ความคิดเห็นที่ 1 มวยไทยเป็นมวยยืนที่ใช้ต่อสู้ได้จริงในสถานะการณ์ที่หลากหลาย จากคุณ : tnmcfc - [ 17 มี.ค. 52 03:05:38 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ผมว่าพวกกำลังภายในนะ เจ๋งสุด แค่ผลักอากาศไปคู่ต่อสู้ก้ปลิวไปหลายเมตรแล้ว แต่มันฝึกยากมากๆ จากคุณ : ซาโนสุเกะ - [ 17 มี.ค. 52 03:54:35 ]

ความคิดเห็นที่ 3 ไปฝึกเป็นเจได ดีกว่าเจ๋งสุด จากคุณ : bigcy - [ 17 มี.ค. 52 04:22:24 ]

ความคิดเห็นที่ 4 อยากเป็น wondergirl เอ้ยย wonderwoman ค่ะ ^^ อิอิ กระทู้ดี 1 โหวตตต จากคุณ : ต้นปาล์มสนามเป้า - [ 17 มี.ค. 52 04:39:15 ]

ความคิดเห็นที่ 5 ผมว่าคือ การต่อสู้ที่อันตรายที่สุด เคยได้ยินโดนเตะปลายคางหรือทัดดอกไม้จังๆ ถึงตายเลยนะนั่น จากคุณ : jackooo - [ 17 มี.ค. 52 08:35:17 ]

ความคิดเห็นที่ 6 ผมว่าอามูโร่เก่งกว่าคิระ จากคุณ : Disorder - [ 17 มี.ค. 52 08:50:49 ]

ความคิดเห็นที่ 7 / / เจอ อาราเร่ แล้วจะหนาว จากคุณ : จริงดิ - [ 17 มี.ค. 52 09:02:30 A:58.10.222.107 X: TicketID:207948 ]

ความคิดเห็นที่ 8 เคนชิโร่ครับเก่งสุด ฝึกวิชามาจากเมืองจีน  ศาสตร์การต่อสู้ล้ำลึก ปล ทุบหิน ทุบอิฐ ตีลังกา8ตลบ นั่งครก นั่งเที่ยน  แถวบ้านผมเรียกว่าปาหี่ หรือการแสดงโชว์ไม่ได้เกี่ยวอะไรกับสู้จริง จากคุณ : ... (yamapa) - [ 17 มี.ค. 52 09:30:31 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ไม่ว่าอะไรก็มีจุดอ่อนด้วยกันทั้งนั้น อย่าง Sub-Mission Style อาจจะ้เก่งกาจบน เวทีที่ไม่จำกัดกติกา  แต่ว่ามันกลับใช้ไม่ได้เลยในชีวิตจริง เพราะในชีวิตจริงคือ คงไม่มีใครซ่าเดินคนเดียวไปต่อยกะชาวบ้านเขา มันต้องมี พวกอย่างน้อยสองหรือสามคน  และคนดวงซวยอย่างเราๆมันจะโดนพวกนี้เขม่นเสมอ ไอ้การจะไปกด จับ ล็อค ในการต่อสู้ตะลุมบอนข้างถนน ร้านอาหาร หรือในผับ มันเป็นไปไม่ได้ สุดท้ายคุณพึ่งได้แค่เตะกับต่อย และศอก เท่านั้น เข่านี่แทบไม่ได้ ใช้เลย ในชีวิตจริง มวยสากล กับมวยไทยได้เปรียบที่สุด ยูโดนี่ห้ามเลย พึงระลึกเสมอ ห้ามใช้ยูโดในการต่อสู้ป้องกันตัว เพราะอันตรายเกินไป การทุ่มสุดแรงลงพื้นแข็งๆ ทำให้ตายได้ในครั้งเดียว คุณอาจจะชนะแต่มีสิทธิติดคุกข้อหาเจตนาฆ่าคนตาย หรือไม่โชคดีอาจจะแค่กระดูกหัก  ซึ่งผลทางคดีจะพลิกทันที เพราะจะกลายเป็นป้องกันตัว เกินกว่าเหตุ  ดังนั้นถ้าจะวัดกันในชีวิตจริง มวยสากล กับมวยไทยดีสุด รองลงมาก็ เทควันโด  คาราเต้ กังฟู ไม่ควรใช้คือยูโด   ใช้ไม่ได้เลยคือ Sub-Mission Style ถ้าใครอยากเถียงให้นึกสภาพแชมม์โลก Sub-Mission Style ปะทะวินมอเตอร์ไซสามคน กับแชมม์ลุมพินีเจอวินมอเตอร์ไซสามคน คุณคิดว่าใครจะมีโอกาสชนะ จากคุณ : ttno1 - [ 17 มี.ค. 52 09:53:25 ]

ความคิดเห็นที่ 10 โนรี จ๊อกกี้ยิม นักมวยไทยคนหนึ่ง มีเรื่องกับอันธพาล โดนรุมสาม ตามข่าวว่าชนะด้วยครับ จากคุณ : Just My Opinion - [ 17 มี.ค. 52 11:01:45 ]

ความคิดเห็นที่ 11 เข้ามารอน้อง"tato"ค่ะ เผื่อจะมีทัศนะมาแลกเปลี่ยนกับพี่ๆในบอร์ดนี้อีก --------------------------------------------------- ใครว่าอะไรดีที่สุดไม่รู้ รู้แต่ว่าถ้ามีลูกมีหลาน จะให้ฝึกมวยไทย+นำ้ใจนักกีฬาค่ะ ลป.เบื่อเทควันโด้มากกกกกกก จะแข่งกันทีก็ เต้น+ตะโกน(แว้ๆ เอ้ๆ) จากคุณ : ความเห็นส่วนตัว (ผีหลายบทบาท) - [ 17 มี.ค. 52 11:30:16 ]

ความคิดเห็นที่ 12 เข้ามาอ่านครับ จากคุณ : Loss of Divinity - [ 17 มี.ค. 52 11:36:01 ]

ความคิดเห็นที่ 13 คาโปเอร่าเนี่ยมีดียังไงเหรอ อยากรู้ แทบไม่เคยเห็นสู้จริงๆเลย จากคุณ : ผีฟรีคิก - [ 17 มี.ค. 52 12:16:56 ]

ความคิดเห็นที่ 14 ขอถามเพิ่มเติม แล้วปัจสีลัตที่ได้ยินว่าเป็นศาสตร์การต่อสู้ที่นิยมกันมากในแถบภาคใต้ของบ้านเรานี้ เป็นอย่างไรบ้าง เป็นศาสตร์ที่ใช้มุ่งสังหารได้หรือเปล่า ไม่ค่อยมีใครในห้องนี้พูดถึงปัญจสีลัตเท่าไหร่นัก ทั้งๆที่เป็นศิลปการต่อสู้ที่นิยมกันในเมืองไทยเหมือนกัน แม้จะเป็นเฉพาะในภูมิภาคทางใต้ก็ตาม แต่ก็น่าจะถือว่าเป็นศิลปการต่อสู้ท้องถิ่นของไทยเราอีกแขนงหนึ่ง จากคุณ : NICKAZ - [ 17 มี.ค. 52 12:42:49 ]

ความคิดเห็นที่ 15 น่าจะเรียกว่าศาสตร์การต่อสู้ที่มีประสิทธิภาพที่สุดมากกว่านะครับ ไอ้คำว่าดีนะ บางที่ก็เปลี่ยนแปลงไปตามคนที่พูด เคยได้ยินเปล่าครับ ว่า พี่มันดีเกินไป เราเลิกกันเถอะ อิอิ จากคุณ : rider XXX - [ 17 มี.ค. 52 13:46:20 ]

ความคิดเห็นที่ 16 คาโอเปร่า เป็นศาสตร์การต่อสู้ของชาวผิวดำที่เน้นการใช้ขาเป็นหลัก คาโอเปร่าถูกใช้ในการต่อสู้เพื่ออิสรภาพของชาวผิวดำจากคนขาว สาเหตุที่ต้องใช้ขาเป็นหลักเพราะคนดำจะไม่สามารถฝึกศาสตร์การต่อสู้นี้ได้เพราะถูกคนขาวห้ามจึงต้องแอบฝึกโดยเสมือนหนึ่งว่ากำลังเต้นอยู่ คาโอเปร่าน่าจะหาดูได้ตามยูทูป ลองไปหาดูเองนะ ข้อดีของคาโอเปร่าผมเองก็ไม่รู้มากมายนัก แต่คิดว่าน่าจะเป็นที่ความหนักหน่วงของอาวุธเพราะขามีแรงมากกว่ามือประมาณ3เท่า(มั้ง) และมีท่าที่หลากหลายและพลิกแพลงได้มาก และคาโอเปร่านี้คนดำเอามาใช้สู้กับคนขาวที่มีอาวุธคือปืนนะครับ (ผลแพ้ชนะเป็นอย่างไร คงไม่ต้องบอกนะครับ) ส่วนปันจักสีลัต เป็นศาสตร์การต่อสู้ของชาวมาลายูจะเน้นการเคลื่อนไหวที่ลื่นไหล สวยงาม เน้นไปในทางปัด ป้อง เป็นศาสตร์การป้องกันตนเองมากกว่า และออกจะคล้ายไอคิโด จากคุณ : moomba (Moomba) - [ 17 มี.ค. 52 14:09:00 ]

ความคิดเห็นที่ 17 มวยไทยคับ ปะทะได้หนักหน่วงโดนจะจะร่วง  จะมีเสียงบ้างก็เสียงพวกนักพนันมวยข้างสนามแระที่น่าหนวกหู  555 ได้ยินว่าเป็นมวยยืนดีที่สุด ที่จริงจับปล้ำก็ได้อย่างมวยโบราณไงคับ มีกันหลายสายพัน ถ้าอ่านประวัติกัน มวยโบราณตั้งแต่หเนือยันใต้มีท่าจับท่าล็อคทั้งนั้นแระคับ จากคุณ : ธาตุไม้ ธาตุทอง (ธาตุไม้) - [ 17 มี.ค. 52 20:36:15 ]

ความคิดเห็นที่ 18 กีฬาก็คือกีฬาครับเช่น ชกหน้าชกท้องได้แต่ห้ามชกไต http://www.youtube.com/watch?v จากคุณ : ~ - [ 17 มี.ค. 52 20:39:58 A:113.53.160.38 X: TicketID:188497 ]

ความคิดเห็นที่ 19 http://www.youtube.com/watch?v=dw2_Zs140lg&feature=related จากคุณ : ~ - [ 17 มี.ค. 52 20:40:17 A:113.53.160.38 X: TicketID:188497 ]

ความคิดเห็นที่ 20 แชมป์โลก Sub-Mission Style ปะทะวินมอเตอร์ไซสามคน เอ่อ...แชมป์โลก นะครับ เค้าจะไม่มีพื้นฐานอะไรเลยหรือ แล้วพวกวินนี้ก็ต่อยตีธรรมดา ผมว่า 3 คนเอาไม่ลงครับ วิน3คนนี้ ชีวิตนี้จะต่อยคนมากี่ครั้ง จากคุณ : LovePimZaZa - [ 17 มี.ค. 52 20:55:55 ]

ความคิดเห็นที่ 21 ลองให้พวก Sub-Mission Style เทคดาวน์ลงพื้นดูซักทีแล้วจะรู้ครับ ว่ามันมึนตึ้บเป็นไง ขนาดลงเบาะนะครับ ถ้าเป็นพื้นซีเมนต์นี่ไม่อยากจะคิด อีกอย่างพวกที่ฝึกเค้ารู้ครับว่าอย่างเดียวมันไม่ครบเครื่องพอ ส่วนใหญ่จึงฝึกมวยไทยเพิ่มทั้งนั้นครับ เพราะมวยไทยเป็นศาสตร์ท่ายืนที่ดีที่สุด(ที่หาฝึกได้) และ BJJ เป็นศาสตร์ท่านอน(ภาคพื้น)ที่ดีที่สุด(ที่หาฝึกได้)เช่นกันครับ จากคุณ : TheTrade - [ 17 มี.ค. 52 22:35:48 ]

ความคิดเห็นที่ 22 ตกลงเจ้าของกระทู้ต้องการสื่ออะไรกันแน่ครับ คุณต้องการสื่อว่า "มวยไทย ไม่ใช่ ศิลปะการต่อสู้ที่ดีที่สุดแต่มวยไทย คือศาสตร์การต่อสู้ที่ดีที่สุด" หรือ คุณต้องการสื่อว่า "BJJ ไม่ใช่ศาสตร์การต่อสู้ที่ดีที่สุด" แต่อย่างไรก็ตามข้อมูลของคุณยังมีจุดบกพร่องมากมายครับ ลองไปดูตามประวัติใหม่ดีๆครับ ลองศึกษาให้ดีก่อนครับ ---------------------------------------------------------------- "แต่สำหรับ BJJ ถึงแม้จะถูกคิดค้นและดัดแปลงมาจากยูโด " BJJ นั้นไม่ได้ถูกคิดค้นมาจากยูโดครับ เพราะผู้ที่สอน ยิวยิสสู ให้ตระกูลเกรซี่นั้นคือ คุณ มาเอดะ ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้เผยแพร่ของอาจารย์ จิโกโร่ คาโน่ ซึ่งทีมเผยแพร่ยูโดในยุคนั้น ล้วนแต่เป็นผู้ฝึก ยิวยิสสู มาทั้งนั้นครับ ------------------------------------------------------------------ "ซึ่งยูโดเองก็เป็นศาสตร์การต่อสู้ที่ถูกคิดค้นในสมัยที่ใช้ศาสตร์การต่อสู้เพื่อประหัตประหารก็จริง " ยูโดนั้น อาจารย์จิโกโร่ คาโน่ คิดค้นขึ้นมาเพื่อ มุ่งเน้นด้านความเป็น "กีฬา" และต้องการเผยแพร่ไปยังทั่วโลกครับ มิใช่เพื่อเป็นการต่อสู้ ประหัตประหาร ------------------------------------------------------- "แต่ตัว BJJ เองกลับถูกดัดแปลงและพัฒนาเน้นหนักไปในด้านการป้องกันตัวเองและเป็นกีฬา จนห่างไกลจากศาสตร์การต่อสู้เพื่อประหัตประหารมากทีเดียว " BJJ เองต่างหากที่ถูกมุ่งเน้นไปในด้านของการต่อสู้ แบบตัวต่อตัว ในแบบไม่มีกติกา --------------------------------------------------------- "แล้วในการต่อสู้จริงหล่ะคุณมั่นใจหรือว่าพื้นที่คุณจะลงไปปล้ำกันนั้นมันจะนุ่มเหมือนบนกับเวที การเข้า แกรปปิ้ง หรือเข้าจับจู่โจมของ BJJ นั้นหลายๆครั้งหน้าหรือส่วนของร่างกายผู้เข้าทำจะครูดกับพื้น ซึ่งถ้าเป็นพื้นซีเมนต์ คงมีหน้าแหกกันบ้างหละหรือถ้าเป็นพื้นดินหรือทรายก็คงจะถูกกดจมดินหายใจไม่ออกกันบ้าง" ข้อนี้กลับเป็นข้อได้เปรียบของ BJJ ครับ เพราะคนที่เล่น กราวน์ไฟต์ หรือ เข้าปล้ำนั้น จะรู้หลักการมากกว่าในการที่จะทำให้ตัวเองนั้นอยู่ข้างบน และใช้ประโยชน์จากความแข็งของพื้นให้เป็นประโยชน์กับตัวเองครับ --------------------------------------------------------------- "และอีกอย่างการเข้าทำแกรปปิ้งของ BJJ นั้น หลังจากเข้าทำแล้วผู้เข้าทำอาจจะไม่ได้เป็นผู้ได้เปรียบเสมอไปและหากผู้เข้าทำกลายเป็นผู้เสียเปรียบแล้วอาจจะโดนจับหัวโขกพื้น หรือแม้กระทั่งหากผู้เข้าทำเป็นผู้ได้เปรียบก็ยังมีโอกาสที่จะโดนจับหัวโขกพื้นอยู่ดี หรืออาจจะโดนนิ้วจิ้มตา โดนกัด หรือโดนเอาหินหรืออะไรสักอย่างทุบหัวเอาได้ เพราะอย่าลืมว่าเรากำลังพูดถึงศาสตร์การต่อสู้ที่ดีที่สุด ซึ่งศาสตร์การต่อสู้ที่ดีที่สุดต้องใช้ได้จริงการต่อสู้จริงด้วย และศาสตร์การต่อสู้ที่ดีที่สุดต้องไม่มีข้อแม้หรือข้อจำกัดหรือข้ออ้าง ไม่อย่างนั้นมันก็จะกลายเป็นกีฬาไป" BJJ ถูกพัฒนามาจากตรงนั้นหล่ะครับ บราซิลเป็นประเทศที่มีพื้นเพ คล้ายประเทศไทยมาก แม้ในปัจจุบัน ถ้าคุณไปอยู่จริงๆแล้ว ยังอันตรายกว่าเมืองไทยด้วยซ้ำ เพราะมีเรื่อง ปล้นชิง วิ่งราว เยอะมาก ในแง่ของการป้องกันตัว หรือต่อสู้ ถ้าคู่ต่อสู้ทำได้ เราก็ทำได้ครับ มีสองมือ สองเท้า หนึ่งปากเหมือนกันนี่นา -*- ------------------------------------------------------------- "ต่อให้ผู้เชี่ยวชาญ BJJ ก็ยังแพ้ให้กับวินมอ'ไซหน้าปากซอยเพราะพวกวินมอ'ไซมันมาทีละ 2-3 คน จุดอ่อนของการกดล็อก จับรัดของ BJJ ก็คือสามารถรับมือกับคู่ต่อสู้ได้ที่ละะหนึ่งคน" คงเข้าใจผิดแล้วมั้งครับ ถ้าใช้คำว่าผู้เชี่ยวชาญ โดนรุม พึงจำไว้เสมอว่า ผู้เชี่ยวชาญที่แท้จริงนั้น จะไม่ศึกษา เพียงแต่อะไรอย่างเดียวเท่านั้น แต่จะเรียนรู้หลายๆด้าน เพื่อปิดจุดอ่อนของตัวเอง ในกรณีที่คุณกล่าว คงไม่มีใครโง่ลงไปนอนกับพื้นให้เค้ากระทืบหรอกครับ ผมว่าคุณกลับไปศึกษาใหม่ดีกว่า ว่า BJJ ที่จริงแล้วมีอะไรบ้าง ------------------------------------------------- "ในชีวิตจริง มวยสากล กับมวยไทยได้เปรียบที่สุด ยูโดนี่ห้ามเลย พึงระลึกเสมอ ห้ามใช้ยูโดในการต่อสู้ป้องกันตัว เพราะอันตรายเกินไป การทุ่มสุดแรงลงพื้นแข็งๆ ทำให้ตายได้ในครั้งเดียว คุณอาจจะชนะแต่มีสิทธิติดคุกข้อหาเจตนาฆ่าคนตาย หรือไม่โชคดีอาจจะแค่กระดูกหัก  ซึ่งผลทางคดีจะพลิกทันที เพราะจะกลายเป็นป้องกันตัว เกินกว่าเหตุ  ดังนั้นถ้าจะวัดกันในชีวิตจริง มวยสากล กับมวยไทยดีสุด รองลงมาก็ เทควันโด  คาราเต้ กังฟู ไม่ควรใช้คือยูโด   ใช้ไม่ได้เลยคือ Sub-Mission Style" ถ้าพูดถึงในการป้องกันตัวกันอีก เบื้องต้นคือ ยูโด กับ BJJ นั้นเป็น วิชาพี่น้องกันครับ ต่างกันที่กติกา เพราะยูโดหลังแตะพื้นไม่ได้ และ ยูโด ล็อคขาไม่ได้ แต่มี ท่าทุ่ม ท่ากดนอน ท่าล็อคเหมือนกันหลายท่าครับ ส่วนเรื่องความอันตราย เตะทัดดอกไม้ ไม่ถึงตายเหรอครับ นักมวยไทย เตะ  เข้าซึ่โครงนี่ไม่หัก เหรอครับ ที่จริงแล้วความอันตรายนี่แทบไม่ได้ต่างกันเลย อยู่ที่จังหวะการเข้ากระทำมากกว่า ในชีวิตจริง การต่อสู้แบบ submission style ต่างหากที่ได้เปรียบกว่าในเรื่องของการควบคุมความรุนแรง เพราะสามารถ กด และ ล็อค คู่ต่อสู้ให้อยู่ได้โดยไม่ทำอันตรายถึงแก่ชีวิต ตอนนี้ ตำรวจ ทหาร หน่วยต่างๆ ในหลายๆประเทศ เช่น อเมริกา ญึ่ปุ่น อาหรับ ยังให้ความสำคัญกับการฝึก submission style มากกว่าเลย อาจารย์ผม ต้องเดินสายสอนไปทั่วโลก ส่วนใหญ่คนจ้างก็เป็น หน่วยงานภาครัฐ ทั้งนั้น -------------------------------------------------- "ปันจักสีลัต เป็นศาสตร์การต่อสู้ของชาวมาลายูจะเน้นการเคลื่อนไหวที่ลื่นไหล สวยงาม เน้นไปในทางปัด ป้อง เป็นศาสตร์การป้องกันตนเองมากกว่า และออกจะคล้ายไอคิโด " เหมือน ไอคิโด ตรงไหนครับ ไอคิโด เน้นการบิดข้อต่อ ไม่มีต่อยมีเตะ และไม่มีการแข่งขัน ส่วนปันจักสีลัต เน้นการแข่งขัน พัฒนาเพื่อเป็นกีฬาในระดับสากล และห้ามบิดข้อต่อ -*- -------------------------------------------------- ผมแนะนำให้เจ้าของกระทู้ไปทำการศึกษาให้ดีก่อนนะครับ ถ้าอยากจะว่ากล่าวศิลปะการต่อสู้ใดๆว่า "ไม่ดี หรือ ใช้ไม่ได้" นั้น คุณควรจะไปเรียน ไปฝึก แล้วรับทราบข้อดีข้อเสียให้ลึกซึ้งก่อน ไม่มีศิลปะการต่อสู้ไหนในโลกที่ไม่ดี หรือใช้ไม่ได้ครับ อยู่ที่ว่า มีรากฐาน และจุดประสงค์เพื่ออะไร ผู้ฝึกรู้จักการนำไปใช้หรือปล่าว หลายๆศิลปะที่มักมีคนพูดกันเสมอว่า ใช้ไม่ได้ บ้าง ไม่ดีบ้าง ถ้าเค้าไม่ดีจริง เค้าจะอยู่รอด มีการเผยแพร่ มาถึงทุกวันนี้เหรอครับ อยู่ที่ว่า คุณรู้จัก ศิลปะที่ว่า นั้น ดีพอหรือเปล่าแค่นั้นเอง แก้ไขเมื่อ 18 มี.ค. 52 08:55:35 แก้ไขเมื่อ 18 มี.ค. 52 08:50:25 จากคุณ : www.emacthailand.com (emacthailand) - [ 18 มี.ค. 52 08:43:31 ]

ความคิดเห็นที่ 23 เห็นมีคนแย้ง เรื่องวินมอเตอร์ไซ 3 คนจะเอาแชมม์โลก Sub-Mission Style อยู่หรือเปล่า อยากจะบอกดังนี้นะครับ  ในสถานะการณ์จริงจริ๊งเนี่ย  เวลามีการตะลุมบอล คนที่ล้มมีโอกาสโดนกินโต๊ะ 99.99% ท่านครับ  ไอ้การล้มแล้วหงายท้อง  เอาขายันๆ กันคู่ต่อสู้ไม่ให้เข้าล็อคเหมือนใน การแข่งขันไร้กติกานั่นมันดูหัวร่อ คุณจะทำแบบนั้นกับคนอีก 2-3 คนที่รอกินโต๊ะคุณได้เหรอ  ถ้าเป็นในผับมันคงจับ เก้าอี้ทุบใส่แล้วครับ ในชีวิตจริงที่เจอ  ใครล้มก็เตรียมตัวโดนสกรัม มหาบาทาปะทะ  ใครจะมัวไปล็อค แขนล็อคขากับคุณล่ะครับ  คุณจับได้แค่คนเดียว  อีกสองคนที่เหลือมันคงจะยืนมองเพื่อน มันถูกล็อคเฉยๆกระมัง และที่ผมห้ามเรื่องยูโดนี่เพราะเคยมีคดีกันมาแล้ว  เป็นเรื่องที่นายร้อยตำรวจเขาสอนกัน เพราะมีนักเรียนนายร้อยตำรวจใช้ไอ้ยูโดนี่แหละในการทะเลาะวิวาท ผลคือ คู่อริไม่รู้จักวิธีตีเบาะสิขอรับ แถมทุ่มลงพื้นถนน ผลคือตายครับ นักเรียนท่านนั้นก็ไม่จบ และต้องติดคุก เสียอนาคตไป  เขาจึงมีสอนกันใน โรงเรียนนายร้อยตำรวจ  ลองไปถามดูสิครับ แต่ตำรวจต้องเรียนวิชาจำพวกจับล็อคเหมือนกัน  เวลาจับคนร้ายมันจะได้ ไม่หลุดง่ายๆ  แต่นั่นคือตอนจับนะ ไม่ใช่ตอนตะลุมบอลหรือต่อสู้ สำหรับผมแล้ว  เคยดูเขารุมกระทืบ(เพื่อนผมเอง แต่ผมยืนดูนะ ไม่ได้ไปร่วมวง) มันเกิดขึ้นเร็วมาก  ไม่เกิน 30 วินาที สิบกว่าตีนที่กระทืบ แค่คนละครั้งก็เลือด กลบปากแล้ว ไม่ต้องมาคิดเรื่องล็อคเลยครับ  ใครล้ม ก็คนนั้นแหละที่โดน ใครที่บอกว่า พวกจับล็อค มันใช้ในชีวิตประจำวันได้นี่ตลกบริโภคล่ะครับ ถ้าจะใช้ได้ก็คงกรณีตัวต่อตัวเท่านั้นแหละครับ จากคุณ : ttno1 - [ 18 มี.ค. 52 11:13:19 ]

ความคิดเห็นที่ 24 ยังไงก็แย้งอะครับ ประสบการณ์ มันต่างกัน ร่างกายก็ต่างกัน ความทนก็ต่างกันด้วย กำลังแขนขนาดนั้น แล้วใช่ว่าพวกล็อคจะทำอย่างอื่นไม่เป็น 3 คนน้อยไปครับ จากคุณ : LovePimZaZa - [ 18 มี.ค. 52 11:35:37 ]

ความคิดเห็นที่ 25 เวลาวิวาทกัน อย่างเก่งสุดคงได้แค่กลิ่นนิดๆว่าใครพอเป็นวิชาอะไร ก็เค้ามีกติกาที่ไหนล่ะ ใช้อะไรได้ก็ใช้สิครับ ผมว่ามันเลยยาก ที่จะมาฟันธงว่า ในแง่ของการ"วิวาท"กันนั้น อะไรใช้ได้จริงไม่ได้จริง ที่สุดมามันก็ขึ้นคงอยู่กับแต่ละคน ทั้งฝีมือ การฝึกฝน พรสวรรค์ หัวใจ สติ และโชคครับ ยิ่งเป็นการสรุปเรื่องประสิทธภาพของวิชาต่างๆในการต่อสู้จริง โดยที่เราไม่ได้ฝึกในวิชาต่างๆที่เราวิจารณ์อย่างลึกซึ่งจริงจังและมีเป้าหมายเป็นนักวิวาทเป็นหลัก ยิ่งดูเหลวไหลครับ จะเกิดอะไรขึ้นในการวิวาท มีสูตรคำนวนที่ไหนกันครับ ไม่เคยเห็นสถานการณ์ไหนมันซ้ำกันเป๊ะๆซักที แต่อย่างน้อยที่สุด ผมคิดว่า ไม่มีวิชาอะไรที่ใช้จริงไม่ได้หรอกครับ ขึ้นอยู่กับจะใช้ยังไงมากกว่า จริงๆแล้วภูมิรู้ของเพื่อนสมาชิกที่มาถกเถียงกันนั้น จะมากจะน้อยก็พอมีข้อมูลกันมาทุกคน อย่างน้อยก็ฟังๆเค้ามาหรือดูคลิปยูทูปที่บ้าน แต่เห็นเถียงกันเรื่องนี้ทีไร ไม่แคล้วสับสนกันระหว่าง "ใช้จริง" กับ "สู้แบบมีกติกา" บางทีคุยกันเรื่องใช้จริง ก็ยกตัวอย่างการต่อสู้แบบมีกติกามาแย้งกันซะงั้น บางทีคุยกันเรื่องกีฬา ก็เอาเรื่องใช้จริงมาปน ไม่จบสิครับ เผลอๆกลายเป็นโกรธกันซะอีก ทั้งๆที่คุยกันคนละเรื่อง แก้ไขเมื่อ 18 มี.ค. 52 15:19:59 แก้ไขเมื่อ 18 มี.ค. 52 15:18:04 แก้ไขเมื่อ 18 มี.ค. 52 15:16:46 จากคุณ : อาจารย์โยดา - [ 18 มี.ค. 52 15:15:03 ]

ความคิดเห็นที่ 26 ไม่มีบัตรผ่านนะครับ แค่อยากออกความเห็น ถ้ายกตัวอย่างว่า มวยไทย คือศาสตร์ การต่อสู้ที่ดีที่สุด เมื่อยกลักษณะจากการนำมาใช้ได้จริงในการทะเลาะวิวาท หรือ การป้องกันตัว ถ้าอย่างนั้น ศาสตร์การต่อสู้ที่ถูกสร้างขึ้นเพื่อการรบในปัจจุบันและยังคงประสิทธภาพ รวมถึงไม่มีการแข่งขันเป็นกีฬา อย่าง คราฟมาก้า และ คอมมานโดซัมโบ ไม่ดีกว่า มวยไทยหรอครับ ? ทั้งสองศาสตร์ฝึกให้ผู้เรียนต้องรับมือกับสถานการณ์จริง รับการจู่โจมที่โดนจากการป้องกันตัว หรือ จำลองรูปแบบวิธีโจมตีในสนามรบ และได้ผล เพราะทั้งสองศาสตร์ก้อแสดงให้เห็นว่าผ่านสนามรบในยุคปัจจุบัน รวมถึงวิธีการฝึกที่อธิบายได้ ง่าย รวบรัด(เหมาะแก่การฝึกทหารและนำออกไปรบได้ในระยะเวลาอันสั้น) และมีประสิทธิภาพ ถ้าใครเคยดูสารคดีเกี่ยวกับ คราฟมาก้า หรือมีประสบการณ์ในการฝึก จะเห็นว่าหลักการง่ายๆ เช่น บล๊อคพร้อมสวนทันที หรือ การเข้าตีจุดใดก่อนเพื่อชิงความได้เปรียบเพื่อนำไปสู่การตีจุดอ่อน หรือไปจับล๊อค คอมมานโดซัมโบที่มีความรุนแรง และเด็ดขาด เข้าตีจุดอ่อน และ จัดการให้เร็วที่สุด วิชาเหล่านี้ไม่ได้ตอบโจทย์เพื่อนำไปใช้ในการทะเลาะวิวาท หรือ ป้องกันตัวได้ดีกว่ามวยไทยหรือครับ? ผมมองมวยไทยหรือการต่อสู้ที่มีประวัติยาวนาน กว่าว่ามีศาสตร์ และ ศิลปะ เพราะนอกจากการต่อสู้ แล้ว ยังมีวัฒนธรรม ความมีน้ำใจ ความเคารพตัวเองและผู้อื่น ผมคิดว่าประเพณีเหล่านี้ต่างหากที่ทำให้ศาสตร์การต่อสู้ยกระดับขึ้นมา ผมอาจมองคนละมุมนะครับ เรื่องวิชาไหนดีกว่า นักมวยไทยอาชีพย่อมแข็งแกร่งอยู่แล้ว คำว่าอาชีพมันยิ่งใหญ่ครับแหม หากินกับการต่อยคนจนเป็นอาชีพ ร่างกายย่อมดีกว่าอยู่แล้ว แต่ใช่ว่าคนที่ฝึกศาสตร์อย่างอื่นจะทะเลาะวิวาทตามรูปแบบที่พวกเขาฝึกมาเสมอไป เพื่อนผมเป็นนักดาบสากลทีมชาติ โดนรุมกระทืบ คว้าอะไรได้ก็ตีใส่ก่อน ตีนะครับ ไม่ใช่ฟัน รุ่นพี่ผม นักยูโดทีมชาติ มีเรื่องในผับกับคน สามคนอีกฝ่ายคนนึงมีมีด วิชายูโดไม่ได้ใช้ เอาหมัดที่เหละไปยัดหน้า แล้วค่อยคว้าเก้าอี้มาฟาด ตัวอย่างสุดท้าย พี่ๆผมนักมวยอาชีพ กินเหล้ามีเรื่องกับการ์ด ผลสรุปชิ่งหนี ไม่ได้ต่อยกัน เพราะอยากชักดาบ ต่อยทำไมให้เสียมือกลับเลยดีกว่า เงินค่าเหล้าก้อไม่ต้องจ่าย ? ผมว่าวิชาอะไรก้อตาม สิ่งที่สำคัญที่ได้มาจากกีฬา หรือวิชาการต่อสู้ คือไหวพริบ ปฏิกริยาตอบสนองและการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า มากกว่า ไม่ใช่ว่าเป็นนักยูโด นักยูยิตสู จะต้องเข้าไปปล้ำ จับทุ่มหรือหักล๊อคเสมอไป คนที่มีประสบการณ์ น่าจะรู้ดีว่าอะไรทำให้เสียเปรียบในสถานการณ์ไหนๆ แล้วถ้าฉลาดไม่มีไหนเลือกจะทำหรอกครับ จากคุณ : ผม เอง - [ 18 มี.ค. 52 19:17:00 A:124.120.22.50 X: ]

ความคิดเห็นที่ 27 มวยไทยที่เราเห็นอยู่บนเวทีนั้นถูกตั้งกติกาใหม่มานานแล้ว คือยกเลิกแม่ไม้ต่างๆที่เกี่ยวกับการ ทุ่ม ทับ จับ หัก สับ โขกและการปล้ำ สาเหตุก็คือถ้าการต่อสู้ของมวยไทยยังคงเป็นแบบดั้งเดิมในสมั้ยโบราณนั้น การต่อสู้ของนักมวยจะจบลงอย่างรวดเร็วและตามมาด้วยการบาดเจ็บสาหัสบางครั้งอาจถึงขั้นพิการและเสียชีวิต ดั้งนั้นเพื่อไม่ให้การชกมวยไทยดูอันตรายน่ากลัวและเป็นการรักษาชีวิตนักมวย ผู้ชมที่ชมการแข่งขันสามารถชมการชกมวยได้อย่างสนุกสนาน การต่อสู้แบบมวยไทยสามารถถ่ายทอดเป็นไปในเชิงพานิชย์ได้ กติกามวยไทยจึงกำหนดให้เป็น 5 ยก ใส่นวม และคงอาวุธหลักเอาไว้คือ มัด เท้า เข่าศอก กีฬามวยไทยในสมัยนี้จึงเน้นในเรื่องพละกำลังเป็นหลัก และมีการชิงจังหวะชิงไหวชิงพริบกัน ดึงเกมส์การชกกันบ้างเพราะมีการพนันเข้ามาเกี่ยวข้อง มวยไทยที่แท้จริงนั้นน่ากลัวยิ่งนัก อวัยวะในร่างกายแทบทุกส่วนสามารถใช้เป็นอาวุธได้หมด แม้กระทั่งนิ้วมือ มวยไทยที่แท้จริงไม่ได้เน้นการใช้พละกำลังเป็นหลัก มวยไทยที่แท้จริงเป็นศิลปะการต่อสู้ที่ลึกล้ำกว่าศาสตร์การต่อสู้ใดๆทั้งหมด คนที่ฝึกมวยไทยจนแตกฉานแล้วจะสามารถแตกแม่ไม้ออกไปได้ไม่มีที่สิ้นสุด สามารถต่อสู้รับมือกับคู่ต่อสู้พร้อมกันทีเดียวหลายๆคนได้อย่างไม่ยากนัก BJJ MMA ถ้าเจอมวยไทยแบบดั้งเดิมจริงๆ ผมว่าก็คงไม่เหลือ จากคุณ : นายทองหยอด - [ 18 มี.ค. 52 19:22:36 A:124.120.128.141 X: ]

ความคิดเห็นที่ 28 ขอโทษครับที่หายไปยาวเลย เพราะผมไม่สามารถหาเวลามานั่งพิมพ์ตอบได้ยาวๆ แต่ก็ยังติดตามอ่านและแลกเปลี่ยนความคิดกันนะครับ หากว่างก็จะรีบพิมพ์ตอบ ขอตอบคุณ www.emacthailand.com (emacthailand) ก่อนนะครับ --------------------------------------------------------- ตกลงเจ้าของกระทู้ต้องการสื่ออะไรกันแน่ครับ คุณต้องการสื่อว่า  "มวยไทย ไม่ใช่ ศิลปะการต่อสู้ที่ดีที่สุดแต่มวยไทย คือศาสตร์การต่อสู้ที่ดีที่สุด" หรือ คุณต้องการสื่อว่า "BJJ ไม่ใช่ศาสตร์การต่อสู้ที่ดีที่สุด" ประเด็นที่ผมอยากจะสื่อก็คือ มวยไทยคือศาสตร์การต่อสู้ที่ดีที่สุด การที่ผมยกเอา BJJ ขึ้นมาเปรียบเทียบก็เพราะอย่างที่บอกไปคือ ศาสตร์การต่อสู้อื่นๆพิสูจน์กันมาหมดแล้ววกับมวยไทย และยังเหลือที่น่ากังขาอยู่ก็คือ คือพวก UFC หรือ MMA เพราะที่เขาใช้กันใน UFC หรือพวก MMA หน่ะคนที่ชนะส่วนใหญ่ไม่เห็นมีใครใช้มวยไทยแล้วชนะเลย ------------------------------------------------------------ แต่อย่างไรก็ตามข้อมูลของคุณยังมีจุดบกพร่องมากมายครับ ลองไปดูตามประวัติใหม่ดีๆครับ ลองศึกษาให้ดีก่อนครับ ส่วนเรื่องประวัติของ BJJ นั้น ผมยอมรับว่าอาจจะได้รับความรู้มาต่างจากคุณ อันนี้ผมก็ไม่ว่ากัน ยกตัวอย่างเช่น เรื่องพระนเรศวร เวอร์ชั่นไทยกับเวอร์ชั่นพม่ายังต่างกันเลย ขึ้นอยู่ว่าใครเห็นอย่างไรและใครเป็นคนเล่า ------------------------------------------------------------ "แต่สำหรับ BJJ ถึงแม้จะถูกคิดค้นและดัดแปลงมาจากยูโด " BJJ นั้นไม่ได้ถูกคิดค้นมาจากยูโดครับ เพราะผู้ที่สอน ยิวยิสสู ให้ตระกูลเกรซี่นั้นคือ คุณ มาเอดะ ซึ่งเป็นหนึ่งในผู้เผยแพร่ของอาจารย์ จิโกโร่ คาโน่ ซึ่งทีมเผยแพร่ยูโดในยุคนั้น ล้วนแต่เป็นผู้ฝึก ยิวยิสสู มาทั้งนั้นครับ ตรงนี้ผมยอมรับครับว่าอาจจะใช้คำผิดไปหน่อย  จาก "BJJ ถึงแม้จะถูกคิดค้นและดัดแปลงมาจากยูโด" ที่ถูกต้องคือ "BJJ ถูกดัดแปลงมาจากยูโด"   BJJ ไม่ได้ถูกคิดค้นจากยูโด ในสมัยก่อนๆๆๆนั้น ก่อนที่จะเรียกยูโด สมัยนั้นศาสตร์การต่อสู้ชนิดนี้เรียกรวมๆกันว่า ยิวยิตสุ แล้วจึงมีการแยกออกมาเป็นยูโดทีหลัง (อ้างอิงจาก ประวัติของยูโด จากเว็บ โกโดคัง บรรทัดที่3 เขียนค่อนข้างชัดเจนเลยนะครับและชื่อ โกโดคังน่าจะเชื่อถือได้นะครับ  http://www.kodokan.org/e_basic/history.html) ในยูโดแบบแผนเก่านั้นมีท่าการกดล็อก การบิด ฯลฯ ซึ่งเป็นท่าของยิวยิตสุ แต่ภายหลังถูกตัดออกไปในการสังคยานาหลายๆครั้ง จนกระทั่งกลายมาเป็นยูโดที่เรารู้จักกันในปัจจุบัน แถมอีกนิดนะครับ คุณมิซุโยะ มาเอดะ ผู้ถ่ายทอดหรือผู้ฝึกสอนให้ตระกูลเกรซี่ตามที่คุณเขียนมานั้นเป็นหนึ่งในผู้เผยแพร่ของอาจารย์ จิโกโร่ คาโน่ จริง แต่คุณมาเอดะแก ไม่เคย เรียนยิวยิตสุมาก่อนเลยครับ แกเป็นนักยูโดที่ชำนาญทางด้านการต่อสู้บนพื้นต่างหาก และก่อนที่แกจะหัดยูโดนั้น แกเป็นนักซูโม่มาก่อนด้วยครับ และที่แกมาเรียนยูโดก็เพราะแกรู้มาว่า ได้มีการแข่งขันกันและในการแข่งขันนั้น นักยูโดสามารถปราบนักยิวยิตสุเสียอยู่หมัด แกจึงสนใจที่จะหัดเรียนยูโดตั้งแต่นั้นมา ข้อมูลเรื่องคุณมาเอดะ ผมเอามาจากวิกิพีเดียครับ ก็ไม่รู้เหมือนกันว่าเชื่อถือได้แค่ไหน http://en.wikipedia.org/wiki/Bjj#Origin ------------------------------------------------------------ "ซึ่งยูโดเองก็เป็นศาสตร์การต่อสู้ที่ถูกคิดค้นในสมัยที่ใช้ศาสตร์การต่อสู้เพื่อประหัตประหารก็จริง " ยูโดนั้น อาจารย์จิโกโร่ คาโน่ คิดค้นขึ้นมาเพื่อ มุ่งเน้นด้านความเป็น "กีฬา" และต้องการเผยแพร่ไปยังทั่วโลกครับ มิใช่เพื่อเป็นการต่อสู้ ประหัตประหาร ผมก็ไม่ได้บอกว่ายูโดถูกคิดค้นเพื่อใช้ในการประหัตประหาร เพียงแต่บอกว่าถูกคิดค้นในสมัยที่ศาสตร์การต่อสู้ถูกนำไปใช้และสามารถใช้ประหัตประหารได้จริงและผมก็ค่อนข้างมั่นใจว่า อาจารย์จิโกโร่ คาโน่ ไม่ได้คิดค้นขึ้นมาเพื่อ มุ่งเน้นด้านความเป็น "กีฬา" อย่างที่คุณเขียน ------------------------------------------------------- "แต่ตัว BJJ เองกลับถูกดัดแปลงและพัฒนาเน้นหนักไปในด้านการป้องกันตัวเองและเป็นกีฬา จนห่างไกลจากศาสตร์การต่อสู้เพื่อประหัตประหารมากทีเดียว " BJJ เองต่างหากที่ถูกมุ่งเน้นไปในด้านของการต่อสู้ แบบตัวต่อตัว ในแบบไม่มีกติกา ตรงนี้ผมแก้ไขข้อความผมใหม่ก็ได้ว่า "แต่ตัว BJJ เองกลับถูกดัดแปลงและพัฒนาเน้นหนักไปในด้านการป้องกันตัวเองและเป็นกีฬาที่มีกฏการต่อสู้แบบตัวต่อตัวเช่น UFC จนทำให้ BJJ ห่างไกลจากศาสตร์การต่อสู้เพื่อประหัตประหารมากทีเดียว " --------------------------------------------------------- "แล้วในการต่อสู้จริงหล่ะคุณมั่นใจหรือว่าพื้นที่คุณจะลงไปปล้ำกันนั้นมันจะนุ่มเหมือนบนกับเวที การเข้า แกรปปิ้ง หรือเข้าจับจู่โจมของ BJJ นั้นหลายๆครั้งหน้าหรือส่วนของร่างกายผู้เข้าทำจะครูดกับพื้น ซึ่งถ้าเป็นพื้นซีเมนต์ คงมีหน้าแหกกันบ้างหละหรือถ้าเป็นพื้นดินหรือทรายก็คงจะถูกกดจมดินหายใจไม่ออกกันบ้าง" ข้อนี้กลับเป็นข้อได้เปรียบของ BJJ ครับ เพราะคนที่เล่น กราวน์ไฟต์ หรือ เข้าปล้ำนั้น จะรู้หลักการมากกว่าในการที่จะทำให้ตัวเองนั้นอยู่ข้างบน และใช้ประโยชน์จากความแข็งของพื้นให้เป็นประโยชน์กับตัวเองครับ ตรงนี้ผมเห็นด้วยกับคุณนะครับว่า ผู้ที่ชำนาญ BJJ หรือ กราวน์ไฟต์ จะรู้หลักการมากกว่าในการที่จะทำให้ตัวเองนั้นอยู่ข้างบน และใช้ประโยชน์จากความแข็งของพื้นให้เป็นประโยชน์กับตัวเองครับ หากผู้เข้าต่อสู้นั้น เลือก ที่จะสู้แบบกราวน์ไฟต์ แทนที่จะเป็นยืนสู้ --------------------------------------------------------------- "และอีกอย่างการเข้าทำแกรปปิ้งของ BJJ นั้น หลังจากเข้าทำแล้วผู้เข้าทำอาจจะไม่ได้เป็นผู้ได้เปรียบเสมอไปและหากผู้เข้าทำกลายเป็นผู้เสียเปรียบแล้วอาจจะโดนจับหัวโขกพื้น หรือแม้กระทั่งหากผู้เข้าทำเป็นผู้ได้เปรียบก็ยังมีโอกาสที่จะโดนจับหัวโขกพื้นอยู่ดี หรืออาจจะโดนนิ้วจิ้มตา โดนกัด หรือโดนเอาหินหรืออะไรสักอย่างทุบหัวเอาได้ เพราะอย่าลืมว่าเรากำลังพูดถึงศาสตร์การต่อสู้ที่ดีที่สุด ซึ่งศาสตร์การต่อสู้ที่ดีที่สุดต้องใช้ได้จริงการต่อสู้จริงด้วย และศาสตร์การต่อสู้ที่ดีที่สุดต้องไม่มีข้อแม้หรือข้อจำกัดหรือข้ออ้าง ไม่อย่างนั้นมันก็จะกลายเป็นกีฬาไป" BJJ ถูกพัฒนามาจากตรงนั้นหล่ะครับ บราซิลเป็นประเทศที่มีพื้นเพ คล้ายประเทศไทยมาก แม้ในปัจจุบัน ถ้าคุณไปอยู่จริงๆแล้ว ยังอันตรายกว่าเมืองไทยด้วยซ้ำ เพราะมีเรื่อง ปล้นชิง วิ่งราว เยอะมาก ???????? ในแง่ของการป้องกันตัว หรือต่อสู้ ถ้าคู่ต่อสู้ทำได้ เราก็ทำได้ครับ มีสองมือ สองเท้า หนึ่งปากเหมือนกันนี่นา -*- เห็นด้วยครับเห็นด้วย ------------------------------------------------------------- "ต่อให้ผู้เชี่ยวชาญ BJJ ก็ยังแพ้ให้กับวินมอ'ไซหน้าปากซอยเพราะพวกวินมอ'ไซมันมาทีละ 2-3 คน จุดอ่อนของการกดล็อก จับรัดของ BJJ ก็คือสามารถรับมือกับคู่ต่อสู้ได้ที่ละะหนึ่งคน" คงเข้าใจผิดแล้วมั้งครับ ถ้าใช้คำว่าผู้เชี่ยวชาญ โดนรุม พึงจำไว้เสมอว่า ผู้เชี่ยวชาญที่แท้จริงนั้น จะไม่ศึกษา เพียงแต่อะไรอย่างเดียวเท่านั้น แต่จะเรียนรู้หลายๆด้าน เพื่อปิดจุดอ่อนของตัวเอง ในกรณีที่คุณกล่าว คงไม่มีใครโง่ลงไปนอนกับพื้นให้เค้ากระทืบหรอกครับ ผมว่าคุณกลับไปศึกษาใหม่ดีกว่า ว่า BJJ ที่จริงแล้วมีอะไรบ้าง ประเด็นตรงนี้ผมเพียงแต่จะชี้ให้เห็นว่า จุดอ่อนของการกดล็อก จับรัดของ BJJ ก็คือสามารถรับมือกับคู่ต่อสู้ได้ที่ละะหนึ่งคนเท่านั้น และตัวอย่างที่ผมเอามาเรื่องวินมอ'ไซนั้น เป็นการยกตัวอย่างที่แย่มาก ------------------------------------------------- "ปันจักสีลัต เป็นศาสตร์การต่อสู้ของชาวมาลายูจะเน้นการเคลื่อนไหวที่ลื่นไหล สวยงาม เน้นไปในทางปัด ป้อง เป็นศาสตร์การป้องกันตนเองมากกว่า และออกจะคล้ายไอคิโด " เหมือน ไอคิโด ตรงไหนครับ ไอคิโด เน้นการบิดข้อต่อ ไม่มีต่อยมีเตะ และไม่มีการแข่งขัน ส่วนปันจักสีลัต เน้นการแข่งขัน พัฒนาเพื่อเป็นกีฬาในระดับสากล และห้ามบิดข้อต่อ -*- ผมขอยืนยันว่า ปันจักสีลัต เป็นศาสตร์การต่อสู้ชนิดหนึ่งของชาวมาลายู ส่วนเรื่องการนำเข้าบรรจุเป็นกีฬาเพื่อการแข่งขันนั้นก็เป็นเพียงแต่ในภายหลังก็เหมือนๆกับศาสตร์การต่อสู้ชนิดอื่นๆเช่น ยูโด มวยไทย เทควันโด ฯลฯ และการที่ผมบอกว่าคล้ายกับ ไอคิโดนั้น ก็เป็นการอธิบายให้เพื่อสมาชิกที่ไม่เคยเห็นหรือไม่เคยรู้จัก ปันจักสีลัต ให้เข้าใจได้ง่ายเพราะทั้ง ไอคิโดและปันจักสีลัต เป็นศาสตร์ที่เน้นการป้องกันตนเองและเน้นที่การเคลื่อนไหวที่ลื่นไหล สวยงาม เน้นไปในทางปัด ป้อง ผมไม่ได้บอกซักคำว่า ปันจักสีลัต เน้นการบิดข้อต่อ เหมือนไอคิโด หรือ ปันจักสีลัต ไม่มีต่อยมีเตะ เหมือนไอคิโด หรือ ปันจักสีลัตไม่มีการแข่งขัน เหมือนไอคิโด ไม่ทราบว่าคุณมีอคติอะไรกับผมหรือเปล่าครับผมไม่ได้บอกว่า ปันจักสีลัตเหมือนไอคิโดซะหน่อย ผมใช้คำว่า "ออกจะคล้าย" ด้วยซ้ำไป และผมยังชี้แจงด้วยว่าอะไรที่ผมคิดว่ามันคล้ายกัน แต่คุณกลับเอาข้อแตกต่างมาของทั้งสองอย่างมาแย้งผม -------------------------------------------------- ผมแนะนำให้เจ้าของกระทู้ไปทำการศึกษาให้ดีก่อนนะครับ ถ้าอยากจะว่ากล่าวศิลปะการต่อสู้ใดๆว่า "ไม่ดี หรือ ใช้ไม่ได้" นั้น คุณควรจะไปเรียน ไปฝึก แล้วรับทราบข้อดีข้อเสียให้ลึกซึ้งก่อน ไม่มีศิลปะการต่อสู้ไหนในโลกที่ไม่ดี หรือใช้ไม่ได้ครับ อยู่ที่ว่า มีรากฐาน และจุดประสงค์เพื่ออะไร ผู้ฝึกรู้จักการนำไปใช้หรือปล่าว หลายๆศิลปะที่มักมีคนพูดกันเสมอว่า ใช้ไม่ได้ บ้าง ไม่ดีบ้าง ถ้าเค้าไม่ดีจริง เค้าจะอยู่รอด มีการเผยแพร่ มาถึงทุกวันนี้เหรอครับ อยู่ที่ว่า คุณรู้จัก ศิลปะที่ว่า นั้น ดีพอหรือเปล่าแค่นั้นเอง ที่ผมเขียนมาทั้งหมดนั้นไม่ได้ต้องการจะว่ากล่าวศิลปะการต่อสู้ใดๆว่า "ไม่ดี หรือ ใช้ไม่ได้" ผมเพียงแต่ออกมายืนยันความคิดผมที่ว่า มวยไทยคือศาสตร์การต่อสู้ที่ดีที่สุด และผมเพียงแต่ผมยกเอาจุดด้อยของ BJJ ขึ้นมาเปรียบเทียบก็เพราะอย่างที่บอกไปคือ ศาสตร์การต่อสู้อื่นๆพิสูจน์กันมาหมดแล้ววกับมวยไทย และยังเหลือที่น่ากังขาอยู่ก็คือ คือพวก UFC หรือ MMA เพราะที่เขาใช้กันใน UFC หรือพวก MMA หน่ะคนที่ชนะส่วนใหญ่ไม่เห็นมีใครใช้มวยไทยแล้วชนะเลย และผมออกจะยกย่องศาสตรการต่อสู้แบบ กราวน์ไฟต์ ของ BJJ ด้วยซ้ำไป จากคุณ : Moomba - [ 19 มี.ค. 52 00:13:42 ]

ความคิดเห็นที่ 29 ไม่ออกเชิงยกย่องครับจากที่อ่านมา นัก MMA ที่เน้นมวยไทยเป็นหลักมีเยอะแยะไปครับลองไปหาข้อมูลมา อีกอย่างเหตุผลของการแข่ง MMA (mixed martial arts)เค้าไม่ได้แข่ง เอาstyleหนึ่งมาสู้กับอีกstyle ไม่มีนักสู้MMAคนไหนฝึกศิลปะการต่อสู้แค่แขนงเดียว ไม่งั้นเค้าคงไม่ตั้งชื่อการแข่งขันว่าเป็นรูปแบบ Mixed Martial Arts (ศิลปะป้องกันตัวแบบผสม)หรอกครับ ปล -ไม่มีศาสตร์ไหนดีที่สุดในโลกหรอกครับ อยู่ที่ตัวผู้ฝึกฝนมากกว่า -ลองไปสัมผัสกับศาสตร์อื่น จริงๆก่อน(ไม่ใช่นั่งดูทีวีหรือyoutube) จากคุณ : ขาจร - [ 19 มี.ค. 52 00:51:51 A:125.25.20.44 X: ]

ความคิดเห็นที่ 30 "การที่ผมยกเอา BJJ ขึ้นมาเปรียบเทียบก็เพราะอย่างที่บอกไปคือ ศาสตร์การต่อสู้อื่นๆพิสูจน์กันมาหมดแล้ววกับมวยไทย และยังเหลือที่น่ากังขาอยู่ก็คือ คือพวก UFC หรือ MMA เพราะที่เขาใช้กันใน UFC หรือพวก MMA หน่ะคนที่ชนะส่วนใหญ่ไม่เห็นมีใครใช้มวยไทยแล้วชนะเลย" คงเข้าใจผิดแล้วมั้งครับ เพราะ สูตรสำเร็จในปัจจุบัน ที่คนส่วนใหญ่นิยมฝึกเพื่อนำไปแข่ง ใน UFC หรือ MMA นั้น คือ หนึ่งยืน หนึ่งนอน ครับ ท่ายืนที่ได้รับความนิยมที่สุดก็คือ มวยไทย ส่วนท่านอนที่ได้รับความนิยมที่สุดคือ BJJ ที่คุณบอกว่าที่ชนะส่วนใหญ่ไม่เห็นมีใครใช้มวยไทยนั้นผมไม่เห็นด้วยครับ เพราะทุกวันนี้ ชาวต่างชาตินั้นให้ความนิยม มวยไทยมาก ทั้งส่งคนมาฝึก จ้างครูไปสอน ฯลฯ เพียงแต่ตอนที่ชนะนั้น เค้าอาจจะไม่ได้ให้เครดิตมวยไทยมากเท่า ศาสตร์ที่เค้าฝึกมาก่อนเท่านั้นเอง แต่ในความเป็นจริงแล้วทุกคนก็รู้อยู่เต็มอกครับ ว่ามวยไทยคือสุดยอดแห่งท่ายืน --------------------------------------------------------------- "ประเด็นตรงนี้ผมเพียงแต่จะชี้ให้เห็นว่า จุดอ่อนของการกดล็อก จับรัดของ BJJ ก็คือสามารถรับมือกับคู่ต่อสู้ได้ที่ละะหนึ่งคนเท่านั้น และตัวอย่างที่ผมเอามาเรื่องวินมอ'ไซนั้น เป็นการยกตัวอย่างที่แย่มาก" ไม่ถึงกับแย่หรอกครับ เป็นตัวอย่างที่ถูกต้องในแง่ของจุดอ่อน BJJ นั้นคือ จำนวน เพียงแต่ศาสตร์ แต่ละอย่าง มีข้อดีข้อเสีย ต่างกันไปครับ ----------------------------------------------------------- "ที่ผมเขียนมาทั้งหมดนั้นไม่ได้ต้องการจะว่ากล่าวศิลปะการต่อสู้ใดๆว่า "ไม่ดี หรือ ใช้ไม่ได้" ผมเพียงแต่ออกมายืนยันความคิดผมที่ว่า มวยไทยคือศาสตร์การต่อสู้ที่ดีที่สุด และผมเพียงแต่ผมยกเอาจุดด้อยของ BJJ ขึ้นมาเปรียบเทียบก็เพราะอย่างที่บอกไปคือ ศาสตร์การต่อสู้อื่นๆพิสูจน์กันมาหมดแล้ววกับมวยไทย และยังเหลือที่น่ากังขาอยู่ก็คือ คือพวก UFC หรือ MMA" อันนี้ต่างหากครับ ที่เป็นการยกตัวอย่างที่แย่ เพราะ BJJ มีจุดเด่นในเรื่องของการสู้ตัวต่อตัวอยู่แล้ว ซ้ำเป็นมวยนอน แต่คุณกลับเอาไปเปรียบเทียบกับมวยไทย ซึ่งเป็นมวยยืน คนที่จะกระโดดลงไปสู้ MMA สมัยนี้ไม่มีแล้วครับ ที่รู้จักศาตร์การต่อสู้ชนิดเดียวเพียวๆ แบบสมัยที่ Royce Gracie ทำ ส่วนใหญ่ ศึกษา เรียนรู้ ศาตร์ต่างๆ กันมาพอสมควรครับ ต้องขอขยายคำว่า MMA = Mixed Martial Arts ครับ การต่อสู้แบบรวมมิตร ครับ มีทุกอย่าง อย่างเดียวเพียวๆไปไม่รอดแน่ครับ -------------------------------------------------------------- "และการที่ผมบอกว่าคล้ายกับ ไอคิโดนั้น ก็เป็นการอธิบายให้เพื่อสมาชิกที่ไม่เคยเห็นหรือไม่เคยรู้จัก ปันจักสีลัต ให้เข้าใจได้ง่ายเพราะทั้ง ไอคิโดและปันจักสีลัต เป็นศาสตร์ที่เน้นการป้องกันตนเองและเน้นที่การเคลื่อนไหวที่ลื่นไหล สวยงาม เน้นไปในทางปัด ป้อง ผมไม่ได้บอกซักคำว่า ปันจักสีลัต เน้นการบิดข้อต่อ เหมือนไอคิโด หรือ ปันจักสีลัต ไม่มีต่อยมีเตะ เหมือนไอคิโด หรือ ปันจักสีลัตไม่มีการแข่งขัน เหมือนไอคิโด ไม่ทราบว่าคุณมีอคติอะไรกับผมหรือเปล่าครับผมไม่ได้บอกว่า ปันจักสีลัตเหมือนไอคิโดซะหน่อย ผมใช้คำว่า "ออกจะคล้าย" ด้วยซ้ำไป และผมยังชี้แจงด้วยว่าอะไรที่ผมคิดว่ามันคล้ายกัน แต่คุณกลับเอาข้อแตกต่างมาของทั้งสองอย่างมาแย้งผม" ไม่ได้มีอคติอะไรหรอกครับ เพียงแต่เห็นรูปประโยคแล้วมันไม่ชัดเจนมากกว่า ผมอ่านแล้วเห็นภาพ ปันจักสีลัต คล้าย ไอคิโด แล้วนึกไม่ออกครับเลยกลัวคนจะเข้าใจผิด มันมาจากประโยคนี้แหล่ะครับ "ปันจักสีลัต เป็นศาสตร์การต่อสู้ของชาวมาลายูจะเน้นการเคลื่อนไหวที่ลื่นไหล สวยงาม เน้นไปในทางปัด ป้อง เป็นศาสตร์การป้องกันตนเองมากกว่า และออกจะคล้ายไอคิโด " -------------------------------------------------------------- สุดท้ายนี้ขอขอบคุณสำหรับ การแลกเปลี่ยนข้อมูลที่อ้างอิงกันด้วยเหตุผลครับ จากคุณ : www.emacthailand.com (emacthailand) - [ 19 มี.ค. 52 01:00:24 ]

ความคิดเห็นที่ 31 ถึงคห.ที่ 25 ผมเห็นด้วยอย่างยิ่งเลยครับกับย่อหน้าแรกของคุณ โดยเฉพาะในประเด็นที่เวลาสู้หรือวิวาทกันจริงอย่างเก่งสุดคงได้แค่กลิ่นนิดๆว่าใครพอเป็นวิชาอะไร และที่สุดมามันก็ขึ้นคงอยู่กับแต่ละคน ทั้งฝีมือ การฝึกฝน พรสวรรค์ หัวใจ สติ และโชค และที่ผมเขียนมาทั้งหมดก็แค่หาเหตุผลมายืนยันความคิดของผมผมแค่นั้นเอง โดยการเอาศาสตร์การต่อสู้มาเทียบกัน แต่อาจจะหนักไปทางเอาจุดด้อยของ BJJ มาพูด จากคุณ : Moomba - [ 19 มี.ค. 52 01:48:16 ]

ความคิดเห็นที่ 32 อย่ามัวเรียนแต่มวยไทยกับจูจิตสู อย่างเดียว ไม่มีวิชาไหนใช้ได้กับทุกสถานการณ์หรอกครับ อย่างเช่นกรณีที่เมียถือมีดอีโต้มาตามถึงวงไฮ-โลว์ ใช้ไม่ได้ซักอย่างเลยครับ นอกจากศิลปการต่อสู้ที่เก่าแก่ที่สุดในโลก "วิ่งเถอะสู" จากคุณ : AnotherPractitioner - [ 19 มี.ค. 52 11:51:21 ]

ความคิดเห็นที่ 33 ตอบ คห.31 จริงๆแล้วการถงเถียงแลกเปลี่ยนของคุณ Moomba และ คุณemacthailand นั้น ผมชอบใจมากเพราะเป็นการเอาข้อมูลมาอภิปรายกันครับ รวมทั้งเข้าใจประเด็นที่ทั้งสองคนพูดถึงอยู่ด้วย แต่ที่เขียนไปนั้น เพราะเป็นห่วงการแสดงความเห็นกันที่ตามเข้ามา ซึ่งหลายกระทู้ที่ผ่านมาเมื่อมีการถกเถียงกันประมาณนี้ คนที่ตามเข้ามามักลากไปถึงประเด็นการสรุปว่า วิชานั้นใช้ไม่ได้ วิชานี้ใช้ไม่ได้ ซึ่งมักไม่ตรงกับประเด็นที่เจ้าของกระทู้กล่าวถึง นั่นคือ ดีที่สุดหรือไม่? อะไรดีที่สุด ผมก็ไม่มีความรู้พอจะแสดงความเห็นได้ ใครให้ความเห็นอะไรมาผมก็ต้องฟังไว้ก่อน แต่อย่างน้อย ผมคิดว่าการสรุปว่าอะไรใช้ได้หรือไม่ได้จริงนั้น ง่ายเกินไป หลงประเด็นง่าย และไม่ค่อยได้ประโยชน์อะไรครับ เรื่องของ มาเอดะ มิตสึโยะ นั้น เท่าที่ผมค้นคว้าและรับฟังจากท่านอื่นมา ในยุคที่อาจารย์คาโน่ บัญญัติ"ยูโด"นั้น วงการจูจิตสึในญี่ปุ่นมีอยู่หลายสำนักมาก และเป็นเรื่องปกติที่ผู้สนใจฝึกฝนศิลปะการต่อสู้ก็มักจะศึกษาวิชาต่างๆจากหลายๆสำนักด้วยกัน แม้แต่อาจารย์คาโน่เองก็ตาม และศิษย์เอกรุ่นบุกเบิกทั้งหลายนั้นก็เช่นกัน ส่วนต่างก็ศึกษาจูจิตสึสำนักต่างๆมาแล้วบ้าง ก่อนที่จะมาศรัทธาในยูโดของโคโดกัน ซึ่งมาเอดะ มิตสึโยะนั้น เท่าที่ทราบ นอกจากจะฝึกซูโม่มาก่อน ก็เรียนจูจิตสึสายเก่ามาเหมือนกันครับ แต่จำไม่ได้ชัดเจนครับว่ากี่สำนัก เท่าที่นึกออกก็คือ จูจิตสึ ของ เทนชินชินโยริว ซึ่งเป็นสำนักที่มีชื่อเสียงแห่งหนึ่ง และถ้าจำไม่ผิด อาจารย์คาโนเอง หรืออย่างอาจารย์อุเอชิบะ โมริเฮย์ ผู้ก่อตั้งไอคิโด เดิมก็ฝึกวิชาสำนักนี้มาครับ วิกิพีเดีย อาจไม่ได้ให้ข้อมูลผิด แต่ระบุเพียงแค่ว่า มาเอดะ มิตสึโยะฝึกซูโม่มาก่อนเท่านั้น เพราะเป็นวิชาแรกๆที่ท่านฝึก และสืบเนื่องมาจากฝั่งบิดาก็เป็นไปได้ครับ ผิดพลาดประการใดก็ขออภัยไว้ณ ที่นี้ครับ แก้ไขเมื่อ 19 มี.ค. 52 13:21:05 แก้ไขเมื่อ 19 มี.ค. 52 13:15:51 จากคุณ : อาจารย์โยดา - [ 19 มี.ค. 52 13:14:36 ]

ความคิดเห็นที่ 34 ครับ การที่ผมออกมาตั้งกระทู้แบบนี้นั้น ผมก็พอจะคาดเดาได้ว่าอาจจะมีการกระทบกระทั่งกันทางความคิดได้ แต่หากเราๆสามารถคุยกันได้ด้วยเหตุและผล สิ่งจะเกิดขึ้นก็คือเพื่อนใหม่ๆและความรู้ที่เราอาจจะไม่รู้มาก่อน สำหรับการจัดลำดับศาสตร์การต่อสู้ที่ดีที่สุดนั้น แน่นอนมันไม่มีมาตรฐานอะไรเอามาวัดได้ มันก็ขึ้นอยู่กับมาตรฐานของแต่ละคนว่าจะใช้อะไรมาเป็นตัววัด และหากเราๆสามารถยอมรับมาตรฐานที่เอามาใช้พิจารณาร่วมกันได้มันก็จะง่ายขึ้น มาตรฐานที่ผมเอามาใช้ในที่นี้คือ 1.ประวัติความเป็นมา หากศาสตร์การต่อสู้อันใด คิดค้นหรือพัฒนาเพื่อการต่อสู้ในชีวิตจริงหรือเพื่อรองรับการนำไปใช้ประหัตประหารได้จริงหรือคิดค้นในสมัยที่ใช้ศาสตร์การต่อสู้เพื่อการประหัตประหาร ผมก็จะให้คะแนนสูงกว่าศาสตร์ที่พัฒนาเพื่อเน้นเป็นกีฬาหรือป้องกันตัวเอง 2.ความเหมาะสมในการใช้งานจริง ข้อนี้แหละครับที่ทำให้ผมไม่ได้เลือกศาสตร์การต่อสู้แบบกราวน์ไฟต์ เพราะในความเป็นจริงเมื่อมีการต่อสู้เกิดขึ้น เกือบจะในทุกกรณีจะเริ่มต้นจากการยืนสู้หรือการต่อสู้ที่ไม่ใช่การต่อสู้ประชิดตัว และหากเลือกได้ก็คงอยากให้จบลงจากการยืนสู้หรือการต่อสู้ที่ไม่ใช่การต่อสู้ประชิดตัว  เพราะการลงไปสู้แบบกราวน์ไฟต์หรือการต่อสู้แบบประชิดตัวนั้นในชีวิตจริงค่อนข้างเสี่ยงมาก เพราะในการต่อสู้จริงนั้นเราไม่สามารถจะบอกได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง การเข้าไปปล้ำหรือคลุกวงในนั้นอาจจะโดนกัดหรือโดนอาวุธที่ฝ่ายตรงข้างแอบซ่อนไว้ได้ง่าย และไม่แน่ว่าในระหว่างที่กำลังต่อสู้ติดพันกันนั้นฝ่ายตรงข้ามอาจจะมีพรรคพวกออกมาช่วยก็ได้และจะกลายเป็นเราที่นอนอยู่บนพื้นคนเดียวที่เป็นผู้เสียเปรียบ และก็มาถึงจุดด้อยที่สำคัญอีกจุดหนึ่งของเหล่าการต่อสู้แบบ กราวน์ไฟต์ นั่นก็คือระหว่างที่การต่อสู้ติดพันอยู่นั้น หากเกิดอะไรที่ไม่คาดฝันขึ้น หากต้องการจะถอนตัว(หรือหนีนั่นแหละ) การต่อสู้แบบการวน์ไฟต์นั้น ไม่สามารถที่จะทำได้โดยง่าย หากเทียบกับการสู้แบบยืนสู้ จากคุณ : Moomba - [ 19 มี.ค. 52 16:01:46 ]

ความคิดเห็นที่ 35 ผมไม่เวลาจะตอบมากนัก  แต่ตอบด้วยภาพแล้วกัน กองทัพยังต้องใช้ คิดเอาเองว่าเหมาะไม่เหมาะในการใช้งานจริง จากคุณ : win_mma - [ 19 มี.ค. 52 16:41:55 ]

ความคิดเห็นที่ 36 เวลาใช้ตามสถานการจริงก็ประมาณนีละมั้ง จากคุณ : win_mma - [ 19 มี.ค. 52 16:58:12 ]

ความคิดเห็นที่ 37 ดีครับ คุยกันอย่างนี้ รู้เรื่องดี ได้เพื่อน ได้ความรู้ครับ ขอบคุณ อาจารย์โยดา สำหรับข้อมูลต่างๆครับ ในสมัยนั้น ยิวยิสสู สำนัก ต่างๆ มีข้อแตกต่างกันออกไป เนื่องด้วยเพราะมีกระบวนท่าแตกแขนงออกไปมากมาย เรียนรู้กันไม่หมด บางสำนัก เน้นท่ายืน บางสำนักเน้นท่าทุ่ม บางสำนักเน้นท่านอน แต่ปัญหาก็คือ กระบวนท่า ที่ "มาก" เกินไป และรุนแรง เกินไปนั่นเอง ทำให้ผู้ฝึก ไม่สามารถที่จะ ฝึกกันได้แบบเต็มกำลัง เวลาฝึกต้องยั้งมือ ยั้งเท้าไว้ตลอดเวลา มิฉะนั้นจะทำให้คู่ฝึกพิการไปได้ เลยกลับกลายเป็นจุดอ่อนขึ้น ซึ่งตรงนี้อาจารย์ คาโน่ ได้เล็งเห็น และพยายามเปลี่ยนแปลงเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพ การฝึกซ้อมขึ้น ด้วยการตัดท่า และ เทคนิคอันตราย ต่างๆ ออกไปและบัญญัติท่าบังคับต่างๆขึ้นมาใหม่ ไม่ให้มากเกินไป ซึ่งการฝึกซ้อมแบบนี้ สามารถฝึกได้แบบเต็มกำลัง และสมจริงสมจังมากกว่า ส่งผลให้ศิลปะการต่อสู้แนวใหม่ ได้รับชัยชนะอย่างงดงาม ในการแข่งขันกับ ยิวยิสสู แบบดั้งเดิม ซึ่งศิลปะที่ว่านั้นก็คือ "ยูโด" นั่นเองครับ กลับมาที่ประเด็นเก่ากันต่อ ----------------------------------------------------------------------- "หากศาสตร์การต่อสู้อันใด คิดค้นหรือพัฒนาเพื่อการต่อสู้ในชีวิตจริงหรือเพื่อรองรับการนำไปใช้ประหัตประหารได้จริงหรือคิดค้นในสมัยที่ใช้ศาสตร์การต่อสู้เพื่อการประหัตประหาร ผมก็จะให้คะแนนสูงกว่าศาสตร์ที่พัฒนาเพื่อเน้นเป็นกีฬาหรือป้องกันตัวเอง " ปัญหาก็คืออย่างที่ อาจารย์คาโน่ ท่านเล็งเห็นล่ะครับ ศาสตร์การต่อสู้ที่เน้นการประหัตประหาร ส่งผลให้การฝึกยาก เพราะก่อให้เกิดอันตรายต่อคู่ฝึก ผู้ฝึกเองก็ใช้กำลังไม่ได้เต็มที่ ติดนิสัยการยั้งมือ การฝึกกับหุ่นก็สู้ฝึกกับคนจริงๆไม่ได้ เพราะไม่มีการขัดขืน ให้นึกภาพการซ้อมดูครับ ว่าถ้าซ้อมกันแบบเอาเป็นเอาตาย กับอีกฝ่ายสมยอม แบบไหนจะก่อให้เกิดประโยชน์มากกว่ากัน อีกทั้งการพัฒนาให้เป็นกีฬา จะทำให้มีการแข่งขันเกิดขึ้นได้ มีความปลอดภัยเพียงพอ ทำให้ผู้ฝึกได้ ทดสอบพลังฝีมือตัวเอง ได้รับรู้ภาวะกดดัน เวลาเจอคู่ต่อสู้ หรือสถานะการณ์จริง ---------------------------------------------------------------- "ข้อนี้แหละครับที่ทำให้ผมไม่ได้เลือกศาสตร์การต่อสู้แบบกราวน์ไฟต์ เพราะในความเป็นจริงเมื่อมีการต่อสู้เกิดขึ้น เกือบจะในทุกกรณีจะเริ่มต้นจากการยืนสู้หรือการต่อสู้ที่ไม่ใช่การต่อสู้ประชิดตัว และหากเลือกได้ก็คงอยากให้จบลงจากการยืนสู้หรือการต่อสู้ที่ไม่ใช่การต่อสู้ประชิดตัว" จริงครับที่ว่าการต่อสู้นั้น เกือบทุกกรณี จะเริ่มต้นจากยืน เพียงแต่ปัญหาคือเกือบทุกกรณีที่ไม่มีคนห้าม หรืออะไรมาขัดจังหวะ มักจะจบลงที่พื้น โดยมีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดขึ้นคร่อมและระดมหมัดใส่แบบไม่ยั้งน่ะสิครับ  แม้แต่ในมวยไทยเอง ต่อยกันไปสักพัก ก็กอดกันแล้ว ถ้าไม่มีกรรมการก็คงไม่พ้นลงไปอยู่บนพื้นเหมือนกันแหล่ะครับ ฉะนั้นในสถานะการจริง มันก็คงเลือกไม่ได้หรอกครับ ที่จะไม่ไปอยู่บนพื้น นี่คือสิ่งที่ผมเห็นว่ามันจำเป็น เพราะถ้าคุณเป็น คุณก็เอาตัวรอดได้ แต่ถ้าไม่เป็นนี่ก็คงลำบากครับ --------------------------------------------------------------------- " เพราะการลงไปสู้แบบกราวน์ไฟต์หรือการต่อสู้แบบประชิดตัวนั้นในชีวิตจริงค่อนข้างเสี่ยงมาก เพราะในการต่อสู้จริงนั้นเราไม่สามารถจะบอกได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง การเข้าไปปล้ำหรือคลุกวงในนั้นอาจจะโดนกัดหรือโดนอาวุธที่ฝ่ายตรงข้างแอบซ่อนไว้ได้ง่าย และไม่แน่ว่าในระหว่างที่กำลังต่อสู้ติดพันกันนั้นฝ่ายตรงข้ามอาจจะมีพรรคพวกออกมาช่วยก็ได้และจะกลายเป็นเราที่นอนอยู่บนพื้นคนเดียวที่เป็นผู้เสียเปรียบ และก็มาถึงจุดด้อยที่สำคัญอีกจุดหนึ่งของเหล่าการต่อสู้แบบ กราวน์ไฟต์ นั่นก็คือระหว่างที่การต่อสู้ติดพันอยู่นั้น หากเกิดอะไรที่ไม่คาดฝันขึ้น หากต้องการจะถอนตัว(หรือหนีนั่นแหละ) การต่อสู้แบบการวน์ไฟต์นั้น ไม่สามารถที่จะทำได้โดยง่าย หากเทียบกับการสู้แบบยืนสู้ " ข้อนี้ผมว่าคุณกำลังเข้าใจผิดอย่างแรง เพราะการต่อสู้นั้น แบ่งออกเป็นสามระดับช่วง คือ ช่วงยืน (ระยะห่าง) ช่วงยืน (ระยะประชิด) และช่วงนอน ครับ ลองดู Maeda's theory of Combat According to Renzo Gracie's book Mastering Jujitsu,[53] Maeda not only taught the art of judo to Carlos Gracie, but also taught a particular philosophy about the nature of combat based on his travels competing and training alongside catch-wrestlers, boxers, savate fighters and various other martial artists. The book details Maeda's theory that physical combat could be broken down into distinct phases, such as the striking phase, the grappling phase, the ground phase, etc. Thus, it was a smart fighter's task to keep the fight located in the phase of combat that best suited his own strengths. The book further states that this theory was a fundamental influence on the Gracie approach to combat.[53] มาจาก http://en.wikipedia.org/wiki/Mitsuyo_Maeda ลองอ่านทั้งหมดดูครับ มันดี นั่นคือหมายความว่าการต่อสู้นั้น ต้องครบทุกระยะครับ แต่คุณกำลังเอา ระยะประชิดแบบบนพื้น ไปเทียบกับ ระยะห่างแบบยืน ซึ่งใช้งานกันคนละจุดประสงค์ มันเหมือนกับคุณเอารถไปเทียบกับเรือนั่นแหล่ะครับ ยานพาหนะ ทั้งสองชนิด มีหน้าที่ ส่งคุณถึงที่หมายเหมือนกัน เรือจะช้ากว่า รถ เพราะต้องฝ่ากระแสน้ำ และ แรงคลื่น แต่ข้อดีของมันก็คือ มันรับน้ำหนักบรรทุกได้แบบมหาศาล และ บนโลกนี้ก็มีน้ำมากกว่าแผ่นดิน แล้วจะเปรียบกันยังไงล่ะครับ ว่ารถหรือเรือที่ ส่งคุณถึงที่หมายได้ดีกว่ากัน จากคุณ : www.emacthailand.com (emacthailand) - [ 19 มี.ค. 52 17:30:38 ]

ความคิดเห็นที่ 38 อ่านกระทู้นี้แล้วชอบจริงๆ ได้สาระความรู้มากเลยครับ ถกกันด้วยเหตุผลล้วนๆ ช่วงนี้ผมไม่ค่อยได้โพสท์ความเห็นในพันทิปเท่าไร เพราะติดสอบ ยังอดไม่ไ้ด้ที่จะเข้ามาชื่นชมคนตอบกระทู้นี้ครับ ส่วนผมยังไม่ฝึกอะไร แต่หลังสอบจะเริ่มฝึกมวยไทยกับยูโดแล้วครับ เริ่มฝึกตอนวัยหนุ่มปลายๆ กลัวกระดูกกระเดี้ยวหักเหมือนกันครับ ผมว่าฝึกหลายๆอย่างไว้ก็ดีครับ จะได้ชินกับสถานการณ์ ผมอยากฝึกยูโดด้วย เพราะหากมีเรื่องจริงๆ ผมตัวเล็ก(เทียบกับคนไทยอาจจะไม่เล็ก) ถ้ามีเรื่องกับฝรั่งแถวนี้จะได้ทุ่มให้มันกระอัก แล้ววิ่งหนีง่ายๆ  คราวก่อนที่มีเรื่องสุดท้ายเพื่อนคนไทยของผมก็ใช้อาวุธครับ เพราะร่างกายไม่แข็งแรง ตัวเล็ก(กว่าฝรั่ง) ไม่เป็นมวย กล้องถ่ายรูปสมัยพระเจ้าเหา(เป็นเหล็ก)ในมือเนี่ยแหละ ฟาดเข้าไป ผมคุมเชิงอยู่ห่างๆ:D (ที่จริงแถวๆนั้นแหละ แค่ไม่อยากไปรุม เพราะว่าฝ่ยนั้นมีคนจะเอาเรื่องคนเดียว ถ้าเข้าไปหลายคนจะตะลุมบอน:D ) ปล คราฟ มากา ผมเคยไปยืนๆดูหนังสือที่ร้านหนังสือ เห็นจบลงด้วยเตะ(เข่า)ไข่ทุกหน้าเลย น่ากลัวจัง แก้ไขคำว่าพระเจ้าเหาครับ แก้ไขเมื่อ 19 มี.ค. 52 20:49:08 จากคุณ : jibjibboy - [ 19 มี.ค. 52 20:46:09 ]

ความคิดเห็นที่ 39 ครับเรื่องของประวัติศาสตร์ก็อาจจะมีการคลาดเคลื่อนกันได้ สาเหตุก็จากที่ผมบอกคือไม่มีใครในที่นี้ซักคนหรือแม้กระทั่งที่ญี่ปุ่นเองก็ตามที่ผ่านหรือรับรู้เรื่องนั้นๆโดยตรง ต่างก็ได้รับความรู้จากบันทึกต่างๆที่มีอยู่และแม้แต่บันทึกเองก็ยังมีจากหลากหลายแหล่งที่มา ดังนั้นเรื่องราวจึงอาจจะคลาดเคลื่อนกันได้บ้างเล็กๆน้อยในรายละเอียดปลีกย่อยแต่เนื้อเรื่องหลักก็ยังคงเป็นเรื่องเดียวกันอยู่ดี เรื่องของคุณมาเอดะเนี๊ยะจริงๆแล้วผมก็อยากที่จะลองวิเคราะห์ดูนะเรื่องที่ว่าเขาได้เรียนยิวยิตสุจริงหรือเปล่า ยกยอดไปเขียนใน คห.ถัดไปดีกว่า คห.นี้ขอคุยกับคุณ emacthailand ก่อน ----------------------------------------------------------------------- กลับมาที่ประเด็นเก่ากันต่อ "หากศาสตร์การต่อสู้อันใด คิดค้นหรือพัฒนาเพื่อการต่อสู้ในชีวิตจริงหรือเพื่อรองรับการนำไปใช้ประหัตประหารได้จริงหรือคิดค้นในสมัยที่ใช้ศาสตร์การต่อสู้เพื่อการประหัตประหาร ผมก็จะให้คะแนนสูงกว่าศาสตร์ที่พัฒนาเพื่อเน้นเป็นกีฬาหรือป้องกันตัวเอง " ปัญหาก็คืออย่างที่ อาจารย์คาโน่ ท่านเล็งเห็นล่ะครับ ศาสตร์การต่อสู้ที่เน้นการประหัตประหาร ส่งผลให้การฝึกยาก เพราะก่อให้เกิดอันตรายต่อคู่ฝึก ผู้ฝึกเองก็ใช้กำลังไม่ได้เต็มที่ ติดนิสัยการยั้งมือ การฝึกกับหุ่นก็สู้ฝึกกับคนจริงๆไม่ได้ เพราะไม่มีการขัดขืน ให้นึกภาพการซ้อมดูครับ ว่าถ้าซ้อมกันแบบเอาเป็นเอาตาย กับอีกฝ่ายสมยอม แบบไหนจะก่อให้เกิดประโยชน์มากกว่ากัน อีกทั้งการพัฒนาให้เป็นกีฬา จะทำให้มีการแข่งขันเกิดขึ้นได้ มีความปลอดภัยเพียงพอ ทำให้ผู้ฝึกได้ ทดสอบพลังฝีมือตัวเอง ได้รับรู้ภาวะกดดัน เวลาเจอคู่ต่อสู้ หรือสถานะการณ์จริง @@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@ ครับ และนั่นก็คือหนึ่งในเหตุผลและแนวความคิดของการพํฒนา(หรือแยก)ยูโดออกมาจากยิวยิตสุ ส่วนการพัฒนาจนกลายมาเป็นกีฬานั้น เป็นช่วงหลังจากนั้น(มากๆ) --------------------------------------------------------------------------- "ข้อนี้แหละครับที่ทำให้ผมไม่ได้เลือกศาสตร์การต่อสู้แบบกราวน์ไฟต์ เพราะในความเป็นจริงเมื่อมีการต่อสู้เกิดขึ้น เกือบจะในทุกกรณีจะเริ่มต้นจากการยืนสู้หรือการต่อสู้ที่ไม่ใช่การต่อสู้ประชิดตัว และหากเลือกได้ก็คงอยากให้จบลงจากการยืนสู้หรือการต่อสู้ที่ไม่ใช่การต่อสู้ประชิดตัว" จริงครับที่ว่าการต่อสู้นั้น เกือบทุกกรณี จะเริ่มต้นจากยืน เพียงแต่ปัญหาคือเกือบทุกกรณีที่ไม่มีคนห้าม หรืออะไรมาขัดจังหวะ มักจะจบลงที่พื้น โดยมีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดขึ้นคร่อมและระดมหมัดใส่แบบไม่ยั้งน่ะสิครับ  แม้แต่ในมวยไทยเอง ต่อยกันไปสักพัก ก็กอดกันแล้ว ถ้าไม่มีกรรมการก็คงไม่พ้นลงไปอยู่บนพื้นเหมือนกันแหล่ะครับ ฉะนั้นในสถานะการจริง มันก็คงเลือกไม่ได้หรอกครับ ที่จะไม่ไปอยู่บนพื้น นี่คือสิ่งที่ผมเห็นว่ามันจำเป็น เพราะถ้าคุณเป็น คุณก็เอาตัวรอดได้ แต่ถ้าไม่เป็นนี่ก็คงลำบากครับ ๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑๑ เอ่อ...ไอการที่จะไปจบที่พื้นหน่ะครับผมเห็นต่างครับ ถูกต้องที่ว่าการสู้นั้นเมื่อถึงจุดหนึ่งอาจจะมีฝ่ายหนึ่งลงไปอยู่บนพื้น และโดยปกติแล้วผู้ที่ลงไปอยู่บนพื้นก็มักจะเป็นผู้ที่เสียเปรียบ และผู้ที่ได้เปรียบอยู่ส่วนมากถึงมากที่สุดก็จะเตะหรือกระทืบซ้ำเสียมากกว่าที่จะลงไปคร่อมแล้วระดมชก ส่วนเรื่องของมวยไทยนั้น  ที่ว่าต่อยกันไปสักพัก ก็กอดกันแล้ว ถ้าเป็นในแง่ของกีฬามวยไทยที่มีกฏ กติกา และกรรมการคอยห้าม การกอดเป็นเรื่องของรูปมวยและการพนันครับ แต่ถ้าในการต่อสู้จริงนั่นหน่ะเพราะศาสตร์การต่อสู้มวยไทยมีการใช้ศอกและเข่าในขณะกอดกัน และการจะเข้าไปกอดกันเพื่อใช้ศอกหรือเข่านั้นก็ต้องเห็นโอกาสที่จะใช้ก่อนจึงเข้าไปกอด ส่วนการล้มหลังจากกอดนั้นไม่ว่าจะเกิดจากสาเหตุเสียหลักหรือถูกทำให้ล้ม ทางเลือกหลังจากล้มก็คือ ฟัดกันต่อหรือพยายามที่จะลุก และการที่จะลุกหลังจากล้มในการต่อสู้จริงจะไม่ยากเหมือนใน UFC เพราะในการต่อสู้จริงไม่มีรั้ว ดังนั้นระหว่างที่เราอยู่บนพื้นหากมีจังหวะเราสามารถกลิ้งหรือคลานหนีออกจากสถานการณ์ที่เสียเปรียบได้ ------------------------------------------------------------------------- " เพราะการลงไปสู้แบบกราวน์ไฟต์หรือการต่อสู้แบบประชิดตัวนั้นในชีวิตจริงค่อนข้างเสี่ยงมาก เพราะในการต่อสู้จริงนั้นเราไม่สามารถจะบอกได้ว่าจะเกิดอะไรขึ้นบ้าง การเข้าไปปล้ำหรือคลุกวงในนั้นอาจจะโดนกัดหรือโดนอาวุธที่ฝ่ายตรงข้างแอบซ่อนไว้ได้ง่าย และไม่แน่ว่าในระหว่างที่กำลังต่อสู้ติดพันกันนั้นฝ่ายตรงข้ามอาจจะมีพรรคพวกออกมาช่วยก็ได้และจะกลายเป็นเราที่นอนอยู่บนพื้นคนเดียวที่เป็นผู้เสียเปรียบ และก็มาถึงจุดด้อยที่สำคัญอีกจุดหนึ่งของเหล่าการต่อสู้แบบ กราวน์ไฟต์ นั่นก็คือระหว่างที่การต่อสู้ติดพันอยู่นั้น หากเกิดอะไรที่ไม่คาดฝันขึ้น หากต้องการจะถอนตัว(หรือหนีนั่นแหละ) การต่อสู้แบบการวน์ไฟต์นั้น ไม่สามารถที่จะทำได้โดยง่าย หากเทียบกับการสู้แบบยืนสู้ " ข้อนี้ผมว่าคุณกำลังเข้าใจผิดอย่างแรง เพราะการต่อสู้นั้น แบ่งออกเป็นสามระดับช่วง คือ ช่วงยืน (ระยะห่าง) ช่วงยืน (ระยะประชิด) และช่วงนอน ครับ ลองดู Maeda's theory of Combat According to Renzo Gracie's book Mastering Jujitsu,[53] Maeda not only taught the art of judo to Carlos Gracie, but also taught a particular philosophy about the nature of combat based on his travels competing and training alongside catch-wrestlers, boxers, savate fighters and various other martial artists. The book details Maeda's theory that physical combat could be broken down into distinct phases, such as the striking phase, the grappling phase, the ground phase, etc. Thus, it was a smart fighter's task to keep the fight located in the phase of combat that best suited his own strengths. The book further states that this theory was a fundamental influence on the Gracie approach to combat.[53] มาจาก http://en.wikipedia.org/wiki/Mitsuyo_Maeda ลองอ่านทั้งหมดดูครับ มันดี นั่นคือหมายความว่าการต่อสู้นั้น ต้องครบทุกระยะครับ แต่คุณกำลังเอา ระยะประชิดแบบบนพื้น ไปเทียบกับ ระยะห่างแบบยืน ซึ่งใช้งานกันคนละจุดประสงค์ @@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@@ ครับผมก็เห็นด้วยว่าการต่อสู้นั้น สามารถแบ่งออกเป็นสามระดับช่วง คือ ช่วงยืน (ระยะห่าง) ช่วงยืน (ระยะประชิด) และช่วงนอน ตามที่คุณบอกมา และศาสตร์การต่อสู้ที่ดีที่สุดนั้นก็น่าที่จะสามรถรับมือได้ครบทั้งสามระยะตามที่คุณว่ามา แต่ในความเป็นจริงก็ยังไม่มีศาสตร์การต่อสู้ที่ว่านั้น และที่คุณบอกว่าผมกำลังเอา ศาสตร์การต่อสู้ระยะประชิดแบบบนพื้น ไปเทียบกับ ศาสตร์การต่อสู้ระยะห่างแบบยืน ก็ใช่ครับนี่คือสิ่งที่ผมทำอยู่ และจากประโยคนี้ "it was a smart fighter's task to keep the fight located in the phase of combat that best suited his own strengths." แน่นอนว่าในการต่อสู้จริงทุกคนก็ต้องพยายามทำให้ได้อย่างนั้นแต่ในความเป็นจริงก็อาจจะไม่สำเร็จทุกครั้งไป และเราอาจจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่เราไม่ถนัด ดังนั้นการที่ผมเอาศาสตร์การต่อสู้ทั้งสองชนิดมาเปรียบเทียบกันก็เพื่อท่จะตอบโจทย์ที่ว่า ศาสตร์การต่อสู้ใดเป็นศาสตร์การต่อสู้ที่ดีที่สุด ส่วนเรื่องรถกับเรือนั้นที่คุณถามว่าจะให้เปรียบเทียบกันยังไงนั้น ก็ต้องดูที่โจทย์ครับว่าโจทย์หรือปัญหาคืออะไรแล้วเราจะได้เปรียบเทียบถูก หากโจทย์เน้นไปที่ปริมาณน้ำหนักบรรทุกก็คงต้องเป็นเรือแต่ถ้าโจทย์คือความรวดเร็วก็ต้องรถ แต่หากว่าโจทย์คืออะไรดีที่สุดก็คงต้องเอาข้อดีและข้อเสียของทั้งสองอย่างมาพิจารณาหล่ะครับ --------------------------------------------------------------------------- เอ่อ แล้วเรื่องจุดอ่อนเรื่องการถอนตัวจากการต่อสู้ของเหล่าการต่อสู้แบบ กราวน์ไฟต์ หล่ะครับ คุณพอจะเห็นด้วยกับผมไหมครับว่า "การต่อสู้แบบการวน์ไฟต์นั้น ไม่สามารถที่จะทำได้โดยง่าย หากเทียบกับการสู้แบบยืนสู้ " จากคุณ : Moomba - [ 20 มี.ค. 52 00:57:03 ]

ความคิดเห็นที่ 40 "เอ่อ แล้วเรื่องจุดอ่อนเรื่องการถอนตัวจากการต่อสู้ของเหล่าการต่อสู้แบบ กราวน์ไฟต์ หล่ะครับ คุณพอจะเห็นด้วยกับผมไหมครับว่า การต่อสู้แบบการวน์ไฟต์นั้น ไม่สามารถที่จะทำได้โดยง่าย หากเทียบกับการสู้แบบยืนสู้ " การต่อสู้แบบกราวน์ไฟต์นั้น สามารถถอนตัวจากการต่อสู้ ได้ยากกว่ายืนสู้แน่นอนครับ แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นอยู่ที่สถานะการณ์ครับ ถ้าฝั่งตรงข้ามพวกมากกว่า คงไม่มีใครอยากลงไปนอนหรอกครับ เพราะจะลุกขึ้นจริงๆแล้วช้ากว่า คนที่วิ่งเข้ามารุมแน่นอน เพียงแต่อย่างน้อยถ้าล้มลงไปจริงๆ คนที่รู้หลักกราวน์ไฟต์ จะสามารถลุกขึ้นยืนได้ดีกว่า และปลอดภัยกว่า คนไม่รู้แน่นอน แต่ถ้าในทางกลับกัน คู่ต่อสู้คุณ มีแค่คนเดียว แต่ตัวใหญ่กว่า พละกำลังมากกว่า การที่ไปยืนแลกกัน โอกาสรอดน้อยครับ หรือถ้าบริเวณใกล้เคียงมีเครื่องทุ่นแรง คุณก็คงไม่อยากให้เค้ามีโอกาสให้เค้าได้ไปใช้แน่นอน ตรงนี้ การที่ถอนตัวยากอย่างที่คุณบอก คือจุดแข็งของกราวน์ไฟต์ครับ เพราะคุณมีโอกาสพัวพันคู่ต่อสู้ไว้ได้สูง ---------------------------------------------------------- "ส่วนเรื่องของมวยไทยนั้น  ที่ว่าต่อยกันไปสักพัก ก็กอดกันแล้ว ถ้าเป็นในแง่ของกีฬามวยไทยที่มีกฏ กติกา และกรรมการคอยห้าม การกอดเป็นเรื่องของรูปมวยและการพนันครับ แต่ถ้าในการต่อสู้จริงนั่นหน่ะเพราะศาสตร์การต่อสู้มวยไทยมีการใช้ศอกและเข่าในขณะกอดกัน และการจะเข้าไปกอดกันเพื่อใช้ศอกหรือเข่านั้นก็ต้องเห็นโอกาสที่จะใช้ก่อนจึงเข้าไปกอด ส่วนการล้มหลังจากกอดนั้นไม่ว่าจะเกิดจากสาเหตุเสียหลักหรือถูกทำให้ล้ม ทางเลือกหลังจากล้มก็คือ ฟัดกันต่อหรือพยายามที่จะลุก และการที่จะลุกหลังจากล้มในการต่อสู้จริงจะไม่ยากเหมือนใน UFC เพราะในการต่อสู้จริงไม่มีรั้ว ดังนั้นระหว่างที่เราอยู่บนพื้นหากมีจังหวะเราสามารถกลิ้งหรือคลานหนีออกจากสถานการณ์ที่เสียเปรียบได้" มวยไทยที่เข้าไปกอดนี่ไม่ได้ต้องการ ใช้ศอกหรือตีเข่านะครับ แต่เพื่อหลบอาวุธ และพักต่างหาก การใช้ศอกคือระยะประชิด ถ้าตีเข่าก็คือโน้มคอ การตีเข่าจากการกอดอาจมีให้เห็นบ้างแต่ประสิทธิภาพสู้แบบโน้มคอไม่ได้แน่นอน เพราะไม่มีระยะของสะโพก ส่วนการต่อสู้จริงที่ลุกได้ง่าย ไม่ใช่เพราะรั้วหรอกครับ เพราะในชีวิตจริงอาจมีโต๊ะเก้าอี้ก็ได้ เพียงแต่คู่ต่อสู้มักไม่มีความรู้เรื่องกราวน์ไฟต์ต่างหาก -------------------------------------------------------- "และศาสตร์การต่อสู้ที่ดีที่สุดนั้นก็น่าที่จะสามรถรับมือได้ครบทั้งสามระยะตามที่คุณว่ามา แต่ในความเป็นจริงก็ยังไม่มีศาสตร์การต่อสู้ที่ว่านั้น " มีครับ มวยโบราณ ยิวยิสสู นินจัตสึ คราฟมากา ฯลฯ ----------------------------------------------------------------- และที่คุณบอกว่าผมกำลังเอา ศาสตร์การต่อสู้ระยะประชิดแบบบนพื้น ไปเทียบกับ ศาสตร์การต่อสู้ระยะห่างแบบยืน ก็ใช่ครับนี่คือสิ่งที่ผมทำอยู่ และจากประโยคนี้ "it was a smart fighter's task to keep the fight located in the phase of combat that best suited his own strengths." แน่นอนว่าในการต่อสู้จริงทุกคนก็ต้องพยายามทำให้ได้อย่างนั้นแต่ในความเป็นจริงก็อาจจะไม่สำเร็จทุกครั้งไป และเราอาจจะตกอยู่ในสถานการณ์ที่เราไม่ถนัด ดังนั้นการที่ผมเอาศาสตร์การต่อสู้ทั้งสองชนิดมาเปรียบเทียบกันก็เพื่อท่จะตอบโจทย์ที่ว่า ศาสตร์การต่อสู้ใดเป็นศาสตร์การต่อสู้ที่ดีที่สุด มันก็จะวนกลับที่เดิมครับ ตรงที่มันต่างกันและเทียบกันไม่ได้ ขึ้นอยู่กับสถานะการณ์ เพราะแต่ละอย่างมีข้อดีข้อด้อยต่างกัน   มวยยืน รับมือได้หลายคน น็อคคู่ต่อสู้ได้ดีกว่า รวดเร็วกว่า  เคลื่อนไหวได้คล่องตัว ถอนตัวง่าย เข้าจู่โจมง่าย แต่ข้อเสียคือ เจอคนตัวใหญ่กว่าแล้วมักมีปัญหา โอกาสผิดพลาดสูงกว่า มีหมัดลูกฟลุ๊กได้ ส่วนมวยนอน ข้อดีคือ มีโอกาสฟลุ๊กน้อยมาก สามารถรับมือคนน้ำหนักมากกว่าได้ โอกาสเจ็บตัวน้อย ผลการต่อสู้มักจบลงด้วยดี เพราะเอาชนะได้แบบไม่บาดเจ็บ ส่วนข้อเสียคือ ถอนตัวยาก ในกรณีที่คู่ต่อสู้มีจำนวนมาก การจะเข้าจับล็อคได้ต้องฝ่า หมัด ฝ่าเท้าเข้าไปก่อน ดูไม่สนุกเพราะคนดูมักไม่เข้าใจ สุดท้ายก็คือต้องฝึกทั้งสองอย่าง ถึงจะเอาตัวรอดได้แบบปลอดภัยในทุกๆสถานะการณ์ครับ ---------------------------------------------------------------- แก้ไขเมื่อ 20 มี.ค. 52 11:11:27 จากคุณ : www.emacthailand.com (emacthailand) - [ 20 มี.ค. 52 10:19:50 ]

ความคิดเห็นที่ 41 งั้นไปฝึกวิชานินจาดีกว่ามั้ย เพราะดูในfight scine พวกฝึกนินจาเก่งๆคล่องตัวมาก วิ่งบนท่อนไม้ วิบาก ปีนรั้วอะไร คล่องกว่าชาวบ้าน หนีคือสุดยอดกลยุทธ 55 เอาเข้าจริง แต่ละอันก็เด่นในแนวทางของมันเองทั้งนั้นแหล่ะ คนที่ใจเปิดกว้างหน่ะ จะเก่งที่สุด เพราะฝึกทุกอย่าง จากคุณ : ขอเอาชื่ออากงเป็นเดิมพัน - [ 20 มี.ค. 52 17:05:52 ]

ความคิดเห็นที่ 42 คุณMoomba ฝึกอะไรมาหรือครับ ถามหน่อยคุณมีประสบการ์ต่อสู้ แค่ไหร ก๊ฬาศิปการต่อสู้ละ เคยแข่งไหม?คุณติดตามบรอดนี้มานานหรือยัง ผมสงสัยนะ เพราะผมเห็นคุณหลุดขอมูล ง่ายๆ อย่างประวัติมาเอดะผมก็เขียนอยู่บ่อยๆ ไม่หน้าจะหลุดมาง่ายๆ ผมเดๆาว่าคุณพึงเขามา และไม่หน้าจะเล่นอะไรจริงจัง ปล ผมเดาๆเอานะ จากคุณ : win_mma - [ 22 มี.ค. 52 09:35:02 ]

ความคิดเห็นที่ 43 "ขึ้นชื่อว่าศิลปศาสตร์ย่อมดีทั้งนั้น ". "อันความรู้ ควรเรียนทุกอย่าง ไม่ว่าต่ำ สูง หรือปานกลาง ควรรู้ความหมาย เข้าใจทั้งหมด แต่ไม่จำเป็นต้องใช้ทุกอย่าง วันหนึ่งจะถึงเวลาที่ความรู้นั้นจะนำมาซึ่งประโยชน์" จากคุณ : เรือรบ (พยัคฆ์สมุทร) - [ 22 มี.ค. 52 14:01:01 ]

ความคิดเห็นที่ 44 ผมขอบ่นถึงสนามมวยลุมพีนีหรือสนามมวยต่างๆหน่อยในกะทู้นี้หน่อยขออภัย มันจะเก็บเทปไว้ทำอาแป๊ะทำไมครับ แทนที่ปล่อยออกมาเป็นการเผยแพร่ท่าคู่ไหนสนุกยิ่งทำให้ฝรั่งต่างชาติชอบมวยไทยเพิ่ม เช่นคู่ใหญ่คู่นี้ไทรโยคเจอสำราญชัย มันจะเก็บไว้หาป้ามันหรือไง สงสัยเก็บให้ทรงชัยทำซีดีคล้ายรวมชุดสุดยอดของมวยไทยอะไรของมัน บ้าบอมิน่าละถึงดักดานยิ่งพวกคนข้าราชการมาดูแล ยิ่งโคตรดักดาน จากคุณ : ... (yamapa) - [ 22 มี.ค. 52 15:45:02 ]

ความคิดเห็นที่ 45 ดูฝรั่งใช้หมัดชกนักมวยไทยน๊อคก็ยังทำใจ    เราต้องหาทางเเก้เอา   ดูฝรั่งเตะเจาะยางนักมวยไทยจนยางเเตก    เจ็บใจเเต่เราต้องหาทางเเก้อยู่ดี ดูฝรั่งบางคนพริ้วเกือบจะเท่าสามารถ  พยัคอรุณ   เห็นเเล้วเหนื่อยใจที่สุด เเบกน้ำหนักเราไม่ว่า  เพราะเราร่างเล็ก    เเต่เดี๋ยวนี้ตัวเท่าๆเราเอาเเทบไม่อยู่เเล้ว   ไม่เสียฟอร์ม   เเต่เสียใจจัง จากคุณ : bbgugu - [ 23 มี.ค. 52 09:35:31 ]

ความคิดเห็นที่ 46 ผมหายไปซะนานเลย ก็ไม่มีอะไรแล้วมั้งครับ เข้ามาปิดกระทู้แล้วกัน แบบว่าไม่สามารถเข้ามาตอบได้จริงๆ ยังไงก็ยินดีครับที่ได้แลกเปลี่ยนความรู้และแลกเปลี่ยนความคิดกัน เอาเป็นว่าโอกาสหน้าคงได้เข้ามาพูดคุยและแลกเปลี่ยนความคิดกันอีกนะครับ ผมเองก็วนเวียนอยู่แถวนี้แหละครับ ขอบคุณครับ ปล. ช่วงที่ผมไม่ได้เข้ามาตอบ ผมก็คิดทบทวนนะ ว่าจริงๆแล้วจุดอ่อนที่ผมยกมาทั้งหมดนั้นมันไม่ใช่เฉพาะของ BJJ อย่างเดียวหรอก มันเป็นจุดอ่อนของศาสตร์การต่อสู้แนบราบมากกว่าไม่จำกัดเฉพาะ BJJ เอ...นี่ผมคงไม่ได้เปิดประเด็นใหม่ใช่ไหมเนี๊ยะ(ผมพยายามเลี่ยงไม่เปิดประเด็นใหม่เต็มที่แล้วนะ) จากคุณ : Moomba - [ 25 มี.ค. 52 21:06:23 ]