ความคิดเห็นที่ 1 คู่แรก อาจจะเก่าซักหน่อย ตั้งแต่ยุค 70 นู้น แต่เห็นว่าเป็นคู่พ่อลูกตัวอย่างที่รักกันมากจริงๆ ลองอ่านดูเองแล้วกัน จอห์น บอนด์ และ เควิน บอนด์ คุณพ่อ จอห์น บอนด์ เริ่มงานคุมทีมครั้งแรกกับสโมสรบอร์นมัธ เมื่อปี 1970 และหลังจากนั้นสองปี คุณลูกเควินก็ได้เข้ามาเป็นนักเตะเยาวชนของทีม แต่เพียงแค่ปีเดียว คุณพ่อจอห์นก็ได้ย้ายไปคุมทีมนอริช ซิตี้ เมื่อปี 1973 ซึ่งแม้ว่าการทำงานในปีแรกจะล้มเหลว นอริชได้อันดับบ๊วยของดิวิชั่น 1 ต้องหล่นไปอยู่ในดิวิชั่น 2 ฤดูกาลต่อมาก็ตาม แต่จอห์น บอนด์ ก็ยังคงได้รับความไว้วางใจให้ทำงานต่อไป และสิ่งหนึ่งที่เขาทำในการสร้างทีมนอริชสู้ศึกดิวิชั่น 2 ปีต่อมา (1974-5) ก็คือ การไปดึงลูกชาย เควิน บอนด์ มาร่วมงานกันอีกครั้งในถิ่นแคโรว์ โร้ด และการร่วมงานของพ่อลูกคู่นี้ก็ประสบความสำเร็จอย่างดี เพราะนอกจากจะช่วยให้นอริชคว้าอันดับสามในดิวิชั่น 2 และเลื่อนชั้นในปีเดียวแล้ว ในปีนั้นบอนด์ยังช่วยให้นอริชเข้ารอบชิงฟุตบอลลีกคัพอีกด้วย (แต่ไปแพ้แอสตัน วิลล่า คู่ปรับที่ได้เลื่อนชั้นมาพร้อมๆ กันในนัดชิง) สองพ่อลูกทำงานด้วยกันในถิ่นแคโรว์ โร้ด ช่วยให้ทีมนอริชรักษาสถานภาพอยู่ในลีกสูงสุดอย่างต่อเนื่อง จนทำให้ผลงานของบอนด์ผู้พ่อเตะตาทีมใหญ่ๆ และในที่สุดเมื่อปี 1980 จอห์น บอนด์ ก็ถูกดึงตัวไปคุมทีมที่ใหญ่กว่าอย่างแมนเชสเตอร์ ซิตี้ และแน่นอน เมื่อคุมทีมไปได้ปีเดียว เขาก็ไม่พลาดที่จะดึงลูกชายมาอยู่ที่ถิ่นเมน โร้ด (สนามเดิมของแมนฯ ซิตี้) อีกครั้ง เมื่อปี 1981 แต่นั่นก็เป็นการร่วมงานกันครั้งสุดท้ายของทั้งคู่ เพราะหลังจากที่ทีมเรือใบสีฟ้าตกต่ำลงไปอยู่ท้ายตาราง ในที่สุดจอห์น บอนด์ ก็ถูกปลดจากทีมในช่วงต้นปี 1983 (แต่ก็ไม่ช่วยอะไรเพราะสุดท้ายจบฤดูกาลนั้นแมนฯ ซิตี้ก็ตกชั้นอยู่ดี) ก่อนจะไปคุมอีกหลายๆ ทีมในดิวิชั่นต่ำๆ และอำลาการคุมทีมไปเมื่อปี 1999   ขณะที่เควิน บอนด์ คนลูกก็อยู่กับทีมเรือใบสีฟ้าต่อไปหลังจากคุณพ่อโดนปลดได้ปีนึงก็ย้ายไปอยู่เซาแธมป์ตัน แล้วก็กลับไปยังบอร์นมัธทีมเก่า ก่อนจะแขวนสตั๊ดไปในปี 1996 และยึดอาชีพคุมทีมต่อมา โดยล่าสุดได้คุมบอร์นมัธทีมเก่าในช่วงปี 2006-8 ก่อนจะถูกปลดและเงียบหายไปจากวงการ จากคุณ : เกียรตินำ - [ 2 พ.ค. 52 00:54:02 ]

ความคิดเห็นที่ 2 ^^ จากคุณ : pokkymanza - [ 2 พ.ค. 52 01:14:24 ]

ความคิดเห็นที่ 3 คู่ที่สอง จัดว่าเป็นพ่อลูกที่ประสบความสำเร็จมากที่สุดในการทำงานร่วมกันคู่หนึ่งของวงการฟุตบอลอังกฤษ ไบรอัน คลัฟ และ ไนเจล คลัฟ หลังจากที่นำทีมฟอเรสต์ประสบความสำเร็จสูงสุดในช่วงปลายทศวรรษที่ 70 ต่อต้น 80 ทีมฟอเรสต์ก็แผ่วลงไปในช่วงกลางทศวรรษที่ 80 ทำให้ไบรอัน คลัฟ รู้ว่าเขาจะต้องสร้างทีมสายเลือดใหม่ทดแทนรุ่นเก่าๆ ในชุดแชมป์ยุโรป และหนึ่งในบรรดาสายเลือดใหม่ของทีมฟอเรสต์ที่กุนซือปากตะไกรผู้นี้สร้างขึ้นมา ก็คือลูกชายหัวแก้วของเขาเอง ไนเจล คลัฟ ไนเจลผู้ลูกเข้าสู่ทีมชุดใหญ่ของฟอเรสต์ตั้งแต่ปี 1984 แต่ในชวงแรกๆ ยังเป็นแค่ตัวสำรอง จนกระทั่งถึงปี 1986 คลัฟผู้ลูกก็เริ่มยึดตำแหน่งตัวจริงของทีม และพัฒนาฝีเท้าไปเรื่อยๆ อย่างไม่หยุดยั้งจนได้ชื่อว่าเป็นนักเตะที่ดีที่สุดคนหนึ่งในอังกฤษในชวงปลายทศวรรษที่ 80  ซึ่งเป็นช่วงที่ผลงานของทีมฟอเรสต์ที่ดีวันดีคืน เริ่มจากการคว้าอันดับ 3 พร้อมกับเข้ารอบรองฯ เอฟเอคัพสองปีซ้อนทั้งในปี 1988 และ 1989 คว้าแชมป์ลีกคัพสองปีซ้อนในปี 1989 และ 1990 รวมถึงเข้าชิงเอฟเอคัพในปี 1991 และชิงลีกคัพอีกครั้งในปี 1992 นอกจากนั้นแล้ว คลัฟผู้ลูกยังได้ติดทีมชาติอังกฤษชุดที่ไปเล่นฟุตบอลชิงแชมป์แห่งชาติยุโรป 1992 ด้วย แต่สิ่งที่ไม่มีใครคาดคิดก็เกิดขึ้นในฤดูกาลต่อมา เมื่อฟอเรสต์เริ่มต้นฤดูกาลแรกของพรีเมียร์ลีก (1992-3) ได้อย่างย่ำแย่อยู่ในกลุ่มท้ายตาราง และในที่สุดเมื่อสิ้นสุดฤดูกาลนั้น ฟอเรสต์ก็ได้อันดับสุดท้ายของพรีเมียร์ลีก ต้องตกชั้นจากลีกสูงสุดเป็นครั้งแรกนับตั้งแต่ได้แชมป์ยุโรปเป็นต้นมา และการตกชั้นครั้งนั้นก็ทำให้ฟอเรสต์ "แพแตก" เมื่อไบรอัน คลัฟ ประกาศยุติการคุมทีมอย่างถาวรนับจากนั้นมา (ก่อนจะเสียชีวิตไปเมื่อปี 2004) ดาราในทีมก็ถูกปล่อยตัวไปอยู่ทีมอื่นๆ รวมถึงไนเจลผู้ลูกด้วย โดยไนเจลได้ย้ายไปอยู่กับลิเวอร์พูล ด้วยความหวังว่าจะเข้ามาสืบทอดตำนานเสื้อหมายเลข 7 ของทีม แต่ชีวิตในถิ่นแอนฟิลด์เมื่อปราศจากร่มเงาของไบรอันผู้พ่อนั้นกลับล้มเหลวโดยสิ้นเชิง ไนเจลไม่สามารถเค้นฟอร์มสุดยอดสมัยอยู่กับฟอเรสต์มาช่วยทีมหงส์แดงได้ซักเท่าไหร่ และในที่สุดหลังจากอยู่มา 3 ปี ก็ถูกปล่อยตัวไปอยู่กับทีมแมนฯ ซิตี้ ก่อนจะลงไปเล่นในลีกล่างๆ และได้เริ่มเจริญตามรอยเท้าพ่อด้วยการเป็นผู้เล่น-ผู้จัดการทีมให้กับทีมนอกลีก เบอร์ตัน อัลเบี้ยน เมื่อปี 1989 และเมื่อต้นปีนี้เอง ไนเจลก็ได้เลื่อนขั้นมาคุมทีมดาร์บี้ อดีตทีมที่ไบรอันผู้พ่อเคยเป็นผู้จัดการทีมมาก่อน และไนเจลผู้ลูกก็สามารถช่วยให้ดาร์บี้อยู่รอดปลอดภัยในเดอะแชมเปี้ยนชิพสำเร็จ จากคุณ : เกียรตินำ - [ 2 พ.ค. 52 01:16:48 ]

ความคิดเห็นที่ 4 แหะ แหะ ลืมรูปไนเจล คลัฟ สมัยอยู่กับฟอเรสต์อ่ะ จากคุณ : เกียรตินำ - [ 2 พ.ค. 52 01:17:33 ]

ความคิดเห็นที่ 5 คู่ที่สาม คู่นี้ได้ร่วมงานกันค่อนข้างจะน้อยหน่อย แต่ก็น่าจะเป็นที่รู้จักของแฟนฟุตบอลอังกฤษดี ทั้งคุณพ่อและคุณลูก แฮรี่ เรดแนปป์ และ เจมี่ เรดแนปป์ หลังจากแขวนสตั๊ด แฮรี่ เรดแนปป์ ผู้พ่อ ก็เข้าคุมทีมบอร์นมัธเมื่อปี 1983 และเมื่อถึงปี 1989 เจมี่ผู้ลูก ก็ได้เข้ามาเป็นนักเตะภายในการคุมของคุณพ่อ แต่อยู่ด้วยกันได้แค่ปีกว่าๆ ฝีเท้าของเจมี่ก็ไปเตะตาเคนนี่ เดลกลิช กุนซือของลิเวอร์พูลเข้าเต็มๆ จึงได้ดึงตัวเจมี่มาอยู่กับลิเวอร์พูลเมื่อปี 1991 (ถ้าจำไม่ผิดจะเป็นนักเตะคนสุดท้ายเลยมั้ง ที่เดลกลิชซื้อมาอยู่กับลิเวอร์พูล) หลังจากนั้นเส้นทางของสองพ่อลูกก็แยกกันไป แฮรี่คนพ่อคุมทีมบอร์นมัธจนถึงปี 1992 ก็ย้ายไปคุมทีมเวสต์แฮม ก่อนที่จะมาคุมปอร์ตสมัธเมื่อปี 2002 ขณะที่คุณลูกเจมี่หลังจากไปอยู่กับลิเวอร์พูลแล้ว ก็ได้กลายเป็นกำลังสำคัญของทีมหงส์แดงร่วมกับเด็กฝึกหัดของทีมอย่าง ร็อบบี้ ฟาวเลอร์ สตีฟ แม็คมานามาน จนได้ฉายาว่า "สไปซ์ บอย" เจมี่ได้รับการยอมรับว่าเป็นนักเตะมิดฟิลด์ชั้นเยี่ยมคนหนึ่งในวงการฟุตบอลอังกฤษ และน่าจะประสบความสำเร็จมากกว่านี้ถ้าไม่ประสบปัญหาการบาดเจ็บรบกวนอยู่เรื่อยๆ โดยเฉพาะในช่วงสองฤดูกาลสุดท้ายในถิ่นแอนฟิลด์ เจมี่ได้รับบาดเจ็บจนได้ลงเล่นในฟุตบอลลีกแค่ 4 นัดเท่านั้น ก่อนจะย้ายไปอยู่กับสเปอร์เมื่อปี 2002 แต่ปัญหาบาดเจ็บก็ยังคงตามไปรบกวนอย่างต่อเนื่อง ทำให้ได้ลงสนามเพียง 48 นัดเท่านั้นตลอดสามปีในทีมตราไก่ และในช่วงต้นปี 2005 นี่เอง สองพ่อลูกก็ได้กลับมาร่วมงานกันอีกครั้งกับทีมเซาแธมป์ตัน แต่การร่วมงานกันครั้งนี้ก็ไม่ประสบความสำเร็จแต่อย่างใด ทีมจบฤดูกาล 2004-5 ด้วยอันดับสุดท้ายของพรีเมียร์ลีก และหลังจากนั้น เจมี่ผู้ลูกซึ่งเบื่อกับอาการบาดเจ็บที่รบกวนอยู่ตลอดเวลาก็แขวนสตั๊ดไปในวัยเพียง 32 ปี ก่อนจะไปเป็นผู้บรรยายกีฬาทางทีวี ส่วนแฮรี่ผู้พ่อยังคงสนุกสนานกับการเป็นผู้จัดการทีมต่อไป หลังจากออกจากเซาแธมป์ตันแล้ว แฮรี่ก็กลับไปที่ปอร์ตสมัธอีกครั้ง และช่วยให้ทีมปอมปีย์คว้าแชมป์เอฟเอคัพสำเร็จเมื่อปีที่แล้ว ก่อนจะย้ายมาคุมทีมสเปอร์ในปีนี้ รูปของเจมี่ เรดแนปป์ สมัยอยู่บอร์นมัธ เห็นแววสุดหล่อตั้งแต่เด็กจริงๆ จากคุณ : เกียรตินำ - [ 2 พ.ค. 52 01:33:24 ]

ความคิดเห็นที่ 6 พี่เกียรตินำครับ  ถามการบ้านแมทหน่อยครับ จากคุณ : high_voltage_XL - [ 2 พ.ค. 52 01:33:29 ]

ความคิดเห็นที่ 7 เกาะกระทู้อ่าน แล้วก็โหวตไว้ก่อนเลย ^^~ จากคุณ : kukurichan - [ 2 พ.ค. 52 01:34:15 ]

ความคิดเห็นที่ 8 ตาม คห.๗ มา อิอิ จากคุณ : Sweet Chin Music - [ 2 พ.ค. 52 01:36:58 ]

ความคิดเห็นที่ 9 ขอเดาว่าอีก 2 คน คนแรก พ่อเป็นโคตรกุนซือ และตอนนี้ลูกก็เริ่มเป็นกุนซือแล้ว คนที่สอง ลูกเป็นโคตรนักบอล แต่พ่อจะหนักไปทางเป็นผู้ช่วยมากกว่า จากคุณ : Umiki - [ 2 พ.ค. 52 01:40:26 ]

ความคิดเห็นที่ 10 คู่ที่สี่ เพิ่งจะแซวไปในกระทู้ก่อนนี้เอง เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน และ ดาร์เรน เฟอร์กูสัน ประวัติของเซอร์อเล็กซ์ผู้พ่อนั้นคงไม่ต้องสาธยายให้มากความกระมัง เพราะใครที่ติดตามฟุตบอลอังกฤษอยู่ถ้าไม่รู้จักคนๆ นี้ ก็คงเหลือเชื่อเต็มทีแล้วละครับท่าน ส่วนดาร์เรนผู้ลูกแม้ว่าจะเกิดที่สก็อตแลนด์ แต่เมื่อคุณพ่อลงมาคุมทีมในอังกฤษ คุณลูกก็เลยตามมาอยู่ด้วยและได้เป็นนักเตะทีมเยาวชนของทีมปีศาจแดง ก่อนจะขึ้นทีมชุดใหญ่ในปี 1990 อย่างไรก็ตาม แม้ว่าอเล็กซ์ผู้พ่อ (ตอนนั้นยังไม่เป็นท่านเซอร์) จะปั้นนักเตะดาวรุ่งจากทีมเยาวชนขึ้นสู่ทีมชุดใหญ่ได้มากมายหลายคน แต่กลับไม่ประสบความสำเร็จในการปั้นลูกชายแท้ๆ ของตัวเองซะงั้น ดาร์เรนอยู่กับยูไนเต็ด 4 ปี แต่ก็หาตำแหน่งตัวจริงไม่ได้ จนถูกปล่อยไปอยู่กับทีมวูลฟ์ในปี 1994 แต่ก็ไม่สามารถช่วยให้ทีมวูลฟ์เลื่อนชั้นมาอยู่พรีเมียร์ลีกได้ สุดท้ายก็ในปี 1999 ก็ย้ายไปอยู่กับเร็กซ์แฮมในดิวิชั่นสาม ซึ่งก็ดูจะเป็นช่วงเวลาที่ดาร์เรนคนลูกเล่นดีที่สุดด้วย อยู่กับเร็กซ์แฮม 8 ปี ลงเตะ 310 นัดยิงได้ 51 ลูก และช่วยทีมจากเวลส์ทีมนี้เลื่อนชั้นมาอยู่ในดิวิชั่นสองเมื่อปี 2003 และหลังจากอยู่กับเร็กซ์แฮมมา 8 ปี ดาร์เรนก็เริ่มเดินตามรอยคุณพ่อ ด้วยการเข้าคุมทีมปีเตอร์โบโร่ในลีกทูเมื่อต้นปี 2007 ในฐานะนักเตะ-ผู้จัดการทีม แต่ต่อมาก็เลิกเล่นหันมาคุมทีมอย่างเดียว และก็สามารถนำเดอะพอช (ฉายาของปีเตอร์โบโร่) เลื่อนชั้นมาอยู่ลีกวันเมื่อปี 2008 ที่ผ่าน และล่าสุด ดาร์เรนก็นำปีเตอร์โบโร่คว้าตำแหน่งรองแชมป์ลีกวันในปีนี้เอง และจะได้เล่นในเดอะแชมเปี้ยนชิพปีหน้า ซึ่งก็ไม่แน่เหมือนกันว่า ถ้าดาร์เรนยังทำผลงานในการคุมทีมได้ดีอย่างต่อเนื่อง อนาคตอาจจะได้สองพ่อลูกคู่นี้ห้ำหั่นกันในฐานะผู้จัดการทีมก้ได้ (ถ้าป๋าเฟอร์กี้ไม่เลิกคุมทีมไปซะก่อนนะ) จากคุณ : เกียรตินำ - [ 2 พ.ค. 52 01:45:31 ]

ความคิดเห็นที่ 11 คู่สุดท้าย เป็นคู่ที่คุณลูกไม่ประสบความสำเร็จมากที่สุด ในบรรดาคู่พ่อลูกที่คัดมาให้อ่าน เคนนี่ เดลกลิช และ พอล เดลกลิช คนพ่อ เคนนี่ เดลกลิช "คิง เคนนี่" ถ้าเอ่ยชื่อนี้แล้ว เชื่อว่าคงไม่มีแฟนฟุตบอลอังกฤษคนไหนไม่รู้จัก จากความสำเร็จมากมายทั้งในฐานะผู้เล่น และผู้จัดการทีม แต่สำหรับพอล เดลกลิช ผู้ลูกแล้ว ทุกอย่างมันแตกต่างกันโดยสิ้นเชิง คุณลูกพอลเริ่มต้นอาชีพนักเตะด้วยการตามรอยพ่อ อยู่กับทีมที่คุณพ่อเคยสร้างชื่อไว้ในฐานะนักเตะทั้งเซลติกและลิเวอร์พูล แต่ไม่ประสบความสำเร็จไม่ได้ลงสนามกับทั้งสองทีมนี้เลยด้วยซ้ำ จนกระทั่งเมื่อปี 1997 เมื่อคุณพ่อเคนนี่มาคุมทีมนิวคาสเซิล จึงได้ดึงคุณลูกมาอยู่ด้วย และได้ลงสนามในทีมชุดใหญ่ของนิวคาสเซิลอยู่พักนึง แต่ก็ไม่สามารถยึดครองตำแหน่งตัวจริงในทีมได้ และเมื่อเคนนี่ผู้พ่ออำลาถิ่นเซนต์เจมส์ ปาร์กไปในปีต่อมา อนาคตของพอลผู้ลูกก็ดับไปด้วย เริ่มจากการถูกบิวรี่ยืมตัวไปในปี 1997 และนั้นก็เป็นจุดเริ่มต้นของการเป็นนักเตะพเนจรของพอล ซึ่งตระเวนไปอยู่กับอีกหลายทีมในระดับล่างๆ ของอังกฤษ ก่อนจะกลับไปยังสก็อตแลนด์บ้านเกิด ย้ายไปลินฟิลด์ในไอร์แลนด์เหนือ แม้กระทั่งไปอยู่กับทีมฮุสตัน ไดนาโมในเมเจอร์ลีกซ้อคเกอร์ ก่อนจะย้ายกลับมาสก็อตแลนด์บ้านเกิดกับทีมคิลมาร์น็อคเป็นทีมสุดท้าย ก่อนจะแขวนสตั๊ดไปในปี 2008 ด้วยวัยเพียง 31 ปี จากคุณ : เกียรตินำ - [ 2 พ.ค. 52 01:57:15 ]

ความคิดเห็นที่ 12 คห 9 ทายถูก 1 ผิด 1 อิ อิ จากคุณ : เกียรตินำ - [ 2 พ.ค. 52 02:10:31 ]

ความคิดเห็นที่ 13 ถ้าทีมชาติอิตาลีนี่ มีครอบครัวมัลดินี่ ด้วยนะครับ จากคุณ : วจีวิจารณ์ - [ 2 พ.ค. 52 02:44:53 ]

ความคิดเห็นที่ 14 # ตาม 13 คุณเกียรตินำเอามาลงทีนะๆๆ อยากอ่านๆ ผมโหวตให้ก่อนเลยเอ้า จากคุณ : kappasai - [ 2 พ.ค. 52 03:03:53 ]

ความคิดเห็นที่ 15 สงสัยว่า พวกฝรั่ง พ่อกับลูกชาย บางคู่ชื่อเหมือนกัน เลยเรียก ซีเนียร์ - จูเนียร์ แล้วแม่กับลูกสาวนี่ มีไหมที่ชื่อเหมือนกัน แล้วเขาเรียกว่าอย่างไร จากคุณ : aimson - [ 2 พ.ค. 52 07:48:34 ]

ความคิดเห็นที่ 16 ข้อมูลสุดยอดดด เจมี่ เรดแนปป์นี่.......หล่อไม่ปรึกษาใครจริงๆ จากคุณ : แบกกล้องท่องโลก - [ 2 พ.ค. 52 08:53:09 ]

ความคิดเห็นที่ 17 กระทู้ดีมีสาระ โหวตให้ 1 จึ๊กเลี้ยว จากคุณ : Supermanjang - [ 2 พ.ค. 52 09:36:35 ]

ความคิดเห็นที่ 18 #12 พอดีไปคิดถึงแลมพาร์ดอ่ะ -*- จากคุณ : Umiki - [ 2 พ.ค. 52 11:00:33 ]

ความคิดเห็นที่ 19 ผมก็คิดว่าคู่ พ่อ-ลูกแลมพาร์ด ยังไงก็ดูดีมีชื่อเสียงกว่าคู่ พ่อ-ลูก ดัลกลิชนะครับ.....เอาแบบจับรวมกันแล้วหารเฉลี่ยด้วยแล้วนะ จากคุณ : Grand Gunner - [ 2 พ.ค. 52 13:02:28 ]

ความคิดเห็นที่ 20 ^ ใช่ครับ "แต่" เผอิญว่าคุณพ่อแฟรงค์ แลมพาร์ด ซีเนียร์ ไม่เคยเป็นผู้จัดการทีมเต็มตัวไงครับ คู่ที่เลือกมาคัดเฉพาะคู่ที่พ่อเป็นผู้จัดการทีมเต็มตัวคุมคุณลูกในสนามเท่านั้นครับ จากคุณ : เกียรตินำ - [ 2 พ.ค. 52 17:08:57 ]

ความคิดเห็นที่ 21 รออ่านไปเรื่อยๆครับ จากคุณ : Retrojazz60s - [ 2 พ.ค. 52 23:02:43 ]