งนี้ แอลเอ กาแล็กซี คงไม่มีใครดูหรอกครับ หากไม่ได้เบคแคมเป็นดาราชูโรง และไม่มากก็น้อย ยอดทีมจากเมเจอร์ลีกจะทำ รายได้ เข้ากระเป๋าจากทัวร์ครั้งนี้ได้พอดูไม่ว่าจะจาก ค่าปรากฏตัว, ค่าตั๋ว, ค่าลิขสิทธิ์ทีวี และขายของที่ระลึก เหนือสิ่งอื่นใดที่ผมพูดถึงเสมอในยามเขียนเกี่ยวกับการ สร้างตลาด ฟุตบอลในต่างแดนก็คือ การสร้าง ฐานแฟน ใหม่ ๆ ควบคู่ไปกับการเอาใจฐานแฟนบอลกลุ่มเดิม ซึ่งทำได้ผ่านการ ทัวร์ฟุตบอล มาเตะกระชับมิตรให้ซูเปอร์สตาร์ได้ยืดแข้งยืดสาย และใกล้ชิดแฟน ๆ แบบนี้ เพราะเวลานี้ การตลาดต่างแดนของทีมฟุตบอลอาชีพ (จากยุโรป) กำลังอยู่ในสเตจที่ 2 หรือยุคสร้างฐานแฟน และรักษาเอาไว้ก่อนที่ผลตอบแทนจริง ๆ จะตามมาในอนาคตอันเป็นสเตจที่ 3 นอกจากวิธีการมาปรากฏตัวไม่ว่าเดี่ยว, คู่ หรือเป็นทีมแล้ว กลยุทธ์ อื่น ๆ ที่พอสรุปได้ก็เช่น 1.เปิดอะคาเดมี่สอนฟุตบอล, 2.ส่งนักเตะเยาวชน/โค้ชไปหาประสบ การณ์, 3.เปิดเมกะสโตร์ต่างแดน, 4.เว็บไซต์ภาษาต่าง ๆ, 5.เซ็นสัญญานักเตะแม่เหล็กเพื่อเรียกแฟน, 6.จัดกิจกรรมพิเศษ เช่น ถ่ายทอดสดจอยักษ์, แคมเปญไปดูสดจากสนาม ฯลฯ และ ฯลฯ แล้วแต่สถานการณ์ และความคิดสร้างสรรค์ อย่างล่าสุดที่ผมมีโอกาสได้ข้อมูลลับ ๆ จาก เบียร์ช้าง ก็คือ เอฟเวอร์ตัน พร้อม นำเสนอความช่วยเหลือแทบทุกด้านจน ช้าง เองก็ต้องค่อย ๆ ใช้เวลาปรับตัวไป เช่น อะคาเดมี่ก็เพิ่งเปิดตัวเมื่อปลายมกราคมที่ผ่านมา และยังมีโครงการที่คาดไม่ถึงว่าจะมีอีก เช่น ไปศึกษาต่อระดับปริญญาโทด้าน ธุรกิจกีฬา แต่เน้นอุตสาหกรรมฟุตบอลเหมือนที่ผมจบมานี่แหละ เรียกได้ว่า หาก เบียร์ช้าง พร้อมกว่านี้ซึ่งผมก็คิดว่าจะเป็นเช่นนั้นในอนาคต เราคงได้เห็นโปรเจคท์เจ๋ง ๆ ร่วมกับเอฟเวอร์ตันคลอดมาอีกเรื่อย ๆ แน่ เพราะสัญญาหน้าอกฉบับใหม่กว่าจะหมดก็อีก 3 ฤดูกาลข้างหน้าโน่นเลย เขียนมาซะเยอะ แต่ยังไม่ได้เข้าอีกประเด็นนั่นคือ พูดถึงงานวิจัยของ Sport+Markt ซึ่งเป็นบริษัทการตลาดของเยอรมนีที่โพล่งมาพบว่า บาร์เซโล นา และ รีล มาดริด คือ 2 ทีมที่เป็นที่นิยมมากที่สุดในยุโรป ในยุโรปนะครับ ไม่ใช่ในโลก เพราะหากเป็นอย่างหลังทีมจากพรีเมียร์ ลีกย่อมกินขาด เฉพาะอย่างยิ่งหมายเลข 1 อย่างแมนฯ ยูฯ ที่เคลมว่ามีแฟนบอลกว่า 300 ล้านคนทั่วโลก สำหรับวิธีการสำรวจของบริษัท Sport + Markt ก็คือ การสำรวจจากกลุ่มตัวอย่าง 9,600 คน จาก 16 ประเทศในยุโรป หรือเฉลี่ย 600 คนต่อ 1 ประเทศ งานนี้พบว่า บาร์ซานำหน้ามาเป็นอันดับหนึ่งจากการสำรวจ และใช้เครื่องมือวิจัยคำนวณแฟนบอลที่ออกมา 50.3 ล้านคน อันดับสอง มาดริด 45.9 ล้านคน, 3.แมนฯยูฯ (32.8), 4.อาร์เซนอล (22.9), 7.เชลซี (19.7) และ 8.ลิเวอร์พูล (19.4) อีกตัวเลขที่น่าสนใจคือ แฟนบอลทั่วยุโรปที่เป็นแฟนสโมสรจากอังกฤษนั้นมีตัวเลขที่ 99.2 ล้านคน ขณะที่ลา ลีกานั้นมี 103.5 ล้านคน ส่วนกัลโช เซเรีย อา มีตัวเลข 62.2 ล้านคน ตามด้วยบุนเดสลีกา 47.4 ล้านคน อันน่าจะ ตอกย้ำ ชัดเจนว่า ทีมสโมสรสเปน ป๊อปปูลาร์ มากที่สุด และมากกว่าอังกฤษใน ตลาดยุโรป ที่ยกตัวเลขของ บริษัท Sport+Markt ขึ้นมาให้ดูก็ไม่ใช่อะไรหรอกครับ เพราะในเวลาที่สโมสรฟุตบอลอาชีพอาจจะหายใจเข้า-ออกเป็นเอเชียบ้านเรา ตลาดยุโรป ซึ่งกำลังซื้อสูงกว่านั่นแหละจะเป็นพื้นที่เศรษฐกิจที่มองข้ามไม่ได้เลยซึ่ง Sport + Markt เองก็ระบุตัวเลขที่สูงขึ้น 4-5 เท่าใน 20 ปีข้างหน้า ทีนี้ก็ขึ้นอยู่กับ กลยุทธ์ แล้วล่ะครับว่า จะทำอย่างไร เพราะวิธีการคงจะต้องแตกต่างจากที่ใช้ในเอเชียที่เขียนไว้ข้างต้นแน่นอน ที่ทำได้ ชัดเจน ก็คือ การเซ็นสัญญาซื้อนักเตะยุโรปเข้าทีมที่ทำได้ง่ายกว่า เพราะไม่มีปัญหาเรื่องวีซ่า พรมแดนก็ใกล้กัน วัฒนธรรมก็ใกล้เคียงกัน สื่อที่จะเข้าถึงแฟน ๆ ก็ง่ายกว่า + ถูกกว่า เขียนถึงตรงนี้ก็นึกถึงกรณี มาร์ติน เปตรอฟ ของแมนฯซิตี ที่กำลังทำให้ซิตีขยายแฟนในบัลแกเรียได้มากขึ้นเรื่อย ๆ เป็นต้น สรุปสุดท้ายก็คงวกกลับมาที่การอยากให้คุณผู้อ่านทุกท่านอ่านข่าว ติดตามสื่อ และก็ศึกษาไปด้วยนะครับว่า ต่าง ๆ นานาที่เกิดขึ้นรอบตัวเรามี เนื้อหา ที่เป็นเครื่องมือการตลาดเท่าไหร่ และที่เป็นประโยชน์กับสังคม และวงการฟุตบอลจริง ๆ เท่าไหร่ และเราเองจะเลือกมอง และเลือกปฏิบัติตัวกันอย่างไรในโลกยุคธุรกิจกีฬา ณ เวลานี้.
"ณัฐวุฒิ ประเทืองศิลป์" topdogfootball@yahoo.co.uk http://www.dailynews.co.th/web/html/popup_news/Default.aspx?Columnid=54023&NewsType=2&Template=1
จากคุณ :
solo one
- [
14 มี.ค. 51 20:43:18
]
|
|
|