 |
[Blues Column] - เชลซีหน้าบี สุนทรีย์ไม่แพ้หน้าเอ
|
|
อีกเพียงแค่นัดเดียว จอห์น เทอร์รี่ก็จะเดินหน้าเข้าสู่เลขสาม (ร้อย) ในฐานะผู้นำทีมเชลซีแล้วนะครับ
นับว่าไม่ใช่เรื่องง่ายเลย สำหรับใครซักคนที่จะสารถยืนหยัดบนตำแหน่งที่มีความกดดันสูงกับสโมสรเพียงสโมสรเดียวขนาดนี้ ได้นานขนาดนั้น เท่าที่ความทรงจำพอจะขุดคุ้ยออกมาจากกล่องความทรงจำได้ เห็นจะมีเพียง "ฟรังโก้ บาเรซี่" และ "เปาโล มัลดินี่" จากซาน ซิโร่เท่านั้นที่ทำสำเร็จ ดังนั้น หากวันนี้ผมไม่หยิบมาละเลงคีย์บอร์ดถึง กลัวว่าจะเป็นการผิดบาปต่อกัปปิตันของเราไม่ใช่น้อยเลย
ขอเยวแบบลูกเสือสามัญรุ่นใหญ่ บ้านหนองขาหย่างดังๆซักสามทีเพื่อสดุดีนะครับว่า "เยี่ยมจริงๆ!! เยี่ยมจริงๆ!! เยี่ยมจริง!!"
ทีนี้มาว่าถึงเกมเมื่อคืนวันเสาร์ที่ผ่านมากันบ้าง เชลซีต้องลงเล่นโดยปราศจากผู้เล่นระดับคีย์แมนไปหลายคนเลยทีเดียวนะครับ ไม่ว่าจะเป็นแลมพาร์ด, บัลลัค, เดโก้, โบซิงวา ,ชีร์คอฟ รวมไปถึงจอมสำออยในทรรศนะของบอ. บู๋ อย่างดิดิเย่ร์ ดร็อกบา นั่นก็ด้วย ( โทษฐานที่เสนอหน้า (อก) ไปให้เค้าถีบเอาเอง แถมยังมีหน้ามาดิ้นพราดๆเป็นไส้เดือนโดนน้ำร้อนลวกอีกต่างหาก สมควรแล้วครับที่โดนนักข่าวจากเมืองไทยล้ออยู่สามสี่วัน )
ดังนั้น อันเชลอตติจึงต้องหยิบเหล่าผู้เล่นจากทีมสำรอง และทีมเยาวชนขึ้นมาป้วนเปี้ยนในทีมชีตตัวจริงอยู่หลายคนทีเดียว ไล่ตั้งแต่การใส่อเล็กซ์ กับ เบลเลตติ ลงสนามแทน คาร์วัลโญ่ และ โบซิงวาตามลำดับ ขณะที่แดนกลางยังคงยึดมั่นกับระบบไดมอนด์เหมือนเดิมไม่เปลี่ยนแปลง ที่เปลี่ยนไปก็มีเพียงแค่ใส่เอสเซียง- เซียนยิงไกลลงเล่นในตำแหน่งของแลมพาร์ด แล้วจับมิเคลลงยืนเป็นฐานเพชร โดยสั่งการให้เอสเซียงคอยช่วยประคองมิเคลด้วยอีกแรง ซึ่งผลลัพธ์ที่ออกมา ปรากฏว่าแค่เอสเซียงกับมิเคล เล่นเอากองกลาง 5 คนของวูลฟส์งอมพระรามงามไส้กันเลยทีเดียว
กองกลางทั้งสี่คนของเชลซีในเกมนี้ เล่นเพรสซิ่งกันแทบจะทุกจังหวะ ราวกับทีมที่ต่อสู้ด้วยเป็นทีมระดับท็อปจากยุโรป ซะอย่างนั้นเลยนะครับ ซึ่งต้องบอกว่า การที่นักเตะทุกคนของเชลซีเล่นบอลด้วยทัศนคติแบบนี้นั้น นอกจากจะทำให้เกิดความบีบรัดและความอึดอัดตรงพื้นที่บริเวณกลางสนามให้กับคู่ต่อสู้แล้ว ยังช่วยให้แท็คติคที่อาคันตุกะวางมานั้น แทบจะแหลกละเอียดไปในทันที
มิเคล กับ เอสเซียงแทบไม่ปล่อยให้กองกลางของทีมหมาป่าได้ครองบอลโดยสะดวกเลย ไหนจะมีมาลูด้า กับโคลน้อยคอยมาป้วนเปี้ยน คอยแซะ คอยตอดอยู่ตลอดเวลาอีกต่างหาก นั่นยิ่งทำให้นักเตะของวูลฟส์เล่นตามแท็คติคที่วางมายากกว่าเดิมอีกพะเรอเกวียน ก่อนทำนบจะแตก เพราะมิสไซล์จากอีซ้ายของมาลูด้า ในนาที่ 5 เท่านั้นเอง
ขณะที่นิโก้ ก็ไม่ได้ทำตัวเป็นกองหน้าอย่างที่ได้รับมอบหมายซักเท่าไหร่เลยนะครับ มือปืนตัวอาร์ตคนนี้ วิ่งสลับดอกไปมาระหว่างหน้าเขตโทษ กับ ริมเส้นด้านขวาอย่างสนุกสนาน มันยิ่งช่วยตอกย้ำให้เห็นอีกครั้งว่า อเนลก้าในปีนี้พัฒนาด้านทัศนคติในการเล่นฟุตบอลไปอีกขั้นแล้ว คือสามารถจบสกอร์ พร้อมๆกับเป็นจอมแอสซิสต์ได้ในเวลาเดียวกัน ไม่แปลกนะครับ หากต่อแต่นี้ไป อนลก้าจะเป็นนักเตะอีกคนที่เชลซีไม่สามารถขาดได้เลย
ถึงแม้สกอร์จะขาดลอย พร้อมกับฟอร์มการเล่นที่เฉียบขาดบาดใจของผู้เล่นตัวจริงปะปนกับตัวสำรองถึงเกือบครึ่งทีม จะน่าพูดถึงก็จริง แต่การปรากฏตัวของเด็กมีปัญหาทั้งสามคนต่อไปนี้ต่างหาก ที่ผมอยากจะละเลงคีย์บอร์ดถึงมากกว่าฟอร์มการถล่มประตูที่เป็นไปตามมาตรฐานในระยะหลังอยู่แล้ว
ขอไล่ตั้งแต่เจ้าหนูกากูต้าก่อนเลยละกัน เด็กคนนี้มีเฟิร์สท ทัช กับการเล่นฟุตบอลที่เนียนตาและโตเกินวัยพอสมควรเลยทีเดียว ทรงบอลที่ออกมาเป็นประเภทหวือหวา และมีทักษะที่แน่นกับการทะลุทะลวงที่น่าตื่นตาตื่นใจเป็นจุดขาย ช็อตที่เตะตาจนปูดบวม น่าจะเป็นสัมผัสแรกที่หลอกจะเปิดเข้ากลาง แต่ตลบหลังล็อคเข้าในก่อนจะยิงเข้าข้างตาข่ายแบบน่าเสียดายเป็นที่สุด
ลูกนั้นทำเอาแฟนๆหลังประตูครางฮือ ปรบมือกันลั่นเดอะ บริดจ์เลยทีเดียว
จังหวะนี้ อยากบอกว่าเป็นไฮไลท์ที่ติดตาผมมากเลยครับ สำรับเจ้าหนูวัย 18 ที่สร้างปัญหาให้เชลซีในตลาดนักเตะอยู่ในเวลานี้ ไม่ใช่แค่สเต็ปบอลที่คล่องและมีไหวพริบดีเท่านั้นนะครับ การเคลื่อนที่ของกากูต้ายังดูลงตัว และไม่เป็นตัวถ่วงเพื่อนร่วมทีม แถมยังมีการเล่นลูกส้นหลอกกองหลังวูลฟส์ที่บริเวณริมเส้นให้เห็นอีกด้วย หรือจะเป็นลูกยิงไกล จากการเคาะบอลกับบอรินี่ ที่เฉี่ยวตาข่ายไปไม่ถึงคืบนั่นก็น่าพูดถึง
สไตล์ของกากูต้า หากใครไม่ได้ดูแล้วนึกไม่ออกว่าเป็นยังไง ให้หลับตาแล้วนึกถึงสเต็ปบอลแบบไรท์ ฟิลลิปส์นะครับ แต่เป็นการเล่นด้วยเท้าซ้ายแทน นั่นแหละครับ กาแอล กากูต้า!!!
ด้านเจ้าชายเซิร์บอย่าง "เนมานย่า มาติซ" ที่ถูกส่งลงมาเป็นคนที่สองนั้น ดูเผินๆเหมือนไม่มีอะไร ได้แต่เคาะบอลไปมา แต่ถ้ามองดูดีๆ จะเห็นว่าในบรรดาทั้งสามคนที่อันเชลอตติส่งลงสนามมานั้น เนมานย่า มาติซ นั้นหล่อที่สุดนะครับ!!!
เอ้ย! ไม่ใช่ ผมจะบอกว่า เจ้าชายเซิร์บมาติซนั้น น่าจะแทรกเข้ามาในชุดใหญ่ได้ในเร็ววันนี้แน่ เพราะการอ่านเกม และการออกบอลของมาติซไม่มีหลุดเลยนะครับ ถึงจะเป็นแค่การเล่นกับทีมอย่างวูลฟส์ก็ตาม แต่เซนส์บางอย่างมันบอกว่าเด็กคนนี้ มีทรงบอลที่เหมาะกับระบบไดมอนด์พอสมควร อาจเข้าทำนองไม่หวือหวา แต่สารพัดประโยชน์น่ะครับ รอลุ้นยาวๆได้เลย สำหรับเจ้าชายเซิร์บคนนี้
คนสุดท้ายที่ลงมาเขย่าเดอะ บริดจ์ ก็คือ "ฟาบิโอ บอรินี่" ดาวซัลโวสูงสุดในทีมเยาวชนเมื่อซีซั่นที่ผ่านมา เจ้าหนูอิตาเลียนรายนี้ แฟนๆเชลซีได้เห็นกันมาบ้างแล้ว อย่างน้อยๆก็ในเกมที่ชนะสเปอร์สเมื่อต้นฤดูกาล แต่สำหรับในเกมนี้ เจ้าหนูบอรินี่ลงเล่นได้เป็นธรรมชาติกว่าเกมนั้นพอสมควร
ส่วนหนึ่งน่าจะเป็นเพราะว่าสกอร์ขาด แถมยังได้เล่นกับเพื่อนๆจากชุดเยาวชนอย่างกากูต้า และมาติซ ด้วย
ผลงานของบอรินี่เข้าขั้นไม่ได้ไม่เสีย มีการประสานงานสวยๆกับคนอื่นๆหลายจังหวะ แต่อิทธิพลที่มีต่อเกมยังไม่มากเท่ากับกากูต้า หรือมาติซ ทางเดียวที่บอรินี่จะกระโดขึ้นมาชุดใหญ่ได้เร็วๆ นั่นก็คือเมื่อได้โอกาสลง ต้องรีบยิงให้ได้เร็วที่สุดนะครับ
ผมเชื่อว่า ถ้าบอรินี่ยิงประตูแรกให้ทีมชุดใหญ่ได้เมื่อไหร่ โอกาสต่อๆไปของเขาจะเดินทางมาถึงอย่างสม่ำเสมอแน่นอน ถ้าไม่อยากหายต๋อมเหมือนดิ ซานโต ต้องรู้จักเห็นแก่ตัวกว่านี้ สำหรับบอรินี่
เห็นเชลซีชุดสองลงเล่น ก็มีความสุขไปอีกแบบนะครับ อย่างน้อยๆการได้เห็นเด็กๆจากทีมเยาวชนขึ้นมาเล่นบ้าง ก็ให้ความหฤหรรษ์ในการดูบอลไปอีกแบบ
โปรแกรมต่อไปของสิงห์บลูส์ คือการลงเล่นดาร์บี้ แมตช์ กับขุนพลยัง กันส์ ที่เอมิเรสต์ สเตเดี้ยม ครั้งล่าสุดที่พบกัน เชลซีของเราเอาชนะอาร์เซน่อลไปได้ถึง 4-1 เชียวนะครับ
ในวันนั้น กุส ฮิดดิ้งค์ ยังยืนกำกับการละเล่นของขุนพลสีน้ำเงินอยู่ที่ข้างสนามอยู่เลย แถมยังมีอันเชลอตติ แอบมานั่งศึกษาวิธีกำราบเหล่ายังกันส์ ถึงขอบสนามอีกด้วย.
ปล. วันนี้เขียนไม่ค่อยลื่น อ่านอาจติดขัดไปบ้าง งานมันยุ่ง ติติงกันได้นะครับ
จากคุณ |
:
เทอร์รี่คุง
|
เขียนเมื่อ |
:
23 พ.ย. 52 13:54:10
|
|
|
|  |