 |
ความคิดเห็นที่ 11 |
เมื่อ ช่วงสุดสัปดาห์ที่ผ่านมา แม้ยังไม่ใช่นัดปิดท้ายฤดูกาลของฟุตบอล กัลโช่ เซเรียอา อิตาลี แต่ก็ถือว่ามีความสำคัญไม่น้อยต่อ เปาโล มัลดินี่ ทั้ง นี้ เพราะนัดดังกล่าวถือเป็นการลงสนามครั้งสุดท้ายในถิ่น ซาน ซิโร่ ของนักเตะวัยย่าง 41 ปี ก่อนจะแขวนสตั๊ดกับ เอซี มิลาน ทีมรักที่ค้าแข้งมานานถึง 24 ปี อย่างไรก็ตาม มัลดินี่ไม่ได้ต้องการให้มีการจัดงานเลี้ยงอำลาเป็นพิเศษ โดยเขาขอแค่ใช้เวลาอำลากับทุกๆ คน ใน 2 นัดสุดท้ายของตัวเองเท่านั้น นั่นคือการอำลาแฟนบอลของสโมสรที่รักและชื่นชอบในตัวเขา ในนัดรองสุดท้ายที่ซาน ซิโร่ ส่วนนัดปิดฤดูกาลที่จะไปเยือนฟิออเรนติน่าในสุดสัปดาห์นี้ มัลดินี่หวังจะใช้เป็นนัดสั่งลาต่อ สหพันธ์ฟุตบอลอิตาลี ที่เขาได้มีส่วนร่วมในการรับใช้ทีมชาติมานานถึง 14 ปี แต่ ดูเหมือนว่าการปิดฉากอาชีพค้าแข้งของกัปตันทีมมิลานที่สนามเหย้าของตัวเองจบ ไม่สวยเท่าไหร่นัก เมื่อต้นสังกัดถูกทีมคู่แข่งโรม่าบุกมาชนะ 3-2 จากประตูชัยของ ฟรานเชสโก้ ต๊อตติ กัปตันทีมคู่แข่ง ขณะที่ แฟนบอลกลุ่มหนึ่งก็ทำให้ภาพความทรงจำของมัลดินี่ต้องมัวหมอง เมื่อมีเสียงโห่ร้องมาจากบนอัฒจันทร์ทางฝั่งทิศใต้ และยังมีป้ายผ้าที่เขียนข้อความในเชิงที่ไม่ให้เกียรติกันอย่างมากด้วย อาทิ "25 ปีที่เล่นให้ทีมมา นายเคยขอบคุณคนที่นายเรียกว่าเป็นคนโลภและเห็นแก่เงินบ้างหรือเปล่า"และ "(พวกเรา) มีกัปตันทีมแค่คนเดียวเท่านั้น, (ฟรังโก้) บาเรซี่" โดยมีบางคนกางเสื้อของมิลานที่มีเบอร์เสื้อหมายเลข 6 ของบาเรซี่ไว้ด้วย ทั้งนี้ กลุ่มแฟนบอลดังกล่าวเรียกตัวเองว่า "อุลตร้าส์" ผูกใจเจ็บมัลดินี่มาตั้งแต่ที่โดนกัปตันทีมมิลานจวกกลับ หลังจากรวมตัวกันรุมประณามนักเตะของทีมที่ชวดแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ลีก ในปี 2005 นั่นเอง แต่ถึงกระนั้นก็เป็นเพียงส่วนน้อยนิดเท่านั้น เมื่อเทียบกับแฟนบอลของทีมที่ชื่มชมและเคารพในตัวของมัลดินี่ เพราะกัปตันทีมผู้นี้ค้าแข้งกับทีมมานานตั้งแต่ปี 1985 และประสบความสำเร็จร่วมกับทีมมานับไม่ถ้วน ขณะที่ในนามทีมชาติ อิตาลี มัลดินี่ก็ถือเป็นกองหลังชุดที่ดีที่สุดของทีมอัซซูรี่ โดยผนึกกำลังกับบาเรซี่, เมาโร ตาสซ็อตติ และ อเลสซานโดร คอสตาคูร์ต้า จนแผงรับแข็งแกร่ง และช่วยให้ทีมชาติอิตาลีไม่เสียประตูยาวนานที่สุดถึง 929 นาที และด้วยความที่รับใช้ทีมชาติมายาวนานถึง 14 ปี ก่อนจะประกาศเลิกเล่นหลังจบศึกฟุตบอลโลก ปี 2002 แฟนบอลจึงอยากให้มัลดินี่ได้ติดทีมชาติอีกสักครั้ง เพื่อเป็นการอำลาสนามกับแฟนๆ และมีการเรียกร้องมัลดินี่กลับมามีชื่อติดทีมอีกครั้ง อย่าง ไรก็ตาม แม้จะเดินตามรอยเท้าของผู้เป็นพ่อ เชซาเร่ มัลดินี่ อดีตกัปตันทีมมิลาน ในเส้นทางของการเป็นนักเตะอาชีพ แต่เจ้าตัวไม่คิดจะเจริญรอยตามด้วยการเป็น โค้ช เหมือนอย่างพ่อในอนาคต แต่ ก็คงปฏิเสธไม่ได้ที่จะทำหน้าที่โค้ชกลายๆ ให้กับลูกชายของตัวเอง ซึ่งตอนนี้ คริสเตียน ลูกชายวัย 13 ปี ก็เล่นให้ทีมมิลานกับทีมชุดเยาวชนอยู่ด้วย ขณะที่ ดานิเอล ลูกชายคนที่สาม ก็ดังแบบฉุดไม่อยู่ เมื่อมีกว่า 1 ล้านคนที่คลิกเข้าไปดูคลิปวิดีโอลีลาการลากเลื้อยของเขาในยูทูบ งาน นี้ แม้ว่าจะหมดจากรุ่นปู่ รุ่นพ่อไปแล้ว แต่ในอนาคตข้างหน้า ก็เชื่อว่าจะมีรุ่นหลานในตระกูล "มัลดินี่" มาโลดแล่นอยู่กับทีมมิลานให้แฟนบอลได้หายคิดถึงกันอยู่ดี! ประวัติและความสำเร็จของ "เปาโล มัลดินี่" เกิด : 6 มิถุนายน 1968 สโมสร : เอซี มิลาน (1985-2009) ลงสนามนัดแรก : มิลาน - อูดิเนเซ่ (20 ม.ค. 1985) ลงสนาม : 901 นัด (ถึงวันที่ 24 พ.ค. 2009) เกียรติประวัติ (แชมป์) แชมเปี้ยนส์ลีก : 1989, 1990, 1994, 2003, 2007 กัลโช่ เซเรียอา : 1988, 1992, 1993, 1994, 1996, 1999, 2004 ฟุตบอลโลก : 2007 อินเตอร์คอนติเนลตัล คัพ : 1989, 1990 ยูโรเปี้ยน ซุปเปอร์คัพ : 1989, 1990, 1994, 2003, 2007 อิตาเลียนคัพ : 2003 อิตาเลียน ซุปเปอร์คัพ : 1988, 1992, 1993, 1994, 2004 ทีมชาติ : อิตาลี ลงสนามนัดแรก : อิตาลี - ยูโกสลาเวีย (31 มีนาคม 1988) ลงสนามนัดสุดท้าย : อิตาลี - เกาหลีใต้ (18 มิถุนายน 2002) ติดทีมชาติ : 126 นัด (สถิติสูงสุดของอิตาลี) ทำประตู : 7 ประตู กัปตันทีม : 74 นัด ติดทีมชุดอายุไม่เกิน 21 ปี : 12 นัด ทำประตู : 5 ประตู เกียรติประวัติ ฟุตบอลโลก : 1990 (อันดับ 3), 1994 (รองแชมป์), 1998 (รอบก่อนรองชนะเลิศ), 2002 (รอบ 16 ทีมสุดท้าย) ฟุตบอลยูโร : 1988 (รอบรองชนะเลิศ), 1996 (รอบแรก), 2000 (รองแชมป์)
จากคุณ |
:
jma
|
เขียนเมื่อ |
:
17 ต.ค. 52 13:57:48
|
|
|
|
 |