 |
[Blues Column] - เชลซีในกลิ่นอายของพิซซ่า
|
|
อุไม!
และแล้วนิทานกล่อมเด็กเรื่องแจ็คผู้ฆ่ายักษ์นาม "เดอะ คลาเร็ตส์" ก็มาถึงช่วงพักโฆษณาที่สแตมฟอร์ด บริดจ์ตามคาดเลยนะครับ หลังจากกองทัพของโอเว่น คอยล์เดินทางมาปีนต้นถั่วที่เดอะ บริดจ์ ท่ามกลางความกดดันที่สื่อผู้ดีโยนไปให้โดยไม่ตั้งใจ ก่อนจะพบว่ายักษ์ตัวนี้ ใหญ่และเบิ้มเกินกว่าที่จะสร้างวีรกรรมอันลือลั่นเป็นนัดที่ 3 ติดต่อกัน
แต่ถ้าเกิดจับพลัดจับผลูทำได้ขึ้นมา รับรองเลยครับว่า "กระหึ่ม!!!"
สารภาพว่าตั้งแต่เปิดฤดูกาลมา นอกจากเชลซีที่ผมติดตามมาทุกนัด ก็มีแมนฯซิตี้ กับ เบิร์นลี่ย์นี่แหละครับที่ผมได้มีโอกาสนั่งชมด้วยความไม่ตั้งใจถึงทีมละ 2 นัดติดๆ
เบิร์นลี่ย์ภายใต้การกำกับการละเล่นโดย เฮียโอเว่น คอยล์ นั้นเป็นฟุตบอลในแบบฉบับอังกฤษโบราณ ผสมผสานกับโมเดิร์นฟุตบอล โดยเฮียแกมีทีเด็ดอยู่ที่จังหวะฉาบฉวย ซึ่งใช้ได้ผลมาตั้งแต่นัดเพลย์ออฟเลื่อนชั้น มาจนถึง 2 เกมล้มยักษ์ในบ้านล่าสุดนั่นแหละครับ
โดยจะว่าไปแล้ว เกมที่สแตมฟอร์ด บริดจ์นั้น ลูกทีมของคอยล์ไม่ได้เล่นอะไรผิดไปจากแผนที่ผู้เป็นกุนเชียง เอ้ย! กุนซือวางเอาไว้เลยนะครับ ตั้งรับให้แน่น ใช้คุณลุงเกรแฮม อเล็กซานเดอร์ ที่ฤดูกาลก่อนโชว์ความอึดด้วยลงล่าเนื้อให้เบิร์นลี่ย์ทุกนัด ทั้งที่วัยเลยเลขสามไปหลายเพลาแล้ว ลงทำหน้าที่คอยสกรีนบอลหน้าแผงแบ็คโฟร์ร่วมกับ คริส แม็คแกนน์ ก่อนจะไปหวังจากลูกฉาบฉวยอย่างที่ผมว่าเอาไว้เมื่อบรรทัดข้างต้นนั่นแล ซึ่งจะว่าไป ก็เกือบได้ผลด้วยนะครับ หากลูกยิงของมาร์ติน เพตเตอร์สัน ในช่วงครึ่งแรกที่ได้สบโอกาสล่อเป้าปีเตอร์ เช็คโล่งๆ แต่กลับยิงหลุดกรอบออกไปอย่างน่าเขกกะโหลก
ถ้าลูกนั้นวิ่งเข้าไปจูบที่ก้นตาข่ายของเชลซี ผมว่าเบิร์นลี่ย์น่าจะได้ความฮึกเหิมเพิ่มขึ้น พร้อมโยนความกดดันไปให้เชลซีแบบเลี่ยงไม่ได้เลยนะครับ
แต่ไฮไลท์ของเบิร์นลี่ย์ในเกมนี้ กลับเป็นนายทวารร่างเบอะ "ไบรอัน เยนเซ่น" ที่ผีตุ๋มติ๋มเข้าสิงหรือไงไม่ทราบ โชว์ฟอร์มระดับ 5 ดาว ปฏิเสธการทำลายล้างของเชลซีเน้ๆถึง 5 ครั้ง!
นับเฉพาะที่ผมเห็นจะจะคาตา ก็ตั้งแต่ตอนที่นิโก้หลุดเดี่ยว ที่ถึงแม้จะเป็นเพราะมือปืนเฟร้ช์แมนจับบอลยาวไปหน่อยก็จริง แต่ก็ต้องถือว่ายักษ์เดนส์แห่งเบิร์นลี่ย์ก็ออกจากซองมาข่มขู่ได้เร็วเหมือนกันด้วย
ไล่เรียงมาจนถึงลูกยิงด้วยอีซ้ายของ "กัปตันจอห์น" จากลูกเตะมุม ต่อด้วยลูกยิงของเอสเซียงหน้ากรอบเขตโทษถึง 2 ครั้ง ก่อนจะเหินหาวปัดลูกโหม่งของไกเซอร์น้อยช่วงท้ายครึ่งแรก ที่เกือบมุดเสียบใต้คาน เอาไว้ได้แบบชนะใจแฟนๆคลาเร็ตส์ไม่น้อย
ถึงแม้หลายๆคนจะมองว่า ผู้เล่นเชลซียิงไปตรงตัวของเยนเซ่นเองมากกว่า แต่ก็ต้องชมยักษ์เดนส์คนนี้ด้วยนะครับ ที่ยืนตำแหน่งได้ดีพอสมควรเลย หากเราสังเกตผู้รักษาประตูที่มีฝีมือในระดับแนวหน้าหลายๆคน เราจะสังเกตเห็นนะครับ ว่านายทวารเหล่านี้ จะมีการยืนตำแหน่ง หรือ Shot Stoping ที่ดีมากๆ ไม่ต้องบินไปบินมาเหมือนประตูที่มีเกรดรองลงไป อ่านเกมในจังหวะของคู่แข่งได้เฉียบ นั่นก็ช่วยให้ไม่ต้องออกแรงวิ่งไปมาระหว่างสองเสามากนัก ซึ่งตัวอย่างใกล้ๆก็คือเฮียเช็คของเชลซีไงครับ
กลับมาที่เกมในสนามกันอีกครั้ง เชลซีในยุคสมัยของคาร์เล็ตโต้ ยังคงเน้นที่เกมตรงกลางเหมือนที่แฟนบอลและตัวนักเตะเริ่มจะคุ้นชินกันบ้างแล้วนะครับ จอมทัพ 4 คนจาก 4 ชาติอย่าง เอสเซียง, บัลลัค, แลมพส์ และเดโก้ ลงสนามแบบพร้อมหน้าพร้อมตากันอีกครั้ง หลังจากเจ้าไบซัน และพี่ตั๊กบริบูณ์เมืองฝอยทอง ถูกถอดให้พักในเกมที่ไล่ตะปบฟูแล่มเมื่อสัปดาห์ก่อน โดยเกมนี้คาร์เล็ตโต้จัดให้ยืนในระบบต้นคริสต์มาสแบบหลวมๆ ซึ่งหมายความว่าสามารถปรับโหมดไปเล่นในระบบไดมอนด์ระหว่างเกมได้ด้วย
โดยทั้งนี้ อันเชลอตติแกบอกว่า แผนการเล่นจะออกมาแบบไหนก็ขึ้นอยู่กับการวางที่ทางของอเนลก้านะครับ ว่าจะปรับบทบาทให้ไปโลดแล่นอยู่ตรงไหน หากนิโก้ถ่างไปทางขวาก็จะเป็นระบบต้นคริสต์มาสโดยมีเดอะ ดร็อก ยืนห้อย (หมายถึงห้อยที่แดนหน้านะครับ ไม่ใช่ปาก) แต่หากหัวหอกเฟร้นช์แมนอยากหุบเข้ากลางมากขึ้นเพื่อประสานงานกับเจ้าดร็อก ตำแหน่งในการยืนจะค่อยๆหมุนไปที่ระบบไดมอนด์ตามกลไกของแผนการเล่น ที่เฮียอันเช่แกวางเอาไว้
ด้านหลังบ้าน น่าจะเป็นชุดใหญ่ในใจของเฮียอันเช่อย่างแท้จริง ไล่จากขวาไปซ้ายนะครับ โบซิงวา, คาร์วัลโญ่, เทอร์รี่ และ น้องแอ๊ด สามีคุณนายโคล ตามลำดับ ซึ่งเกมนี้ต้องบอกว่า นอกจากลูกยิงที่เพตเตอร์สัน ยิงหลุดกรอบไปเองลูกนั้น ก็แทบไม่มีจังหวะไหนเลยที่เด็กในคาถาของโอเว่น คอยล์ จะสามารถรุกรานหรือกดดันกำแพงหินแห่งเดอะ บริดจ์ ทั้งสี่ไปได้เลย
อย่างที่บอกนั่นแหละครับ เจ้ายักษ์เดนส์ของเบิร์นลี่ย์ช่วยรักษาพรหมจรรย์ของทีมเอาไว้ได้มากมายก็จริง แต่การมูฟเม้นท์ และการเข้าทำตามช่องในสไตล์อิตาเลียนจ๋าของเชลซี ก็ทำเอาทำนบของเบิร์นลี่ย์แตกเอาจนได้ แถมมาพังเอาในช่วงเวลาที่เหมาะสมของเชลซีเสียด้วยนะครับ
บอลตามช่องของเชลซีป่วนกำแพงของเบิร์นลี่ย์ได้มากทีเดียว ดร็อกบาเล่นแบบกระตือรือร้นมากอย่างที่ไม่เคยเห็นมาก่อนหลังการจากไปของมูรินโญ่ ขณะที่นิโก้ก็เคลื่อนที่เพื่อควานหาบอลอยู่ตลอดเวลา ทำให้กองหลังเบิร์นลี่ย์ยากต่อการประกบไม่น้อย
ประตูแรกที่ได้ ก็เริ่มมาจากการให้บอลทะลุช่องที่ยอดเยี่ยมมากๆของเอสเซียง ที่วันนี้เล่นเหมือนเป็นจุดศูนย์กลางของทีมอย่างแท้จริง เจ้าไบซันทั้งเก็บบอล, แย่งบอล และเป็นตัวกระจายบอลจากรับเป็นรุกได้ดีเอามากๆ อีกทั้งการที่เอสเซียงสลับดอกกับแลมพส์และบัลลัค ขึ้นไปป้วนเปี้ยนหน้ากรอบเขตโทษบ้าง ยิ่งช่วยให้โซนเพรสของเบิร์นลี่ย์ค่อยๆถูกกระเทาะไปทีละนิดๆ โดยไม่รู้ตัว เพราะการยืนตำแหน่งและเคลื่อนที่ของกองกลางทั้ง 4 ของเชลซีในเกมนี้ หาตัวจับยากจริงๆ
เดี๋ยวแลมพส์แล่บมาทางซ้าย เดี๋ยวไกเซอร์น้อยย้ายมาแทนที่เอสเซียง เผลอแผล่บเดียวเดโก้ทะลุขึ้นมาถึงหน้าประตูแล้ว หันกลับมาจะโต้กลับ ก็เจอตออย่างเจ้าไบซันเก็บบอลไว้ได้อีก คุมเกมในสนามได้ขนาดนี้ แถมเล่นในบ้านด้วย ต้องบอกว่าเบิร์นลี่ย์เหนื่อยไม่น้อยเลยล่ะครับ
หนำซ้ำ พอเสียประตู โอเว่น คอยล์เลือกที่จะลงมาแลกกับเชลซีในครึ่งหลัง แต่กลับกลายเป็นว่าคอยล์ขุดหลุมฝังลูกทีมตัวเองไปโดยไม่รู้ตัวเสียอย่างนั้น อย่างที่รู้อยู่ว่า เชลซีมีทีเด็ดในการเข้าทำตามช่อง การเปิดเกมรุกแลก ยิ่งทำให้แผงหลังของเบิร์นลี่ย์เปิดกว้างมากกว่าเดิม ก็ขนาดที่ว่าครึ่งแรกมาเน้นรับ ยังไม่แคล้วโดนลูกทีมของคาร์เล็ตโต้นวดตลอด 45 นาที แล้วจะไปนับประสาอะไรกับการเปิดเกมแลกเล่าครับ มีแต่ยิ่งทำให้เชลซีเล่นง่ายขึ้นและกองหลังของตัวเองเหนื่อยขึ้นก็เท่านั้น
อีกทั้งประตูที่สองของเชลซี ยังมาเกิดในช่วงเวลาที่เหมาะสมอีกแล้ว นั่นก็คือเข็มนาฬิกาครึ่งหลังพึ่งกระดิกไปได้แค่ 3 นาทีเท่านั้นเอง บอลเริ่มต้นมาจากนิโก้ที่แทงทะลุช่อง (อีกแล้ว) ให้กับแลมพส์คุงที่วิ่งแล่บเข้าไปในเขตโทษอย่างรวดเร็ว พร้อมกับบรรจงหยอดไปให้ไกเซอร์น้อยทิ้งตัวโหม่งระยะ 6 หลาเข้าไปจมที่ก้นตาข่ายอย่างไม่ยากเย็นนัก ก่อนจะตบท้ายด้วยการทำชิ่ง 1-2 ของแลมพส์กับโคลลี่ย์ ต่อหน้าต่อตากองหลังของเบิร์นลี่ย์เข้าไปกดด้วยอีซ้ายเน้นๆในอีก 5 นาทีให้หลังจากประตูที่สอง เน้นชนิดที่ว่าต่อให้เยนเซ่นผีเข้าขนาดไหน ก็หมดสิทธิ์เหมือนกันกับลูกยิงของแอชลี่ย์ โคล
ก่อนที่คาร์เล็ตโต้จะปิดเกม ด้วยการทยอยส่งผู้เล่นสำรองลงมาให้คุ้นชินกับระบบมากยิ่งขึ้น อีกทั้งการทุบเบิร์นลี่ย์ในเกมนี้ คงต้องบอกว่าเป็นไปตาม "มาตรฐาน" เท่านั้นนะครับ
ถึงจะฟอร์มแรงยังไง เชลซีก็ยังคงจะถูกตั้งเครื่องหมายคำถามต่อไปว่า เมื่อเจอทีมที่กระดูกแข็งกว่านี้ จะยังคงไล่ทุบไล่รังแกชาวบ้านเค้าแบบนี้ได้อีกหรือเปล่า?
แต่หากลองมองให้ลึกดู โปรแกรมในลีกช่วงต้นซีซั่นของเชลซีค่อนข้างเอื้อต่อคาร์เล็ตโต้ไม่น้อยเลย ทีมที่เชลซีลงประลองด้วยแต่ละทีม เหมือนจะค่อยๆเพิ่มระดับความยากมากขึ้นในทุกๆสัปดาห์ ยอมรับว่าเห็นเชลซีในเกมกับเรดดิ้ง (ปรีซีซั่น), แมนฯยูฯ (คอมมิวนิตี้ ชิลด์), ฮัลล์ ทั้ง 3 เกมนี้แล้วผมอดห่วงคาร์เล็ตโต้ไม่น้อยเลยนะครับ
ไดมอนด์ของแกเหมือนจะเป็นไดมั่วในหลายๆจังหวะ ตัวนักเตะยังไม่ซึมซับกับระบบเท่าที่ควร อาจเป็นเพราะระบบที่มูรินโญ่ใช้ มันฝังรากลึกเข้าไปการมูฟเม้นท์ของผู้เล่นเชลซี
แต่ด้วยความที่คาร์เล็ตโต้เป็นกุนซือที่มีจิตวิทยาสูงคนนึง การที่เขาปรับตัวเข้าหาทีม และทีมปรับตัวเข้าหาเขา มันค่อยๆเริ่มเห็นผลในรูปแบบของผลการแข่งขัน และทิศทางที่ดีขึ้นกับระบบใหม่มากขึ้นเรื่อยๆ กอปรกับความมุ่งมั่นที่พุ่งขึ้นมาจนแทบทะลักของเด็กดื้อทั้งสองหน่ออย่าง ดร็อกบา และ อเนลก้า นับว่าเป็นเรื่องดีๆ ที่ผมอยากเห็นจากทั้งสองคนนี้มากที่สุด เพราะนั่นหมายถึงปืนกลที่พร้อมรบอยู่ตลอดเวลา
ขณะที่แลมพส์ดูเหมือนจะถูกลดบทบาทในการทำประตูลงไป แต่ก็ถูกทดแทนด้วยแอสซิสต์งามๆ บวกกับเซนส์ของแฟนบอลที่เหนียวแน่นคนนึงของทั้งเชลซี ,แลมพส์คุง และเฮียคาร์เล็ตโต้ มันกระซิบบอกครับว่าอะไรๆกำลังลงตัวขึ้นเรื่อยๆ
ทุกวันนี้มาตรฐานของแชมป์พรีเมียร์ลีกถูกดันให้สูงขึ้นกว่าแต่ก่อนมาก (ซึ่งคนที่ทำให้เป็นอย่างนั้น ก็คือเชลซีนี่เองแหละ แหะๆ) ดังนั้น 3 แต้มจากทีมที่ต้องเก็บให้ได้อย่างนี้ ถือว่าสำคัญมาก
ดังนั้น ถึงใครจะมาถากถาง, ปรามาส หรือองุ่นเปรี้ยวอะไรก็ตามแต่ ผมและแฟนๆสิงห์บลูส์ กำลังเชื่อครับ...... เชื่อว่าเชลซี และ คาร์โล อันเชลอตติ กำลังเดินมาถูกทาง และเดินมาด้วยแรงใจที่ต้องการลบคำสบประมาททั้งหลายแหล่ด้วย.
จากคุณ |
:
เทอร์รี่คุง
|
เขียนเมื่อ |
:
31 ส.ค. 52 12:51:05
|
|
|
|  |