Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
"ตรานี้...มีที่มา" แฟนอาร์เซนอล  

รู้หรือไม่ครับว่า ตราสโมสร ของแต่ละสโมสรมีที่มาที่ไปอย่างไรบ้าง เช้าวันพุธที่แสนจะสดใสด้วยแสงแดดจัดจ้าและท้องฟ้าสีสวยจนน่าจะถ่ายรูปเก็บเอาไว้ดูยามเหงา ผมเข้ามาที่ทำงานเช้ากว่าปกติเปิดเว็บเราดูก่อนเลยเป็นอันดับแรก เห็นจำนวนสมาชิกที่เพิ่มขึ้นทุกวันก็น่าชื่นใจครับ ในวันที่ไม่มีข้อมูลอะไรจะเขียน กำลังคิดว่าจะเขียนเรื่อง Passion ในเกมฟุตบอลดีหรือไม่เพราะคิดเรื่องนี้มาหลายวันแล้ว พูดไปก็แปลกนะครับ Passion ความรู้สึกที่มองไม่เห็น สัมผัสได้ยาก แต่ช่างเป็นอะไรที่ยิ่งใหญ่เหลือเกินในเกมฟุตบอล ว่ากันว่าถ้านักเตะขาด Passion การเล่นก็จะออกมาแกนๆ แล้วไอ้ Passion มันคืออะไร มีคนถาม ถ้าแปลตรงๆตามดิกชันนารี่ที่มีขายอยู่ทั่วไปทั้งแบบพูดได้และพูดไม่ได้ คำว่า Passion หมายความว่า ความลุ่มหลง, กิเลส, ตัณหา และอื่นๆอีกแต่ถ้ามาอยู่ในเกมฟุตบอล ผมคิดว่านิยามที่ดีที่สุดสำหรับคำว่า Passion นั่นคือความมุ่งมั่น, ความลุ่มหลงในกลิ่นสาบลูกหนัง แฟนบอลที่มี Passion มากๆ อินไปกับเกมเราอาจจะเรียกพวกเขาว่า Hooligan (แนะนำให้ไปหาภาพยนตร์เรื่อง Green Street Hooligan มาชมครับ)



แต่ถ้าติดตามชีวิตของแฟนบอลเหล่านั้นให้ดี มันมีอะไรมากกว่าการเป็นอันธพาลลูกหนังนะครับ

นอกเรื่องไปเยอะแล้ว กลับเข้ามาถึงเรื่องที่ตั้งใจจะเขียนในวันนี้ดีกว่า ส่วนเรื่อง Passion ขอเวลาหาข้อมูลอีกนิดนึงแล้วจะเข็นออกมาให้อ่านกันแน่นอนครับ เรื่องของเรื่องก็คือ เปิดเว็บอาร์เซนอลอ่านข่าวความเคลื่อนไหวล่าสุด เห็นที่น่าสนใจก็คือ เวนเกอร์ประกาศว่าจะกระโจนเข้าสู่ตลาดซื้อขายรอบ 2 แน่นอนแล้วครับ หลังจากที่ต้องเสีย โรบิน ฟาน เพอร์ซี่ไปถึง 5 เดือนแล้วนักเตะที่มีอยู่ดันทำผลงานได้ไม่เข้าเป้า เวนเกอร์เลยจำเป็นต้องหาอะไหล่เข้ามาเสริม ไม่เช่นนั้นกลายเป็นปืนด้านแน่ๆ ก็รอดูกันครับว่าเวนเกอร์จะจิ้มเอาใครมาเข้าก๊วน หลังจากที่อ่านอะไรไปเรื่องเปื่อย มาสะดุดตาตรงคอลัมถ์หนึ่งในเว็บชื่อว่า “The Arsenal Crest : The history behind our crest” แปลเป็นไทยสไตล์มิสเตอร์เอ็กซ์ก็คือ “ไอ้ปืนใหญ่ : ความหมายหลังกระบอกปืน”



เรื่องมันเริ่มตั้งแต่ปี 1888 สองปีหลังจากที่มีการก่อตั้งสโมสรขึ้นมา ทางสโมสรก็ได้มีการออกตราสโมสรแรกขึ้นมาซึ่งก็รูปแบบก็ลอกออกมาจากตราของ The Borough of Woolwich ซะเป็นส่วนใหญ่เนื่องจากสโมสรอาร์เซนอลในตอนนั้นจนถึงปี 1913 วนเวียนเล่นตามสังเวียนในแถบนั้นอย่างเช่นที่ พลัมสตีด คอมมอน, สปอร์ตสแมน กราวนด์, มานอร์ กราวนด์, อินวิคตา กราวนด์, และกลับมาที่ มานอร์ กราวนด์อีกครั้งก่อนที่จะข้ามห้วยมายังลอนดอนและปักหลักอยู่ที่ ไฮบิวรี่ ก่อนที่จะย้ายมาที่แอชเบอร์ตัน โกรฟกับบ้านใหม่นามว่า เอมิเรตส์ สเตเดี้ยมเมื่อไม่กี่ปีมานี้ ตราสโมสรอันแรกสุดประกอบไปด้วยรูปที่ดูคล้ายๆกับเสา 3 ต้น แต่อันที่จริงแล้วนั่นคือกระบอกปืนใหญ่ (ภาพหมายเลข 1)



ซึ่งความหมายนั้นก็เป็นเนื่องมาจากประวัติศาสตร์อันยาวนานในด้านการทหารของพื้นที่แถบ โบโร่ ออฟ วูลวิช อย่างเช่นคลังแสงปืนใหญ่, กองกำลังทหารหน่วยปืนใหญ่และรงพยาบาลของเหล่าทัพอีกมากมายในแถบนั้น รูปกระบอกปืนใหญ่ตามตราสโมสรดั้งเดิมก็ได้ถูกนำมาประยุกต์อย่างต่อเนื่องแม้ว่า อาร์เซนอลจะย้ายออกจากแถบ โบโร่ ออฟ วูลวิช แล้วในปี 1913 ก็ตามที ในยุคแรกๆนั้นตราสโมสรยังไม่ใช่สิ่งสำคัญนักนะครับ เสื้อแข่งส่วนใหญ่จึงออกมาแบบพื้นๆนอกเสียจากว่าเป็นการแข่งขันนัดสำคัญอย่าง รอบชิงเอฟเอคัพ ดังนั้นตราสโมสรจึงมักจะปรากฏอยู่แค่บนหนังสือโปรแกรมการแข่งขัน หรือกระดาษหัวจดหมายของสโมสรเท่านั้น หลังจากที่ย้ายมาที่ลอนดอนในปี 1913 ทางสโมสรก็ไม่ได้อยากที่จะสานต่อตำนานของทีม วูลวิช อาร์เซนอลเท่าไหร่นัก นับว่าอยากจะหาตราสโมสรแบบใหม่มากกว่า ด้วยการตัดชื่อ “วูลวิช” ออก คงเหลือแต่แค่ชื่อ “อาร์เซนอล” เท่านั้น แต่แล้วสงครามก็เข้ามาทำให้บรรยากาศการแข่งขันฟุตบอลในยุโรปต้องเงียบเหงาไปถึง 4 ปี และเริ่มต้นกลับมาแข่งอีกครั้งในปี 1919 และในระหว่างนั้นก็ไม่ได้มีการออกตราสโมสรใหม่ออกมาเลยจนกระทั่งเกมกับเบริน์ลีย์ในฤดูกาล 1922/23 ตราสโมสรอันใหม่ก็ได้ถูกนำออกมาอวดโฉม (ภาพหมายเลข 2)

กระบอกปืนใหญ่ที่น่าเกรงขามซึ่งเป็นสิ่งที่น่าภาคภูมิใจของชาว วูลวิช อาร์เซนอลเป็นอย่างมาก แต่อย่างไรก็ดี รูปกระบอกปืนใหญ่ที่หันปากกระบอกไปยังทิศตะวันออกก็ถูกใช้อยู่แค่ 3 ฤดูกาลเท่านั้น ในฤดูกาล 1925/26 ตราสโมสรก็ได้ถูกเปลี่ยนแปลงไปอีกครั้ง คราวนี้กระบอกปืนเล็กลงและหันปากกระบอกปืนไปทางทิศตะวันตกแทน(ภาพหมายเลข 3)



รูปปืนใหญ่ที่เล็กลงนั้นไม่มีใครทราบที่มาว่ามาได้อย่างไร แต่สันนิจฐานว่าน่าจะมาจากตราที่หน้าประตูของหน่วยทหารปืนใหญ่ที่ วูลวิช(ภาพหมายเลข 4)

ตราสโมสรอันที่ 3 อยู่กับอาร์เซนอลยาวนานถึง 17 ฤดูกาลซึ่งในตลอด 17 ฤดูกาลนั้นมีการเปลี่ยนแปลงเล็กน้อย ตัวหนังสือใต้ตราสโมสรค่อยๆเลือนหายไปจนกระทั่งกลายมาเป็น Victoria Concordia Crescit ในปี 1949และก็เป็นประโยคที่ใช้มาจนถึงปัจจุบัน และตราสโมสรแบบที่ 4 ก็ได้เกิดขึ้นและได้ถูกเริ่มนำมาใช้ตั้งแต่เกมแรกของฤดูกาล 1949/50(ภาพหมายเลข 5)



ซึ่งจะเห็นได้ว่า ประโยคที่ว่านั้นติดอยู่ในความทรงจำของบรรดาแฟนๆของอาร์เซนอล 1 ปีก่อนหน้านั้นในวันสุดท้ายของฤดูกาล 1947/48 ที่อาร์เซนอลสามารถคว้าแชมป์ลีกได้และบรรณาธิการของหนังสือโปรแกรมการแข่งขันในวันนั้น แฮร์รี่ โฮเมอร์ ก็ได้เขียนเอาไว้ในหนังสือว่า “ในความคิดของผม ผมอยากจะหาคำนิยามให้แก่ปีที่ยอดเยี่ยมของ ทอม วิทเทคเกอร์, โจ เมอร์เซอร์, และผู้เล่นทั้งหลายสำหรับฤดูกาลที่ยิ่งใหญ่ เราลองใช้ประโยคภาษาลาตินกันดีไหม? Victoria Concordia Crescit ซึ่งหมายความว่า “ ชัยชนะเกิดขึ้นจากความสามัคคี” และ 2 ฤดูกาลหลังจากนั้น อาร์เซนอลก็ได้เปิดตราสโมสรอันใหม่ขึ้นซึ่งได้รวมเอาประโยคภาษาลาตินของ โฮเมอร์ เข้าไว้ด้วยซึ่ง ทิม วิทเทคเกอร์ได้บอกเอาไว้ในหนังสือโปรแกรมของฤดูกาล 1949/50ว่า พวกเขารู้สึกประทับใจในประโยคของโฮเมอร์ และสโมสรก็ได้รับเอาเข้ามาทำเป็นตราสโมสร และตราสโมสรแบบใหม่ก็ได้เปลี่ยนตัวหนังสือชื่อ อาร์เซนอล ให้เป็นในรูปแบบการเขียนแบบ โกธิค รวมไปถึงยังคงรักษารูปปืนใหญ่เอาไว้แล้วรวมเอาตราประจำเมืองอิสลิงตันเข้าไว้ด้วยหลังจากนั้นอีก 53 ปีตราสโมสรก็แทบจะไม่ได้มีการเปลี่ยนแปลงอีกเลย จนกระทั่งในฤดูกาล 2001/2002 ก็ได้มีการทำตราใหม่ให้ดูเรียบร้อยขึ้นเนื่องจากเหตุผลทางการโฆษณาด้วยการเปลี่ยนมาใช้สีเหลืองแทนที่สีทองและตัวหนังสือก็เขียนให้อ่านง่ายขึ้น(ภาพหมายเลข 7)

จากนั้นก็เกิดการเปลี่ยนแปลงอีกครั้งซึ่งเป็นครั้งล่าสุดที่มีการเปลี่ยนแปลงตราสโมสรเนื่องมาจากว่าทางสโมสรไม่สามารถจดทะเบียนตราเก่าได้ และอีกสาเหตุหนึ่งก็มาจากการที่สโมสรมุ่งหวังที่จะก้าวเดินต่อไปข้างหน้าและเนื่องจากความเปลี่ยนแปลงของอาร์เซนอลที่เริ่มเข้ามาในตอนนั้นไม่ว่าจะเป็นการย้ายบ้านครั้งสำคัญจากที่ ไฮบิวรี่ ไปสู่เอมิเรตส์ สเตเดี้ยม และการได้ออกไปเล่นเกมยุโรปมากขึ้นทางสโมสรจึงเห็นว่าน่าจะถึงเวลาแล้วที่จะเปลี่ยนตราสโมสรอีกครั้ง แม้ว่าจะไม่เป็นที่ถูกใจของแฟนๆจำนวนหนึ่งแต่ในที่สุด ตราสโมสรอันปัจจุบันก็ได้ถูกนำออกมาใช้จนได้ แม้ว่าจะดูไม่เข้มขลังเท่าของเดิมแต่ก็ดูดีไปอีกแบบ(ภาพหมายเลข 8)



และนั่นก็คือประวัติของตราสโมสรอาร์เซนอลเท่าที่ผมสามารถแปลออกมาได้ครับ
อันที่จริงยังมีเรื่องเสื้อแข่งอีกนะ



แต่เดี๋ยวบทความจะยาวเกิน เอาไว้โอกาสหน้าจะมาแปลให้อ่านกันนะครับว่าที่มาที่ไปของเสื้อแข่งของอาร์เซนอลเป็นมาอย่างไร อ่านแล้วก็น่าสนใจดีครับ วันนี้เอาแค่นี้ก่อนนะครับ แล้วพบกันใหม่


ลิ้งที่มา  แฟนอาร์เซนอล Mister X เขียน

http://www.premierfanclub.com/php/showthread.php?tid=12521&pid=60207#pid60207

 
 

จากคุณ : The Yong
เขียนเมื่อ : 2 ธ.ค. 52 19:32:48




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com