18 เหตุผลว่า ทำไม ยูในเต็ดถึงเป็นแชมป์!
1. การกลับมาสู่ฟอร์มอันยอดเยี่ยมอีกครั้งของ ไรอัน กิ๊กซ์
เมื่อไหร่ก็ตาม ที่ ไรอัน กิ๊กซ์ แขวนสตั๊ด เขาจะได้รับการจดจำในฐานะ 1 ในปีกซ้ายที่ดีที่สุดในเกมลูกหนังอย่างแน่นอน
และในฤดูกาลนี้ เขากลับสามารถโชว์ผลงานอันยอดเยี่ยมได้ในฐานะมิดฟิลด์ตรงกลาง, ที่ซึ่งความเยือกเย็น และการจ่ายบอลอันยอดเยี่ยมของเขาได้สร้างความปั่นป่วนเหลือคณากับเกมรับของฝ่ายตรงข้าม ฟอร์มของเขาไม่ได้น้อยหน้าไปกว่าเพื่อนร่วมอาชีพคนอื่นๆ เลย ซึ่งทำให้เขาได้รับรางวัล PFA นักเตะยอดเยี่ยมประจำปีไปครองเมื่อเดือน พฤษภาคมที่ผ่านมา
2. เจ้าเด็กคนนั้น ... มาเคด้า!
เด็กหนุ่มวัย 17 ปีทุกคนก็คงฝันที่จะยิงประตูชัยในช่วงทดเจ็บต่อหน้าสแตนด์ สเตรต์ฟอร์ด เอ็น กันทั้งนั้น, แต่ เฟดเดอริโก้ มาเคด้า ทำได้จริงๆ!! เมื่อเวลากำลังล่วงเลยไปในเกมที่พบกับ แอสตัน วิลล่า , กองหน้าชาวอิตาเลียน จับบอลอย่างสวยงามก่อนทีจะตวัดยิงบอลโค้งหนีมือ แบร็ด ฟรีเดล เข้าไปกองก้นตาข่ายที่มุมบนเสาไกลอย่างสวยงาม เสียงไชโยโห่ร้องจากอัฒจันท์บอกเป็นนัยให้รู้ว่ากองหน้าดาวรุ่งได้กลายเป็นฮีโร่ไปในทันที
เท่านั้นยังไม่พอ, 6 วันหลังจากนั้น เขาได้รับโอกาสลงเป็นตัวสำรองอีกครั้งและยิงประตูชัยดับซันเดอร์แลนด์อีก สุดยอดจริงๆ!!
3. เขามาจาก .. เซอร์เบีย ..
เขากำลังมีโอกาสอย่างร้อนแรงที่จะได้รางวัลนักเตะยอดเยี่ยมประจำปีของสโมสร, เนมันย่า วีดิช ทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในฤดูกาลนี้ เขาเป็นสมาชิกคนเดียวในแผงหลังชุดทำลายสถิติไม่เสียประตูที่ลงเล่นทุกนัด และยังยิงประตูล้ำค่าได้อีกด้วย(จำลูกยิงใส่ ซันเดอร์แลนด์ ในนาทีสุดท้ายได้มั้ย?) แต่แน่ล่ะ เขาต้องอยากลืมประตูแรกที่ ลิเวอร์พูล ทำได้ใน โอล แทร็ฟฟอร์ด เป็นแน่ แต่ความผิดพลาดอันนั้นก็แค่เพียงพิสูจน์ว่าเขาก็เป็นคนธรรมดาแค่นั้นเอง..
4. อย่าเสียประตูเข้าไว้
คุณไม่สามารถชนะได้ในเกมฟุตบอล หากคู่ต่อสู้ยิงประตูได้มากกว่าคุณ(ก็แหงล่ะวุ้ย~) ดังนั้น รูปแบบการเล่นที่ดีที่สุดก็คือการไม่เสียประตูไว้ก่อน ซึ่งยูในเต็ดก็ทำได้อย่างนั้นจริงๆ ถึง 14 นัดติดต่อกันตั้งแต่ 8 พฤศจิกายน ถึง 18 กุมภาพันธ์, สร้างประวัติศาสตร์หน้าใหม่ให้กับวงการฟุตบอลอังกฤษ
อันที่จริงแล้ว วินาทีที่ โรเก้ ซานตาครูซ ส่งบอลผ่านมือ โทมาซ คุซแชค เข้าประตูไปที่ โอล แทร็ฟฟอร์ด, "เดอะ เร้ดส์" ผ่านสถิติ 1,334 นาที ที่ไม่เสียประตูในลีกไปแล้ว ทันใดนั้น คำว่า "watertight" หรือ "ไร้ช่องโหว่" ก็ผุดขึ้นมาในหัวเลย..
5. ความเหนียวแน่นในบ้าน
เมื่อลิเวอร์พูลหยุดแล้วนั่งคิดว่าพวกเขาไปพลาดตรงไหนล่ะก็ พวกเขาก็ต้องนั่งนึกถึงแต้มที่ทำหลุดมือใน แอนฟิลด์ อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้ (12 แต้มไปแล้วในซีซั่นนี้) โดยเมื่อเด็กๆ ของราฟา ทำแต้มหลุดมือไปกับการเสมอในบ้านกับทีมอย่าง สโต๊ก ซิตี้ และ ฟูแล่ม แต่ยูในเต็ดพลาดให้เพียงกับ นิวคาสเซิล(1-1) และ ลิเวอร์พูล(1-4) เท่านั้น
6. วันเวลาที่อยากลืม
เชื่อได้ว่าเหล่า เดอะ เร้ดส์ ส่วนใหญ่ถ้าทำได้ ก็คงอยากจะลบความทรงจำในวันพ่ายให้กับ ลิเวอร์พูล ใน โอล แทร็ดฟฟอร์ด 1-4 แม้ว่ามันจะไม่สามารถเปลี่ยนแปลงความจริงที่มีผลต่อการลุ้นแชมป์ลีกได้ก็ตามที
การพ่ายแพ้ 1-4 ต่อทีมคู่อริอันดับ 1 ไม่มีวันจะน่าอภิรมย์, แต่อย่างน้อยที่สุด มันก็ทำให้ทุกคนกลับลงมาสู่ความเป็นจริง หลังห้วงเวลาที่แฟนๆ และเหล่าสื่อต่างพากันพูดถึงการคว้าแชมป์สมัยที่ 18 อย่างจริงจังแล้ว มันเป็นช่วงเวลาที่คอยเตือนใจทุกคนว่า มันไม่มีอะไรแน่นอนในโลกของฟุตบอล
7. แบ่งๆ กันยิง
ทุกๆ ทีมที่ประสบความสำเร็จจะต้องมีกองหน้าที่คอยยิงประตูอย่างสม่ำเสมออย่างน้อย 1 คน, สำหรับ เดอะ เร้ดส์ แล้ว, คริสเตียนโน่ โรนัลโด้ และ เวนย์ รูนี่ย์ ยิงประตูให้ยูในเต็ดเกือบทั้งหมด, แต่พวกเขาก็ยังเป็นแค่ 2 ใน 15 นักเตะยูในเต็ดที่สามารถยิงประตูได้ในลีกซีซั่นนี้
มันเป็นเรื่องน่าหวาดหวั่นมากสำหรับแผงหลังของคู่แข่ง.. และยังเป็นตอบโต้อย่างฉับพลันใส่เหล่านักวิจารณ์ที่อ้างว่าแมนฯยูในเต็ดต้องพึ่งการทำประตูของโรนัลโด้เพียงอย่างเดียวอีกด้วย
8. ความรู้สึกอย่างนั้น.. ชัยชนะ
ยากที่จะหยุดยั้งแรงกระตุ้นของเหล่า เดอะ เร้ดส์, แสดงอาการเสียสมาธิ หรือแสดงอาการเหมือนนักเตะอ่อนล้า?, ทริปเยือนญี่ปุ่นในเดือนธันวาคมสำหรับถ้วย FIFA Club World Cup กลับทำให้นักเตะยูในเต็ดกระปรี้กระเปร่าและกระหายในชัยชนะมากยิ่งขึ้น
หลังกลับมาจากคว้าแชมป์โลก ยูในเต็ดชนะ 19 จาก 20 นัด โดยเริ่มจากนัดเฉือนชนะ สโต๊ก ซิตี้ 1-0 ในวันบ๊อกซิ่ง เดย์
9. เดอะ แฟ้บ โฟว์
มีหลายครั้งในฤดูกาลนี้ที่ เซอร์ อเล็กซ์ ยอมรับว่าเกิดอาการ "ปวดหัวตึ้บ" ยามที่ต้องเลือกผู้เล่นในแดนหน้าลงสนาม เหล่าผู้จัดการทีมคนอื่นๆ ทั่วประเทศใช้เวลาในช่วงบ่ายวันศุกร์ไปกับการลุ้นให้นักเตะผ่านการทดสอบความฟิต หรือครุ่นคิดไปกับฟอร์มของนักเตะชื่อดัง, แต่ เซอร์ อเล็กซ์ มีตัวผู้เล่นให้ใช้ในระดับ "ฟุ่มเฟือย" ในการจัดลงสนาม
คาลอส เตเบซ มีความขยันทุ่มเท และความมานะพยายาม, ดิมิทาร์ เบอร์บาตอฟ มีการควบคุมบอลอย่างยอดเยี่ยม และสนับสนุนเพื่อนได้อย่างดี, เวนย์ รูนี่ย์ จ่ายบอลให้เพื่อนทำประตูได้ดีพอๆ กับการสังหารด้วยตัวเอง, ในขณที่ คริสเตียนโน่ โรนัลโด้ พิสูจน์ตัวเองว่าเขาทำได้ดีกับบทบาทกองหน้าเช่นเดียวกับยามที่เล่นเป็นปีก
แน่นอนล่ะ, บางครั้ง แม้แต่ เซอร์ อเล็กซ์ ก็ไม่สามารถเลือกและใส่ชื่อทั้ง 4 คนลงเล่นได้พร้อมกัน แหมม.. แล้วคุณจะโทษเขาได้มั้ยล่ะ?
10. "จรวด" ของรอนนี่
พูดกันตรงๆนะ ยังไงๆ โรนัลโด้ ก็ยังสุดยอดเมื่อนึกถึง 31 ประตูอันเหลือเชื่อที่เขาทำไว้เมื่อฤดูกาลที่แล้ว แต่... 18 ประตูในตอนนี้มันไม่น้อยไปหน่อยหรือ? ใช่มะ? ..
แต่ในความเป็นจริงแล้ว, นั่นยังดีกว่านักเตะทุกๆคน ในพรีเมียร์ลีกด้วยซ้ำ!! เรายังได้เห็นการยิงประตูอันยอดเยี่ยมของเขาบ้างเหมือนกัน จำฟรีคิก 2 ลูกกับ สโต๊ก ได้มั้ย? แล้วลูกที่ยิงใส่ แบล็คเบิร์น จากมุมซ้ายเขตโทษล่ะ? และอย่าลืมลูกโหม่งใส่สเปอร์ของเขาล่ะ(ลูกที่ถอดเสื้อดีใจ~)เพื่อที่เติมเต็มการคัมแบ็คอันสุดยอดที่ โอล แทร็ฟฟอร์ด เมื่อเดือนเมษาฯที่ผ่านมา
แล้วทีนี้.. ลองมาคิดถึงพวกคนนอกที่ยังตั้งคำถามถึงสถานะ 1 ในนักเตะที่ดีที่สุดในโลกของเขาดู...
11. ขนาด(ทีม) มันสำคัญ..
นักเตะซันเดอร์แลนด์รู้สึกอย่างไรเมื่อเดือนเมษายนที่ผ่านมานะ เมื่อพวกเขาเห็นโรนัลโด้, เตเบซ, เอฟร่า และกิ๊กซ์ นั่งอยู่ในซุ้มมานั่งสำรองร่วมกับคนอื่นๆ ? ความอัฉริยะในการจัดตัวแบบแปลกๆ ของเซอร์ อเล็กซ์นั้นน่ากลัว, แต่มันก็สำคัญอย่างที่สุดในฤดูกาลที่ยูในเต็ดต้องลงเล่นอย่างมหาโหดทั้ง 66 นัด นั้นมันมากกว่าที่ทีมชั้นนำอื่นๆ ต้องลงเล่นถึง 26 นัด (และมันคุ้มค่าที่เอ่ยถึงนะ, 11 นัด มากกว่า ลิเวอร์พูล)
แน่ล่ะ, ไม่มีใครลงเล่นได้ทุกนัด และนั่นช่วยอธิบายว่าทำไมยูในเต็ดต้องใช้นักเตะถึง 31 คนผลัดกันลงเล่นในลีกปีนี้
12. พวกดาวรุ่ง
โอเค, เราได้แสดงให้ อลัน แฮนเซ่น และผู้คนทั่วโลกได้เห็นแล้วว่า เรา สามารถ ได้แชมป์ด้วยเด็กๆ ได้ แต่นั้นไม่ใช่คำอธิบายสำหรับความยอดเยี่ยมที่พวกดาวรุ่งของยูในเต็ดได้ทำให้ทีมในซีซั่นนี้
โดยเฉพาะ จอนนี่ อีวานส์ และ ราฟาเอล ดา ซิลวา ที่ซึ่งได้ประจำในแผงหลังมากกว่าที่เคย เหมือนส่วนผสมที่เข้ากันดี โดยทั้งคู่ได้รับการเสนอชื่อเข้าชิงรางวัลนักเตะดาวรุ่งยอดเยี่ยมประจำปี(PFA Young Player of the Year award) ด้วย และ เฟดเดอริโก้ มาเคด้า กับ แดนนี่ เวลเบ็ค ต่างยิงประตูในการประเดิมสนามทั้งคู่, ขณะที่ ริชาร์ด เอ็คเคอสลี่ย์, โรดริโก้ พอสเซบอน, ดาร์รอน กิ๊บสัน และ โซรัน โทซิค ต่างก็ได้รับโอกาสลงเล่นชุดใหญ่กันถ้วนหน้า
13. ยิงในช่วงท้าย
มันคงไม่ใช่ยูในเต็ดของจริงถ้าไม่มีการพลิกแบบกระชากใจท้ายเกมส์ใช่มะ? ชัยชนะในช่วงท้ายเกมเป็นส่วนสำคัญที่ช่วยถักทอให้ยูในเต็ดประสบความสำเร็จ และในปี 2008/2009 นี้ก็ไม่แตกต่าง
โดย เดอะ เร้ดส์ ยิงประตูคู่แข่งในช่วงหลังนาทีที่ 75 มากว่าในช่วง 15 นาทีอื่นๆ ของเกมส์(เข้าใจมะ?), แถมอีก 5 ประตูในช่วงนาทีที่ 90 หรือหลังจากนั้น โดย 3 ในนั้น.. เบิร์บ กับ โบลตัน, วีดิช กับ ซันเดอร์แลนด์, มาเคด้า กับ วิลล่า -- เหล่านี้ช่วยเปลี่ยนจากเสมอ เป็นชัยชนะ (หรือ อีกนัยหนึ่งคือ ทำให้ยูในเต็ดได้เพิ่มอีก 6 แต้ม)
14. นักเตะคนที่ 12
เหล่าสาวกเดอะ เร้ดส์ที่ตามไปเชียร์ทีมในสนามต่างๆ เป็นที่ยอมรับว่ายอดเยี่ยมที่สุดในประเทศ และแม้แต่ เวนย์ รูนี่ย์ ก็ยอมรับว่าเขาหวังจะมีโอกาสได้มีส่วนร่วมกับประสบการณ์อย่างนั้นบ้าง(คงบ้าน่าดู!!) และ แม้แต่ใน โอล แทร็ฟฟอร์ด ปีนี้ก็เช่นกัน กองเชียร์ยูในเต็ดมักจะส่งเสียงตะโกนโห่ร้องเพื่อปลุกเร้าให้ยูในเต็ดคว้าชัยชนะ
ในแมตช์ปะทะ วิลล่า และ สเปอร์ เมื่อเดือนเมษายน กองเชียร์กลายเป็นผู้เล่นคนที่ 12 อย่างแท้จริง, เช่นเดียวกันกับที่พวกเขาส่งเสียงและผิวปากทุกๆ ครั้งที่เชลซีได้บอลเมื่อตอนพบกันเมื่อเดือนมกราคม และบางทีการผลงานที่ยอดเยี่ยมที่สุดของเหล่ากองเชียร์ยูในเต็ดอาจจะเป็นเมื่อตอนที่ยูในเต็ดตามหลังสเปอร์ 2-0 ในช่วงพักครึ่ง
"เราเดินออกจากสนามโดยตามหลังอยู่ 2-0 ในช่วงพักครึ่งแรก" พาทริซ เอฟร่า รำลึก "แต่เราได้รับเสียงปรบมือตอนเดินออกจากสนาม นั่นมันเหลือเชื่อมาก"
15. ราชาแห่งการคัมแบ็ค
กี่ครั้งแล้วที่คุณได้ยินผู้บรรยายเกมพูดว่า "ยูในเต็ดไม่เคยรู้เลยใช่มั้ยว่าพวกเขากำลังแพ้?" มันก็จริง, แต่เมื่อบางครั้งการเดินหน้ามันยากลำบาก เดอะ เร้ดส์ จะมีลูกฮึดเสมอ ในลีกปีนี้, ยูในเต็ดต้องตามหลังคู่แข่ง 6 ครั้ง โดยครึ่งนึงในนั้น ยูในเต็ดพลิกกลับมาคว้า 3 แต้มได้(ไม่มีครั้งไหนสุดยอดเท่าแมตช์พลิกชนะสเปอร์ 5-2) มีแค่เพียงเกมส์ไปเยือน อาเซน่อล และ ฟูแล่ม เท่านั้นที่ยูในเต็ดไม่สามารถแม้แต่ตีเสมอได้หลังถูกยิงนำไปก่อน
16. ฮีโร่.. ที่คนไม่จดจำ
คุณไม่จำเป็นต้องสร้างสิ่งยิ่งใหญ่เพื่อที่จะเป็นที่จดจำ โรนัลโด้ และ รูนี่ย์ อาจจะได้รับการพาดหัวที่หน้าหลังเสมอๆ แต่ เดอะ เร้ดส์ คงไม่สามรถชูถ้วยแชมป์ได้ถ้าไม่มีความทุ่มเทให้ทีมจากนักเตะอย่าง จอห์น โอเชีย, ดาร์เรน เฟล็ทเชอร์ และ จี-ซุง พาร์ค ซึ่งโดยเฉพาะอย่างยิ่ง จอห์น โอเชีย ได้พิสูจน์ตัวเองในฤดูกาลนี้กับฟอร์มอันยอดเยี่ยม ไม่ว่าจะต้องไปเล่นเป็นแบ็คขวา, แบ็คซ้าย หรือแม้แต่เซ็นเตอร์ฮาล์ฟ ปราการหลังชาวไอริชก้มหน้าก้มตาทำงานของตัวเองได้อย่างคงเส้นคงวาและนำมาซึ่งความสำเร็จ
17. รุ่นพี่จอมเก๋า
เมื่อถึงช่วงเวลาที่วิกฤติ หรือว่ากดดันมากๆ มันจะมีประโยชน์มากหากคุณมีคนที่เคยอยู่ในจุดนั้นมาก่อน โดยเมื่อมี ไรอัน กิ๊กซ์, พอล สโคลส์ และ แกรี่ เนวิลล์ เดอะ เร้ดส์ มี 3 นักเตะนี้ที่คุยได้ว่ามีเหรียญแชมป์ลีกรวมกันกว่า 28 เหรียญ และเมื่อพวกไม่ต้องกรำศึกติดๆ กันทุกสัปดาห์แล้ว, แกรี่(เจอ สโต๊ค), ไรอัน (เจอ เชลซี) และ พอล (เจอ ฟูแล่ม) ต่างโชว์ฟอร์ม "แมน ออฟ เดอะ แมตช์" ในฤดูกาลนี้บนเส้นทางแห่งแชมป์หนล่าสุดของ เดอะ เร้ดส์
18. บอส
คุณคงคิดว่าคุณต้องเบื่อแน่ๆ กับงานเดิมๆ ที่ทำซ้ำๆ มา 22 ปี หรือคุณจะไม่คิด? แต่ไม่ใช่กับ เซอร์ อเล็กซ์ แน่ , ในการทำงานในรั้ว โอล แทร็ฟฟอร์ด ตั้งแต่ปี 1986 บอส ยังคงกระหายความสำเร็จเหมือนเดิมตลอดเวลา ความอัฉริยะในด้านแทคติคของเขาก็ไม่เคยลดลงเช่นกัน
ในเดือน มกราคม เซอร์ อเล็กซ์ ทำให้ทุกคนประหลาดใจด้วยการส่ง ไรอัน กิ๊กซ์ และ ดาเร็น เฟลทเชอร์ ลงเล่นเป็นมิดฟิลด์คู่กลางนัดดวลเชลซี และมันกลายไม้เด็ดอันสุดยอด, เช่นเดียวกับความสามารถในการปั้นยอดดาวรุ่ง, การปรับเปลี่ยนการจัดแผงมิดฟิลด์ และ การส่งตัวสำรองลง มาตลอดฤดูกาล
--------------------------------------------------------------------------
จาก official website~manutd.com
แปล. เอง
แก้ไขเมื่อ 17 พ.ค. 52 01:05:34