PANTIP.COM : S7219177 Steven Gerrard >> 10 Years FOR LIVERPOOL << [ฟุตบอลต่างประเทศ]

ความคิดเห็นที่ 20

บทความ : Captain Steven Gerrard
โดย : howk_ky (แหะๆ เขียนเอง นานแล้วล่ะ)

ใคร ก็ตามที่เป็นแฟนหงส์ เป็นเดอะค็อป ก็คงคิดและเห็นตรงกันว่า สตีเว่น เจอร์ราร์ด เป็นนักเตะที่มีอิทธิพล และเป็นความหวังของเราๆท่านๆ เป็นฮีโร่ที่เรารักและศรัทธา

ไม่ว่าคนอื่นจะว่ายังไง ใครจะมองว่า สตีวี่ก็แค่มิลฟิดล์ธรรมดาคนหนึ่ง ที่แค่ยิงลูกมหัศจรรย์ได้บ้างเท่านั้น เดอะค็อปอย่างเราก็คงไม่สนใจ เพราะเรารู้ดีอยู่แกใจว่า เขาสำคัญกว่านั้นมากมายนัก

สตีวี่ เป็นเด็กท้องถิ่น เป็นสเกาเซอร์ขนานแท้ ที่ถูกเลี้ยงดู และปลูกฝังให้รักและศรัทธาในสโมสรอย่างลิเวอร์พูลมาตลอดชีวิต เขาเคยกล่าวในหนังสืออ้ตชีวประวัติของเขาว่า "ลิเวอร์พูล เปรียบเสมือนศาสนาในบ้านของผมทีเดียว" แต่เหนืออื่นใด เขารักฟุตบอล ราวกับว่ามันอยู่ในสายเลือดของเขา การได้เข้าไปอยู่ในทีมอคาเดมี่ เป็นความใฝ่ฝันของเขา และสูงสุด คือ การได้สวมเสื้อสีแดงเพลิง แตะป้าย "This is Anfield" และลงสนามในฐานะนักเตะชุดใหญ่ของสโมสรอันเป็นที่รัก

เขาต้องใช้เวลาในการพิสูจน์ตัวเองอย่างหนัก กว่าจะได้ก้าวขึ้นไปเล่นในชุดใหญ่ หนักกว่า ไอ้หนูมหัศจรรย์ ไมเคิล โอเว่น มากมายนัก แต่การก้าวไปอย่างช้าๆของเขานี่เอง ที่ทำให้เขาแข็งแกร่งและมั่นคงอย่างเช่นทุกวันนี้ ไม่ขึ้นเร็วจนเกินไป และตกลงอย่างน่าใจหาย สตีวี่เริ่มเล่นกับทีมชุดใหญ่ในตำแหน่งแบ็คขวา เรื่อยมาเป็นมิดฟิลด์ตัวรับ จนกระทั่งถึงมิดฟิลด์ตัวรุกอย่างในปัจจุบัน นอกจากนี้เขายังเคยเล่นตำแหน่งอื่นๆแทบจะทุกตำแหน่งในสนามในยามจำเป็น ยกเว้นผู้รักษาประตู ซึ่งเขาก็มักจะทำได้ดในทุกตำแหน่งจริงๆ เขาเป็นคนมีสัญชาตญาณในการต่อสู้ และเล่นฟุตบอลด้วยสัญชาตญาณ ตรงจุดนี้เอง ที่บางครั้งมันก็ดี ถึงดีมากด้วยซ้ำ แต่ในบางครั้งมันก็เป็นการเสี่ยงจนเกินไป เขาเข้าแทคเกิ้ลได้แม่นยำและหนักหน่วง การแทคเกิ้ลเป็นส่วนหนึ่งของตัวตนของเขา เขาอาจไม่ได้มีเทคนิคแพรวพราว ทักษะเป็นเลิศ แต่ลูก Killer Pass ของเขาอันตรายเสมอ แล้วยังการบุกทะลุทะลวง และลูกยิงไกลจากแถวสองซึ่งเป็นที่จดจำอีกมากมาย ความเป็นผู้นำที่โดดเด่น ถ้าหากวันนี้เป็นวันของเขา ไม่ว่าใครก็หยุดเขาไม่ได้ และถึงแม้ในวันที่เขาเล่นแย่ ทีมก็ยังขาดเขาไม่ได้เช่นกัน

การก้าวขึ้นมาโดดเด่นอย่างช้าๆ ทำให้สตีวี่มีความมั่นคง ในวันที่เล่นดี เขามักเป็นส่วนที่ทำให้ทีมชนะ ในวันที่เล่นแย่ เขาก็มีส่วนที่ทำให้ทีมไม่แพ้ได้เช่นกัน เขาสามารถรุกไปข้างหน้า หรือเข้าแทคเกิ้ลอย่างหนักหน่วง ซึ่งเป็นสิ่งที่จะหายได้ยากเหลือเกินในตัวมิลฟิดล์คนเดียว สิ่งเดียวที่เหมือนจะเป็นจุดอ่อนของเขาก็คือ การคุมจังหวะเกมส์ สตีวี่ไม่สามารถคุมจังหวะเกมส์ได้ดีอย่างที่เขาเดินเกมส์รุก และทำเกมส์รับ นั่นอาจเป็นเพราะความที่เป็นคนกระหายในชัยชนะ เขาอยากจะชนะทุกเกมส์ เขาจึงไม่อาจใจเย็นรอคอยจังหวะที่เหมาะสมกับการทำเกมส์รุกได้ และนี่คงเป็นข้อเสียข้อเดียวของเขาในการเป็นมิดฟิลด์ ข้อเสียข้อเดียวจริงๆ

ด้วยฟอร์มที่ร้อนแรงในฤดูกาล 2000-2001 เขาช่วยให้ทีมได้ 3 แชมป์บอลถ้วย แม้มันจะไม่ได้ยิ่งใหญ่อย่างแชมป์พรีเมียร์ลีก หรือยูฟ่า แชมเปี้ยนลีก แต่มันก็ทำใหเขาได้รับรางวัลนักเตะดาวรุ่งยอดเยี่ยมของสมาคมฟุตบอลอังกฤษ ด้วยวัยเพียง 21 ปี และในปี 2003 เขาก็เป็นสเกาเซอร์ที่ถือได้ว่าเป็นที่ภาคภูมิใจของทุกคนในเมือง เมื่อได้รับความไว้วางใจจากเชรา อุลลิเย่ ให้สวมปอกแขนกัปตันทีมหงส์แดง การได้เป็นกัปตันทีมของสโมสรอันเป็นที่รัก สโมสรที่ตามเชียร์มาตั้งแต่เป็นเด็ก มันช่างเป็นเรื่องเหลือเชื่อสำหรับเขา แต่ว่ามันก็คือความจริงที่ว่า เขาทำได้แล้ว เขากำลังจะกลายเป็นฮีโร่ของเด็กท้องถิ่นและของเดอะค็อปทั่วโลกอย่างที่เขาเองก็เคยมีฮีโร่ในใจเช่นกัน

ในปี 2004 สตีวี่เกือบจะตัดสินใจผิดพลาดครั้งใหญ่ในชีวิต เมื่อเชลซี สโมสรที่มีเงินทองมากมายมหาศาลตัดสินใจยื่นข้อเสนอซื้อตัวเขาจากลิเวอร์พูล การต้องไปจากแอนฟิลด์เป็นไม่เคยอยู่ในความคิดของเขา และแน่นอนว่า เขาตัดสินใจที่จะอยู่ต่อ พร้อมกับการได้โควต้าแชมเปี้ยนลีกในฤดูกาลหน้า และการมาของนายใหญ่คนใหม่ ราฟาเอล เบนิเตซ

ปี 2005 กระแสการขอซื้อตัวสตีวี่ยังคงอยู่ และดูเหมือนจะรุนแรงขึ้น ในขณะที่ลิเวอร์พูลโชว์ปาฏิหารย์ช๊อกโลกเป็นนิยายเรื่องยาวในเวที แชมเปี้ยนลีก เริ่มจากการยิงประตูสุดสวยด้วยฮาฟ วอลเล่ย์ ระยะ 22 หลาของเขาคนนี้ กัปตันทีม สตีเว่น เจอร์ราร์ด เขาทำให้สแตนฝั่งเดอะค็อปแทบถล่มทลาย มันเป็นลูกยิงที่สุดยอด ลูกพุ่งเบียดเสาไกลเข้าไปอย่างงดงาม เขาทำให้ทำผ่านเข้ารอบ 16 ทีมสุดท้ายทั้งๆที่น่าจะตกรอบไปแล้ว จากนั้นลิเวอร์พูลก็หักปากกาเซียนทั่วโลกโดยการผ่านไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น จากเยอรมัน ยอดทีมจากอิตาลีอย่างยูเวนตุส และเชลซี ทีมที่เหนือกว่าเราทุกรูขุมขน เข้าไปชิงชนะเลิศกับ เอซี มิลาน ที่มีนักเตะจอมเทคนิคอย่างปิร์โล่ เซร์ดรอฟ หรือมิดฟิลด์ที่ว่ากันว่าเป็นมิดฟิลด์ที่ดีที่สุดในโลกชาวบราซิเลียนอย่าง กาก้า แล้วก็เหมือนความจริงถล่มลงตรงหน้า เพราะจบครึ่งแรก ลิเวอร์พูลตามอยู่ 3-0 แต่ด้วยแรงศรัทธาของเหล่าเดอะค็อป และการไม่ยอมแพ้ สตีวี่จัดการโขกประตูตีไข่แตกได้อย่างรวดเร็ว เมื่อประตูแรกมาเร็ว บวกกับแรงเชียร์ที่ดังถล่มทลายลิเวอร์พูลก็มาได้ประตูที่ 2 ในอีก 2 นาทีถัดมา และสุดท้ายก็เป็นสตีวี่อีกแล้วที่หลุดเดี่ยวแล้วถูกทำฟาวล์ในกรอบเขตโทษ ทำให้ทีมได้จุดโทษ และตีเสมอได้ในที่สุด จากน้นเราก็ชนะจากการดวลจุดโทษ และเขาเอง กัปตันทีมสเกาเซอร์คนแรกที่ได้ชูถ้วยแชมเปี้ยนลีก ให้กับสโมสรที่เขารัก ที่เขาเชียร์ ที่เขาศรัทธา (ถือซะว่าไม่รวมถ้วยยูโรปี้ยน คัพเดิมละกันนะ อิอิ)

แชมเปี้ยนลีกจบไป แล้ว และลิเวอร์พูลได้แชมป์ แต่เชลซีก็ยังไม่หยุดแสดงความปรารถนาจะได้ตัวสตีวี่ไป และก็เกือบได้เสียด้วย แต่ในท้ายที่สุด เขาก็ได้ตัดสินใจที่จะไม่ไป เพราะเขาไม่อาจต้องทนกับการต้องกลับมาเล่นในแอนฟิลด์โดยสวมเสื้อสีน้ำเงิน และอยู่ฝ่ายตรงข้ามกับสโมสรและกองเชียร์ที่เขารักได้ และเขาอยากจะอยู่ที่นี่ ที่แอนฟิลด์ให้นานที่สุดเท่าที่จะนานได้เลยทีเดียว

ปี 2006 ถึงแม้ลิเวอร์พูลจะตกรอบแชมเปี้ยนลีก ไม่ได้ลุ้นแชมป์พรีเมียร์ลีก แต่เราก็สามารถเขาชิงถ้วยที่เก่าแก่ที่สุดในโลกอย่าง เอฟเอ คัพ ได้ การชิงกับเวสต์แฮมทำให้ใครๆก็คาดว่ายังไงซะ เราก็คงต้อนเวสต์แฮมได้ไม่ยาก แต่มันไม่ได้เป็นเช่นนั้นเลย จากการผิดพลาดกันเอง บวกกับโชคที่เวสต์แฮมมี ทำให้เราต้องเป็นฝ่ายไล่ตามตีเสมอ จนนาทีสุดท้าย สกอร์ก็ยังคงเป็น 3-2 และเพราะสตวี่ เขาทำให้เวสต์แฮมพบกับฝันร้าย ดึงลิเวอร์พูลขึ้นมาจากหลุม จัดการหวดลูกด้วยหลังเท้าเต็มแรง ระยะกว่า 30 หลา เบียดเสาเข้าไปอย่างเหลือเชื่อ แม้กระทั่งตัวเขาเองก็แทบไม่อยากเชื่อว่ามันได้เข้าไปแล้ว และสุดท้าย เราก็ชนะจุดโทษ ได้เป็นแชมป์เอฟเอ คัพ สมัยที่ 6 จนได้ ซึ่งจากรูปเกมส์ ลิเวอร์พูลก็ไม่ได้สร้างความลำบากให้เวสต์แฮมมากนัก แต่ที่พวกเขาแพ้ มันเพราะสตีวี่ พวกเขาไม่ได้แพ้ลิเวอร์พูล แต่พวกเขาแพ้สตีเว่น เจอร์ราร์ด

และในปีนี้เองที่เขาได้รับรางวัลนักเตะยอดเยี่ยมจากสมาคมฟุตบอล อังกฤษอีกครั้ง ชนะทั้งเธียรี่ อองรี และแฟรงค์ แลมพาร์ด ด้วยผลงานอันยอดเยี่ยมตลอดฤดูกาล การจ่ายลูก Killer Pass นับครั้งไม่ถ้วน การวางลูกโยนยาวอย่างแม่นยำ และ ทำประตูได้ 23 ประตูรวมทุกถ้วยทั้งฤดูกาล

ทุก สิ่งทุกอย่างที่สตีวี่ได้ทำมา กำลังกระทำ และจะทำในอนาคต ล้วนแล้วแต่ทำตามความฝันที่ยิ่งใหญ่ของเขา และเพื่อสโมสร รวมทั้งแฟนบอลที่เขารัก เพราะงั้น เขาถึงเป็นนักเตะที่จะอยู่ในใจเดอะค็อปตลอดไป และแน่นอนเหลือเกินว่า เรื่องราวของเขาจะต้องได้รับการเล่าขานสู่เดอะค๊อปรุ่นใหม่ต่อไปอย่างไม่มี วันสิ้นสุด เขาคือ ตำนานของเรา ตำนานที่ยังมีชีวิต ที่เราได้สัมผัส ได้รู้จัก ได้ชื่นชม และเรารู้สึกภูมิใจเหลือเกินแล้ว กับตำนานคนนี้ของเรา ที่ชื่อว่า สตีเว่น เจอร์ราร์ด
แก้ไขเมื่อ 22 พ.ย. 51 11:31:50

จากคุณ : howk_ky - [ 18 พ.ย. 51 16:08:34 ]

ความคิดเห็นที่ 26

5 ประตูยอดเยี่ยมจากปากคำของเจอร์ราร์ด.

"เอลกัปปิตัน" สตีเวน เจอร์ราร์ด ออกมาเผยถึงห้าประตู ที่เขาคิดว่ายอดเยี่ยมที่สุดตลอดชีวิตการค้าแข้งกับลิเวอร์พูล.

Number 5:

ประตู แรกของผมในเกมกับเอฟเวอร์ตั้นเมื่อปี 2001. ผมชอบเสมอที่จะลงเล่นกับเอฟเวอร์ตั้น, ยิงประตูพวกเขาและเอาชนะ. ตอนยังเด็กผมมีความฝันมากมายหลายอย่าง และหนึ่งในนั้นก็คือโตขึ้นและยิงประตูเอฟเวอร์ตั้นให้ได้. ผมหลงรักเกมแบบนี้ เพราะมันมีความกลัวแพ้อย่างมากอยู่ในนั้น และมันก็ช่วยกระตุ้นผมได้เป็นอย่างดี. ประตูแรกที่ผมยิงเอฟเวอร์ตั้นได้ - แถมเป็นที่กูดิสันปาร์คซะด้วย - คือหนึ่งในประตูที่ผมไม่มีวันลืม และต้องจับมาติดอันดับท็อปไฟว์ในครั้งนี้.

Number 4:

ประตู ที่ผมยิง อลาเบส ได้ในศึกยูฟ่าคัพนัดชิงฯที่ดอร์ทมุนด์ ทำให้ผมมีความมั่นใจว่าตัวเองสามารถลงเล่นในเกมใหญ่ๆได้. ตอนนั้นผมยังเด็ก แต่หลังจากเกมนี้ผมรู้ทันทีว่าผมจะเดินหน้าต่อไป และยิงประตูให้ลิเวอร์พูลได้อีกมากมายอย่างแน่นอน.

Number 3:

อันดับ ที่ 3 คือประตูแรกที่ผมยิง เวสต์แฮม ได้ในศึกเอฟเอ คัพรอบชิงชนะเลิศเมื่อปี 2006. ประตูนั้นมันมาในช่วงเวลาที่ดีสำหรับเรา และทำให้เราตีเสมอได้สำเร็จหลังจากถูกนำไปก่อนถึงสองประตู ซึ่งนั่นหมายถึงความฝันที่จะเป็นแชมป์ของเรายังไม่ได้หลุดลอยไปไหน.

Number 2:

ผม เลือกประตูที่สองของผมในเกมนัดชิงเอฟเอคัพกับเวสต์แฮม. มันเป็นอะไรที่เลวร้ายมาก เมื่อถึงนาทีสุดท้ายของการแข่งขัน และต้องนึกภาพตัวเองยืนดูนักเตะเวสต์แฮมเต้นฉลองแชมป์ไปรอบๆคาร์ดิฟฟ์. นั่นทำให้ประตูนี้ของผมมันสำคัญมากๆ - มันทำให้เราได้เล่นในช่วงต่อเวลาและมีโอกาสที่จะกลับไปเป็นผู้ชนะอีกครั้ง. วันนั้นเราทำงานกันหนักกันสุดๆ และผมก็ไม่เหลือเรี่ยวแรงอีกแล้วในช่วงท้ายเกม - มันเป็นลูกยิงที่ผมหลับหูหลับตาซัดแล้วหวังให้มันเข้าไปตุงตาข่ายมากกว่า อย่างอื่น, และก็โชคดีที่มันเข้าไปจริงๆ.

ตอนเป็นเด็กคุณฝันเสมอว่า จะได้ลงเล่นในนัดชิงเอฟเอ คัพ. มันไม่สำคัญว่าใครแข่งกับใคร เพราะคุณจะเฝ้าดูเกมการแข่งขันทางทีวีอยู่ดี. ดังนั้นการได้นำลูกทีมลงเล่นในนัดชิง, ยิงประตู และคว้าแชมป์มาครองได้ จึงเป็นประสบการณ์ที่เหลือเชื่อมากๆสำหรับผม.

Number 1:

อันดับ หนึ่ง, ต้องเป็นลูกโหม่งตีไข่แตกในเกมแชมเปี้ยนส์ลีกนัดชิงฯกับ มิลาน อย่างแน่นอน. มันอาจจะเป็นแค่ลูกโหม่งหน้าปากประตูธรรมดาๆลูกหนึ่ง, แต่ในแง่ของการดึงเรากลับสู่เกมต้องถือว่ามันเป็นประตูที่สำคัญมากๆ. ผมว่าประตูนี้ทำให้เรามีความเชื่อมั่นที่จะเดินหน้าต่อไปและตีเสมอให้ได้. ตอนพักครึ่งดูเหมือนเราอาจจะแพ้ 5-0 หรือ 6-0 ได้เลยด้วยซ้ำ เพราะเราถูกควบคุมเอาไว้ได้หมด, แต่ประตูของผมมันทำให้ทั้งผู้เล่นและแฟนๆเชื่อว่าเรายังกลับมาได้. นั่นคือเหตุผลที่มันเป็นประตูที่สำคัญมากๆ และที่เหลือ, ก็อย่างที่เขาพูดกัน, มันคือประวัติศาสตร์!

http://www.liverpoolthailand.com/forum/index.php?showtopic=7835

จากคุณ : howk_ky - [ 18 พ.ย. 51 16:28:45 ]