ความคิดเห็นที่ 1 ผมเกิดไม่ทันดู แต่โค้ชผมบอกไว้ว่า วิธียิง ให้เลียนแบบ L.Bird เพราะ ยิงสามแม่นโครตตตต จากคุณ : It_Nice เขียนเมื่อ : 3 ม.ค. 53 02:06:46

ความคิดเห็นที่ 2 หลังจาก 2 ปีในมหาวิทยาลัย ด้วยค่าเฉลี่ย 17.1 points, 7.6 rebounds, 7.9 assists Johnson ประกาศเข้าร่วม 1979 NBA Draft (ยังเรียนม่ายจบ) และทีมที่ draft ตัวเขาไปนั้น คือ Los Angeles Lakers ทีมที่มีดาราอย่าง Kareem Abdul-Jabbar Larry Bird จริงๆแล้ว เขาถูกเลือกโดย Boston Celtics ตั้งแต่ 1987 NBA Draft แต่ เขาตัดสินใจที่จะอยู่เล่นให้มหาลัยต่ออีกปี (จนเรียนจบ) และ Boston ก็ได้สิทธิ์ในตัว Bird ไป ในปี 1979 (ตามกฎในสมัยนั้น)โดย Bird ทิ้ง สถิติสูงสุดไว้ให้กับ NCAA ด้วย 30.3 points per game!! และ เซ็นสัญญาเป็น rookie ที่ได้รับค่าเหนื่อยสูงสุดในประวัติศาสตร์ NBA ! หลังจากที่ Celtics ได้ตัว Bird มาในปีนั้น เขาก็ส่งผลกระทบต่อทีมโดยทันที ด้วยการ พัฒนา สติติ regular season จาก 29-53 ในปี 1978 เป็น 61-21 ในปี 1979 และ Bird ก็ได้รางวัลส่วนตัวรางวัลแรก นั่นคือ 1980 Rookie or the Year (แม้ว่่า Magic จะเล่นได้ดีเช่นกัน) ทั้ง Magic และ Bird ได้รับการโหวต ให้เล่นใน 1980 All-Star game โดย Magic ได้เป็นตัวจริงในสายตะวันตก และ Bird เล่นให้สายตะวันออก.. Bird ซึ่ง เป็นที่ 1 ในฤดูกาลนั้นของเซลติก ทั้ง 21.3 ppg, 10.4 rpg, 143 steals และ ลงสนามไป 2955 mins แถมยังเป็นที่สองของทีม ใน 4.5 apg และ การชู้ตสามแต้ม ซึ่งเขาทำไป 58 ลูก แต่ Boston Celtics ในฤดูกาลนั้น กลับไปไม่ถึุงดวงดาว เมื่อ แพ้ให้กับ Philadelphia 76ers ของ Julius Erving ในรอบชิงชนะเลิศสายตะวันออก และ 76ers ก็ผ่านเข้าไปชิงชนะเลิศกับ Lakers ซึ่งเป็นแชมป์สายตะวันตก Lakers ซึ่งทำสถิติ 60- 22 ในฤดูกาลปกติ ออกนำ 76ers 3-2 ใน 1980 NBA Finals แต่ในเกมที่ 5 Lakers ต้องเสีย Kareem ซึ่งทำ 33 ppg ใน series นี้ และ ไม่สามารถลงแข่งในเกมที่ 6 โค้ชอง Lakers ในขณะนั้น Paul Westhead ตัดสินใจส่ง Magic ลงสนามเป็น center ตัวจริงในเกม 6 แทน Kareem  และ Magic ก็ไม่ทำให้โค้ชผิดหวังด้วยการร่ายมนต์ กดไป 42 แต้ม 15 รีบาวด์ 7 แอสซิสต์ และ 4 สตีล!! Johnson ได้รับรางวัล NBA Finals MVP ในปีนั้นๆ (เป็น rookie คนเดียวที่ได้รับรางวัลนี้) ทั้งยังเป็น 1 ใน 4 ผู้เล่น ที่ได้แชมป์ NCAA และได้แชมป์ NBA ในฤดูกาลถัดไปอีกด้วย.. (อีกสามคนเป็นใคร วานผู้รู้ตอบหน่อยนะครับ ^^) จบฤดูกาลแรกไปด้วยประการฉะนี้ แก้ไขเมื่อ 03 ม.ค. 53 02:52:03 แก้ไขเมื่อ 03 ม.ค. 53 02:22:07 จากคุณ : headcracking เขียนเมื่อ : 3 ม.ค. 53 02:18:47

ความคิดเห็นที่ 3 555 นอกจากแม่นค่อดๆแล้ว ยังเร็วค่อดๆด้วยครับ T^T ผมก็เกิดไม่ทันดูเหมียนกัลล์ แต่ อาศัย youtube ครับ 1980 finals game 6 มีให้ดู เต็มๆเกมส์ ตั้งแต่ต้น จนรับรางวัลเลยครับ ลองหาดูๆ จากคุณ : headcracking เขียนเมื่อ : 3 ม.ค. 53 02:19:56

ความคิดเห็นที่ 4 ในฤดูกาล 1980 - 1981 ไม่ใช่ฤดูกาลที่ดีนักของ Magic เขาพลาดถึง 45 เกม ในฤดูกาลปกติ จากการเจ็บกระดูกอ่อนที่เข่าซ้าย โดย ตัว Magic กล่าวว่า การรักษาเข่าครั้งนี้ เป็นสิ่งที่เขารู้สึกแย่ที่สุดตลอดการเล่นเลยทีเดียว แต่ เขา่ก็กลับมาสู่ทีมได้ก่อนที่ 1981 playoff จะเริ่มขึ้น Lakers จบฤดูกาลด้วยสถิติ 54 - 28 และเจอกับ Houston Rockets ในรอบแรกของ playoff และก็แพ้ไปในที่สุด Pat Riley ผู้ช่วยโค้ช ในขณะนั้น บอกว่า การตั้งตารอคอย Magic กลับมาจนเกินไป จนทำให้ทีมเป๋เลยทีเดียว ส่วน Celtics ในฤดูกาล 1980 - 1981 ได้ตัดสินใจ trade สิทธิ์ในการดราฟรอบแรก และรอบที่ 13 กับ Warriors สำหรับ เซนเตอร์ Robert Parish กละ สิทธิ์ในการดราฟรอบสาม และในการดราฟนี้เอง Celtics ได้ Kevin McHale ในตำแหน่ง SF มาเล่นคู่กะ Larry และด้วยสามคนนี้เอง เซลติก จิงได้ผู้เล่น frontcourts ที่น่ากลัว (McHale และ Parish คือผู้เล่นที่เล่นกะ Bird ไปจนเขาเลิกเล่น) และใน playoff ครั้งนี้ Celtics ผ่าน คู่ปรับที่เขี่ยตกรอบในคราวที่แล้วอย่าง 76ers (ซึ่ง Julius Erving ได้ 1981 MVP) เข้าชิงกับ Houston Rockets ที่นำโดย center ระดับ all star อย่าง Moses Malone ใน 1981 NBA finals และ Celtics ก็คว้าแชมป์ได้สำเร็จ 4-2 เกมส์ โดย Bird มีสถิติ 15.3 ppg, 15.3 rpg และ 7 apg. ส่วนรางวัล Final MVP ตกเป็นของ Cedirc Maxwell เพื่นร่วมทีมของ Bird จากคุณ : headcracking เขียนเมื่อ : 3 ม.ค. 53 02:49:58

ความคิดเห็นที่ 5 ในช่วงปิดฤดูกาล Lakers ได้ต่อสัญญากับ Magic และทำให้ Magic เป็นผู้เล่นที่ได้ค่าเหนื่อยสูงที่สุดในประวัติศาสตร์ NBA ในสมัยนั้นทันที แต่ ต้น ฤดูกาล 81-82 Magic เกิดความขัดแย้งกับ head coach, Westhead ด้วยการกล่าวถึง Westhead ว่า ทำให้ทีม "ช้า" และ "เดาทางได้ง่าย" และหลังจากนั้นไม่นาน Johnson ก็ขอย้ายทีม ส่วน เจ้าของทีม Lakers, Jerry Buss ก็ตอบสนองทันที ด้วยการไล่ Westhead ออกจากตำแหน่ง และ แต่งตั้ง Pat Riley ขึ้นมารับตำแหน่งแทน ถึงแม้ Magic จะออกมากล่าวว่าไม่มีส่วนรู้เห็นกับการไล่ Westhead ออกก็ตาม แต่เข้าก็ยังถูกโห่้ทั่วทั้งลีค... แม้แต่แฟนทีม Lakers เอง แต่ถึงแม้จะมีปัญหานอกสนาม แต่ในสนาม Magic ทำได้อย่างยอดเยี่ยมด้วยสถิติ เป็นที่ 1 ในลีคด้วนการสตีล 2.7 spg และ 18.6 ppg, 9.6 rpg, 9.5 apg และยังเป็นผู้เล่นที่ทำ 700 แต้ม 700 รีบาวด์ และ 700 แอสซิสต์ ในฤดูกาลเีดียว อีกด้วย (ตามหลัง Wilt Chamberlain และ Oscar Robertson) *[Moses Malone จาก Houston Rockets ได้รางวัล 1981-1982 MVP ไปครองในฤดูกาลนี้] และ Lakers ก็ทะลุ playoff ไปถึง finals พบกับ 76ers อีกครั้ง และ Magic ที่ำทำค่าเฉลี่ย finals 16.2 แต้ม 10.8 รีบาวด์ 8.0 แอสซิสต์ และ 2.5 สตีล ตลอด 6 เกม ที่ Lakers เอาชระ 76ers ได้อีกครั้ง 6-2 ได้รับรางวัล NBA finals MVP เป็นครั้งที่สองอีกด้วย และในฤดูกาลถัดมา 1982 - 1983 Lakers ทะลุึไปชิง กับ 76ers อีกครั้ง ซึ่ง ในปีนี้ 76ers ได้ตัว Moses Malone, เจ้าของรางวัล 1982 - 1983 MVP สองสมัยซ้อน (และเป็นครั้งที่สาม) รวมพลังกับ Dr. J ประกอบกับ Lakers ในตอนนั้น ค่อนข้างพิการ โดยขาด Norm Nixon, James Worthy และ Bob McAdoo เพราะอาการบาดเจ็บ Lakers จึงแพ้ 76ers ไปในที่สุด Moses Malone ได้รางวัล Finals MVP ไปครองอย่างยิ่งใหญ่... แก้ไขเมื่อ 03 ม.ค. 53 03:23:41 จากคุณ : headcracking เขียนเมื่อ : 3 ม.ค. 53 03:14:23

ความคิดเห็นที่ 6 วงการ NBA ในช่วง 70' นั้น ถือว่า ได้รับความนิยมน้อยจนน่าใจหาย (เกือบจะต้องเลิกเลยทีเดียว) ลิขสิทธิ์ทาง TV ต่ำ ผู้ชมที่เข้ามาชมในเกม ก็น้อย แต่ ผู้ที่เข้ามากอบกู้วงการนี้ไว้ คือ สองพระเอกนี้ละครับ Magic & Bird โพสไป โพสมา ตีสามกว่าแล้ว เด๋วพรุ่งนี้ จะมาโพสต่อนะครับ ถึงช่วงสำคัญ พอดีเลยครับ... ช่วงปี 83 - 87 นี้ละ ^^ จากคุณ : headcracking เขียนเมื่อ : 3 ม.ค. 53 03:18:32

ความคิดเห็นที่ 7 ขอบคุณครับ รอชมต่อ จากคุณ : It_Nice เขียนเมื่อ : 3 ม.ค. 53 03:21:14

ความคิดเห็นที่ 8 ให้ถึงปี 91-92 นะครับ เมจิก ปะทะ จอร์แดน มันมากๆ จากคุณ : zeezent เขียนเมื่อ : 3 ม.ค. 53 04:20:56

ความคิดเห็นที่ 9 สุดยอดครับ รออ่านต่อ จากคุณ : Mun Thow เขียนเมื่อ : 3 ม.ค. 53 05:02:04

ความคิดเห็นที่ 10 เข้ามาเก็บข้อมูลค่ะ.. จากคุณ : nuanapa เขียนเมื่อ : 3 ม.ค. 53 06:39:49

ความคิดเห็นที่ 11 ขอบคุณครับ รอชมด้วย จากคุณ : nautica_407 เขียนเมื่อ : 3 ม.ค. 53 08:54:24

ความคิดเห็นที่ 12 สวัสดีครับ ลุกมาโพสต่อแล้วครับผม ^^ และแล้วฤดูกาลที่ทุกคนรอคอย (รวมทั้งสื่อ) ก็มาถึง ในฤดูกาล 1983 - 1984 Larry Bird ได้ถูกเลือกให้เป็น MVP ในฤดูกาลปกติ โดย Celtics มีสถิติ 60- 20 ในฤดูกาลปกติ ได้เข้าสู่ NBA Finals ชิงกับ Lakers [ โดยแชมป์เก่าอย่าง 76ers ตกรอบแรก playoff แพ้ให้กับ New Jersy Nets ] ซึ่งในปีนั้น Johnson ทำค่าเฉลี่ยในฤดูกาลปกติเป็น double-double ที่ 17.6 ppg 13.1 apg และ 7.3 rpg และำนำ Lakers เข้าสู่ NBA Finals ได้เป็นปีที่สามติดต่อกัน Lakers เอาชนะ Celtics ไปได้ในเกมแรก และก็น่าจะเอาชนะได้อีกในเกมที่สอง เมื่อขณะที่เวลาเหลือ 18 วินาที Lakers นำอยู่ 2 แต้ม แต่ Gerald Handerson ก็ตีเสมอให้ Celtics ได้สำเร็จ และ Magic มีเวลาชู้ตครั้งสุดท้ายของเกม..แต่เขาพลาด เช่นเดียวกับ Lakers ที่แพ้ Celtics ไปในเกมนั้นจากการแข่งต่อเวลา 124 - 121 ในเกมต่อมา Magic ตอบสนองด้วยการทำ 21 assists ให้ Lakers ชนะ Celtics ในเกมที่สาม 137 - 104 ออกนำ series 2-1 แต่ในเกมที่ 4 Magic พลาดท่า ถูก Robert Parish ขโมยบอลในช่วงท้ายเกม และยังพลาดการชู้ตลูกโทษที่จะทำให้ทีมชนะทั้งสองลูก จนเข้าสู่การแข่งต่อเวลา และถูก Celtics เอาชนะไปได้ในที่สุด Lakers เอาชนะไปได้ในเกม 5 แต่ Celtics ก็เอาคืนในเกม 6 ตัดสินกันด้วยเกมสุดท้าย.. ในเกม 7 ขณะที่เวลาเหลือน้อยกว่า 1 นาที และ Lakers ตามอยู่สามคะแนน Johnson นำบอลขึ้นมา และถูก การ์ด Celtics, Dennis Johnson ขโมยไปได้ ทำให้ Celtics ชนะไปในที่สุด และเป็นแชมป์ NBA สมัยที่ 15 และ Larry Bird ได้รับรางวัล Final MVP ด้วยสถิติ 23.8 ppg, 8.8 rpg, 5.0 apg และชู้ต FG% 0.449 Magic ที่ทำ 18.3 ppg 12.6 apg, 7.7 rpb และ 0.560 FG% ได้พูดถึง series นี้ว่า "มันเป็นแชมป์ที่เราควรจะได้...แต่เราทำมันไม่ได้" จากคุณ : headcracking เขียนเมื่อ : 3 ม.ค. 53 09:19:01

ความคิดเห็นที่ 13 กระทู้ดีมีสาระ เอาใจช่วยนะครับ จากคุณ : KonK เขียนเมื่อ : 3 ม.ค. 53 09:48:11

ความคิดเห็นที่ 14 และใน 1984 NBA Draft... Chicago Bulls ซึ่งได้สิทธิ์ดราฟ อันดับ 3 ได้ดราฟตัวเด็กหนุ่มจาก North Carolina ผู้มีชื่อว่า ... Michael Jordan ... โดยเขาถูกดราฟหลังจาก Hakeem Olajuwon (Houston Rockets) และ Sam Bowie (Portland Trailblazer) และในฤดูกาล 1984 - 1985 Larry Bird ได้รับรางวัล MVP เป็นปีที่สองติดต่อกัน และ Celtics เข้าชิงสายตะวันออก กับ 76ers ซึ่งในปีนี้ได้ตัว Charles Barkley เข้าสู่ทีม แต่ Celtics ก็เอาชนะ และ เข้าสู่ NBA Finals ในที่สุด Lakers "showtime" era ก็กำลังพุ่งทะยานถึงขีดสุด เมื่อ Lakers ได้เข้าชิงอีกครั้ง เป็นสมัยที่ 4 ติดต่อกัน และ Kareem Abdul-Jabbar ที่ในขณะนั้น มาอายุถึง 38 ปี ได้ทำ career-point เหนือ ตำนานอย่าง Wilt Chamberlain ไปได้ แต่ Lakers กลับแพ้ Celtics ในเกมแรกอย่างย่อยยับ โดยแพ้ถึง 34 แต้ม และ Lakers เสียแต้มเป็น สถิติ NBA Finals ถึง 148 แต้ม แต่อย่างไรก็ดี ในเกมถัดมา Lakers ได้ Kareem ทำ 30 คะแนน 17 รีบาวด์ ช่วยให้ Lakers เอาชนะในเกมที่ 2 และ ในเกมที่ 5 ก็ทำอีก 36 แต้ม ให้ Lakers นำ series 3-2 ในเกมที่ 6 Lakers เอาชนะ Celtics ในถิ่น Boston Garden และ ได้แหวนแชมป์ไปในที่สุด โดย Kareem Abdul-Jabbar ได้รับรางวัล Final MVPไปครอง จากคุณ : headcracking เขียนเมื่อ : 3 ม.ค. 53 10:08:44

ความคิดเห็นที่ 15 และพ่อหนุ่มคนนี้ก็ได้รางวัล rookie of the year ไปครอบครอง ตามความคาดหมาย จากคุณ : headcracking เขียนเมื่อ : 3 ม.ค. 53 10:16:07

ความคิดเห็นที่ 16 หลังจากที่แพ้แก่ Lakers ใน 1985 Finals Boston Celtics เอง ก็มีความเคลื่อนไหว โดย Boston ได้ผู้เล่นระดับ Hall-of-fame อย่าง Bill Walton เข้าสู่ทีม ในขณะนั้น Walton ซึ่งมีปััญหาอาการบาดมาก่อน (เจ็บเท้าตั้งแต่อยู่กะ Trailblazer) ได้ขอย้ายจาก Clippers ไปสู่ทีมอื่น ซึ่งเขาเลือกไว้สองทีม นั่นคือ Lakers และ Celtics แต่ Lakers ได้ปฎิเสธ Walton เนื่องจากกังวลเรื่องปัญหาสุขภาพของเขานั่นเอง Boston Celtics เองใช่ว่าจะไม่กังวลเลย เพราะ เจ้าของทีม Red Auerbach ไม่ต้องการเสี่ยงกับ Walton แต่วันดีคืนดี Larry Bird กลับ โผล่ไปที่ออฟฟิศของ Auerbach โดยเขาพูดว่า ถ้าเขา (Walton) คิดว่าเขาสุขภาพพร้อมที่จะเล่น ผมก็พอใจ และประกอบกับ frontcourts อันแข็งแกร่งอย่าง Parish และ McHale โดยมี Walton (1977-1978 MVP) เป็น backup Celtics มีฤดูกาลที่ยอดเยี่ยมในปี 1985 - 1986 โดย Walton ได้รับรางวัล Sixth man Award และลงเล่้นไปถึง 80 เกม Larry Bird ได้ MVP เป็นสมัยที่สามซ้อน และ Boston ก็เข้าสู่ playoff อีกครั้ง โดยใน playoff Celtics - Bulls เกมสอง นั้น Celtics ต้องเจอกับ MJ ที่เจ็บยาวเกือบทั้งฤดูกาล กดไปถึง 63 คะแนน (สถิติ playoff) แต่ Boston ก็เอาชนะ Bulls ได้ และ ได้เข้าชิงเป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน แต่ ทีมที่ Celtics เข้าไปพบในรอบชิงชนะเลิศนั้น กลับไม่ใ้ช่ Lakers ซึ่ง Lakers แพ้ให้กับ Rockets ในรอบชิงสายตะวันตก ที่นำโดยสตาร์ rookie of the year 1983 อย่าง Ralph Sampson และ Hakeem Olajuwon ในเกมที่ 5 เมื่อ เกมเสมอกันที่ 112-112 และเวลาเหลือเพียง 0.1 วินาที และ Sampson กระโดดหมุนตัวรับลูก และ ชู้ตกลางอากาศลงตาข่าย แสกหน้า Kareem เอาชนะ Lakers ไปอย่างสุดมันส์ และ เหนือความคาดหมายเป็นอย่างมาก แต่ในรอบชิงชนะเลิศ Celtics ก็เอาชนะ Houston ใน 6 เกม และเป็นอีกครั้ง ที่ Larry Bird ได้รางวัล Final MVP ไปครอบครอง จากคุณ : headcracking เขียนเมื่อ : 3 ม.ค. 53 10:51:32

ความคิดเห็นที่ 17 แต่ในฤดูกาลถัดมา 1986 - 1987 Lakers และ Magic ก็กลับมาทวงความยิ่งใหญ่ เมื่อ Johnson ทำ ค่าเฉลี่ย 23.9 ppt (carrer-high), 12.6 apg และ 6.3 rpg และได้รับรางวัล regular season MVP เป็นสมัยแรก เหนือคู่แ่ข่งตัวฉกาจในเวลานั้นอย่าง Michael Jordan ที่ทำแต้มเฉลี่ยถึง 37.1 ต่อเกม และเป็นผู้เล่นคนเดียว นอกจาก Wilt Chamberlain ที่ทำแต้มเกิน 3,000 แต้ม ในฤดูกาลเดียวอีกด้วย Lakers ทะลุเข้าสู่ NBA Finals ได้อีกครั้ง ส่วน Celtics กลับพบกับ Playoff ที่ยากลำบาก กับทั้ง Bucks และ Piston แต่ก็ยังสามารถ เข้าสู่ Finals ชิงกับ Lakers เป็นครั้งที่ 3 ในรอบ 4 ปี และใน series นี้เอง ที่ Magic ฝากลูก sky-hook ในตำนาน เหนือสองผู้เล่นอย่าง Parish และ McHale (จริงๆ ถ้า Magic ก้่าวอีกซักก้าว จะผ่าน Bird เป็น hook ข้ามสามผู้เล่นเลยทีเดียว) ทำให้ Lakers เอาชนะ Celtics ในเกม 4 107 - 106 และเอาชนะ Boston ไปใน 6 เกม hook ลูกนี้ ได้รับการขนานนามว่า "junior, junior, junior sky-hook" [hook ลูกนี้ละครับ ทำเอาผมชื่นชอบ Magic อย่างรุนแรงง] ด้วยค่าเฉลี่ย 26.2 ppg, 0.541 shooting, 13.0 apg, 8.0 rpg และ 2.33 spg ก็ส่งให้ Magic ได้รับรางวัล MVP Finals เป็นสมัยที่สาม และนี่เป็น series สุดท้าย ที่ Magic จะได้ชิงกับ Bird แก้ไขเมื่อ 03 ม.ค. 53 17:28:36 จากคุณ : headcracking เขียนเมื่อ : 3 ม.ค. 53 11:13:24

ความคิดเห็นที่ 18 ใกล้ถึงเวลาที่ MJ จะ ปะทะกับ Magic แล้ววว จากคุณ : It_Nice เขียนเมื่อ : 3 ม.ค. 53 11:36:05

ความคิดเห็นที่ 19 ในปีถัดมา แม้จะยังควเป็นปีที่ยอดเยี่ยมของ Magic ด้วย 19.6 ppg, 11.9 apg และ 6.2 rpg นั้น 1987 - 1988 MVP กลับตกเป็นของ Michael Jordan ด้วย 35.0 ppg, 53.5% shooting, 1.6 bpg และ 3.16 spg นำ Bulls เก็บ regular 50-32 (ปีนี้ Jordan กวาดทั้ง MVP และ defensive player of the year) ก่อนจะเริ่มต้นฤดูกาล โค้ช ของ Lakers อย่าง Pat Riley ได้ประกาศพา Lakers คว้าแชมป์สองสมัยซ้อน ซึ่งยังทำไม่ได้อีกตั้งแต่ปี 1969 เป็นต้นมา และ Lakers ก็ได้เข้าชิงแชมป์อย่างลำบาก โดยผ่าน Utah Jazz และ Dallas Mavericks ใน 7 เกม ส่วน Larry Bird มีสถิติ ตลอดการเล่นที่ดีที่สุดใน career ในฤดูกาลนี้ ด้วย 29.9 ppg, 9.3 rpg, 6.1 apg แต่ Boston ไม่สามารถ ผ่านไปเล่นใน NBA Finals ได้เป็นครั้งแรกในรอบ 4 ปี เนื่องจาก แพ้ Pistons ที่เขี่ย Bulls ตกรอบ playoff ในรอบชิงแชมป์สายตะวันออก เกมชิงชนะเลิศระหว่าง Lakers และ "Bad Boy" Piston ซึ่งนำโดย Isiah Thomas, Dennis Rodman, John Salley Piston ออกนำ series ก่อน 3-2 เกม และน่าจะชนะในเกม 6 โดย Isiah Thomas ทำไปถึง 25 แต้ม ทั้งๆที่เจ็บข้อเท้า แต่ Lakers ก็ได้ลูกโทษกังขาจาก Bill Laimbeer และ Kareem ก็สังหารให้ Lakers ขนะ 103 - 102 ต่อลมหายใจให้ Lakers การฟาล์วครั้งนั้น ได้ถูกเรียกจาก แฟน Pistons รวมทั้ง ตัว Laimbeer เองว่าเป็น "การฟาล์วที่มองไม่เห็น" (phantom foul) และในเกม 7 Lakers ก็ได้ James Worthy ทำ triple double 36 แต้ม 16 รีบาวด์ 10 แอสซิสต์ ทำให้ Lakers เอาชนะ Pistons ไปได้ ส่วนตัว Worthy ก็คว้ารางวัล Final MVP ด้วยเช่นกัน แก้ไขเมื่อ 03 ม.ค. 53 17:34:03 จากคุณ : headcracking เขียนเมื่อ : 3 ม.ค. 53 11:39:20

ความคิดเห็นที่ 20 ในฤดูกาลถัดมา Magic ก็สามารถคว้า MVP ได้อีกครั้ง ด้วย 22.5 ppg, 12.8 apg และ 7.9 rpg ส่วน Larry Bird นั้น ลงเล่นให้ Boston Celtics เพียงแค่ 6 เกม ก็ต้องจบ season นี้ไป เพราะต้องผ่าตัดกระดูกส้นเท้า และ Lakers กับ Pistons ก็เข้าชิงชนะเลิศ NBA อีกครั้ง (และ Pistons ก็เตะ Bulls ตกรอบ playoff อีกครั้ง) แต่หนังม้วนนี้ ไม่ใ่้ช่หนัีงม้วนเดิม เมื่อ Magic กลับมาเจ็บใน Finals เกมที่สอง และ Lakers ก็โดน Pistons กวาด 4-0 ครองแชมป์ไปในที่สุด Joe Dumars ได้รับรางวัล Final MVP [ ขอโทษนะครับ ผมโดนลากออกไปข้างนอกแล้ว เด๋วเย็นนี้มาถึง Jordan era แน่นอนครับ ] แก้ไขเมื่อ 03 ม.ค. 53 17:32:35 แก้ไขเมื่อ 03 ม.ค. 53 17:27:46 แก้ไขเมื่อ 03 ม.ค. 53 16:35:37 จากคุณ : headcracking เขียนเมื่อ : 3 ม.ค. 53 12:09:21

ความคิดเห็นที่ 21 ปูเสื่อรอดูด้วยคน จากคุณ : handlez-slam* เขียนเมื่อ : 3 ม.ค. 53 12:27:34

ความคิดเห็นที่ 22 เยี่ยมครับ จากคุณ : kanitaeno เขียนเมื่อ : 3 ม.ค. 53 13:26:59

ความคิดเห็นที่ 23 ขอปาดซักที ด้วยขวัญใจผม รอให้ท่านมาต่อ กำลังมัน บุ๊คมาคไว้ละ จากคุณ : zeezent เขียนเมื่อ : 3 ม.ค. 53 13:46:43

ความคิดเห็นที่ 24 รออยู่นะครับ ขอบคุณสำหรับกระทู้ฟื้นความทรงจำครับ จากคุณ : Biggggggg เขียนเมื่อ : 3 ม.ค. 53 15:53:57

ความคิดเห็นที่ 25 ในฤดูกาล 1988 - 1989 เป็นฤดูกาลสุดท้ายของ Kareem Abdul-Jabbar Kareem รีไทร์ไปหลังจากเกมที่แพ้ Pistons ใน NBA Finals 1989 และ Lakers ก็ได้รีไทร์เบอร์ 33 ให้กับ Kareem ตลอดทั้ง NBA - career Kareem ทำแต้มไปทั้งหมด 38,378 แต้ม 17,440 รีบาวด์ 3,189 บลอค ได้แชมป์ NBA 6 ครั้ง ( 1 ครั้งกับ Bucks 5 ครั้งกับ Lakers) MVP 6 สมัย (71, 72, 74, 76, 77, 80) MVP Finals 2 ครั้ง (1971, 1985) เล่น All-Star game 19 ครั้ง และเป็น 1 ใน 50 ผู้เล่นยอดเยี่ยมตลอดกาลของ NBA (และรางวัลอื่นๆอีกมากมาย จนเขียนไม่หมด) และ Captain Sky-Hook ผู้นี้ ก็เลิกเล่น NBA ไปในวัย 40 เศษๆ จากคุณ : headcracking เขียนเมื่อ : 3 ม.ค. 53 16:15:01

ความคิดเห็นที่ 26 Season 1989 - 1990 Lakers และ Magic ต้องเล่นโดยไม่มี Kareem แม้ในฤดูกาลนี้ Magic จะได้รางวัล MVP เป็นสมัยที่สาม และ Lakers ก็ได้เข้าสู้ playoff แต่ Lakers ก็พ่ายแพ้ให้กับ Phoenix Suns 1-4 ในรอบ Western semi-finals เป็นการตกรอบ playoff ที่เร็วที่สุดในรอบ 9 ปี ของ Lakers อย่างไรก็ดี Suns ก็แพ้ให้กับ Portland Trailblazer ในรอบชิงสายตะวันตก ส่วนในสายตะวันออกนั้น Larry Bird กลับมาเล่นให้ Boston Celtics อีกครั้ง และทำค่าเฉลี่ย 24.3 แต้ม 7.5 แอสซิสต์ และ 9.5 รีบาวด์ต่อเกม และปัญหาเจ็บที่หลังของเขาทำให้ไม่สามารถงัดฟอร์มสุดยอดได้เท่าตอนช่วงกลางยุค 80 แต่ Bird ก็ยังนำ Celtics เข้าสู่ playoff ได้อีกครั้ง Chicago Bulls ได้โค้ชคนใหม่ และ ผู้เล่นหน้าใหม่เข้าสู่ทีม โดยโค้ชคนใหม่ชื่อ Phill Jackson และ Jackson นี้เอง ที่ได้นำผู้เล่นอย่าง Scottie Pippen และ Horace Grant Bulls ในฤดูกาลนั้น ทำได้ถึง 55 - 27 โดย Jordan มีสถิติ 33.6 ppg, 6.3 agp และ 6.9 rpg นำ Bulls เข้าสู่รอบชิงสายตะวันออก พบกับ Detroit Pistons และ ก็ แพ้ให้กับ Pistons ใน playoff เป็นปีที่ 3 ติดกันแล้ว NBA Finals 1990 จบลงด้วยชัยชนะของ Pistons ใน 5 เกม และ Isiah Thomas ก็ได้รับรางวัล MVP Finals ไปครองครับ แก้ไขเมื่อ 03 ม.ค. 53 17:39:18 จากคุณ : headcracking เขียนเมื่อ : 3 ม.ค. 53 16:35:07

ความคิดเห็นที่ 27 และในฤดูกาล 1990 - 1991 ร่างกายของ Larry Bird ทรุดลงเรื่อยๆ อาการเจ็บหลังเรื้อรังของเขาก็มีมากขึ้น และหลังจาก ช่วย Celtics ทำ 29 - 5 ตอนต้นฤดูกาล Bird พลาดการลงสนามอีก 22 เกมหลังจากนั้น เนื่องจากต้องเข้ารับการผ่าตัดเพื่อรักษาอาการบาดเจ็บที่หลังของเขานั่นเอง ด้าน Johnson สามรถนำ Lakers ฝ่าสายตะวันตก เข้าสู่ NBA Finals ได้อีกครั้ง และหวังเป็นอย่างมากว่าจะได้แชมป์ NBA แต่กระดูกชิ้นโตของ Magic Johnson ในปีนี้ กลับไม่ใช่ Larry Bird, Joe Dumars หรือ Isiah Thomas แต่เป็น Michael Jordan ซึ่งผ่าน New York Knicks และ Philadelphia 76ers เข้าสู่ Eastern Conference Finals กับคู่แค้นอย่าง Detroit Pistons ซึ่งตบ Bulls ร่วง playoff ถึงสามสมัยติดกัน (สมัยนั้น "Bad Boy" Piston "ตบ" จริงๆครับ ตบคว่ำเลยด้วย) ในเมือ Pippen ได้พัฒนาไปเป็นผู้เล่้นระดับ All - Star แล้วนั้น Jordan Rules ก็ใช้ไม่ได้ผลกับ Chicago อีก [Jordan rules คือ กระประกบ Jordan 2-3 คนทุกครั้งที่ได้บอล และ อัดให้หนัก ตบให้ร่วง ครับ] Chicago Bulls เอาชนะ Pistons 4 เกมรวด และเข้าสู่ NBA Finals จนได้ NBA Finals 1991 ในเกม Lakers ปะทะ Bulls นั้น Lakers ไม่สามารถต้านทาน Bulls ซึ่งมีสถิติตลอด playoff 15 - 2 ได้ ในเกม 2 ของ series นี้ Jordan ได้ทำ hilight โดย หลบ Sam Perkins บลอค ด้วยการ กระโดดดังค์ด้วยมือขวา และเปลี่ยนเป็นเลย์อัพด้วยมือซ้านกลางอากาศกระแทกแป้นลงห่วงไป และชู้ต field goal ลงถึง 13 ลูกติดต่อกัน Chicago Bulls เอาชนะ Lakers ไปได้ 4-1 เกม และ Jordan ก็ได้รับรางวัล MVP Finals 31.2 ppg, 11.4 apg, 6.6 rpg, 2.8 spg, 1.4 bpg และ 0.56 FG% ใน Finals ครั้งแรกของเขา ในขณะที่ Jordan รับรางวัลนั้น เขาถึงกับร้องไห้เลยทีเดียว (รอมาถึง 6 ปีนะครับ ว่าจะได้แชมป์แรก ไม่มีงอแงขอย้ายทีมด้วย) แก้ไขเมื่อ 03 ม.ค. 53 17:45:41 จากคุณ : headcracking เขียนเมื่อ : 3 ม.ค. 53 17:02:36

ความคิดเห็นที่ 28 ตลอด series Magic ก็ทำอย่างเต็มที่ เช่นกัน 18.6 points,  .431 shooting, 12.4 assists, and 8.0 rebounds per game ตลอดเวลา จะเห็น Jordan ประกบ Magic อยู่บ่อยๆ .. และแม้แต่ Magic เองก็ยังพลาดท่าให้การป้องกันของ Jordan อยู่หลายครั้ง ทั้งๆที่ ตอน Jordan เล่นใหม่ๆนั้น แทบจะถูก Magic สอนบอลทีเดียว จากคุณ : headcracking เขียนเมื่อ : 3 ม.ค. 53 17:05:31

ความคิดเห็นที่ 29 แต่ก่อนที่ฤดูกาล 1991 - 1992 จะเริ่มขึ้น.. ข่าวร้ายก็บังเกิด เมื่อทีมแพทย์ตรวจพบว่า Earvin "Magic" Johnson มีผล บวก ในการทดสอบเชื้อ HIV และ Magic ประกาศรีไทร์ทันที ในวันที่ 7 November 1991 แต่ยังมีข่าวดีเมื่อ ภรรยา และ ลูกในท้องของหล่อนตรวจไม่พบเชื้อดังกล่าว และ ตัว Magic เองก็จะใช้ชีวิตที่เหลือต่อสู้กับโรคร้ายนี้อย่างเต็มที่ แม้ว่า Magic จะกล่าวว่าเขาไม่รู้ว่าติดเชื้อร้ายนี้มาได้อย่างไร แต่ เขาก็ออกมายอมรับในภายหลังว่า ตัวเขาเองมี "คู่ขา" อยู่หลายคนตลอดการเล่นอาชีพของเขา การประกาศรีไทร์ของ Johnson นั้น กลายเป็นข่าวใหญ่ไปทั่วสหรัฐเลยทีเดียว ถึงแม้ว่า Magic จะประกาศรีไทร์ไปแล้ว แต่ ตัวเขาเอง ถูกโหวตให้เป็นผู้เล่นตัวจริงใน All-Star Game 1992 เพื่อนร่วมทีม Lakers อย่าง Byron Scott หรือ A.C. Green บอกว่า Johnson ไม่ควรเล่นเกมนี้ และมีผู้เล่น All-Star บางคน กังวลว่า Magic อาจจะเกิดบาดแผลระหว่างแข่ง และทำให้มีการติดเชื้อเกิดขึ้น แต่ Magic ก็นำทีม ตะวันตก ทุบ ทีมตะวันออก 153 - 113 และยังได้รับรางวัล All-Star MVP หลังจากทำ 25 แต้ม 9 แอสซิสต์ 5 รีบาวด์ โดยในเกมนี้นั้น Magic ได้ชู้ตลูกสามแต้มลง ก่อนเวลาจะหมด และเมื่อเสียงสัญญาณหมดเวลาดังขึ้น ผู้เล่นจากทั้งสองฝั่งต่างวิ่งกรูเข้ามาแสดงความยินดีกับ Magic Johnson อีกด้วย จากคุณ : headcracking เขียนเมื่อ : 3 ม.ค. 53 17:21:03

ความคิดเห็นที่ 30 และ ในฤดูกาล 1991 - 1992 Larry ยังคงมีอาการบาดเจ็บที่หลัง ซึ่งเขาได้ลงเล่นเพียง 45 เกมเท่านั้น และก็ต้องพักยาวอีก Bird กลับมาในเกม playoff รอบ Semi-final ที่พบกับ Cleveland และเขาพลาดไปถึง 4 ใน 7 เกม ก่อน Celtics จะพ่ายแพ้ไป แต่ทางด้าน Michael Jordan และ Chicago Bulls ยังแรงไม่หยุด นำสายตะวันออกด้วย สถิติ 65 - 17 และตัว MJ เอง ก็ได้รางวัล MVP เป็นครั้งที่สามอีกด้วย Chicago ไปเจอกับ Cleveland ที่ชนะ Celtics มาในรอบชิงชนะเลิศสายตะวันออก ก่อน Chicago จะเอาชนะได้ใน 6 เกม ในรอบชิงชนะเลิศ 1992 นั้น Bulls มาพบ Trail Blazer ของ Clyde "The Glide" Drexler ส่วนทาง NBA นั้น พยายามสร้างกระแสของ MJ และ Clyde ให้เป็นเหมือน Magic & Bird rivalry The "Air" & The Glide ในเกมแรก "แอร์" จอร์แดน ทำ 35 แต้ม ในครึ่งเวลาแรก (สถิติ) โดยชู้ตสามคะแนนลงถึง 6 ลูก และหลังจากลูกที่ 6 เขาเดินไปที่ข้างสนาม และพูดอะไรบางอย่าง โดยที่ Marv Albert ผู้บรรยายในขณะนั้น บอกว่าเค้าพูดว่า "I can't believe i'm doing this." (เหลือเชื่อเลยหวะ ตรูทำได้ไงฟะเนี่ย) และ Bulls ก็ชนะไปตามระเบียบ Bulls เอาชนะไปได้ในเกมที่ 6 และ MJ ก็ได้รับรางวัล MVP Finals อีกครั้งโดยตลอด series เขาทำไป 35.8 ppg, 4.8 rpg, and 6.5 apg, และ shooting 53% จากคุณ : headcracking เขียนเมื่อ : 3 ม.ค. 53 18:02:00

ความคิดเห็นที่ 31 the air vs the glide จากคุณ : headcracking เขียนเมื่อ : 3 ม.ค. 53 18:03:41

ความคิดเห็นที่ 32 Summer 1992 ทั้ง Magic และ Bird ก็ได้ร่วมทีมกันเป็นครั้งแรก สำหรับ 1992 Olympics US basketball Team หรือ ที่ใครๆเรียกกันว่า "Dream Team" แม้ Magic จะไม่ได้เล่นมากนักในโอลิมปิกที่ Barcelona แต่เขาก็ได้รับการยืนปรบมือ (Standing Ovation) ในเกมที่เขาลงสนาม และยังถือโอกาสประชาสัมพันธ์ และ เ็ป็นกำลังใจให้ผู้ป่วย HIV และ ก็ Dream Team คว้าเหรียญทองได้สำเร็จ (จะไม่สำเร็จได้ไงอะ ดูผู้เล่นดิ๊ -*-) จากคุณ : headcracking เขียนเมื่อ : 3 ม.ค. 53 18:10:40

ความคิดเห็นที่ 33 หลังจาก Olympic จบลง Larry Bird ประกาศ retirement ในวันที่ 18 August 1992 โดยในงานรีไทร์ของ Bird นั้น มีแขกท่านนึงได้ถูกเชิญมาจากทีมศัตรูหมายเลข 1 ของ Boston นั่นก็คือ... แอ่น แอน แอ๊นนนน Magic Johnson นี่เป็นฉากประทับใจที่สุดของผม สำหรับ คู่แข่ง และ เพื่อนรัก ระหว่าง Larry Bird กับ Magic Johnson เลยทีเดียวครับ ในตอนนึงของงาน Magic เล่าให้ฟังว่า มีอยู่เกมนึง ระหว่างสองทีม และเค้าสองคนต่างวอร์มอยู่คนละฝั่ง ก่อนเกมจะเริ่ม Bird เดินมาหา Magic แล้วพูดว่า "You know what, don't worry. I'll put a show off for you" Larry ก็ลงสนามไป และทำไป 38 แต้ม ประมาณ 20 รีบาวด์ 15 แอสซิสต์ (เป็นค่าประมาณที่ magic พูดออกมานะครับ) และทุกๆลูกที่ Larry ชู้ตลง เขาหันมามองหน้า Magic Magic บอกว่า "Most guys talk trash and talk stuff and can't bang it up. But Mr. Bird, you know you can bang trash talk to happen." Magic พูดอะไรอีกหลายๆอย่าง แต่ ที่ซึ้งจับใจผมก็คือ ผมขอ อณุญาติใช้ประโยคสนทนานะครับ เพราะมันจับใจผมมาก "Larry you told me one lie, only one. And you only lie the fans and all people in the world. You know what that lie is?" "I don't remember.." "Larry Bird said that, there will be another Larry Bird one day. And Larry, there will never, ever, ever be another Larry Bird. I don't care how many people, how many players, there will never be another Larry Bird." Magic said, "You take that to the bank, I love you, I respect you, I admire you. และ Magic ก็มอบของขวัญจาก พลพรรค Lakers ให้ Celtics ด้วยครับ ลองไปหาดูนะครับ จากคุณ : headcracking เขียนเมื่อ : 3 ม.ค. 53 18:40:36

ความคิดเห็นที่ 34 หลังจากปีนั้น Magic มีข่าวว่าจะกลัีบมาเล่น ในช่วงปี 1992 - 1993 แต่ก่อน ฤดูกาลจะเปิด เขาก็ รีไทร์ไปอีกรอบ หลังจากรีไทร์ไปแล้ว Johnson ได้สานฝันในวัยเด็กด้วยการรับงานเป็น commentator ใหฺ้ NBC (สมัยเรียนมหาวิทยาลัย MSU แมจิคเรียนเกี่ยวกับ com art ครับ และเขาอยากเป็น commentator ก่อนที่จะเข้า NBA) จนถึงตอนนี้ เราก็ยังเห็นเขาบ่อยๆ ในช่วง All-star weekend นะครับ Magic มาพากย์ทั้ง Slam dunk contest และ all-star game เป็น commentator ครับ ในปี 1993 - 1994 Magic รับงานคุมทีม Lakers แทนที่ Randy Pfund และก็เลิกคุมหลังจากปีนั้น ในปีต่อมา Magic ในวัย 36 กลับมาเล่นอีกครั้ง ในตำแหน่ง PF ทำค่าเฉลี่ย 14.6 points, 6.9 assists, and 5.7 rebounds per game และเมื่อ Lakers แพ้ Rockets ใน playoff รอบแรก Magic ก็รีไทร์ เป็นครั้งที่สาม และ ครั้งสุดท้าย จากคุณ : headcracking เขียนเมื่อ : 3 ม.ค. 53 18:52:06

ความคิดเห็นที่ 35 ส่วน Larry Bird หลัง รีไทร์ เขารับงานกับ Celtics ในตำแหน่ง special assistant in the team's front office ก่อนจะถูกดึงตัวไปเป็น coach ให้กับทีม Indiana Pacers ในปี 1997 ในฤดูกาล 1997 - 1998 Larry ซึ่งไม่เคยมีประสบการณ์คุมทีมมาก่อน นำ Pacers เก็บ 58 - 24 ซึ่งเป็นสถิติสูงสุดของสโมสรในขณะนั้น และยังสู้กับ Chicago Bulls ได้อย่างสูสีจนถึง 7 เกม ในการชิงแชมป์สายตะวันออก ทำให้ Bird ได้รางวัล Coach of the Year ไปในที่สุด และเป็นคนเดียวในประวัติศาสตร์ NBA ที่ได้ทั้งรางวัล Coach of the Year และ MVP ในปี 1999 และ 2000 Bird นำ Pacers เป็นแชมป์ division และนำ Pacers เข้าชิงสำเร็จในปี 2000 นี้เอง (ชิงกับ Lakers แล้วแพ้ไปครับ) จากคุณ : headcracking เขียนเมื่อ : 3 ม.ค. 53 18:59:47

ความคิดเห็นที่ 36 สรุปตั้งแต่ปี 1979-1980 จนถึง 1989-1990 เป็นเวลา 10 ปี ฺBoston และ Lakers ได้แชมป์รวมกันถึง 8 สมัย โดยเป็นของ เลเกอร์ 5 ครั้ง และ เซลติกอีก 3 ครั้ง Earvin "Magic" Johnson ตลอดการเล่นอาชีพ ลงเล่นทั้งหมด 906 เกม ทำแต้มไป 17,707 แต้ม  10,141 แอสซิสต์  6,559 รีบาวด์  1,724 สตีล Larry Bird เล่น 897 นัด ทำแต้ม 21,791 แต้ม  8,974 รีบาวด์  5,695 แอสซิสต์ 1,556สตีล  556บลอค เขียนมาจนถึงตรงนี้ ถึงอยากจะเขียนต่อ แต่ผมไม่ไหวแล้วครับ >.< ขอบคุณท่านที่ตามอ่าน และให้กำลังใจ ผมอยากจะเขียนเรื่องราวในแต่ละปีให้ละเอียดกว่านี้ แต่ ไม่สามารถ ถ้ามีข้อมูลอะไรผิดพลาด บอกได้เลยนะครับ ถึงยุคต่อจาก "The two and other 80's" จะจบลง และ MJ มาครองลีค (และครองใจผู้ชมด้วย) แต่ ผมก็ยังรัก และ อยากให้ สองตำนานนี้ อยู่ในความทรงจำของคนที่รัก NBA อีกซักสองคนครับ ขอบคุณจริงๆครับ จากคุณ : headcracking เขียนเมื่อ : 3 ม.ค. 53 19:12:08

ความคิดเห็นที่ 37 รูปคลาสสิคอีกซักรูปครับ ^^ จากคุณ : headcracking เขียนเมื่อ : 3 ม.ค. 53 19:13:03

ความคิดเห็นที่ 38 ขอบคุณครับ ขอบคุณจริงๆ จากคุณ : Biggggggg เขียนเมื่อ : 3 ม.ค. 53 19:40:08

ความคิดเห็นที่ 39 admire เป็นคำที่แรงมากจะครับ (หมายถึงดีนะ) =] ขอบคุณครับ จากคุณ : de prince of darkness เขียนเมื่อ : 3 ม.ค. 53 20:03:29

ความคิดเห็นที่ 40 ขอบคุณสำหรับ กระทู้ดีๆกระทู้หนึ่ง ^^ จากคุณ : handlez-slam* เขียนเมื่อ : 3 ม.ค. 53 20:28:06

ความคิดเห็นที่ 41 idol ในการเล่นบาสของผม คือ magic นี่ละครับ Jordan เป็นแค่ คนเก่งสุดแค่น้น   แล้วก็ Magic นี่ละเป็นคนที่ทำให้ระบบ Run n Gun ได้แชมป์ ของแท้ ถึงตอนนี้ แนช กะลังพยายามอยู่แต่ก็ยังไม่สำเร็จซะที จากคุณ : namtac13 เขียนเมื่อ : 3 ม.ค. 53 23:07:55

ความคิดเห็นที่ 42 ผมเอง เริ่มเล่นบาสจากการ์ตูน slamdunk ครับ 55+ แต่เริ่มดู NBA ช่วง Lakers 3 แชมป์น่ะครับ เลยติดตาภาพโคบี้ แต่เพราะชอบเล่นการ์ดจ่าย ถึงจะเชียร์โคบี้ แต่ผมปันใจให้ Nash กะ Kidd มากๆเลยครับ พอมาเห็น Magic เล่นเท่านั้น โอ้!! เทพจริงๆครับ ให้ผมไปรับลูกจ่ายเค้า คงปากแตกไปเท่านั้น T^T จากคุณ : headcracking เขียนเมื่อ : 3 ม.ค. 53 23:36:39

ความคิดเห็นที่ 43 ผมชอบเพเซอสและเรจจี้ มิลเลอร์มากๆเพราะลาร์รี่ เบิร์ดนี่แหละครับ ขอบคุณสำหรับกระทู้ดีมากๆแบบนี้และอยากให้ทำเรื่องอื่นๆหรือคนอื่นๆเกี่ยวกับnbaอีกครับ จะตามติดและติดตามครับ จากคุณ : bubble119 เขียนเมื่อ : 4 ม.ค. 53 00:17:43

ความคิดเห็นที่ 44 อ้อ ผมขอเพิ่มเติมอีกนิดหน่อยนะครับ แรงบัลดาลใจที่ทำให้ผมเขียนกระทูนี้ขึ้นมา คือ บทความของ Steve Aschburner นักเขียนข่าวของ NBA ซึ่งติดตามเกมมาถึง 25 ปีแล้วครับ บทความชื่อ Magic vs. Larry, NBA style, began 30 years ago today ตัวบทความพูดถึงความสัมพันธ์อันแน่นแฟ้น ระหว่าง Bird และ Magic เป็นเวลายาวนานถึง 13 NBA season และ 3 Finals ที่ทั้งคู่โคจรมาพบกัน รวมทั้งหมด 37 เกม ที่จะ ขยาย และ ระบุชัด ถีงความเป็น คู่แข่ง ของ Magic และ Bird และมันแทบจะเป็นไปไม่ได้ที่จะคิดถึงใครคนหนึ่งในสองคนนี้เพียงคนเดียว โดยไม่คิดถึง "คู่อริ" ของเขา คนขาว ในชุดสีเขียว กับ คนดำ ในชุดสีทอง ผมลอนสีทอง กับ หนวดเคราพร้อมรอยยิ้ม มันเป็นการมาบรรจบพบกันของคนสองคน ที่ช่างถูกที่และถูกเวลาเสียเหลือเกิน ทั้งคู่สามารถทำให้เพื่อนร่วมทีมเล่นได้ดีขึ้น และ ต่างทำให้กันละกันเล่นดีขึ้นด้วยเช่นกัน มันเป็นเวลาถึง 30 ปีแ้ล้ว ที่ สองคนนี้พบกันครั้งแรก ในลีคอาชีพ เกมจบลงที่ Lakers 123 - Celtics 105 มันเป็นช่วงเวลาที่วิเศษราวกับหลุดออกมาจากหนัง Hollywood ในคืนวันศุกร์ที่ 28 Dec. 1979 โดย Magic ยักคิ้วให้ Larry แล้วพูดว่า "You complete me." และ Larry ตอบกลับไปว่า "You had me at hello." แม้ในความเป็นจริง นี่คือจุดเริ่มต้นแห่งมิตรภาพอันแน่นแฟ้น แต่ไม่มีใครพูดคำนั้นออกมา เพราะในเกมนั้น แม้ว่า Celtics แทบจะไม่มีหวังแล้ว ใน ควอร์เตอร์ที่ 4 แต่ Larry ก็ยังชนกับ Magic อย่างเอาเป็นเอาตาย  rookie ทั้งสองคนต่างจ้องหน้ากันอย่างเอาเรื่อง ก่อนหน้าเกมนี้จะเริ่มขึ้น 1 สัปดา์ห์ Bird ให้สัมภาษณ์กับนักข่าวทางโทรศัพท์ถึงเกมนี้ว่า "มันมีการพูดกันถึงเรื่องนี้ (Magic vs Bird) มาหลายวันแล้ว และถ้าผมมีโอกาสที่จะเตะก้นเขาละก็ ผมเอาแน่" ทั้งสองคนเป็นเพื่อนรักกันในเวลานี้ พวกเขาเริ่มเลิกแสดงความเป็นคู่อริตั้งแต่ช่วงปี 1984 ชายสองคนที่ประสบทั้งชัยชนะ และเรื่องเศร้าโศก ต่างเติบโตขึ้น Bird พูดถึงเกมแรกที่พบกันว่า นั่นคือ west trip ครั้งแรกสำหรับเขา มันเป็นเรื่องใหม่ มันน่าตื่นเต้นที่จะเดินทางไปแข่งที่นั่น และเราต้องเล่นเกมเร็ว ใน Boston ทีมเล่นเกมช้า พยายามเล่น halfcourt แต่ในช่วงเวลานั้น ยังมีทีมอย่าง Phoenix หรือ Denver ที่เล่นเกมเร็ว และถ้าเราไม่เร็วแข่งกับ Lakers ให้ได้ละก็ เราไม่ทางเอาชนะเขาแน่ เราจำเป็นต้องดึงเกมให้ช้าบ้างในช่วงท้ายเกม แต่คุณไม่มีทางดึงเขาได้ตลอดเกมแน่ ในช่วงเวลาแบบนั้น อาจจะมีเพียงแค่ Magic และ Bird ที่มีความสดพอ และ ยืดหยุ่นพอ ที่จะแบกรับความคาดหวังที่สูงกว่าปกติในช่วงฤดูหนาว Celtics ต้องแข่งถึง 3 เกม ใน 3 คืน ในตอนนั้น เพราะฉะนั้น เกมนี้ไม่ใช่เกมที่มีการเตรียมพร้อมมากนัก แต่ว่า ด้วย ชื่อชั้นของทีม (Celtics vs Lakers คงเป็นเกมใหญ่ในทุกสมัยละครับ) ด้วย rookie มหัศจรรย์ทั้งสองคน ทำให้เกมนี้ต่างเป็นที่จับตามอง Celtics 28 - 8 (season ก่อนที่ Bird จะเล่น Celtics มีสถิติ 29-53) ส่วน Lakers 26-31 ในเกมที่ทั้งสองจะพบกัน วันที่นั้นๆจะถููกวงด้วยปากกาแดงบนปฎิทิน ผู้ชมจะล้นหลามมาก ในไม่ช้า ผู้คนต่างกล่าวถึง "Magic&Biird และ คนอื่นๆในยุค 80" "เราทั้งสองคนต่างเล่นได้ดีในตอนนั้น ดังนั้นมันจึงเป็นเกมที่คาดหวังสูง และเราต่างรอคอยที่จะได้เจอกัน ผู้คนมากมาย ก็รอที่จะเห็นเราแข่งกัน" Magic ให้สัมภาษณ์ Magic vs Bird ได้ถูกยกไปเปรียบเทียบกับคู่อริอย่าง Wilt Chamberlain vs Bill Russel ทั้งคู่ต่างเล่นให้กับทีมที่มีประวัติศาสตร์ และนั่นถือเป็นการเดิมพันอย่างหนึ่ง ทั้งสองทีมต่างพบกันมาหลายครั้ง และน่าเสียดาย ที่ Lakers ไม่เคยเอาชนะได้เลย (ในสมัยก่อนนู้น) ดังนั้น นี่จึงเป็นเกมที่พิเศษสำหรับทั้งสองคน ในเกมนี้ Lakers นำ Celtics ก่อนหมดควอร์เตอร์ที่สาม 105 - 87 Magic ทำ 23 แต้ม 8 รีบาวด์ 6 แอสซิสต์ 4 สตีล และ 7 turnover Wikes ทำ 22 แต้ม Kareem ทำ 18 รีบาวด์ Norm Nixon ทำ 7 แอสซิสต์ Cedric Maxwell ของ Celtics ทำ 19 แต้ม 16 รีบาวด์ Cowens ทำ 9 แอสซิสต์ Bird ทำไป 16 แต้ม 4 รีบาวด์ 3 แอสซิสต์ 4 สตีล และ 2 turnover หลังเกมที่ Celtics พ่ายแพ้ไปอย่างเจ็บปวด Bird ให้สัมภาษณ์ว่า "พรุ่งนี้เราจะลืมคืนวันนี้... และเราจะไปไกลจากที่นี่ เมื่อเรากลับถึงบ้าน เราก็ลืมไปแล้วล่ะ ว่าคืนไหนที่เราแข่งกับ Lakers" 37 เกมที่พบกัน 19 เกม ใน Finals 18เกม ใน regular season Lakers เอาชนะได้ 22 เกม และ Celtics ชนะได้ 15 ครั้ง และได้ แชมป์ถึง 2 จาก 3 ครั้งที่พบกันในรอบชิง เบิร์ดกล่าวถึงเมจิคว่า "ผมเล่นกับผู้เล่นชั้นยอดมามากมาย... เขาเป็นผู้เล่นชั้นยอดนั้น ผมมาทบทวนในเกมที่เราพบกัน ถ้าวันไหนผมชู้ตไม่แม่น และเขาเล่นดี เลเกอร์มักจะชนะ แต่ถ้าวันไหนผมติดเครื่องละก็ เราก็ชนะ" ถึง Bird จะได้ Rookie of the Year ในปีันั้นๆ แต่ Magic ดันได้แชมป์ NBA ตัดหน้าไป "หลังจากเขาชนะไปในปีแรก" เบิี์ร์ดให้สัมภาษณ์ "ผมกลับมาคิดว่า โอ้พระเจ้า! เราต้องชนะอะไรซักอย่างแ้ล้วล่ัะ!!" จากคุณ : headcracking เขียนเมื่อ : 4 ม.ค. 53 01:10:11

ความคิดเห็นที่ 45 สารภาพว่าตอนผมเล่น NBA2K10 แล้วเล่นทีมออสตาร์ปี 88-89 ผมหา เมจิค จอนสัน ไม่เจอเพราะ หาคนชื่อเมจิกไม่มี เพราะในเกมส์ได้ใช้ ชื่อ Earvin Johnson น่าอายจริงๆ จากคุณ : zeezent เขียนเมื่อ : 4 ม.ค. 53 02:19:00

ความคิดเห็นที่ 46 เพิ่งเล่นเมื่อกี้สดๆ ในเกมส์จัดให้อยู่ตำแหน่ง SG แต่ผมเปลี่ยนให้เฮียแกเล่น PG แล้วเลี้ยงมา ดั๊ง แสกหน้า ซุปเปอร์แมน ซะ แถมเฮียแก รีบาว ดีจริงๆ จากคุณ : zeezent เขียนเมื่อ : 4 ม.ค. 53 07:08:24

ความคิดเห็นที่ 47 สุดยอดครับ จขกท.  เป็นคอลัมน์ที่สุดยอดคอลัมน์นึงเลยจริงๆครับ จากคุณ : Dan_23 เขียนเมื่อ : 4 ม.ค. 53 11:42:59

ความคิดเห็นที่ 48 เมจิค กับ เบิร์ด คือสุดยอดของผู้เล่นในยุค 80 จอร์แดน คือสุดยอดผู้เล่นในยุค 90 โคบี้ แชค คือยอดผู้เล่นในยุค 2000 2010....โคบี้ เจมส์ เวด เมโล่ ฮาวเวิร์ด เราคงต้องดูกันต่อไป 2010 เลเกอร์ส เซลติกส์....สองทีมนี้ ใครจะครองความยิ่งใหญ่ได้มากกว่ากันในยุค 2000 เลเกอร์ โคบี้ ฟิชเชอร์ กาซอล โอดอม อาร์เทส....ไบนัม เซลติกส์ การเน็ตต์ เพียซ อัลเลน... มาถึงยุค 2010 เลเกอร์ส ก็ยังครองความยิ่งใหญ่ และเซลติกส์ ก็ตามมาติดๆ ผมถึงรัก และเชียร์เลเกอร์สมาตั้งแต่จำความได้เลยทีเดียว เพราะ แชมป์แรกที่เมจิกได้รับ ตรงกับวันเกิดผมพอดี ลุงผมบอกว่า พอผมอุแว้แรก คือตอนที่เมจิคก็ถือถ้วยแชมป์พอดี ปล. ลุงผมอยู่ LA ไปนั่งดูในสนามอย่างใกล้ชิด เพราะตอนนั้นลุงเป็นเด็กเช็ดสนาม.... จากคุณ : soundboyz เขียนเมื่อ : 4 ม.ค. 53 11:49:57

ความคิดเห็นที่ 49 ความเห็น 46 คนนั้นน่าจะเป็น จูเลียส เออวิ่ง มากกว่าน่ะ เป็นตำแหน่ง SG น่าจะถูกแล้ว คุณ headcracking มีเขียนถึงไว้ที่ความเห็น 2 ด้วย เป็น สุดยอด SG ยุคก่อน MJ ส่วน Magic Johnson ที่เสื้อน่าจะปักชื่อ Johnson อะไรเทือกนี้มากกว่า ไม่แน่ใจลองเช็คดูอีกที พอดีไม่เคยเล่นเกมส์ แก้ไขเมื่อ 04 ม.ค. 53 21:03:32 แก้ไขเมื่อ 04 ม.ค. 53 21:02:57 จากคุณ : a&t เขียนเมื่อ : 4 ม.ค. 53 20:53:40

ความคิดเห็นที่ 50 ^ ^ ^ มันปักแบบนี้แหละครับในเกมส์นะ แต่ ชื่อมันจะเป็น E.johnson ผมว่าน่าจะใช่แหละ หน้านี่ใช่เลย แถมเล่นง่ายด้วย พี่แก ออ อราว มากๆ จากคุณ : zeezent เขียนเมื่อ : 5 ม.ค. 53 00:21:13

ความคิดเห็นที่ 51 If you love these 2s, I recommend their new book "When the Game was ours"... I am reading it now. Really enjoy these 2 hoop genius.......... ... I like the story of The young Magic was told by his coach to work harder. Because someone somewhere are working real hard on his game now. Magic didn't believe who else could be better than him... Until he met a white boy in an international game between US college players and other Countries' national team. .... From that day, he knew he got a hoop rival.... Someone who can beat him, if he let his guard down.... His name is Larry Bird... .... What do you think? จากคุณ : pocco เขียนเมื่อ : 5 ม.ค. 53 01:19:32

ความคิดเห็นที่ 52 k Zeezent That is DR. J, Julius Erving. Doc wore no 6 during his career. Magic's real name is Earvin Johnson Jr. So his jersey should have "Johnson" in the back, and he plays PG all his life........ By the way, we always remember Magic in no 32. That's the best 32 in the history of the game.... What do you think? จากคุณ : pocco เขียนเมื่อ : 5 ม.ค. 53 01:23:56

ความคิดเห็นที่ 53   2010 ผมยก ให้ Melo ครับ (พึ่งมดูบาสในสมัยของ LBJ) (ผมชอบละประทับใจ ในการเล่น ของ Dennis Rodman เป็นพิเศษ) จากคุณ : Dr.Answer เขียนเมื่อ : 5 ม.ค. 53 01:37:30

ความคิดเห็นที่ 54 สงสัย เมจิค จอนสัน อยู่ อีกฝั่งครับ เดี๋ยวลองเล่นดูใหม่ก่อน จากคุณ : zeezent เขียนเมื่อ : 5 ม.ค. 53 02:42:52

ความคิดเห็นที่ 55 Thx reb.52 หาเจอละ เล่นมันมาก แหะๆ เข้าใจผิดไปแมตย์นึงเลย ขอบคุณมากครับสำหรับความรู้ประดับหัว จากคุณ : zeezent เขียนเมื่อ : 5 ม.ค. 53 03:11:03

ความคิดเห็นที่ 56 สุดยอดครับ ขอบคุณมากๆครับ เขียนได้ขนาดนี้ ข้อมูลต้องแน่นมากๆเลยนะครับ ใช้เวลาเตรียมเขียนกระทู้นานเท่าไหร่ครับเนี่ย สุโค่ย จากคุณ : oholarik เขียนเมื่อ : 5 ม.ค. 53 19:02:15

ความคิดเห็นที่ 57 โอ้ สองคนนี้มีความรู้สึกเป็นคู่แข่งกันก่อนจะพบกันครั้งแรกอีกเหรอครับเนี่ย.. สุดยอดจริงๆ ผมจะลองหามาอ่านนะครับ คุณ pocco ^^ ขอบคุณครับ ขอบคุณทุกคอมเม้นท์ และ ทุกท่านที่เข้ามาอ่านด้วยครับ ตอนเขียนก็เหนืือยครับ แต่ก็สนุก และก็ดีใจที่ทุกท่านชอบครับ จากคุณ : headcracking เขียนเมื่อ : 5 ม.ค. 53 23:11:00

ความคิดเห็นที่ 58 สุโค่ยครับ ยิ่งอ่านยิ่งมันส์ จากคุณ : basuka เขียนเมื่อ : 7 ม.ค. 53 17:49:14

ความคิดเห็นที่ 59 ยอมรับว่าเกิดไม่ทัน จอนสัน แต่หลังจากที่อ่าน นี่ ถ้าไปดูจากแสลมดั๊ง  ต้นแบบของ มากิ ก็คือเมจิก จอนสัน ใช้มั้ยครับ จากคุณ : ottotaro เขียนเมื่อ : 10 ม.ค. 53 15:37:28