บทความ Golf Tips ของคุณพิษณุ นิลกลัด
การ เล่นลูกสั้นและชอตข้างกรีนให้ลูกมีแบ็กสปินเยอะๆ พอตกบนกรีนกระโดดสองหรือสามทีแล้วหยุดกึกทันที เป็นชอตที่คนจะเป็นยอดฝีมือจะต้องตีเป็น
แม้ไม่ใช่ยอดฝีมือแต่ เป็นคนเล่นลูกสั้นเก่ง ถ้าเล่นชอตนี้เป็นก็จะเล่นด้วยความสนุก ทำสำเร็จแล้วชื่นใจ และเป็นอาวุธพิเศษที่ช่วยแก้วิกฤตในยามคับขันได้ด้วย
การจะตีชอตด้วยเวดจ์ให้มีแบ็กสปินเยอะๆ เราจะต้องทราบก่อนว่า องค์ประกอบที่ทำให้ตีแล้วมีแบ็กสปินเยอะ มีด้วยกัน 3 อย่าง
1) ฝีมือ
2) ลูกกอล์ฟ
3) โครงสร้างของร่องหน้าเหล็กของเวดจ์ (groove structure)
ในฉบับนี้จะเขียนถึงเรื่องร่องหน้าเหล็กก่อน เพราะเห็นว่าเป็นเรื่องสำคัญที่ถูกนักกอล์ฟจำนวนไม่น้อยมองข้าม
ร่องหน้าเหล็ก (groove) มีหน้าที่สร้างแบ็กสปิน
ปัจจุบันเวดจ์ที่เราใช้กันอยู่มีร่องหน้าเหล็ก 3 แบบ แต่ละแบบสร้างแบ็กมากน้อยไม่เท่ากัน
แบบ ที่ 1 ร่องเป็นรูปตัววี (V) ที่ภาษานักกอล์ฟไทยเรียกตามฝรั่งว่า วีกรูฟ (V-grooves) เป็นร่องที่สร้างแบ็กสปินได้น้อยกว่าอีกสองแบบ
แบบที่ 2 ร่องเป็นรูปตัวยู (U) เรียกว่า ยูกรูฟ สร้างแบ็กสปินได้มากกว่าวีกรูฟ
แบบ ล่าสุด เรียกว่า บ็อกซ์กรูฟ (box groove) บางคนเรียกสแควร์กรูฟ เพราะร่องเป็นรูปสี่เหลี่ยม ร่องแบบนี้สร้างแบ็กสปินได้มากกว่าอีกสองแบบ
นอกจากลักษณะของร่องแล้ว ความคมของส่วนบนสุดของร่องหน้าเหล็ก (groove edges) ก็มีความสำคัญในการสร้างแบ็กสปิน
ถ้าคมมากก็จะกัด (grab) เปลือกของลูกกอล์ฟได้ถนัดถนี่ ช่วยทำให้ร่องหน้าเหล็กทำงานได้เต็มที่
แต่ข้อเสียก็คือเวดจ์หน้าคมตีแล้วเปลืองลูก ตีเต็มวงถ้าโดนเนื้อๆ จะกัดเปลือกลูกกอล์ฟออกมาเป็นริ้วๆ ติดหน้าเหล็กเลยทีเดียว
ความเล็ก-ใหญ่ของร่องหน้าเหล็กก็มีผลต่อการสร้างแบ็กสปินมากหรือน้อย
ร่อง ใหญ่สร้างแบ็กสปินได้น้อยกว่าร่องเล็ก เพราะ ร่องใหญ่ทำให้มีหญ้า ดิน และน้ำ เข้าไปอยู่ในร่องได้เยอะ ผลก็คือร่องหน้าเหล็กทำงานได้น้อยลง
นอก จากนั้นเวดจ์ใหม่จะสร้างแบ็กสปินได้มากกว่า เวดจ์ที่ใช้งานมานานๆ เพราะของใหม่ร่องจะมีความฝืดและความคม ทำให้จับเปลือกลูกกอล์ฟได้ดีกว่าของเก่า
สำหรับองค์ประกอบสุดท้ายที่ทำให้ตีด้วยเวดจ์แล้วมีแบ็กสปินมากที่สุดคือคุณภาพของการตี
ถ้าเราตีเวดจ์ด้วยวงสะวิงตีกวาด (sweep) เหมือนตีหัวไม้ 1 ลูกจะมีแบ็กสปินน้อยเพราะร่องหน้าเหล็กแทบจะไม่ได้ทำงาน
ตี เวดจ์ให้มีแบ็กสปินเยอะต้องดาวน์สะวิงในลักษณะตีชันลงมา (descending blow) เพื่อให้หน้าเหล็กอัดลูกกับพื้น ในเวลาเดียวกันนั้นร่องหน้าเหล็กก็กัด (grab) ผิวลูกสร้างแบ็กสปินด้วย
เดฟ เพลซ์ บรมครูลูกสั้นทำวิจัยไว้ว่าลูกจะมีแบ็กสปินมากที่สุดถ้าตีโดนร่องหน้าเหล็ก ที่ 3, 4, 5, และ 6 โดยไล่เรียงระดับจากร่องที่ 3 ขึ้นไปหาร่องที่ 6
ลำดับร่อง 3 ถึง 6 ให้นับจากล่างขึ้นบน ร่องที่ 1 คือร่องที่อยู่ใกล้ฐาน (sole) มากที่สุด
มีคำถามว่าทำไมต้องตีให้โดน 4 ร่องคือ 3-4-5 และ 6 ?
คำ ตอบก็คือขอให้หยิบเหล็กเวดจ์อันไหนมาดูก็ได้แล้วมองที่หน้าเหล็ก จะพบว่าตำแหน่งของร่องหน้าเหล็กร่องที่ 3, 4, 5 และ 6 เป็นตำแหน่งสวีตสปอตพอดิบพอดี
เคล็ดลับการตีเวดจ์ให้มีแบ็กสปินเยอะ อีกประการหนึ่ง ก็คือยิ่งเดินหัวเหล็กเร็วเท่าไหร่ลูกก็จะยิ่งมีแบ็กสปินมากขึ้นเท่านั้น ดังเราจะเห็นเวลาฟิล มิคเคลสันเล่นชอตแก้ไขข้างกรีน ไม่ว่าจะตีจากหญ้าหรือจากทราย ถ้าเขาต้องการแบ็กสปินมาก เป็นพิเศษเพื่อให้ลูกหยุดเร็วที่สุด เขาจะดาวน์สะวิงเร่งหัวไม้เร็วจี๋เลยทีเดียว
แต่การเร่งหัวไม้เร็วจี๋โดยที่ลูกเดินทางในอากาศสั้นแค่ 5 หรือ 10 หลาเป็นเรื่องที่ต้องฝึกซ้อมอย่างจริงจังและทราบเทคนิคการตี
สำหรับ มืออย่างเราๆ เอาแค่ดาวน์สะวิงชันลงมาปะทะร่องหน้าเหล็กที่ 3-4-5 และ 6 ได้ทุกครั้งอย่างคงเส้นคงวาเพื่อนฝูงก็เดือดร้อนกันถ้วนหน้าแล้วครับ !
อ่านจากบทความแล้ว ต้องไปทดลองซ้อมดูนะครับ ผมสรุปปัจจัยที่สำคัญให้ละกัน 1. พวก Lob wedge 60 degree จะ spin ดีกว่า พวกที่ degree น้อยกว่า 2. Groove ที่เป็น Box groove น่าจะสปินดี ของผมน่าจะเป็น Box groove นะ เพราะร่องมันกว้างดีจัง กัดดีจริง ๆ 3. ผมใช้ Pro V1 อย่างเดียว เพราะเห็นคนอื่นทดสอบแล้ว ตัวนี้ spin ดีสุด หาซื้อง่ายสุด ประมาณ 3 ลูกร้อยขึ้นไป ก็โอเคครับ 4. วิธีการตีที่ชัน แล้วตอนอิมแพค ต้องไม่ snap หรือพลิกข้อมือ ให้ follow through ไปตรง ๆ ให้เกิด divot มือซ้ายทับมือขวาให้นานที่สุด หลัง Impact แล้ว มือซ้ายก็ยังทับมือขาวอยู่ อันนี้คือหัวใจเลยครับ
จากคุณ |
:
หรั่ง (Rangwai)
|
เขียนเมื่อ |
:
13 ก.ค. 52 16:55:39
|
|
|
|