ความคิดเห็นที่ 1 ลองคิดเล่นๆ ครับ TPL = ถ้วย ก มี 18 ทีม ตกชั้น 3 ทีม D1 = ถ้วย ข มี 18 ทีม เลื่อนชั้น 3 ทีม ตกชั้น 4 ทีม D2 = ถ้วย ค แบ่งเป็น 4 โซน คือ ภาคเหนือ, ภาคอีสาน, ภาคใต้, ภาคกลางและกรุงเทพฯ (แต่ละโซนสามารถแบ่งเป็นดิวิชั่นย่อยๆ ลงไปได้อีกตามจำนวนทีม) แชมป์แต่ละโซนจะได้เลื่อนชั้นไปอยู่ถ้วย ข (D1 เดิม) แต่จะมาเตะกันแบบพบกันหมดอีกรอบ เพื่อหาแชมป์ถ้วย ค อีกที บอลสมัครเล่น = ถ้วย ง FA cup เหมือนเดิม Queen's cup เป็นรายการแชมป์ชิงแชมป์ โดยนำทีมภาคีที่มีผลงานดีที่สุดในถ้วย ก 3 อันดับแรก ทีมภาคีที่ผลงานดีที่สุดใน FA cup 2 อันดับแรก มารวมกับแชมป์เก่า เจ้าภาพ และทีมรับเชิญจากต่างประเทศ (ต้องติด 1-3 ของลีกในประเทศปีล่าสุด) อีก 1 ทีม แก้ไขเมื่อ 17 ก.พ. 53 14:01:33 จากคุณ : เกียรตินำ เขียนเมื่อ : 17 ก.พ. 53 13:48:54

ความคิดเห็นที่ 2 เห็นดัวยกับข้างบน ที่เปลี่ยนว่า พรีเมียร์ลีค สมาคมคงคิดว่าเพื่อการตลาด ถ้าคนไทยดูบอลสเปนคนเป็น ลาลีก้า ไปละ จากคุณ : janthepen เขียนเมื่อ : 17 ก.พ. 53 13:57:41

ความคิดเห็นที่ 3 ของผมคล้ายๆกันเลยครับคุณเกียรตินำ ถ้วย คอมมูนิตี้ จัดทำขึ้นมาใหม่ต่างหากเลยเปลี่ยนชื่อไปเรื่อยๆตามสปอนเซอร์ได้ แต่ผมอยากรวม Queen's cup กับ FA Cup เป็นถ้วยเดียวกันแทน แล้วยกเลิกระบบภาคีสโมสรซะ TPL = ถ้วย ก มี 18 ทีม ตกชั้น 3 ทีม D1 = ถ้วย ข มี 18-20 ทีม เลื่อนชั้น 3 ทีม ตกชั้น 4 ทีม ครึ่ง หรือ 5 ทีมดูอีกทีนึง D2 = ถ้วย ค แบ่งเป็น 4 โซน คือ โซนเหนือ, โซนอีสาน, โซนใต้, โซนภาคกลางและกรุงเทพ เงื่อนไข 1.แต่ละโซนมีไม่เกิน 16 ทีม 2.ไม่ได้แบ่งตามภาค แต่แบ่งตามสนามเหย้าว่าทีมไหนสะดวกจะเดินทางในโซนไหน 3.แต่จากข้อ 2 ก็ต้องอยู่ในเงื่อนไขการเฉลี่ยทีมให้พอดีกันด้วย 4.ทีมแชมป์แต่ละโซนเลื่อนชั้นอัตโนมัติ 5.ทีมรองแชมป์ 4 ทีมเตะเพลย์ออฟ หา 1 ทีม ไปเตะเพลย์ออฟกับทีมที่ผลงานดีที่สุดในทีมที่ตกชั้นจาก D1 6.ทีมที่ผลงานแย่ที่สุดในแต่ละโซนตกลั้นไปเล่นลีกสมัครเล่นในจังหวัดตนเอง ระดับสมัครเล่น 1.จังหวัดไหนพร้อมให้จัดลีกสมัครเล่นในจังหวัดขึ้นมาไม่เกิน 10-12 ทีม 2.จังหวัดไหนไม่พร้อมให้เตะในรูปแบบบอลถ้วยหาทีมแชมป์ 3.เอาแชมป์ของแต่ละจังหวัดมาเตะหา 2 ทีมเลื่อนชั้นขึ้นไปเล่นในดับ D2 แต่ละโซน เงื่อนไข 1.บอลนักเรียน , บอลมหาลัย , กีฬาแห่งชาติ , กีฬากองทัพ ห้ามนักกีฬาที่ลงทะเบียนลงเล่นในทุกระดับลงเล่นโดยเด็ดขาด 2.กีฬามหาลัยโลก ห้ามนักเตะที่ลงทะเบียนในทุกระดับไปเล่น ให้ใช้นักกีฬาในระดับมหาลัยเท่านั้น 3.ทีมชาติชุดเยาวชนทุกชุดรวมถึงซีเกมส์สามารถเรียกตัวนักเตะจากทีมโรงเรียน , ทีมมหาลัย , ทีมจังหวัดจากกีฬาแห่งชาติ มาเล่นได้ 4.ห้ามคนที่เป็นเยาวชนสโมสรลงเล่นให้ทีมโรงเรียนยกเว้นกีฬาภายในโรงเรียนเท่านั้น จากคุณ : ploy16 เขียนเมื่อ : 17 ก.พ. 53 14:16:06

ความคิดเห็นที่ 4 - ทัวร์นาเมนต์ชิงแชมป์ประเทศระดับประถม * - ทัวร์นาเมนต์ชิงแชมป์ประเทศระดับมัธยมต้น * - ทัวร์นาเมนต์ชิงแชมป์ประเทศระดับมัธยมปลาย * - ทัวร์นาเมนต์ชิงแชมป์ประเทศระดับระดับอาชีวะ - ทัวร์นาเมนต์ชิงแชมป์ประเทศระดับระดับวิทยาลัย - ทัวร์นาเมนต์ชิงแชมป์ประเทศระดับระดับมหาลัย * จัดลีคภายในจังหวัด แล้วเอาทีมชนะมาแข่งลีคระดับภาค เอาทีมแต่ะภาคมาจัดมินิลีคชิงแชมป์ระดับประเทศ จริงๆ น่าจะมีทัวร์นาเมนต์ระดับอนุบาลชิงแชมป์ประเทศด้วย แก้ไขเมื่อ 17 ก.พ. 53 14:26:19 จากคุณ : janthepen เขียนเมื่อ : 17 ก.พ. 53 14:25:08

ความคิดเห็นที่ 5 ^ เรื่องห้ามนักเตะไปเล่นกีฬารายการอื่น ไม่เห็นด้วยกับการห้ามขาดครับ เพราะนักกีฬาหลายคนก็รับทุนการศึกษาอยู่ การเล่นกีฬาให้กับมหาวิทยาลัยก็ถือเป็นการตอบแทนสถาบันในทางหนึ่ง และปัจจุบันกีฬามหาวิทยาลัยกับฟุตบอลลีกก็ไม่ได้แข่งในช่วงเวลาเดียวกันด้วย อยากให้เป็นแบบประนีประนอมครับ คือกำหนดว่า นักเตะที่มีสัญญากับสโมสรอาชีพ ถ้าต้องการลงเล่นฟุตบอลในรายการอื่นๆ นอกเหนือจากต้นสังกัดสโมสรอาชีพส่งแข่ง ให้เป็นสิทธิของสโมสรอาชีพจะพิจารณาเองว่าจะปล่อยตัวให้ไปเล่นหรือไม่ โดยนักเตะที่จะไปแข่งต้องได้รับหนังสืออนุมัติเป็นลายลักษณ์อักษรจากต้นสังกัดเท่านั้น จากคุณ : เกียรตินำ เขียนเมื่อ : 17 ก.พ. 53 14:26:17

ความคิดเห็นที่ 6 Queen's cup มันเปนถ้วยของสมาชิกภาคีเขาไม่ใช่หรือ ไม่ใช่ถ้วยของสมาคมฟุตบอล จะยุบไปรวมกับ FA cup ไม่น่าจะได้นะ จากคุณ : RAKANG เขียนเมื่อ : 17 ก.พ. 53 15:03:11

ความคิดเห็นที่ 7 เห็นด้วยกับคุณเกียรตินำ ความคิดเห็นที่ 1 ------------------------------------------ http://www.thaibloodfootball.com ฟุตบอลไทยอยู่ในสายเลือด จากคุณ : มูเท็น เขียนเมื่อ : 17 ก.พ. 53 15:11:11

ความคิดเห็นที่ 8 อันดับแรกผมจะให้มาเตะกันหน้าหนาวไปร้อน  ไม่ใช่มาจัดหน้าฝนคนเชียร์หวัดกินกันเป็นแถบ  นักบอลก็เตะไปลื่นไป  เห็นแล้วอนาถ จากคุณ : ห้องพักที่ 4 เขียนเมื่อ : 17 ก.พ. 53 15:13:58

ความคิดเห็นที่ 9 อย่างแรก อย่าเอาการเมืองมายุ่งกับกีฬา เพราะตอนนี้การเมืองยังมีส่วนเข้ามายุ่งกับฟุตบอลอยู่ ตัวย่างที่เห็นๆกันอยู่ การไฟฟ้า โดนนักการเมืองดูดไปอีกหนึ่งทีมแล้ว จากคุณ : Retroboy เขียนเมื่อ : 17 ก.พ. 53 15:22:22

ความคิดเห็นที่ 10 เห็นด้วยกับทั้งของคุณ ploy16,คุณเกียรตินำ แต่ขอเพิ่มเติม D1 แชมป์กับรองแชมป์ขึ้น TPL อัตโนมัติ ส่วนที่ 3-6 มาเล่น play- off เอาเหมือน Championship หาอีกหนึ่งทีม ก็น่าจะดี เพราะ D1 มีทีมที่ศักยภาพสูสีกันเยอะ น่าจะแย่งพื้นที่ play-off กันได้สนุก ส่วนทีมที่เล่นอยู่ในถ้วยพระราชทาน ข-ค-ง เดิม ก็จัดลีกให้ใหม่เป็นลีกของทีมสมัครเล่น จะใช้ชื่อ Sunday League,Semi-Pro League อะไรก็ว่ากันไป แต่จะมีสิทธิ์เลื่อนชั้นเข้าสู่ระบบอาชีพได้ก็ต่อเมื่อสโมสรผ่านเกณฑ์พิจารณาของสมาคม หรือจดทะเบียนเป็นนิติบุคคลให้เรียบร้อย ถ้าผ่านก็ไปเริ่มใน D2 ในโซนที่ทีมตั้งอยู่ได้เลย จากคุณ : paoninho เขียนเมื่อ : 17 ก.พ. 53 15:49:19

ความคิดเห็นที่ 11 ผมคิดคล้ายๆหลายๆท่าน แต่ ขอเปลี่ยนตรง ดิวิชั่น2 คัดมาแบบมีคุณภาพและความพร้อม 18ทีม ลีคภูมิภาคลงไปดิวิชั่น3ครับ จากคุณ : เดี๋ยวจะผอม (เดี๋ยวจะผอม) เขียนเมื่อ : 17 ก.พ. 53 16:27:15

ความคิดเห็นที่ 12 เรื่องอื่นไม่ว่ากัน แต่แปลกใจทำไมชอบไปยุ่งกับถ้วยควีนส์คัพของเขา ต้องแยกให้ออกว่าอะไรของสมาคมฯอะไรของเอกชน จากคุณ : vision เขียนเมื่อ : 17 ก.พ. 53 16:33:01

ความคิดเห็นที่ 13 ^ ^ คือผมก็เข้าใจครับ แต่ก็อยากให้คุณค่าของถ้วย ควีนส์คัพมีคุณค่ามากขึ้น แล้วก็ไม่ใช่เรื่องยากเลยที่เอกชนที่เป็นฝ่ายจัดควีนส์คัพ จะโดดมาอุ้น FA Cup เพราะถ้าปล่อยไปแบบนี้คุณค่าของควีนส์คัพ ก็คงไม่ต่างอะไรกันการเตะอุ่นเครื่องธรรมดา หรือ ไม่ได้มีคุณค่ามากไปกว่า ศึก 4 เส้าซุปเปอร์คัพเลยในระดับสากล เพราะเป็นแค่ถ้วยอุ่นเครื่องช่วงปรีซีซั่นเท่านั้น จากคุณ : ploy16 เขียนเมื่อ : 17 ก.พ. 53 17:25:21

ความคิดเห็นที่ 14 ผมเคยนั่งเขียนและนั่งคิดไปถึงการล้างบางองค์กรด้วยการ freeze ธรรมนูญบอลไทยไว้แล้วให้มีการแต่งตั้งคณะกรรมการปฏิรูปสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทยใหม่ ให้คิดธรรมนูญใหม่และมีการกำหนดทุกอย่างกันใหม่อาทิเช่น สมาชิกลงทะเบียนของสมาคม ระดับความสำคัญและการมีส่วนร่วมและการให้แฟนบอลทั่วไปเข้ามามีส่วนในการเป็นผู้ที่เข้ามามีบทบาทโดยตรงไม่ใช่เป็นแค่คนนอก ก็อย่างเช่นแบบสยามสมาคมให้แฟนบอลชำระเงินรายปีสมาคมแล้วมีเอกสารมีการส่งประชาสัมพันธให้กับแฟนบอลชาวไทยในทุกรายการกิจกรรมที่สมาคมจะมี อันนี้เบื้องต้นเลย โดยคณะกรรมการที่จะเข้ามาปฏิรูปเบื้องต้นที่คิดเล่นๆ ก็คือฝ่ายบริหารของทีมที่อยู่ในลีกบนทุกทีมในปัจจุบันและทีมในระดับดิวิชั่นหนึ่งที่จดทะเบียนและมีสถานภาพตาม criteria ของเอเอฟซี ทีมไหนยังไม่ได้จดเพิ่งจดไม่เอาโดยยืนพื้นการจดทะเบียนไว้อย่างน้อยหนึ่งปีจึงจะมาเป็นกรรมการปฏิรูปได้เพื่อป้องกันพวกแห่พวกแฝงเข้ามา เอาที่จริงใจและทำตามเงื่อนไขในปีแรกที่ผ่านมาเป็นเกณฑ์ แล้วให้เขาตั้งระบบการตรวจสอบ การเอาผิด การถอดถอน การกำหนดค่าตอบแทน ฯลฯ เกี่ยวกับกรรมการสมาคม และนายกสมาคม โดยเฉพาะอย่างยิ่งต้องมีการตรวจสอบนโยบายที่นำเสนอในการเข้าเป็นนายกสมาคมในตอนเลือกตั้ง มีระบบการเลือกตั้งเป็นสัดส่วน แบ่งประเภทสมาชิก สมาชิกทีมแบ่งระดับอย่างไร มีสัดส่วนในคะแนนอย่างไร ประเภทสมาชิกรายบุคคลเป็นอย่างไร มีสัดส่วนในคะแนนอย่างไร จากนั้นผมจะ freeze เรื่องสมาคมไว้ก่อน แล้วเมื่อได้แล้วก็มาวางระบบลีกของไทยใหม่ทั้งหมด กำหนดประเภทของทีมให้ชัดเจน ร่าง definition ของทีมในประเทศไทยให้ชัด ไม่ใช่จดทะเบียนแต่ทีมเกาะกับงบประมาณของรัฐเป็นหลักในการเข้ามาเล่นก็จะกำหนดให้ชัดว่าเป็นทีมประเภทอะไร ในส่วนตัวมีสองอย่างคือ ทีมที่เป็นระดับ professional fc............ อันนี้จะมีลีกหลัก ทีมที่เป็นระดับ amatuer fc.................. อันนี้ก็จะมีลีกสมัครเล่นขึ้นไป .................................................................... ในรายละเอียดและเงื่อนไขในการกำหนดประเภททีมก็จะดูหลายอย่างโดยเฉพาะใช้ criteria และคิดนอกกรอบ criteria ของเอเอฟซีในการจัดลำดับ โดยให้เกียรติตั้งลีกสูงสุดโดยให้ทีมที่อยู่ในระดับลีกสูงสุดในปัจจุบันนี้เป็น ถ้วยพระราชทานหรือภาษาอังกฤษเรียกว่า Royal Trophy A ซึ่งก็เทียบเท่ากับถ้วยพระราชทาน ก เพราะ ก เป็นภาษาอังกฤษก็จะ มีปัญหากับถ้วย ข. ค. ที่จะแสลงกัน ทีมในเล่นระดับนี้ให้เกียรติทีมที่ได้เล่นในปัจจุบันรวมทั้งโควต้าหรืออะไรทั้งหมดแล้วให้ตั้งองค์กรกลางที่ชื่อว่า คณะกรรมการบริหารฟุตบอลลีก ก เป็นพิเศษ โดยให้ฝ่ายบริหารของทีมในระดับสโมสร ระดับหัวคิดเรื่องการตลาดเรื่องผลประโยชน์ได้มานั่งร่วมกันในการกำหนดนโยบายการบริหารการรักษาสิทธิการกำหนดสิทธิและการร่วมกันกำหนดกติกากลางร่วมกันรวมถึงผลประโยชน์ โดยให้สมาคมฟุตบอลใหม่เป็นแค่ผู้รับผิดชอบในเม็ดเงินกลางที่ได้รับงบประมาณสนับสนุน รวมทั้งในเรื่องของผลประโยชน์เสริมเช่นสปอนเซอร์หรืออะไรที่เกินกว่านี้แต่โดยหลักไม่มีสิทธิเข้าไปแทรกแซงหรือเข้าไปยุ่งเกี่ยวในการบริหารลีกของคณะกรรมการนี้ คณะกรรมการนี้มีอิสระเด็ดขาดแล้วมีการเปลี่ยนแปลงไปในทุกปีที่มีการขึ้นหรือตกชั้นของทีมฟุตบอล ลีกนี้ประกอบไปด้วยทีมที่เข้าร่วมทั้งหมด 20 ทีม มีการวางตารางการแข่งขันและการดำเนินการแข่งขันไม่น้อยกว่า 8 เดือน และเป็นไปตามตารางปฏิทินฟีฟ่า ส่วนเรื่องการเสริมการเพิ่มก็ให้เป็นไปตามเงื่อนไขใหม่ที่จะวางกัน โดยมีการขึ้นลงสามทีม ลีกถ้วยพระราชทาน ข. หรือ Royal Trophy B ก็ให้มีทีมที่จะเข้าร่วมอย่างน้อย 20 ทีมเช่นกันและแข่งขันด้วยวิธีการคล้ายๆ กันแต่ในลำดับนี้ให้เป็นคณะกรรมการบริหารลีกที่มาจากการเปิดโอกาสให้นักธุรกิจหรือผู้ประกอบการใดๆ ที่สนใจอยากจะเข้ามาบริหารโดยเปิดประมูลแล้วมีการตรวจสอบแผนการดำเนินงานโดยมีสมาคมฟุตบอลใหม่ที่โปร่งใสเป็นผู้เข้าทำการตรวจสอบและยกเลิกสัญญาการว่าจ้างได้โดยให้ใช้:-)านรูปแบบงานที่สมาคมฟุตบอลวางไว้เป็นตัวเดิน ไม่ใช่องค์กรบริหารเป็นตัวเดิน เพื่อป้องกันถ้าเกิดมีความเสื่อมหรือมีข้อครหาโดยหากเกิดข้อครหาแล้วตอบไม่ได้ก็ต้องรับผิดชอบในการถอดถอนแล้วไปรับการพิจารณาวินัยและตรวจสอบในการเอาผิดต่อไป โดยให้มีการตกชั้นทั้งสิ้นห้าทีม ถ้วย ค ก็เป็นไปแบบเดียวกับ ถ้วย ข แต่ให้ใช้เป็นรูปแบบใหม่คือ Royal Trophy C/1 region Royal Trophy C/2 region Royal Trophy C/3 region Royal Trophy C/4 region Royal Trophy C/5 region ตามการบริหารภาคหรือจังหวัดของไทย โดยทีมที่จะเข้าร่วมต้องเป็นทีมที่เป็นทีมในลักษณะ professional fc ไม่ใช่ amateur อย่างเด็นขาด โดยแชมป์ของโซนหรือภาคให้ขึ้นชั้นไปเล่นในระดับถ้วย ข. เลย แล้วห้าทีมที่ตกชั้นมาก็ต้องไปดำเนินการเล่นตามลีกภาคแบบที่ว่ามา แล้วจากนั้นก็เป็นลีกอีกส่วนหนึ่งที่เรียกว่า ลีกสมัครเล่น ameteur league ก็กำหนดคุณสมบัติของทีมที่เข้าร่วมที่ไม่สามารถจดทะเบียนหรือขยับมาตรฐานของทีมให้เป็นไปในลักษณะ professional fc แบบถ้วยสามระดับข้างบนได้ก็ให้มาเล่นโดยมีชั้นทั้งสิ้นสามชั้น..คือ ถ้วยพระราชทาน ง หรือ Royal Trophy D/1 ประกอบไปด้วยทีมทั้งสิ้น (ตามที่จัดประเภทหรือคงมีในปัจจุบันโดยตัดสิทธิทีมที่แพ้บายออกไปในทันที และมีการกำหนดและลงโทษในการไม่ส่งทีมเข้าร่วมการแข่งขันแม้จะระดับนี้) Royal Trophy D/2 ก็เป็นชั้นต่อไปเหมือนถ้วย ค ในปัจจุบัน Royal Trophy D/3 ก็เป็นชั้นต่อไปเหมือนถ้วย ง ในปัจจุบัน รายละเอียดมันเยอะเพราะส่วนตัวก็นั่งก็คิดเล่นๆ มาหลายปีแล้วแต่ไม่ใช่ตามนี้เป็นหลักแต่ต้องมีการประชุมโดยคณะกรรมการลีกที่จะตั้งขึ้นโดยมีการเปิดโอกาสให้แฟนบอลเข้าร่วมเหมือนประชุมรัฐสภาแล้วเปิดโอกาสให้มีการ public hearing คือแฟนบอลมีโอกาสได้ฟังแล้วก็มีส่วนร่วมในการรับรู้ที่มาและการจัดลีกกันใหม่ จากคุณ : danielle เขียนเมื่อ : 17 ก.พ. 53 17:39:00

ความคิดเห็นที่ 15 นอกจากนี้ทีมที่จะเล่นในระดับ A, B, C ต้องมีทีมสำรองเล่นในลีกสำรองด้วย ถ้าไม่มีก็ไม่ได้เล่นในระดับที่ว่าเพื่อยกระดับมาตรฐานทีมสโมสรและการหาเงินและการวิ่งเข้าหาแหล่งทุน (มันมีละเอียดเยอะแต่มาเขียนคร่าวๆ ก็จะได้ไม่ครบแบบนี้) .............................................................................. บอลลีกผู้หญิงขอละไว้เพราะเดี๋ยวจะเยอะเกิน คิดไปถึงลีกผู้หญิงด้วยเช่นกัน ............................................................................... บอลลีกเยาวชน ร่วมมือกับเจ้าหน้าที่ส่วนงาน สพก.ในการดำเนินการจัดฟุตบอลลีกของโรงเรียนในระดับอายุไม่เกิน 18 ปี ซึ่งเป็นอายุตามสัญญาของฟีฟ่าในการเข้าเป็นนักเตะในสังกัดทีมอาชีพได้ โดยนักเตะเยาวชนชุดนี้ทั้งหมดให้เหมารวมจากนักเรียนทุกชุดในโรงเรียนแล้วก็ให้ส่งลงแข่งโดยจัดเป็นลีกเยาวชนเหย้าเยือนเช่นกันโดยกำหนดให้ทีมโรงเรียนไม่มีสิทธิที่จะให้เด็กไปเรียนต่อได้ในระดับอุดมศึกษา เพื่อป้องกันพวกพ่อแม่และครูที่จะมีส่วนได้ส่วนเสียและมีปัญหาเรื่องได้สิทธิเสียสิทธิทางการศึกษา โดยถ้าใครอยากได้สิทธิของอุดมศึกษา นักเตะต้องเข้าไปสู่ระบบทีมแล้วให้ทีมเป็นผู้นำเสนอโพลไฟร์ แม้ว่าเด็กจะเป็นแค่เด็กทดสอบเพราะอายุไม่ถึงเซ็นสัญญาแต่ก็มีสิทธิในการนำเสนอข้อมูลแล้วให้สภามหาวิทยาลัยนั้นๆ เป็นผู้พิจารณาตามที่ได้รับการเสนอจากสโมสรหรืออะเคเดมี่ทีมที่มีเด็กเยาวชนเข้าร่วมในส่วนลีกสำรอง เพื่อให้เด็กเดินออกจากโรงเรียนโดยไม่ได้ทิ้งระบบฟุตบอลโรงเรียน เพียงแต่เด็กเล่นลีกโรงเรียนแล้วคิดว่าดีก็ส่งเด็กหรือพ่อแม่ที่ไม่มีสิทธิได้เล่นในลีกโรงเรียนเพราะมีปัญหาอะไรก็แล้วแต่แล้วพ่อแม่เอาไปเข้าอะเคเดมี่แล้วได้เล่นลีกสำรองหรือลีกเยาวชนของสโมสรก็มีสิทธิได้เช่นกัน ระบบฟุตบอลจะหลุดจากสถาบันและหลุดจากความไม่เป็นมืออาชีพที่แท้จริง .............................................................. ระบบฟุตบอลถ้วยมีสามถ้วยดังนี้ ถ้วยพระราชทานคิงส์คัพ King's cup ให้ถือเอาเกณฑ์ระดับมาตรฐานทีมที่จะได้เล่นต้องประกอบไปด้วยทีมที่เชิญจากสามทวีปเป็นอย่างน้อยและทีมที่จะเข้าร่วมต้องเป็นระดับทีมชาติที่มีการลงทะเบียนทีมชาติชุดใหญ่ไว้อย่างชัดเจนในประเทศนั้นๆ อาทิเช่น บอลสี่เส้า king's cup อาจเชิญทีมจากโบลิเวีย ทีมจากคองโก ทีมจากเกาหลีเหนือ แต่รายชื่อต้องเป็นรายชื่อนักเตะชุดใหญ่ที่จะมาเล่นกับนักเตะทีมชาติชุดใหญ่ไทยเช่นกัน และต้องเล่นสองชุดคือชุดชายและชุดหญิงด้วย .......................................................................................... ถ้วยพระราชทาน ควีนส์คัพ queen's cup ให้มีการลงทะเบียนภาคีควีนส์คัพใหม่โดยกำหนดถ้วยนี้เป็นถ้วยฟุตบอลเพื่อการกุศล โดยทีมที่จะเข้าร่วมจะต้องมีกิจกรรมเกี่ยวกับการกุศลที่ชัดเจนต่อเนื่อง และเป็นทีมที่มีระดับการจัดการเป็นแบบ Professional FC ที่ชัดเจน (เพราะใช้ความเป็นมืออาชีพหาเงินลงทุนกีฬาฟุตบอลเป็นตัววัด) มีส่วนในการบริจาคส่วนการกุศลที่ชัดเจนแล้วก็มาเล่นถ้วยนี้ โดยจะมีสปอนเซอร์เพิ่มหรือนำส่งอย่างไรก็แล้วแต่ โดยให้มีรางวัลและการแข่งขันเหมือนเดิม มีการตัดสัดส่วนรายได้ทีมเข้าร่วมและแข่งขันในแต่ล่ะแมทช์ และให้มีสัดส่วนเงินรายได้นำส่งเข้าส่วนกองทุนกลางควีนส์คัพแล้วนำส่งเข้าในส่วนของพระบาทสมเด็จพระนางเจ้าฯ เพื่อประโยชน์ในการนำไปใช้เป็นสาธารณะกุศล หรือจะจัดให้มีองค์กรจัดการถ้วยควีนส์คัพเพื่อร่วมในการช่วยเหลือกองทุนของสมเด็จพระนางเจ้าในการพิจารณาผู้ยากไร้และผู้ประสบอุบัติเหตุหรือมีความพิการมีปัญหาเรื่องสภาพร่างกายแล้วไม่มีทุนทรัพย์ก็ให้ใช้ส่วนนี้เข้าไป ดังเช่นที่เราจะเห็นคนไข้ในความดูแลของสมเด็จพระนางเข้าเพื่อช่วยเหลือเสมือนเป็นอีกหนึ่งมูลนิธิถ้าไม่ขัดกัน ถ้าขัดก็ให้นำเสนอเข้าไปส่วนงานพระองค์ไป ใจจึงคิดว่าอยากให้เปลี่ยนถ้วนนี้เป็น Royal Trophy Queen's Charity Cup ก็จะมีคุณค่าและมีความสำคัญที่ชัดเจนกว่าที่เป็นอยู่ในปัจจุบัน ......................................................................................... ถ้วยเอฟเอคัพ ผมจะเปลี่ยนเป็นถ้วยเจตนารมณ์คัพ พอดีมันค่อนข้างมีเวลาน้อยเลยเอาคอนเซปท์คือ เป็นถ้วยของสมาคมฟุตบอลใหม่ที่จัดตั้งภายใต้เจตนารมณ์ของพระราชประสงค์ของล้นเกล้าแล้วจะใช้เป็นถ้วย TFA คัพก็ได้ ซึ่งมันก็จะถูกถ่ายทอดมาจากองค์กรใหม่ที่ล้างบางแล้ว เป็นรายการถ้วย Thai Football Associate Cup อย่างนี้ก็ได้เช่นกัน โดยอันนี้เปิดโอกาสให้ทีมในระดับ Professtional FC เข้ามาร่วมเท่านั้น ทีมจากระดับ Amateur จะเล่นไม่ได้เลยเพื่อเป็นการกระตุ้นให้ยกระดับทีมสมัครเล่นที่ไต่เต้าแล้วเข้ามาสู่ลีกในระดับภาคหรือโซนแบบถ้วย ค.ที่วางไว้ให้เห็น โดยให้มีการคัดกรองทีมที่ลงทะเบียนเข้าร่วมในส่วน ถ้วย ค. คือให้มีการแข่งขันคัดกรองกันเองแล้วเข้ามาเล่น ในระดับบนคือถ้วย ข และถ้วย ก แล้วจึงมีการจับฉลากเล่นนัดเดียวจบ... ไม่จบก็ไปเล่นในอีกเกมส์ของบ้านอีกฝ่าย... ....................................................................... อีกถ้วยหนึ่งยังไม่รู้จะเปลี่ยนชื่อเป็นไทยอย่างไร แต่ว่าเรียกสั้นๆ ว่า Super Cup เป็นถ้วยพระราชทานแต่ไม่ใช่ต้องตั้งชื่อตามถ้วยพระราชทาน แต่ให้ตั้งตามสปอนเซอร์ก็ได้เช่น Royal Trophy Izusu Super Cup........... แค่นี้ก็ได้ไม่ยากหรือจะสั้นๆ คือ IZUSU SUPER CUP อย่างนี้ก็ได้เช่นกัน ไม่ยาก ถ้วยรางวัลทุกถ้วยต้องมีคณะกรรมการจัดการและคัดกรองเพื่อนำเสนอสำนักพระราชวังเพื่อความเหมาะสมจะไปขอบริจาคจากใครหรือใครจะจัดทำก็ได้แต่ต้องเป็นถ้วยที่ทูลเกล้าให้พระองค์ท่านได้ทรงลงพระปรมาภิไธยเข้าสู่ระบบถ้วยพระราชทาน แบบนี้ถึงจะเป็นสถาบันแล้วสมองเราสั่งการให้มีการพัฒนาได้และดีกว่าหรือไม่ ในส่วนของสปอนเซอร์มันไม่ใช่ปัญหาก็ให้มีในส่วน Art work เข้ามามีอิสระในการคิดเชิงงานมัณฑนศิลป์ในการคิดพาณิชย์ทางศิลป์ ก่อเม็ดเงินมูลค่าทางชื่อได้ดุจกัน สิ่งที่คิดนี่คือดิบๆ น่ะ เพราะนี่เป็นโครงที่เขียนขึ้นในเศษกระดาษและความคิดที่เคยคิดไว้มาตลอด มีปรับเปลี่ยนตลอดแต่โดยหลักให้ขึ้นกับการปฏิรูปองค์กรและสมาคม.... มีอะไรที่คิดในใจอีกมากเหลือเกิน แต่ก็แล้วแต่จะมาพูดมาแลกเปลี่ยนกันไปก็แล้วกัน ส่วนตัวไม่เคยทำงานวงการบอลไทยรักบอลไทยดูบอลไทยและดูบอลนอกเวลาไปต่างบ้านต่างแดนก็ไม่ได้แค่ดู เจอใครถามได้ก็จะพยายามถาม ถามก็จะถามธรรมเนียมชีวิตฟุตบอลของเขาแล้วพยายามคิดมาปรับกับเรา ไม่ใช่ไปดูๆๆๆๆ แล้วก๊อบปี้มาแล้วบอกว่านี่คือการดูงาน เพราะส่วนตัวก็จะเรียกว่าดูงานไม่ได้แต่เป็นคนชอบคิด ดูบอลแล้วก็คิด ดูนักเตะแล้วก็มองว่าใครควรเล่นใครควรติด ชีวิตมันสนุกที่ได้คิด และยิ่งถ้ามีโอกาสในการไปเห็นวัฒนธรรมฟุตบอลแล้วคิดก็จะได้ยิ่งกว่านี้ แต่แรกเริ่มจะหยุดวงจรอุบาสก์ให้ได้ก่อน ทุกอย่างถึงจะดำเนินไปตามเส้นทางของมันได้ ประเทศไทยฟุตบอลและอะไรก็ยังไม่มีหลักคิด วันดีคืนดีนึกจะทำนึกจะคิดนึกจะได้มันก็ทำไปอย่างนี้เขาเรียกว่าหายน่ะ เปรียบเหมือนแล่นเรือไปในทะเลแล้วไม่มีหางเสือ ก็ลอยคว้างเท่านั้นเอง แก้ไขเมื่อ 17 ก.พ. 53 18:03:43 จากคุณ : danielle เขียนเมื่อ : 17 ก.พ. 53 17:39:11

ความคิดเห็นที่ 16 เห็นด้วยกับคุณploy16 ครับ โดยเฉพาะประเด็นห้ามนักบอลอาชีพไปเล่นบอลรายการที่เป็นระดับสมัครเล่นผมว่ามันต้องถึงคราว ห้ามเด็ดขาดครับ ผมว่าถ้าจะประณีประนอมหรือให้เป็นสิทธิขาดของสโมสรพิจารณา ฟุตบอลไทยไม่มีวันเป็นอาชีพได้แน่นอน ถ้าไม่ยกเลิกตอนนี้แล้วจะต้องรออีกเมื่อไหร่ครับ อีกอย่างคนที่ซวยจะเป็นนักบอล ที่จะโดนทั้งขึ้นทั้งล่องถ้าหากปฏิเสธหรือเลือกฝั่งใดฝั่งหนึ่ง สังคมไทยถ้าปฏิเสธผู้ใหญ่ มันจะโดนตราหน้าว่าเนรคุณแน่นอนครับ หรือไม่จริง จากคุณ : Michael เบ๊ เขียนเมื่อ : 17 ก.พ. 53 17:42:37

ความคิดเห็นที่ 17 นี่แค่คิดในใจและร่างเล่นๆ มาตลอดที่ดูบอลไทย ดูเด็กไทย ดูวงการบอลไทย จริงๆ มันยังมีการปรับเปลี่ยนอีกมาก แต่เอาแค่คอนเซปท์และดราฟท์ร่างๆ ก็ได้เช่นกัน แต่จะเน้นเรื่องการให้คำจำกัดความ และการบริหารถ้วย ลีกให้ชัดเจน... คุณเชื่อไหม เด็กบางคนเตะฟุตบอลดี เล่นฟุตบอลได้แต่เขาไม่ผ่านเข้าไปเล่นในนามโรงเรียน ถ้าเราให้เขามีโอกาสไปเรียนอะเคเดมี่ฟุตบอลแล้วมีทางเลือกเสริมจากความคิดครูคน คิดกันได้เท่านั้น ครูบางคนก็จัดทีมมีหลายระดับเพราะมีเรื่องผู้ปกครองเข้าไปด้วยก็จบเลย เด็กทุกที่ก็เลยดูลีกสพก.เป็นพื้นๆ เพื่อให้สเกาท์ทีมเข้ามาดูแล้วไม่จำเป็นต้องเป็นเด็กโตต้องคละเคล้ากัน แล้วเด็กไหนที่เล่นในระดับสโมสรจะเล่นก็ได้แต่ต้องไม่ใช่เด็กที่เซ็นต์ หรือเล่นในลีกสำรองของทีม... เป็นแค่นักเรียนทดลองหรืออะไรก็ว่าไป ไม่งั้นเราก็ไม่ได้คุณภาพจากเยาวชนออกมาให้หลุดกรอบได้อีก นอกจากนี้ผมยังคิดไปถึงธรรมนูญใหม่ การขึ้นลงของทีม พยายามเอาสิ่งที่เขาใช้เขาดี อันไหนลีกไหนใช้ได้ใช้โอเคเราก็ว่ากันไป เหมือนลีกภูมิภาค ลีกที่สเปนเขาก็ใช้ แล้วเขาให้แชมป์กลุ่มเข้ามาเลยแต่การลงทะเบียนและจัดระบบทีมก็ต้องเป็นการจัดตามระบบภาคด้วย จริงๆ มันก็จะมีปัญหายิบย่อยซึ่งมันเป็นเรื่องที่ต้องคิดอีกตลอด เช่นถ้าหากทีมในภาคกลางเข้าไปเล่นลีกบนหมดจนเหลือน้อยจะเป็นอย่างไร การเกลี่ยการเลื่อนลำดับการพิจารณาจะถูกนำเข้ามาเป็นสิ่งที่ใช้แก้ไข นี่ก็คือการคิด คุณสังเกตุดูเอาทุกเรื่องมันตายตัวไม่ได้มันต้องคิด ขนาดเรื่องขอทุนมหาลัยให้เด็กเตะบอลเป็นทุนพิเศษก็ต้องให้หลุดจากผลประโยชน์ครูและผุ้ปกครองเป็นเรื่องของการนำเสนอขอทุนโควต้าช้างเผือก นี่ยังหมายถึงว่า ถ้าสมมุติคุณเป็นเด็กบุรีรัมย์เล่นดีแล้วเกิดได้รับโอกาสให้ถูกซื้อตัวหรืออะไรก็แล้วแต่คุณก็ต้องมีสิทธิในการโอนย้ายหน่วยกิจได้ด้วย สเมือนเป็นเจ้าของร่วมของมหาวิทยาลัยก็ได้เช่นกัน.... ผมน่ะชอบน่ะ เพราะเรื่องฟุตบอลมันเป็นเรื่องคิดตลอด นี่ยังไม่ได้พูดเรื่องโครงสร้างใหม่ของสมาชิก การจำกัดคำนิยามของสมาชิก การเปิดโอกาสให้แฟนบอลเข้าเป็นสมาชิกโดยลงทะเบียนเป็นรายปีเป็นอย่างไร หรือรวมไปถึงการมีข้อกำหนดอะไรบ้างสำหรับการป้องกันวงการฟุตบอล ไปถึงกฏหมายว่าด้วย พรบ.ฟุตบอลในการห้ามนักการเมืองเข้ามาทำหรือแม้แต่การเข้ามาเป็นนอร์มินีในการนำไปใช้ในทางการเมือง นักการเมืองจะเข้ามาแทรกแซงไม่ได้ถ้าจะเข้ามาต้องเป็นรูปแบบบริษัทแล้วหาทางป้องกันการแทรกแซง เหมือนที่หาข้อป้องกันแทรกแซงกฏกรูเอื้อกรูอะไรซักอย่างแล้วเละกัน.. ฝากไว้ก็แล้วกันครับ แก้ไขเมื่อ 17 ก.พ. 53 17:58:13 จากคุณ : danielle เขียนเมื่อ : 17 ก.พ. 53 17:47:07

ความคิดเห็นที่ 18 เสนอเพิ่มเติม ฤดูกาลแข่งขัน - เริ่มต้นกลางเดือน ต.ค. จบสิ้นเดือน มิ.ย. พักเดือน ก.ค. ถึง ก.ย. - กรณีมีเกมที่ทีมชาติชุดใหญ่ต้องลงแข่ง ทั้งรอบคัดเลือกหรือทัวร์นาเมนต์ ให้ปรับโปรแกรมการแข่งขันได้ตามความเหมาะสม แต่ให้อยู่ประมาณช่วงแข่งขันเดิม - รายการที่ไม่ใช้ทีมชาติชุดใหญ่ ได้แก่ ซีเกมส์, เอเชี่ยนเกมส์, โอลิมปิก จะไม่หยุดพักเกมลีก แต่ทีมใดที่มีผู้เล่นติดทีมชาติชุดดังกล่าวตั้งแต่ 4 คนขึ้นไป มีสิทธิยื่นขอต่อฝ่ายจัดการแข่งขันเพื่อเลื่อนโปรแกรมของทีมตัวเองในช่วงดังกล่าวออกไปได้ นักเตะ - ให้มีนักเตะต่างชาติทีมละไม่เกิน 7 คน ลงสนามได้ 1+3+1 คน คือ 1 คน เป้นนักเตะเอเชีย 3 คน เป็นนักเตะต่างชาติทั่วไป 1 คน เป็นนักเตะต่างชาติ ที่เคยเล่นในลีกสูงสุด 15 อันดับแรกของยุโรป หรือ 4 อันดับแรกของอเมริกาใต้มาแล้วรวมกันไม่น้อยกว่า 3 ฤดูกาล และจำนวนนัดที่ลงเตะต้องเกิน 50 นัด - สำหรับนักเตะในประเทศต้องมีอายุไม่ต่ำกว่า 18 ปีบริบูรณ์ หรือจบการศึกษาชั้น ม.6 ในวันที่เซ็นสัญญาเป็นนักเตะอาชีพ - นักเตะที่เซ็นสัญญาอาชีพแล้ว หากต้องการลงแข่งขันฟุตบอลสมัครเล่น เช่น กีฬาแห่งชาติ กีฬาระหว่างสถาบันการศึกษา กีฬาระหว่างหน่วยราชการ รัฐวิสาหกิจ กองทัพ ฯลฯ จะต้องได้รับอนุมัติเป็นลายลักษณ์อักษรจากสโมสรต้นสังกัดแล้วเท่านั้น ปล. เพิ่มกฎเกณฑ์เกี่ยวกับฟุตบอลในกีฬาแห่งชาติว่า - ใช้ผู้เล่นอายุไม่เกิน 23 ปีบริบูรณ์ (เหมือนซีเกมส์) - แต่ละจังหวัดใช้ผู้เล่นอาชีพได้ไม่เกิน 3 คน (ปัจจุบันให้ 5 คน) กีฬามหาวิทยาลัย - ต้องเป็นนิสิตนักศึกษาที่กำลังศึกษาในระดับปริญญาตรีเท่านั้น - แต่ละมหาวิทยาลัยใช้ผู้เล่นอาชีพได้ไม่เกิน 3 คน แก้ไขเมื่อ 17 ก.พ. 53 18:28:50 แก้ไขเมื่อ 17 ก.พ. 53 18:27:46 จากคุณ : เกียรตินำ เขียนเมื่อ : 17 ก.พ. 53 18:02:35

ความคิดเห็นที่ 19 ชอบแนวทางเรื่องเยาวชนของน้าแดนะ มันดูเปิดทางที่เป็นแนวพัฒนาแบบสากลเขาทำ อาแจ๊กซ์ บาซ่า ลิเวอร์พูล เกาหลี ญี่ปุ่น เขาก็ทำงี้ กัน ฝึกมาก แต่ไม่เคี่ยวเกิน และแข่งมากเกิน ผมก็ไม่อยากให้เด็กแข่งกันเคี่ยวเข็นเกินไปตั้งแต่ยังเล็ก ผมเห็นเด็กเก่งแต่ไม่มีเส้นหลายคนเลย เล่นทีมโรงเรียนไม่ได้ โรงเรียนเน้นแต่กำลัง เก๋า และโกง คี่ยวเด็กจนเกร่งแต่เแกรน เด็กคนนี้เล่นดี ตอนนี้ตัวโตเกือบร้อยแปดสิบแล้ว อ่านเกมดี เคลื่อนที่ดี เชิงสูงเพราะพ่อแกให้ฝึก Crower Coaching มาตลอด ไม่ให้ฝึกปกติแบบโรงเรียนทำ เด็กไม่ติดทีมโรงเรียนเพราะ แนวทางกบฏนี้แหละ ไม่มีโพรไฟล์ผลงานในระดับโรงเรียน ถ้าเป็นแบบน้าแดว่าเนี่ย เด็กสามารถคัดเข้าทีมสำรองสโมสรได้เลย ไม่ต้องไปรอเข้าช้างเผือกอะไรเลย ผมว่าดีกว่าเด็กที่ผ่านระดับโรงเรียนมาแต่แกรนกรอบ โกงเก๋า แข่งมาเยอะมากจนหมดไฟ จากคุณ : Jackov เขียนเมื่อ : 17 ก.พ. 53 18:16:28

ความคิดเห็นที่ 20 เกณฑ์ นักเตะนอกของ คุณเกียรตินำ หน้าสนใจมากเลย ไม่ได้ตัวระดับเี่ยี่ยมๆ ก็ได้แค่ 3+1 จากคุณ : Jackov เขียนเมื่อ : 17 ก.พ. 53 18:18:48

ความคิดเห็นที่ 21 ของผมนะ TPL 16 ทีม ตก 3 D1 18 ทีม ตก3 D2 20 ทีม ตก4 แล้วค่อยมีทัวนาเมนท์ภูมิภาค 4 โซน แต่จำนวนทีมไม่เกินโซนละ 20 ทีม แล้วแบ่งสายเตะเหย้าเยือนกันภายในสาย เอาที่1 ที่2 มาเตะเหย้าเยือนแพ้คัดออก แชมป์แต่ละโซนขึ้นไปเล่น D2 จากคุณ : Sherwood เขียนเมื่อ : 17 ก.พ. 53 18:33:29

ความคิดเห็นที่ 22 ก่อนอื่นเปลี่ยนชื่อภาษาอังกฤษของลีกสูงสุดเป็น Thailand Prima Division   = มี  20 ทีม  ตกชั้น 4 ทีม Thailand Divison 1  = มี 20 ทีม -- ตกชั้น 4 ทีม -- เลื่อนชั้นขึ้น Thai Prima Division 4 ทีม -- โดยทีมอันดับ 1-3 ได้เลื่อนชั้นอัตโนมัติ -- ส่วนอันดับ 4 ไปเตะเพลย์ออฟกับทีมอันดับ 5-7  หาทีมชนะเลิศเลื่อนชั้นสู่ Thai Prima Division (เพราะเท่าที่ดูตารางคะแนนทีมอันดับ 4-7 ผลงานใกล้เคียงกันครับ) Thailand Division 2  = มี  24 ทีม -- โดยต้องมีการคัดเลือกตัวแทนแต่ละภาค 6 ภาค โดยการจัดมินิลีก แต่ละภาคจะได้โควต้าตัวแทนไม่เท่ากัน ภาคไหนจังหวัดเยอะ ได้โควต้าเยอะ แข่งเยอะกว่า ดังนั้นลีกของแต่ละภูมิภาคเปรียบเสมือน"ลีกล่างสุดของไทย" ชื่อว่า Thailand Region Division 1. ภาคเหนือ - 9 จังหวัด  ได้โควต้า =  3 ทีม 2. ภาคตะวันออกเฉียงเหนือ - 19 จังหวัด  ได้โควต้า = 6 ทีม 3. ภาคกลาง+กรุงเทพฯ - 22 จังหวัด   ได้โควต้า = 7 ทีม 4. ภาคตะวันออก - 7 จังหวัด  ได้โควต้า = 2 ทีม 5. ภาคตะวันตก - 5 จังหวัด  ได้โควต้า = 2 ทีม 6. ภาคใต้ - 14 จังหวัด  ได้โควต้า = 4 ทีม แต่ละจังหวัดจะต้องส่งทีมลงทำการแข่งขัน (บังคับ) เป็นการกระจายการพัฒนาฟุตบอลอาชีพไปทั่วทุกภูมิภาค -- ตกชั้นลงไปเล่น Thailand Region Division 6 ทีม (อันดับ 19-24)  กระจายไปตามภาคต่างๆ ภาคละ 1 ทีม โดยการจับสลาก -- ขึ้นชั้นไปเล่น Thailand Division 1  = 4 ทีม (อันดับ 1-4) ----------------------------------------------------------------------------- Thailand FA Cup   --->>  เหมือนเดิม Queen's Cup  --->>  ให้สิทธิ์ทีมอันดับ 1-3 ของ Thailand Prima Division + แชมป์ Thailand Division 1 + แชมป์ Thailand FA Cup + เจ้าภาพ + แชมป์เก่า + 1 ทีมรับเชิญจากลีกในอาเซียน  = 8 ทีม จากคุณ : pinspin เขียนเมื่อ : 17 ก.พ. 53 18:34:28

ความคิดเห็นที่ 23 กระทู้ดีๆแบบนี้ต้องโหวต ขอบคุณทั้งผู้ริเริ่มตั้งคำถาม และผู้ตอบทุกๆทานครับ จากคุณ : ST.Exsodus เขียนเมื่อ : 17 ก.พ. 53 18:43:27

ความคิดเห็นที่ 24 อ้อ ลืมเพิ่มเติมอีกข้อ สโมสร - ต้องจดทะเบียนนิติบุคคล ตามกฎ AFC - ต้องระบุอำเภอ/จังหวัด ที่ตั้งของสนามที่จะใช้แข่งขันอย่างชัดเจน และ "ห้าม" ย้ายสนามไปยังอำเภออื่นที่ไม่ได้มีพื้นที่ติดต่อกันหรือไม่ได้อยู่ในจังหวัดเดียวกันอย่างเด็ดขาด เพื่อเป็นการสร้างฐานแฟนบอลในท้องถิ่น (ยกเว้นกรณีกรุงเทพและปริมณฑล อาจไม่อยู่ในเขต/อำเภอที่ติดต่อกันได้ แต่ต้องอยู่ในกรุงเทพและปริมณฑล และห่างจากสนามเดิมไม่เกิน 15 กิโลเมตร) เช่น สมมติมีทีม ปากช่อง FC ใช้สนามเดิมอยู่ปากช่อง วันหนึ่งต้องการจะปรับปรุงสนาม ก็อาจย้ายไปใช้สนามที่อำเภออื่นของโคราชที่อยู่ติดกันเช่น สีคิ้ว แต่ห้ามย้ายไปอำเภออื่นที่ไม่ได้อยู่ติดกัน เช่น อำเภอเมือง พิมาย ฯลฯ หรืออำเภอที่อยู่ติดกันแต่อยู่จังหวัดอื่น เช่น มวกเหล็ก เป็นต้น แก้ไขเมื่อ 17 ก.พ. 53 19:10:54 จากคุณ : เกียรตินำ เขียนเมื่อ : 17 ก.พ. 53 19:08:31

ความคิดเห็นที่ 25 ผมอาจคิดต่างกับท่านอื่นๆ เพราะอยากเน้นที่คุณภาพทีมมากกว่าปริมาณครับ ผมเชื่อว่า การที่ทีมเล็กๆขึ้นมา TPL เยอะๆ แล้วทีมไม่พร้อม นักเตะไม่ได้เงิน สนามไม่มี ฯลฯ จะทำให้การเจอกับทีมใหญ่มัน "กร่อย" มากกว่าจะทำให้คุณภาพดีขึ้น Thailand Super League (เบื่อคำว่า Premier อิอิ) 10 ทีม เตะกันเป็นลีกสก๊อตเลย คือเหย้าเยือน x2 ทำให้เจอกัน 4 ครั้ง เบ็ดเสร็จ เตะ 36 นัดทั้งฤดูกาล ทุกๆ 2 ปีจะมีการ review ว่าจะเพิ่มทีมได้ไหม โดยดูจากคุณสมบัติพื้นฐานด้านสนาม การตลาด แฟนบอล และผลงานประกอบกันไป ไม่มีการขึ้นชั้นตกชั้น **แต่ ทีมที่มีการจัดการที่แย่ลงและต่ำกว่ามาตรฐานก็จะโดนดีดลงไปลีกล่างได้เหมือนกัน** Thailand Division 1 10 ทีม เตะเหมือน TSL (ก็ TPL น่ะแหละ) แต่ว่ากำหนดสเป็กเรื่องสนาม เรื่องการเงิน เรื่องคนดูต่ำลงมาหน่อย ทีมในลีกนี้ อาจจะแกร่งกว่าลีกสูงสุดก็ได้ เพียงแต่ว่า การจัดการอาจจะยังแย่กว่า เลยไม่ได้ขึ้นชั้น และการทำแบบนี้จะทำให้ทีมในลีกนี้พยายามยกระดับตัวเอง เพื่อขึ้นไปลีกสูงสุดให้ได้ อ่อ ลีกนี้ยังไม่มีการขึ้นชั้นตกชั้น **แต่ ทีมที่มีการจัดการที่แย่ลงและต่ำกว่ามาตรฐานก็จะโดนดีดลงไปลีกล่างได้เหมือนกัน** Thailand Division 2 18 ทีม ให้มีทีมเยอะ มีตกชั้น 4 ทีม ตามมาตรฐานบอลอิตาลีเลย **แต่** ไม่มีขึ้นชั้น จนกว่าจะพิสูจน์ว่า คุณจัดการทีมได้ดี ในข้อกำหนดที่กล่าวมา และจะมีการ review ทุก 2 ปีว่า ทีมไหนจาก D2 จะได้ขึ้น D1 บ้าง (อาจจะเพิ่ม D1 หรืออาจจะตัด D1 ที่บริหารไม่ดี ลงมา D2) Thailand Regional League อันนี้ลีกภูมิภาคแบบที่เล่นกันทุกวันนี้ แต่มี 4 ภาค (ขอตัด เขต กทม ทิ้งนะครับ เอา กทม รวมกับภาคกลางตอนล่างและตะวันออกไปเลย เพราะทีม กทม อาจจะแกร่งกว่า แต่เรื่องคนดู และการตลาด ทำได้ยาก) เอาแชมป์และรองแชมป์จาก 4 ภาค มาเพลย์ออฟกัน group A: แชมป์ภาคเหนือ แชมป์ภาคกลาง รองแชมป์ภาคใต้ รองแชมป์ภาคอีสาน group B: แชมป์ภาคใต้ แชมป์ภาคอีสาน รองแชมป์ภาคเหนือ รองแชมป์ภาคกลาง เอาทีมที่ 1-2 ของแต่ละสายขึ้นชั้นไป D2 ลีกสำรอง ผมชอบแบบสเปนนะ ที่เอาทีมเล็กของสโมสรใหญ่ มาอยู่ลีกภูมิภาค แต่ทีมนี้จะไม่ได้เลื่อนชั้น ... เช่นสมมุติ เมืองทองชุด B เตะในลีกภูมิภาคภาคกลาง ได้ที่ 2 แต่จะเอาทีมที่ 3 ขึ้นไปเพลย์ออฟแทน คิดว่า ถ้่าตัวสำรองของเมืองทอง ได้เตะกับทีมอย่างลพบุรี หรือนครนายก มันน่าจะช่วยยกระดับคุณภาพ ได้มากกว่าเตะกันไปซังกะตายกับพวกทีมสำรองด้วยกัน แต่ทั้งนี้ ต้องบอกไปเลยว่า ตัวเมืองทองB จะขึ้นไปเล่นชุดใหญ่ก่อนหรือหลังเล่นทีมสำรองได้กี่วัน หรืออาจจะกำหนดไปด้วยว่า ทต้องมีนักเตะเยาวชนกี่คน เพื่อเป็นการให้โอกาสเด็กด้วย สรุปได้ว่า TSL = 10 TD1 = 10 TD2 = 18 T-Reg = (โซนละ) 12+12+12+12 = 48 ทั้งหมดมี 86 ทีม (มากหรือน้อยกว่านี้ ให้ไปลงที่ T-Regional ในปีแรกๆ หรือลีกสูงสุดและลีกรองในปีหลังๆ) และทั้งนี้ ทั้งนั้น ระบบของผมจะพังทันที ถ้าบริษัท TPL ยังมีปัญหาในการกำหนดมาตรฐานของทีมที่จะเข้าแข่งขันแบบนี้ !!!!! จากคุณ : Ahura เขียนเมื่อ : 17 ก.พ. 53 19:20:07

ความคิดเห็นที่ 26 เอาล่ะ ทีนี้บอลถ้วยกันบ้าง ทำไมต้อง FA CUP ?????? FA = Football Association ถ้วยของสมาคมฯ เอ่อ ถ้าเอาตามตำศัพท์นะ เราสามารถทำให้บอลน๊อคเอ้าท์กลายเป็นถ้วยพระราชทานได้ เหมือนที่สเปนใช้ King's Cup หรือ Copa del Rey เป็นบอลถ้วย ผมเลยคิดว่า ถ้วยพราะราชทาน หรือ ควีนส์คัพ อาจจะนำมาเป็นชื่อของบอลถ้วยได้เลย (แต่ก็คิดปัญหาที่สปอนเซอร์แน่ๆ เพราะถ้วยพระราชทาน ห้ามมีชื่สปอนเซอร์ต่อท้าย) ถ้วน Super Champ ที่เตะสี่เส้ากันก็น่าสนใจ เพราะนั่นเป็นเหมือนของเยอรมัน ที่มีบอล DFB Liga Pokal เตะชิมลางเหมือนอุ่นเครื่องใหญ่ อันนี้อาจจะเอาเป็น บอลถ้วยพระราชทาน ก็ได้ เพื่อความขลัง หรือควีนส์คัพ ก็จัดเป็นแบบ invitation cup หรือ เอาแชมป์สโมรอาเซียน อย่างเวียตนาม อินโด หรือสิงคโปร์มาเตะเลยก็ดี ลดทีมจากไทยน้อยหน่อยก็ได้ แต่ต้องรับประกันนะ ว่าที่มา มีแต่ทีมใหญ่ของลีก ไม่ใช่ลีกใหญ่แต่ทีมมณฑล แบบที่เชิญทีม อบต จากจีนมาสักปีหนึ่ง สรุปดีกว่า เริ่มงง ขอให้มีถ้วยควีนส์ คัพ ก่อนเปิดฤดูกาล เป็นทีมแชมป์ไทยลีก + แชมป์บอลถ้วย เจอ 6 ทีมระดับชั้นนำของ อินโด เวียตนาม สิงคโปร์ มาเลเซีย และขอแถมเป็นทีมจีน ญี่ปุ่น เกาหลี มาแจมๆเป็นสีสัน บอลถ้วยน๊อคเอาท์ อยากให้ชื่อว่าถ้วยพระราชทานไปเลย (ไม่ต้องมี ก. เพราะมีถ้วยเดียงพอ) บอล Super Champ 4 เส้า หรือ 6 เส้าก็ว่ากันไป อันนี้เป็นเวทีให้ทีมจากไทยเล่นกันเอง ตั้งชื่ออะไรก็ได้ตามสปอนเซอร์ไปเลย แล้วก็ใช้แทนบอลถ้วย ก. (ที่เอาแชมป์ชนแชมป์) ไปเลยก็ได้ ถ้วยพระราชทาน ข ค ง สมควรยุบครับ เพราะถ้วยพระราชทาน ไม่ควรนำมาเป็นของเล่น หรือเป็นบอลที่ไร้ความสำคัญกับทีมสมัครเล่น จากคุณ : Ahura เขียนเมื่อ : 17 ก.พ. 53 19:31:30

ความคิดเห็นที่ 27 ผิดพลาดทางเทคนิคครับ แก้ไขเมื่อ 17 ก.พ. 53 19:34:46 จากคุณ : Ahura เขียนเมื่อ : 17 ก.พ. 53 19:32:58

ความคิดเห็นที่ 28 จะให้มีคู่เยาวชนเตะหน้าม่านครับ ทีมใหญ่ทีมไหนเจอกัน ทีมเยาวชนก็ทีมนั้นเจอกัน นับคะแนนแยกเป็นของลีกเยาวชน แต่ขึ้นลงดิวิชั่น ต้องยึดคทีมใหญ่ ทั้งนี้เพื่อให้มีเวทีดีๆให้ทีมเยาวชนแสดงฝีเท้า จากคุณ : I love Alpha เขียนเมื่อ : 17 ก.พ. 53 19:42:55

ความคิดเห็นที่ 29 ^ ^ ^ ถ้าจะยุบถ้วย ข ค ง จะให้ใครยุบครับ จะมาทำมึน ซี้ซั้วยุบนี่มีคอขาดนะครับ 555 อีกอย่าง จุดเริ่มต้นของทั้งถ้วย ก ข ค ง ก็มีวัตถุประสงค์ว่าเป็นถ้วยสำหรับฟุตบอลระดับสมัครเล่นแต่แรกแล้วนี่ครับ แก้ไขเมื่อ 17 ก.พ. 53 19:47:39 จากคุณ : Michael เบ๊ เขียนเมื่อ : 17 ก.พ. 53 19:43:07

ความคิดเห็นที่ 30 ูู^ ^ คุณ Michael เบ๊ พูดมีเหตุผล อย่างนี้ ที่เรามาว่า สมาคมฯเอาถ้วยพระราชทานมาปู้ยี้ปู้ยำก็ไม่ถูกน่ะสิ เพราะคนดูอย่างเราๆ มองไปเองว่า ถ้วย ก ข ค ง ต้องเป็นอะไรที่อยู่บนยอดปีระมิด เรื่องวัตถุประสงค์นี่แหละสำคัญ ... ถ้าเป็นถ้วยเพื่อพัฒนาฟุตบอลในระดับสมัครเล่น ก็ควรจะมีไว้ แต่เตะเป็นบอลน๊อคเอาท์ไปเลย แล้วห้ามทีมอาชีพลงมาเกี่ยวข้อง รู้แค่ว่า ไม่ควรซ้อนทับกันน่ะครับ จากคุณ : Ahura เขียนเมื่อ : 17 ก.พ. 53 19:50:53

ความคิดเห็นที่ 31 ถ้าให้ผมจัดระบบใหม่ ผมจะไม่จัดตามที่ผมคิดเองเออเอง แต่จะเรียกสโมสรทั้งหมดมาระดมสมองกันให้ได้ข้อเสนอแนะซึ่งจะเป็นอนาคตของเขาเองครับ จากคุณ : รันตี เขียนเมื่อ : 17 ก.พ. 53 20:05:30

ความคิดเห็นที่ 32 แสดงว่าสมาคมมัน ไม่เคยคิดอะไรดีๆ เลยสิ จากคุณ : tonky96 เขียนเมื่อ : 17 ก.พ. 53 21:02:57

ความคิดเห็นที่ 33 ขออภัยครับคุณ Ploy16.. ผมคิดไม่ออก ยอมเป็นคนดูไปทั้งชาติ หุหุ จากคุณ : Service Guy เขียนเมื่อ : 17 ก.พ. 53 21:36:12

ความคิดเห็นที่ 34 เอาบ้างน่ะครับ TPL มี 18 ทีม ตกชั้น 3  เริ่มแข่งตั้งแต่ประมาณเดือน กันยายน ถึง พฤษภาคมปีต่อไปโดยไม่มีการพักเลก  34 นัด กับ 9 เดือน บวกกับแมตซ์ทีมชาติในช่วงการแข่งหน้าจะโอเคอยู่ ในแต่ละทีมใน TPL ส่งนักบอลขึ้นทะเบียนมากสุดที่30 คน ตัวต่างชาติไม่จำกัดในการขึ้นทะเบียน แต่ในการลงแข่งส่งได้สูงสุด 5 คน ลงสนามได้ 4 คน (ในที่นี้นับตัวเอเชียเป็นหนึ่งในตัวต่างชาติ) น่าจะแฟร์ทั้งที่ชอบใช้ตัวต่างชาติและชอบตัวไทยเป็นหลัก ทีมที่เล่นใน TPL หลักๆก็เหมือนกฎในตอนนี้ แต่อยากให้เพิ่ม 1. ต้องเป็นทีมที่อยู่ในถิ่นฐานนั้นๆ เกิน 2 ปีขึ้นไป(ตัดปัญหาอย่างTTM,PEA) 2. ส่งแผนการทำธุรกิจในปีนั้นก่อนที่จะเปิดลีกว่ามีความเป็นไปได้มากน้อยแค่ไหน และประเมินหลังปิดลีกว่าสัมฤทธิ์ผลแค่ไหน เพื่อวัดระดับในการบริหารของทีมว่าจะอยู่รอดไหม ถ้าไม่ดีหรือมีปัญหาอาจไม่ให้แข่ง หรือเกิดการตกแต่งบัญชีปรับตกชั้นได้ทันที(แต่ทุกอย่างต้องมีงบดุลแจกแจงอย่างโปร่งใส เพราะเป็นบริษัทแล้วมีผลต่อภาษีและอีกหลายอย่างๆ) 3. กฎการซื้อขายและสัญญา อิงตามกฎของฟีฟ่าในหัวข้อหลัก(ผมก็ไม่รู้ว่ามีอะไรบ้างแต่แนวคิดคือมันสากล การซื้อตัวนอกประเทศจะไม่มีปัญหาและอื่นๆที่ยังคิดไม่ออก) แต่มีการปรับในการเปิดตลาดซื้อขาย รอบแรกช่วงเดินกรกฎาคม ถึง สิ้นกันยายน รอบสองมกราคมทั้งเดือน โดยปรับสัญญานักบอลทั้งประเทศ(พวกที่มีการเล่นในระดับทุกดิวิชั่น)ให้หมดสัญญาต่อปีที่สิ้นเดือนมิถุนายนและสิ้นปี ถ้านักเตะจะหมดสัญญาให้สามารถเสนอซื้อได้ก่อนหมดสัญญา 3 เดือนโดยติดต่อผ่านทีมเจ้าของก่อนเป็นลายลักษณ์อักษร นักบอลต้องมีเอเยนต์ทุกคนไม่มีไม่ให้ขึ้นทะเบียน และเอเยนต์ต้องผ่านการรับรองของฟีฟ่า ใครผิดกฎซื้อขายปรับเงินบานและอาจตัดคะแนนด้วย มาถึงโครงสร้างทีมที่แข่ง ต้องมีสนามแข่งผ่านการประเมินของ afc ในหัวข้อหลักที่จำเป็น อาจจะตัดเรื่องเก้าอี้ถ้าไม่มีก็จำกัดโซนให้ชัดเจนและระบุว่าห้ามขายบัตรเกินจำนวนความจุสนามเด็ดขาด มองไปที่ความปลอดภัยมาเป็นอันดับหนึ่งก่อน ส่วนพวกไฟสนามกฎตอนนี้ก็โอเคอยู่  ต้องมีที่ตั้งบริษัทแน่นอนและมีพนักงานประจำทำงานตลอด สามารถติดต่อได้ตลอดช่วงเวลาทำงาน เน้นย้ำเรื่องความปลอดภัยต้องมาก่อน และที่อยากได้ที่สุดคือ ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้นำถ้วยพระราชทานประเภท ก พระราชทานให้ทีมแชมป์ ผมมองพระราชประสงค์ที่ล้นเกล้ารัชกาลที่ 6 ต้องการพระราชทานถ้วยนี้ให้กับทีมที่ดีที่สุดในประเทศไทย ณ ปีนั้นๆ ได้ครอบครอง แต่วันเวลาเปลี่ยนไประบบการแข่งขันได้เปลี่ยนแปลงไปตามเวลา มีการพัฒนาจากทีมสมัครเล่นเป็นทีมอาชีพ แต่การแข่งขันใน TPL ก็คือการหาทีมที่ดีเลิศที่สุดในประเทศ ณ ปีนั้นๆ ซึ่งผมคิดว่าน่าจะตรงตามพระราชประสงค์ (ควรมิควรแล้วแต่จะโปรด) D1   มี 20 ทีม ขึ้น 3 ลง 4 เวลาการแข่งพร้อมกับ TPL กฏใช้กฎเดียวกัน แต่เรื่องโครงสร้างทีมอาจจะไม่เข้มเท่ากับ TPL แต่ก็ให้เน้นเรื่องความปลอดภัยมาเป็นอันดับหนึ่งก่อน และการจัดการทีมในระดับที่พร้อมเข้าสู่การเป็นทีมอาชีพใน TPL ควรมีทีมอยู่ในถิ่นฐานนั้น 1 ปีขึ้นไป ส่วนถ้วยรางวัลก็ให้ขอพระราชทานพระบรมราชานุญาตให้นำถ้วยพระราชทานประเภท ข พระราชทานให้ทีมแชมป์ D2 ขึ้น D1 4 ทีม แบ่งเป็นโซนตามปัจจุบัน ใช้ระบบการแข่งตามปัจจุบัน แต่รอบplay off ที่แบ่ง 2 สาย ทีมแชมป์แต่ละสาย มาแข่งหาแชมป์ D2 นัดเดียวรู้ผลที่สนามศุภชลาศัย ทีมแชมป์ได้ถ้วยพราะราขทานประเภท ค เวลาการแข่งขันพร้อมกับ TPL กฎการแข่งขันเหมือนกันหมดแต่ความเข้มคงน้อยลงในเรื่องการบริหารทีมน้อยกว่า D1 บ้างแต่ให้เน้นย้ำเรื่องการจัดการในสนามมากกว่า อยากให้ว่าง D2 เหมือนเป็นลีกเตรียมตัวสำหรับทีมสมัครเล่นแบบกึ่งอาชีพว่าพร้อมที่จะเข้าไปในระบบอาชีพได้ไหม สำหรับทีมที่อยากลงเปิดopenหมด ไม่ว่าในจังหวัดนั้นจะมีกี่ทีมก็ได้แต่ต้องกำหนดคุณสมบัติ 1. จดทะเบียนในรูปแบบนิติบุคคล 2. ส่งแผนธุรกิจในการทำทีม และงบประมาณเพื่อพิจารณา 3. มีสนามที่สามารถจัดการแข่งขันตลอดทั้งปี และมีความปลอดภัยกับการจัดการที่ดีในระดับหนึ่ง 4. มีแผนการตลาดอย่างชัดเจนและสามารถปฏิบัติได้จริงในช่วงการแข่งขัน โดยมีการตรวจประเมินตลอดปี 5. มีโครงสร้างของบริษัทอย่างชัดเจน แต่กฎระเบียบอาจไม่เข้มเท่า TPL แต่สามารถพร้อมรับการประเมินได้ตลอดเวลา ฯลฯ การแบ่งโซน แบ่งตามลักษณะภูมิประเทศ อาจจะต้องไม่จำเป็นว่า 5 โซนก็ได้ แต่ในแต่ละโซนต้องไม่เกิน 20 ทีม เฉลี่ยให้ลงไปให้เท่าๆ กัน หลังจบลีกให้ประเมินทีมว่าเข้าตามคุณสมบัติได้มากน้อยเพียงใด ถ้าไม่ถึงเกณฑ์ให้ตัดสิทธิ์ออกไป 1 ปี ไม่สามารถส่งใน D2 ได้ แล้วค่อยมาว่ากันไหม ทีมสมัครเล่น จัดแข่งเป็นทัวร์นาเมนต์ ขอพระราชทานถ้วยพระราชทานประเภท ง พระราชทานให้ทีมแชมป์ ยึดการจัดการแข่งขันแบบการแข่งขันฟุตบอลโลก ใช้สนามกลาง กฎผู้เล่นไม่ยึดติดสัญญาแบบระบบลีก ลีกสำรอง TPL ต้องมีทีมสำรองทุกทีม D1 ใครพร้อมให้ส่ง(แต่ใครไม่ส่งก็เสียโอกาสในการลับแข้งกับทีม TPL) จับแบ่งกลุ่มออก 2 กลุ่มแบ่งตามภูมิประเทศ เพื่อประหยัดการใช้จ่ายในค่าเดินทาง แข่งทุกวันศุกร์ส่งผู้เล่นได้ 16 คน จะเอาใครลงก็ได้แล้วแต่การจัดการของแต่ละทีม กฏการแข่งตาม TPL ลีกเยาวชน ต้องเป็นนักบอลอายุไม่เกิน 19 ปี ทีมที่ลงแข่งต้องขึ้นทะเบียนเป็นทีมที่จะลงแข่งอาจจะไม่จำเป็นต้องผูกกับทีมสโมสร เช่น สวนกุหลาบวิทยาลัย อาจส่งในทีมของสถาบัน เมืองทองอาจส่งเด็ก JMG ลงในนาม JMG acedamy หรือ ชลบุรี ส่งอัญสัมชัญศรีราชาลงแข่ง เป็นต้น ไม่จำกัดทีมลงแข่ง แบ่งโซนการแข่งเหมือนกับ D2 รูปแบบการแข่งเหมือน D2 แต่กำหนดคุณสมบัติทีมคือ 1. ส่งนักบอลได้สูงสุด 22 คน น้อยสุด 18 คน ต่างชาติส่งได้ 5 คน (สำหรับทีมที่เป็น acedamy หรือทีมเยาวชนของทีมอาชีพที่มีการดึงเด็กมาปั้นจากต่างประเทศ) 2. ส่งต่างชาติลงได้ต่อแมตซ์ 3 คน 3. มีสนาม สามารถจัดการแข่งขันได้ตลอดปี และสภาพพื้นสนามดีในระดับที่เล่นบอลได้ (ไม่จำเป็นต้องมีSTAND ก็ได้) 4. จัดการแข่งขันในช่วงเดียวกับ TPL แต่แข่งทุกวันพฤหัสและศุกร์ 5. สมาคมอุดหนุนเงินพัฒนาทีมในระดับหนึ่งและทีมต้องหาสปอนเซอร์ในการสนับสนุน และควรผูกแฟนคลับกับท้องถิ่นหรือโรงเรียนในการจัดรูปแบบเชียร์ เพื่อให้นักเรียนมีกิจกรรมทำเพิ่มขึ้น FA CUP ระบบ ณ เวลานี้โอเคแล้ว แต่อยากให้ขอพระราชทานถ้วยควีนคัพ พระราชทานให้ทีมแชมป์ (ผมไม่รู้ว่าภาคีควีนคัพสามารถยุบได้ไหมครับ) จากคุณ : TON@MTUTD เขียนเมื่อ : 17 ก.พ. 53 22:59:07

ความคิดเห็นที่ 35 คิดกันเล่นๆ แต่มีสาระทุกคนครับชอบๆ ผมลองคิดมั่งนะ Thailand Premier League มี 18 ทีม - อันดับ 16-18 (ตกชั้นอัตโนมัติ)+อันดับที่ 15 (play off) Thailand League Divition 1 มี 20 ทีม - ขึ้นชั้น 3 ทีม ครึ่ง (อันดับที่ 1-2 ขึ้นชั้นอัตโนมัติ) อันดับที่ 3-5 กับ อันดับที่ 15 ของ TPL เล่น Play off หาทีมขึ้นอีก 2 ทีม - ตกชั้น 4 ทีม ไป D2A-D2B โซนละ 2 ทีม Thailand League Divition 2 แบ่งเป็น 2 โซน 1.Zone A (ภาคเหนือ +อิสาน+ กลางตอนบน) 16 ทีม - กลางตอนบน เส้นแบ่งอยู่ที่  สระบุรี ขึ้นไป - ขึ้นชั้น 2 (อันดับที่1-2) อัตโนมัติ - ตกชั้น 2 (อันดับที่ 15-16) ไป TRL1และ2 2.Zone B (กรุงเทพและปริมณทล+ภาคกลางตอนล่าง+ ตะวันออก + ใต้) 16 ทีม - กลางตอนล่าง เส้นแบ่งอยู่ที่  อยุธยา ลงมา - ขึ้นชั้น 2 (อันดับที่1-2) อัตโนมัติ - ตกชั้น 2 (อันดับที่ 15-16) ไป TRL3และ4 Thailand Regional League (60 ทีม) แบ่งเป็น 4 โซน - TRL1 ภาคเหนือ+กลางตอนบน 15 ทีม - TRL2 ภาคอิสาน 15 ทีม - TRL3 ภาคกลางตอนล่าง+กรุงเทพและปริมณทล+ ตะวันออก 15 ทีม - TRL4 ภาคใต้+ประจวบและเพชรบุรี 15 ทีม - แต่ละโซนชั้นขึ้นอัตโนมัติ 1 ทีม (อันดับที่1) - แต่ละโซนตกชั้นอัตโนมัติ 1 ทีม (อันดับสุดท้าย) Thailand Semi-pro League - แบ่งเป็นโซนเหมือน TRL (ไม่จำกัดจำนวนทีม)   - แข่งขันแบบบอลถ้วยเพื่อหาแชมป์เลื่อนชั้นขึ้นไปเล่น TRL ของแต่ละโซน แก้ไขเมื่อ 17 ก.พ. 53 23:51:23 จากคุณ : Garfield&T-Rex เขียนเมื่อ : 17 ก.พ. 53 23:46:35

ความคิดเห็นที่ 36 กระทู้ดีมีสาระครับ จากคุณ : นักมายากลแห่งรัสเซีย เขียนเมื่อ : 18 ก.พ. 53 01:08:17

ความคิดเห็นที่ 37 เป็นกระทู้ที่น่าสนุกดีครับ เสียแต่ว่าความรู้ผมเองก็ไม่มาก งั้นคงเอาแค่จัดแบบเด็กๆ ประถมไปก็แล้วกันนะ * ระบบบริหาร/จัดการ, โครงสร้างองค์กร, กฏ-ระเบียบ, กระบวนการสรรหาคณะทำงาน ฯลฯ - อันนี้ก็ควรปฏิรูปใหม่เลย ซึ่งจริงๆ แล้วผมว่าตรงนี้สำคัญมาก สำคัญที่สุดด้วยซ้ำ แต่เอาเป็นว่าพูดเรื่องการจัดระบบลีกก็แล้วกัน เพราะมันสนุก&ง่ายกว่า ก่อนอื่นเลย ต้องวางเป้าหมายก่อนว่าจะทำลีกเพื่ออะไร อยากเห็นอะไร เป็นไปในทิศทางไหน เช่น... เป้าหมาย Thai Premier League = ทุกทีมต้องมีมาตรฐานอย่างน้อย 80% จากข้อกำหนดของ AFC Division 1 = ทุกทีมต้องมีมาตรฐานอย่างน้อย 50% จากข้อกำหนดของ AFC Division 2 = ทุกทีมต้องมีมาตรฐานอย่างน้อย 30% จากข้อกำหนดของ AFC ส่วนกรอบเวลานั้นก็แล้วแต่คณะบริหารแล้วกันนะครับ หรือจะเอาแบบทำไปเรื่อยๆ จนกว่าจะตายจากกันไปก็ได้ --------------------------------------------------------------------------------------------------------------- 1. ไทย พรีเมียร์ ลีก - Thail Premier League จำนวนทีม: 16 ทีม *จำนวนทีมไม่จำเป็นต้องมากไปตามกระแสลีกที่ตั้งไข่ได้แล้ว จำนวนทีมอันที่จริงไม่สำคัญเท่า "คุณภาพ" ของสโสร เช่นว่า ถ้า 50% ของสโมสรในลีกสามารถทำตามมาตรฐานที่ทาง AFC กำหนดไว้ได้ แล้วค่อยเพิ่มจำนวนทีมก็ได้ ระบบขึ้นชั้น-ตกชั้น: 3 ทีมที่ได้คะแนนน้อยที่สุด *A-League ของออสเตรเลีย มีเพียงแค่ 10 ทีม และไม่มีการขึ้นชั้น-ตกชั้น ด้วยเพราะต้องการให้แต่ละทีมพัฒนามาตรฐานสโมสรให้บรรลุตามกฏสากล (AFC) ให้ได้เสียก่อน (แล้วผมบอกทำไมนะนี่ ) 2. ฟุตบอลดิวิชั่น 1 - Division 1 จำนวนทีม: 16-20 * จริงๆ แล้วผมเข้าใจว่าจำนวนทีมน่าจะกำหนดมาจากค่าเฉลี่ยมาตรฐานของสโมสรในลีก ที่ซึ่งจริงๆ แล้วมันควรจะต้องมีตัวชี้วัดอย่างเป็นทางการ เป็นจริงเป็นจังว่าสโมสรแต่ละสโมสรได้มาตรฐานแค่ไหน คล้ายคะแนนสอบนั่นแลครับ โดยหากค่าเฉลี่ยคะแนนสอบ (คุณภาพสโมสรตามมาตรฐาน AFC) ของลีกนั้นๆ ต่ำมาก ก็ควรจะลดจำนวนทีม ไม่ให้มีช่องว่างมากเกินไประหว่างทีมที่ได้มาตรฐาน กับทีมที่ยังไม่พัฒนา ไม่ให้เกิดความ "เหลื่อมล้ำ" มากเกินไประหว่างสโมสรในแต่ละลีก ระบบขึ้นชั้น-ตกชั้น: ขึ้นอยู่กับจำนวนทีมในลีก *ลีกระดับล่างๆ ควรจะมีการขึ้นชั้น-ตกชั้น ได้ง่ายและหลากหลายกว่าลีกสูงสุด ด้วยเพราะ ข้อสมมุติว่า... ลีกสูงสุด เป้าหมาย = สโมสรทั้งลีก มีมาตรฐานไม่ต่ำกว่า 80% จากข้อกำหนดของ AFC ดิวิชั่น 1 เป้าหมาย = สโมสรทั้งลีก มีมาตรฐานไม่ต่ำกว่า 50% จากข้อกำหนดของ AFC นั่นคือ แบ่งเป็นขั้นๆ โดยเพราะลีกระดับล่างๆ มีเป้าหมายที่ต่ำว่าลีกสูงสุด จึงสามารถมีการ "ถ่ายน้ำ" ได้มากกว่า เพื่อกระจายระดับการพัฒนาออกไป ซึ่งแน่นอนว่ากลับกัน หากทีมในระดับดิวิชั่นล่างๆ สามารถบรรลุเป้าหมายตามมาตรฐานสโมสรของ AFC ได้ดี ก็ย่อมนำมาซึ่งผลงานที่ดีขึ้นเช่นกัน *คล้ายๆ แผนการกระจายระดับการพัฒนามาตรฐานสโมสรแบบขั้นบันไดก็ว่าได้ครับ ฟุตบอลดิวิชั่น 2 - Division 2 จำนวนทีม: แบ่งตามจังหวัด/ภูมิภาค *การแบ่งทีมในแต่ละลีกย่อยระดับภูมิภาคสำคัญ เพราะถ้าเกลี่ยทีมไม่เท่ากัน ก็จะเกิดความได้เปรียบ-เสียเปรียบ เช่นว่า ลีกย่อยที่มีจำนวนทีมน้อยแต่ได้โควต้า เพล-ออฟ (ลีก เพล-ออฟ) เท่ากับลีกย่อยที่มีจำนวนทีมมากกว่า ยอมรับตรงๆ ว่าผมเองไม่รู้ว่าการแบ่งลีกแบบไหนถึงจะดี แต่ที่แน่ๆ คิดว่าไม่ควรแบ่งเป็นลีกภูมิภาคขนาดใหญ่ (2-3 ลีก) ด้วยเพราะลำบากต่อการเดินทางของทั้งสโมสรและแฟนบอล ซึ่งอย่าลืมว่านี่คือลีกอาชีพต่ำสุดของระบบ ดังนั้นคงต้องเอื้อให้สโมสรบริหารงานได้ง่ายกว่าลีกบนๆ ที่เงินสะพัดกว่า ระบบขึ้นชั้น-ตกชั้น: ทีมที่ได้รับโควต้าแต่ละภูมิภาคมาเตะ เพล-ออฟ ขึ้นชั้นสู่ ดิวิชั่น 1 * (ในกรณีนี้คือถ้าจำนวนทีมในแต่ละลีกภูมิภาคมีจำนวนเหลื่อมล้ำกันมาก ไม่ได้แบ่งเท่าๆ กัน) ต้องมีการปรับ seeding หรือ "โควต้า" ทีมที่จะได้เข้ารอบเพล-ออฟ เพื่อหาทีมขึ้นชั้นสู่ ดิวิชั่น 1 ทุกๆ 2 ปี (ความถี่ของการปรับโควต้าขึ้นอยู่กับ "ความนิ่ง" ของมาตรฐานเฉลี่ยสโมสร) ผมคิดว่าการ "แช่" ไม่ให้สโมสรขึ้นชั้น-ตกชั้นมันก็มีทั้งข้อดีข้อเสีย เพราะสิ่งที่เราเน้นคือ "พัฒนาการ" ซึ่งบางครั้งอาจสวนทางกับผลงานในสนามด้วยซ้ำ เช่นที่ยกไปแล้วว่าอย่าง A-League ของออสเตรเลียยังไม่มีตกชั้นด้วยซ้ำ แต่ขณะเดียวกันผมก็คิดว่า การขึ้นชั้น-ตกชั้น มันเท่ากับ "เงิน" หรือรายรับของสโมสรเช่นกัน ผมจึงยังคิดว่าควรจะให้มีการขึ้นชั้น-ตกชั้นต่อไป เพื่อกระตุ้นกระแสของทั้งแฟนบอล และระบบโดยรวมของลีกด้วย เพียงแต่ต้องสัมพันธ์กับเป้าหมายหลักของลีก นั่นคือ "พัฒนามาตรฐานสโมสรไทย" นั่นเอง --------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ฟุตบอลถ้วย ฟุตบอลถ้วย (ระดับสโมสร) ก็ควรจะแบ่งให้ชัดเจนไปเลย (ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนชื่อเป็นภาษาอังกฤษก็ได้แต่สื่อให้เข้าใจว่า มันมีหน้าที่อย่างไร) โดย ถ้าเปรียบเทียบง่ายๆ อย่างในลีกของยุโรป ก็จะมีฟุตบอลถ้วยหลัก (ในประเทศ) 1 (เช่น เอฟ.เอ. คัพ), ถ้วยรอง (เช่น ลีกคัพ) และฟุตบอลประเภทอุ่นเครื่อง/การกุศล (เช่น คอมมิวนิตี้ ชิลด์) ซึ่งเท่าที่ดูแล้วบ้านเราก็ปรับได้ไม่ยาก และน่าจะทำได้สนุกกว่าด้วยซ้ำครับ --------------------------------------------------------------------------------------------------------------- โปรแกรม ไม่จำเป็นต้องไปตามลีกต่างชาติให้มากนัก ควรนึกถึงปัจจัยเอื้ออื่นๆ ในประเทศเราด้วย อย่างที่ยุโรปนั้นประเทศอยู่ใกล้กันนิดเดียว ขับรถวันเดียวเที่ยวมันได้หลายประเทศ โปรแกรมจึงจัดคล้ายๆ กันได้ ทำให้การซื้อขายนักเตะระหว่างลีกสามารถทำได้สะดวก และแฟนบอลได้สนุกมากขึ้น แต่อย่างในเอเชีย เช่นเรากับญี่ปุ่นนั้นห่างกันตั้งเยอะ จึงไม่มีเหตุผลให้เราต้องไปจัดโปรแกรมการแข่งขันให้อิงกับลีก (ใหญ่) อื่นๆ ปัจจัยที่ควรนำมาใช้ตัดสินใจวางโปรแกรมการแข่งขันรายการของสโมสรในประเทศ ควรจะมี... 1. ปฏิทินการแข่งขันฟุตบอลระดับชาติจาก FIFA, AFC 2. ปัจจัยเอื้อในประเทศ (สภาพอากาศ, ฤดูกาล) 3. โปรแกรมการแข่งขันของลีกในภูมิภาคเดียวกัน (อาเซียน) เพื่ออนาคตที่น่าจะมีการแบ่งปัน, ร่วมมือ กันในระหว่างลีกในภูมิภาคเดียวกัน หรืออาจจะรวมไปถึงการซื้อขายนักเตะ --------------------------------------------------------------------------------------------------------------- ชักมึนๆ มั่วๆ ก็แลกเปลี่ยนความคิดเห็นเอาสนุกๆ ล่ะนะครับ แก้ไขเมื่อ 18 ก.พ. 53 03:50:09 จากคุณ : art_sarawut เขียนเมื่อ : 18 ก.พ. 53 03:42:00

ความคิดเห็นที่ 38 ความคิดเห็นที่ 31     ถ้าให้ผมจัดระบบใหม่ ผมจะไม่จัดตามที่ผมคิดเองเออเอง แต่จะเรียกสโมสรทั้งหมดมาระดมสมองกันให้ได้ข้อเสนอแนะซึ่งจะเป็นอนาคตของเขาเองครับ จากคุณ : รันตี   ผมเห็นด้วย อีกอย่างกระทู้นี้กว้างมากผมถึงได้เกริ่นเรื่องสังขยานาวงการบอลใหม่ด้วย แล้วก็เลือกเจาะเฉพาะลีกเท่านั้นเอง.. แต่อยากให้ลองเสนอเป็นแบบเบรนสตอร์มดู สาเหตุเพราะว่าเมื่อก่อนเราเคยว่าจ้างเป็นเม็ดเงินกว่าสิบล้านเรื่องวิจัยลีกแล้วสุดท้ายก็เข้าไปเป็นกากใครจนวนเป็นวัฏจักรไปแล้ว ก็คงเหลือแต่เราที่จะลองนำเสนอโดยอิงกับสิ่งที่เรามีรากฐานเก่าที่วางไว้แล้วแล้วปรับแต่ง จากคุณ : danielle เขียนเมื่อ : 18 ก.พ. 53 07:53:26

ความคิดเห็นที่ 39 สุดยอดดดดดดดดดดดดดดด ในเมื่อเรามีความคิดเจ๋ง ๆ แล้ว ว่าแต่ว่าเราจะนำความคิดพวกนี้มาปฏิบัติ ให้เป็นจริงได้อย่างไร จากคุณ : Mun Thow เขียนเมื่อ : 18 ก.พ. 53 08:19:24

ความคิดเห็นที่ 40 เยี่ยมครับ ช่วยดันกระทู้นี้ให้อยู่นานๆ จากคุณ : เตียวกงจื้อ เขียนเมื่อ : 18 ก.พ. 53 10:14:34

ความคิดเห็นที่ 41 หลายๆท่านความคิดดี ดีกว่านายกฯสมาคมซะอีก จากคุณ : sharkchon เขียนเมื่อ : 18 ก.พ. 53 11:29:03

ความคิดเห็นที่ 42 อยากให้มาเตะกันหน้าหนาวถึงร้อนครับ เอาแบบ อินโด อิหร่าน หรือ UAE แหละครับ หน้าฝนมันแย่ทั้ง คนดูบอล คนเล่นบอล คนดูแลสนาม ฯลฯ จากคุณ : ss2498 เขียนเมื่อ : 18 ก.พ. 53 12:21:35

ความคิดเห็นที่ 43 เสนอกันเยอะแล้ว  ดีๆกันทั้งนั้น  ขอให้เป็นจริงด้วยเถอะ จากคุณ : Alonelynx เขียนเมื่อ : 18 ก.พ. 53 12:52:18

ความคิดเห็นที่ 44 ผมขออย่างนึง  ที่จะสร้างกำลังใจให้ทีมระดับล่าง ด.2 (ลีคภูมิภาค)   แชมป์กลุ่ม อยากให้เลื่อนอัตโนมัติ แบ่งโซน 5 โซน ส่วน ด.1   มี 20 ทีม  เลื่อน 3  ทีม  ตกชั้น 5 ทีม TPL 16 ทีมเหมือนเดิม ตก 3 ทีม จากคุณ : koptyne_1 เขียนเมื่อ : 18 ก.พ. 53 13:58:54

ความคิดเห็นที่ 45 ความเห็น 42 ผมเห็นด้วยเลย เวลาช่วงที่เราใช้อยู่ มันเหมาะ กับประเทศโซนหนาว ประเทศโซนร้อนมรสุมอย่างเรา ควรเอาอย่าง อิหร่าน หรือ อินโดนิเซีย ผมว่าตรงกับอินโดดูเหมาะสมดีที่สุด ผลกระทบที่อาจจะเกิดก็ คือแทนที่ปิดฤดูกาล จะโดนยืมไปเล่น อินโด ก็จะโดยยืมไป เวียตนาม มาเลย์ หรือสิงคโปร์ เอ้าๆ อย่าลืมนะ อาจจะโดน J-League หรือ K-League ยืมก็ได้ ใครจะรู้ ดีซะอีกว่าไหม ส่วนเรื่องระบบ ผมชอบแนวของมาสเตอร์โยแด อิอิ ชื่อถ้วย ถึงผมอยากคงเอกลักษณ์ไทยเรา แต่ในเมื่อมันสับสนในการออกเสียง เชื่อน้าแด ยอมเปลี่ยน จากอักษรไทยหน่อยนึงก็ได้เอ้า คำว่า Royal Throphy ก็ชอบผมเคยคิดเห็นเหมือนน้าอีกเช่นกัน ดูยิ่งใหญ่ ขลังดี ใช้ถ้วย ก. ข. ค. ง. เดิมด้วย จริงๆแล้วฟุ้งซ่านเยอะแยะครับ แต่ว่าผมไม่เคยชอบคำว่า Premier League ผมชอบ Thailand Supreme League มากกว่า Premier แปลว่าระดับสูง Super แปลว่าสุดยอด Supreme = Super + Premier แปลว่า ระดับสูงสุดยอด เอาอีกแล้ว เดี๋ยวมีคนหมั่นใส้ผมเล่นคำคัพท์อีก 555 ใช้อะไรก็ว่าไป แต่ไหนๆ ถ้าเราปรับระบบใหม่ แล้วเราสามารถกลับมาใช้ ถ้วยพระราชทานอีกครั้ง ผมเห็นว่ามันกลับมาเพิ่มความขลัง และความภูมิใจ ที่ได้มีส่วนร่วม ขึ้นอีกมากโขครับ แต่แล้วปัญหามันก็อยู่ที่เขาไม่ยอมรวม ข ค ง มาหรอก ปล่อยให้จัดแบบขอไปทีให้ สโมสรสมัครเล่นจดทะเบียนเล่นกันไป ทำไมรู้ไหม อิอิอิ 1 สโมสร เท่ากับ 1 เสียงไง เหลือนอกลีคไว้เยอะๆแหละดี สโมสรมากก็มีฐานเสียงมาก เรื่องอะไรจะเปลี่ยน อิอิอิ กระผมรู้ทันหรอกน่า เหอๆๆๆๆ Supreme Soccer Suckers VV แก้ไขเมื่อ 18 ก.พ. 53 23:47:37 แก้ไขเมื่อ 18 ก.พ. 53 16:53:38 จากคุณ : Jackov เขียนเมื่อ : 18 ก.พ. 53 16:48:18

ความคิดเห็นที่ 46   ผมว่า เริ่ม ตุลา จบ เมษา น่าจะเวิร์คสุดนะ จากคุณ : Pokko_United เขียนเมื่อ : 19 ก.พ. 53 16:41:16

ความคิดเห็นที่ 47 เอาบ้างครับ คิดมานานละ Thailand Premier League 18 ทีม ผู้ชนะจะได้ถ้วยพระราชทาน ก ขึ้นและตกชั้น 3 ทีม Thailand League Division 1 18 ทีม แชมป์ได้ถ้วยพระราชทาน ข แชมป์ รองแชมป์ และทีมชนะเพลย์ออฟอันดับ 3-6 ขึ้นชั้น ตกชั้น 3 ทีม Thailand League Division 2 แบ่งเป็นกลุ่มเหนือ - ใต้ กลุ่มละ 12 ทีม เล่น 33 นัด (เหย้า+เยือน+สุ่ม) แชมป์แต่ละสายขึ้น Division 1 รวมกับทีมที่มีอันดับสูงสุดจากการ Playoff (ใช้ระบบแบบ NFL ทีมอันดับ 5-6 แต่ละสายไปเยือนทีมอันดับ 3-4 ทีมชนะได้ไปเยือนกับทีมอันดับ 1-2 ทีมชนะเจอกันเองเพื่อชิงแชมป์สาย แชมป์สายสองทีมเจอกันเพื่อชิงถ้วยพระราชทาน ค ถ้าแชมป์สายเป็นแชมป์กลุ่มในระบบลีก ให้จัดนัดชิงที่ 3 เพื่อหาทีมขึ้นชั้น ถ้านอกจากนั้นให้ทีมที่เข้าชิง/ได้แชมป์ได้เลื่อนชั้น) ทีมอันดับต่ำสุด 2 อันดับของแต่ละกลุ่มตกไปเล่น Divison 3 Thailand League Division 3 แบ่งเป็น 5 กลุ่มเหมือนเดิม แชมป์และรองแชมป์ของแต่ละกลุ่มเล่น Play-off นัดเดียว (รองแชมป์ไปเยือนทีมแชมป์) เพื่อหาทีมเข้ารอบ Mini-Tournament (เหย้า-เยือนพบกันหมด) 4 จาก 5 ทีมจะได้ขึ้นชั้น ทีมที่มีคะแนนสูงสุดในรอบ Mini-Tournament จะได้ถ้วยพระราชทาน ง Thailand FA Cup - เหมือนเดิม แต่ให้ทีมใน TPL กับ TLD1 เริ่มเล่นจากรอบ 64 ทีม รอบ 64 ทีมเริ่มแข่งในสัปดาห์วันเด็กไปเรื่อยๆ จนปิดลีก FA Cup เฉพาะรอบ 64 ทีมจนถึงรอบ 16 ทีมให้แข่งในวันเสาร์ / อาทิตย์ (และให้หยุดโปรแกรมลีกทั้งหมด) รอบก่อนหน้านั้นหรือหลังจากนั้นให้แข่งกลางสัปดาห์ รอบชิงเล่นในวันเสาร์ Thailand FA Royal Trophy - แชมป์ลีกกับแชมป์บอลถ้วยเจอกัน ผู้ชนะจะได้ถ้วยพระราชทานพิเศษพร้อมสิทธิ์ไปเล่นเกมกระชับมิตรนัดเดียวกับแชมป์ Copa Del Rey (ในฐานะเป็นแชมป์ฟุตบอลถ้วยพระราชทานเหมือนกัน (สลับกันเป็นเจ้าบ้านระหว่างไทยกับสเปน เหมือนกอล์ฟ The Royal Trophy) เวลาการแข่งขัน กันยายน - พฤษภาคม (ปิดลีกในสัปดาห์สุดท้ายของเดือนธันวาคมและสัปดาห์แรกของเดือนมกราคม + ปิดสัปดาห์สงกรานต์ 2 สัปดาห์) เวลาแข่งในแต่ละสัปดาห์ วันศุกร์ - 18.00 - 20.00 (คู่ Friday Night สำหรับทีมที่จะต้องไปเล่น AFC Champions League / AFC Cup) วันเสาร์ - 15.00 - 17.00 / 17.00 - 19.00 / 19.00 - 21.00 (คู่สุดท้ายให้เล่นเฉพาะสนามที่ตั้งในเขตเมืองใหญ่ มีไฟสนาม และมีระบบขนส่งมวลชนที่ออกจากสนามโดยตรงได้เท่านั้น) วันอาทิตย์ - 16.00 - 18.00 / 18.00 - 20.00 กลางสัปดาห์ (อังคาร / พุธ) - 17.00 - 19.00 / 19.00 - 21.00 จากคุณ : Mikamura Kaoru เขียนเมื่อ : 19 ก.พ. 53 19:48:14

ความคิดเห็นที่ 48 ใครก็ไ้ด้ ทำแบบ 42 ให้ดูหน่อย แต่เป็นทั่่วโลกเลยนะ...อยากรู้ จากคุณ : Ring of Fire เขียนเมื่อ : 20 ก.พ. 53 08:46:48

ความคิดเห็นที่ 49 ผมว่าพวกคุณไม่ต้องคิดกันไกลหรอก แค่ส่งเสริมจริยธรรมให้แฟนบอล ที่ไร้วัฒนธรรมก็พอ เพราะพวกนี้เป็นตัวทำลายความเจริญของวงการฟุบอล บ้านเราอย่างแท้จริง การจะพัฒนาหรือจัดระบบต้องเริ่มจากจิตสำนึกก่อน จากคุณ : มาตร (happinezz_is) เขียนเมื่อ : 21 ก.พ. 53 07:22:04

ความคิดเห็นที่ 50 กำลังจะเข้ามาตั้งกะทู้ถามว่าเกิดอะไรกับบอลไทย สภากาแฟที่มาเลเซียเช้านี้วิจารณ์บอลไทยกันใหญ่ จากคุณ : jena_naam เขียนเมื่อ : 21 ก.พ. 53 07:58:57