ความคิดเห็นที่ 1 1. ถ้วยฟุตบอลโลก เป็นถ้วยรางวัลที่ฟีฟ่าเป็นเจ้าของอย่างถาวร ทำขึ้นจากทองคำ 18 กะรัต และใช้ครั้งแรกในทัวร์นาเมนต์ปีค.ศ.1974 (พ.ศ.2517)   โทรฟี่มีความสูง 36.7 ซ.ม. หนัก 6.175 กก.  ที่ฐานมีพื้นที่ว่างสำหรับจารึกชื่อ 17 ชื่อ ซึ่งเพียงพอที่จะใช้ได้ถึงฟุตบอลโลกปี 2038   ชาติที่ได้แชมป์จะได้โทรฟี่จำลองไปครอบครองจนถึงการแข่งขันครั้งต่อไป แต่โทรฟี่ทองคำแท้มีเพียงแค่หนึ่งเดียวเท่านั้น ----- แก้ไขเมื่อ 01 มี.ค. 53 05:07:54 จากคุณ : pinspin เขียนเมื่อ : 1 มี.ค. 53 05:06:44

ความคิดเห็นที่ 2 2. มี 3 สนามที่ใช้ในการแข่งขันฟุตบอลโลกครั้งแรกเมื่อปี 1930 ที่อุรุกวัย รวมถึงสนาม Centenario ที่ Montevideo ด้วย สถิติชาติเจ้าภาพที่ใช้สนามแข่งขันมากที่สุดคือประเทศสเปน ในฟุตบอลโลก 1982 โดยแข่งขันกัน  17 สนามใน 14 เมือง ส่วนในฟุตบอลโลกปี 2002 ที่เกาหลีใต้และญี่ปุ่นเป็นเจ้าภาพร่วมกันนั้นใช้สนามแข่งขันชาติละ 10 สนาม และก่อนฟุตบอลโลกที่โยฮันเนสเบิร์กจะเริ่มขึ้น มีอยู่ 9 เมืองใน 5 ประเทศที่มีสนามแข่งขันฟุตบอลโลก 2 สนามในเมืองเดียว ได้แก่กัวดาราจารา,เม็กซิโก ซิตี้,มอนเทอร์รี่,บาร์เซโลน่า,มาดริด,เซบีญ่า,บูเอโนส ไอเรส,ลอนดอน และปารีส ............ แก้ไขเมื่อ 01 มี.ค. 53 05:08:08 จากคุณ : pinspin เขียนเมื่อ : 1 มี.ค. 53 05:07:39

ความคิดเห็นที่ 3 3. มี 16 ประเทศรวมทั้งแอฟริกาใต้เจ้าภาพฟุตบอลโลก 2010 ที่เคยเป็นเจ้าภาพจัดการแข่งขันฟุตบอลโลกชาติละ 1 ครั้ง ส่วนอีก 4 ประเทศได้แก่ เม็กซิโก,อิตาลี,ฝรั่งเศส และเยอรมันได้รับเกียรติเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลกชาติละ 2 ครั้ง (เกาหลีใต้และญี่ปุ่นป็นเจ้าภาพร่วมกันในปี 2002) นับจากวันนั้นเป็นต้นมาการแข่งขันฟุตบอลโลกได้มีขึ้นในทวีปยุโรป 10 ครั้ง ทวีปอเมริกา 7 ครั้งและทวีปเอเชีย 1 ครั้ง (ไม่รวมครั้งที่กำลังจะเกิดขึ้นในปีนี้ที่ทวีปแอฟริกา) ...... จากคุณ : pinspin เขียนเมื่อ : 1 มี.ค. 53 05:08:53

ความคิดเห็นที่ 4 4. ปัจจุบันการแข่งขันฟุตบอลโลกถือเป็นการถ่ายทอดสดชนิดกีฬาที่มีผู้ชมมากที่สุดในโลก ในฟุตบอลโลกปี 2006 มียอดผู้ชมมากกว่า 26,000 ล้านคน จาก 64 แมตช์แข่งขัน   และเมื่อเปรียบเทียบกับโอลิมปิคเกมส์ปี 2008 ที่กรุงปักกิ่ง ที่มีผู้ชมไม่ถึง 5 พันล้านคน ฟุตบอลหรือฟุตบอลโลกจึงเป็นกีฬาที่มีผู้ชมมากที่สุดในโลก ..... แก้ไขเมื่อ 02 มี.ค. 53 21:34:45 แก้ไขเมื่อ 02 มี.ค. 53 21:34:17 จากคุณ : pinspin เขียนเมื่อ : 1 มี.ค. 53 05:09:45

ความคิดเห็นที่ 5 5. รูปแบบการแข่งขันของฟุตบอลโลก ณ ปัจจุบันได้ลงตัวมาตั้งแต่ปี 1986 ฟุตบอลโลกในปี 1974,1978 และ 1982 (ปีแรกที่แข่งขันกัน 24 ทีม) นั้นมีการแข่งขันแบบแบ่งกลุ่มในรอบที่ 2   ส่วนระบบการเล่นแบบแพ้คัดออก ; Knock-Out (ในรอบ 8 ทีมสุดท้าย) ได้เริ่มมีการใช้ในปี 1954 ถึง 1970   โดยในปี 1998 เป็นครั้งแรกที่มีการเพิ่มทีมเป็น 32 ทีม ............ จากคุณ : pinspin เขียนเมื่อ : 1 มี.ค. 53 05:10:42

ความคิดเห็นที่ 6 6. Telstar เป็นชื่อของลูกฟุตบอลที่ใช้แข่งขันฟุตบอลโลกอย่างเป็นทางการครั้งแรกที่เม็กซิโกในปี 1970 ซึ่งเป็นครั้งแรกที่มีการถ่ายทอดสดการแข่งขันฟุตบอลโลกทางทีวี (ขณะนั้นเป็นทีวีขาว-ดำ)   จากนั้นมีการใช้ Telstar อีกครั้งในฟุตบอลโลกปี 1974 โดยชื่อของลูกฟุตบอลที่ใช้แข่งขันฟุตบอลโลกอย่างเป็นทางการหลังจากนั้นมาก็มี Tango (1978,1982) ,Azteca (1986) ,Etrusco (1990) ,Questra (1994) ,Tricolore (1998) ,Fevernova (2002) ,Teamgeist (2006) ,Jabulani (2010) ........ จากคุณ : pinspin เขียนเมื่อ : 1 มี.ค. 53 05:11:36

ความคิดเห็นที่ 7 7. มีแฟนบอลกว่า 31 ล้านคนที่เข้าร่วมชมการแข่งขันฟุตบอลโลกกว่า 708 แมตช์นับตั้งแต่ปี 1930 โดยมีค่าเฉลี่ยอยู่ที่ 44,000 คนต่อเกม ................. จากคุณ : pinspin เขียนเมื่อ : 1 มี.ค. 53 05:12:16

ความคิดเห็นที่ 8 8. มัสค็อต (Mascot)  ในการแข่งขันฟุตบอลโลกมีขึ้นครั้งแรกเมื่อปี 1966 ชื่อว่า " Willie" เป็นสิงโตสัญชาติสหราชอาณาจักรสวมใส่ชุดลายธง Union Jack สกรีนคำว่า "WORLD CUP"   ในฟุตบอลโลกอีก 3 ครั้งที่ตามมามีการใช้ "เด็กผู้ชาย" เป็นมัสค็อต เริ่มจาก "Juanito"  มัสค็อตฟุตบอลโลกที่เม็กซิโก ปี1970 , "Tip&Tap" มัสค็อตฟุตบอลโลกที่เยอรมัน ปี1974 และ "Gauchito" มัสค็อตฟุตบอลโลกที่อาร์เจนติน่า ปี1978 ส่วนมัลต็อตฟุตบอลโลกที่สเปน ปี1982 ชื่อว่า "Naranjito" เป็นส้มใส่ชุดแข่งทีมชาติสเปน "Pique" พริกมีหนวดใส่หมวกปีกว้างสไตล์เม็กซิกัน คือชื่อของมัสค็อตฟุตบอลโลกที่เม็กซิโก ปี1986   ส่วนฟุตบอลโลกที่อิตาลีในปี 1990 มีการใช้มัสค็อตเป็นภาพแอนิเมชั่นครั้งแรกชื่อว่า "Ciao"   ลักษณะเป็นแท่งสี่เหลี่ยมต่อกันเป็นรูปนักฟุตบอลมีส่วนหัวเป็นลูกฟุตบอล ส่วนลำตัวเป็นสีธงชาติอิตาลี   หลังจากนั้นมัสค็อตฟุตบอลโลกเป้นสัตว์มาตลอด ได้แก่ "Striker" - สุนัข มัสค็อตฟุตบอลโลกที่สหรัฐอเมริกา ปี1994 , "Footix" - ไก่ มัสค็อตฟุตบอลโลกที่ฝรั่งเศส ปี1998, "Goleo" - สิงโต มัสค็อตฟุตบอลโลกที่เยอรมัน ปี2006 และสุดท้าย "Zakumi" - เสือดาว มัสค็อตฟุตบอลโลกที่แอฟริกาใต้ ปี2010 ยกเว้นอยู่ 1 ครั้งคือฟุตบอลโลกที่เกาหลีใต้และญี่ปุ่น มีมัสค็อตเป็นตัวการ์ตูนแอนิเมชั่นคอมพิวเตอร์แนวล้ำสมัย 3 ตัวชื่อว่า "Ato,Kaz, และ Nik" ........... จากคุณ : pinspin เขียนเมื่อ : 1 มี.ค. 53 05:14:02

ความคิดเห็นที่ 9 9. ในฟุตบอลโลกปี 1978  เสื้อแข่งริ้วขาว-เขียวกลายเป็นเอกลักษณ์เฉพาะของการแข่งขันฟุตบอลโลกครั้งแรกและครั้งเดียว เมื่อทีมชาตฝรั่งเศสเดินทางถึงกรุง Mar del Plata เพื่อแข่งกับทีมชาติฮังการีโดยไม่ได้เปลี่ยนสีของชุดแข่ง และเมื่อสีชุดแข่งของทั้งสองทีมคือสีขาวเหมือนกัน ทีมชาติฝรั่งเศสจึงถูกบังคับให้แข่งขันทุกแมตช์ในรอบแรก โดยใส่เสื้อแข่งที่ขอยืมมาจากทีมท้องถิ่นชื่อ  "Atletico Kimberley" ซึ่งมีลายริ้วขาว-เขียว ............ จากคุณ : pinspin เขียนเมื่อ : 1 มี.ค. 53 05:14:45

ความคิดเห็นที่ 10 10. 5 อันดับผลการแข่งขันที่เกิดขึ้นบ่อยที่สุดที่รวบรวมมา คิดเป็น 60% ของผลการแข่งขันทั้งหมดในฟุตบอลโลก       - การแข่งขันนัดที่ 3 ในฟุตบอลโลก ผลจะจบลงด้วยสกอร์ 1-0 (18%) หรือ 2-1 (14%) - เกมที่จบด้วยสกอร์ 2-0 มี 10% - ส่วนอีก 10% จบลงด้วยผลเสมอ 1-1 -  8% ของเกมการแข่งขันทั้งหมดจนถึงปัจจุบันจบลงที่ผล 0-0 ........ จากคุณ : pinspin เขียนเมื่อ : 1 มี.ค. 53 05:15:44

ความคิดเห็นที่ 11 11. อดีตแชมป์ 2 สมัยอย่างอุรุกวัย ใส่เสื้อแข่งที่มีดาวอยู่ 4 ดวง อันเป็นการระลึกถึงความยิ่งใหญ่ของการคว้าแชมป์ฟุตบอลโลกในปี 1930 และ 1950 และแชมป์โอลิมปิคเกมส์ในปี 1924 และ 1928 นั่นเป็นแรงกระตุ้นให้ FIFA  เริ่มคิดที่จะสร้างถ้วยแชมป์ FIFA World Cup ขึ้นนับตั้งต่ปี 1930 กว่า 44 ปีที่ทีมที่เป็นแชมป์โลกไม่เคยได้สัมผัสโทรฟี่อันคู่ควร ต้องรอกันจนกระทั่งถึงปี 1974 ............ แก้ไขเมื่อ 03 มี.ค. 53 01:32:09 จากคุณ : pinspin เขียนเมื่อ : 1 มี.ค. 53 05:16:32

ความคิดเห็นที่ 12 12. ทีมชาติที่เคยแข่งขันในฟุตบอลโลกโดยไม่ได้แข่งขันในรอบคัดเลือกมาก่อน มีเพียงทีมเดียวนั่นคือทีมชาติ Dutch East Indies ในฟุตบอลโลกที่ฝรั่งเศสในปี 1938 โดยลงแข่งขันในนามทวีปเอเชีย และร่วงตกรอบไปด้วยน้ำมือของทีมชาติฮังการีที่ไล่ถล่มไป 6-0 ........... จากคุณ : pinspin เขียนเมื่อ : 1 มี.ค. 53 05:17:06

ความคิดเห็นที่ 13 13. การแข่งขันฟุตบอลโลกรวมถึงครั้งล่าสุดในปี 2010 นี้ด้วย มีทีมชาติทั้งสิ้น 76 ชาติที่เคยผ่านเข้าไปเล่นในฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย (ในจำนวนนี้รวมประเทศที่ไม่มีแล้ว ณ ปัจจุบัน(เปลี่ยนชื่อ)หรือรวมเข้ากับประเทศอื่นแล้ว) และภายหลังจากการแข่งขันฟุตบอลโลก ได้ขยายเพิ่มทีมเป็น 24 ทีม มีอยู่ 5 ประเทศที่สามารถผ่านเข้ารอบสุดท้ายได้เป็นครั้งแรก หลังจากนั้นแต่ละครั้งก็จะมีทีมชาติหน้าใหม่ผ่านเข้ารอบสุดท้าย 4-5 ชาติ ส่วนในฟุตบอลโลกปี 2006 มีทีมชาติหน้าใหม่ผ่านเข้ารอบสุดท้าย 6 ชาติ ส่วนในฟุตบอลโลกปี 2010 มีทีมหน้าใหม่เพียงงทีมเดียวเท่านั้นคือทีมชาติสโลวะเกีย ........... แก้ไขเมื่อ 03 มี.ค. 53 01:33:33 จากคุณ : pinspin เขียนเมื่อ : 1 มี.ค. 53 05:18:02

ความคิดเห็นที่ 14 14. ทีมชาติที่ประสบความสำเร็จผ่านเข้ารอบสุดท้ายฟุตบอลโลกมากที่สุด คือทีมชาติบราซิล  19  ครั้ง รองมาเป็นทีมชาติอิตาลีและทีมชาติเยอรมัน 17 ครั้ง และทีมชาติอาร์เจนติน่า 15 ครั้ง ........ จากคุณ : pinspin เขียนเมื่อ : 1 มี.ค. 53 05:18:47

ความคิดเห็นที่ 15 15. ทีมชาติบราซิลคือทีมที่ยิงประตูได้มากที่สุดในศึกฟุตบอลโลกที่ 201 ประตู ตามมาด้วยทีมชาติเยอรมัน 190 ประตู, ทีมชาติอิตาลี 122 ประตู และทีมชาติอาร์เจนติน่า 113 ประตู โดยสถิติสุดยอดของทีมชาติบราซิลคือการผ่านเข้ารอบสุดท้ายฟุตบอลโลก 19 ครั้ง, ได้แชมป์ 5 สมัย,เล่นรอบสุดท้ายฟุตบอลโลกทั้งสิ้น 92 แมตช์เป็นชัยชนะ 64 ครั้งและยิงประตูเฉลี่ย 2.2 ลูกต่อแมตช์ในฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย ............. จากคุณ : pinspin เขียนเมื่อ : 1 มี.ค. 53 05:19:39

ความคิดเห็นที่ 16 16. เมื่อโฟกัสไปที่ฟุตบอลโลก 2010 ที่แอฟริกาใต้ ทีมชาติอิยิปต์คือทีมจากทวีปแอฟริกาทีมแรกที่ผ่านเข้ารอบสุดท้ายฟุตบอลโลกในปี 1934 โดยเอาชนะทีมชาติฮังการีได้ จากนั้นทีมจากแอฟริกาทีมที่ 2 ที่ได้ไปฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายคือทีมชาติโมร็อคโคในปี 1970 ส่วนชัยชนะของทีมจากทวีปแอฟริกาครั้งแรกเกิดขึ้นเมื่อปี 1978 เมื่อทีมชาติตูนิเซียเอาชนะทีมชาติเม็กซิโกไปได้ 3-1   ในปี 1982 ทีมชาติแคเมอรูนกลายเป็นทีมจากทวีปแอฟริกาทีมแรกที่ไม่แพ้ในฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายด้วยผลเสมอ 3 นัดรวด ส่วนปี 1986 ทีมชาติโมร็อคโคกลายเป็นทีมจากทวีปแอฟริกาทีมแรกที่ผ่านเข้าสู่รอบที่ 2 ของฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย .......... จากคุณ : pinspin เขียนเมื่อ : 1 มี.ค. 53 05:20:39

ความคิดเห็นที่ 17 17. แมตช์ที่ทีมชาติออสเตรียชนะทีมชาติสวิตเซอร์แลนด์ 7-5 ในฟุตบอลโลกปี 1954 คือแมตช์ที่ถูกบันทึกไว้ว่ามีการยิงประตูกันมากที่สุดในฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย ........... จากคุณ : pinspin เขียนเมื่อ : 1 มี.ค. 53 05:21:09

ความคิดเห็นที่ 18 18. ชัยชนะท่วมท้นที่สุดในฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย มีจำนวนผลต่างประตูมากถึง 9 ประตู โดยในปี 1954 ทีมชาติ Puskas & Co (ฮังการี) เอาชนะทีมชาติเกาหลีใต้ด้วยสกอร์ 9-0 จากนั้นในปี 1982 เป็นทีมชาติฮังการีที่ไล่ถล่มทีมชาติเอล ซัลวาดอร์ไปท่วมท้น 10-1 และในปี 1974 ทีมชาติยูโกสลาเวียก็เอาชนะทีมชาติ Zaire ไปถึง 9-0 ............. แก้ไขเมื่อ 02 มี.ค. 53 21:35:29 จากคุณ : pinspin เขียนเมื่อ : 1 มี.ค. 53 05:21:46

ความคิดเห็นที่ 19 19. กว่า 2,063 ประตูที่ทำกันในฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย 708 แมตช์   โดยค่าเฉลี่ยเท่ากับเกือบ 3 ประตูต่อนัด ฟุตบอลโลกปี 1954 ที่สวิตเซอร์แลนด์คือทัวร์นาเมนต์ที่มีค่าเฉลี่ยการยิงประตูสูงที่สุดที่ 5.4 ประตูต่อนัด เทียบกับค่าเฉลี่ย 2.2 ประตูต่อนัดในฟุตบอลโลก 1990 ที่อิตาลีที่ถือว่าน้อยที่สุด ..... จากคุณ : pinspin เขียนเมื่อ : 1 มี.ค. 53 05:22:29

ความคิดเห็นที่ 20 20. โรนัลโด้ของบราซิลไม่ได้เป็นเพียงสุดยอดดาวซัลโวตลอดกาลของฟุตบอลโลกที่ยิงไปถึง 15 ประตู แต่ยังเป็นนักเตะที่ยิงประตูติดต่อกันมากที่สุดในฟุตบอลโลกถึง 11 แมตช์ ตามมาด้วย เจอร์เกนซ์ คลินซ์มันน์ของเยอรมันที่ยิงไปถึง 11 ประตู ส่วนสถิตินักเตะที่ยิงประตูในทัวร์นาเมนต์เดียวมากที่สุดคือ Just Fontaine ชาวฝรั่งเศส โดยยิงไปถึง 13 ประตูในทัวร์นาเมนต์เดียว ส่วน Kocsis คือนักเตะที่มีค่าเฉลี่ยการยิงประตูมากที่สุดที่ 11 ประตูใน 5 แมตช์ .......... แก้ไขเมื่อ 03 มี.ค. 53 01:35:32 แก้ไขเมื่อ 01 มี.ค. 53 19:32:39 จากคุณ : pinspin เขียนเมื่อ : 1 มี.ค. 53 05:23:12

ความคิดเห็นที่ 21 21. "เปเล่" คือนักเตะเพียงคนเดียวที่คว้าแชมป์ฟุตบอลโลกถึง 3 สมัยในปี 1958,1962 และ1970 แม้ว่าในฟุตบอลโลกปี 1962 เขาจะพลาดการลงสนามหลายนัดรวมทั้งนัดชิงชนะเลิศด้วยอาการบาดเจ็บ ส่วน "Cafu" เพื่อนร่วมชาติของเปเล่คือนักเตะที่ได้ลงเล่นในนัดชิงชนะเลิศฟุตบอลโลกติดต่อกันมากที่สุดตั้งแต่ปี 1994 ถึง 2002 ............ จากคุณ : pinspin เขียนเมื่อ : 1 มี.ค. 53 05:24:56

ความคิดเห็นที่ 22 22. นักเตะที่ลงเล่นในฟุตบอลโลกมากที่สุดคือผู้รักษาประตูทีมชาติเม็กซิโก ชื่อ "Antonio Carbajal"   โดยเขาลงเล่นฟุตบอลโลกระหว่างปี 1950 - 1966 และนักเตะชาวเยอรมันชื่อ  "Lothar Matthaus" ระหว่างปี 1982-1998   ทั้งคู่ลงเล่นในฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายถึง 5 ครั้งติดต่อกัน ส่วนนักเตะที่เป็นเจ้าของสถิติอยู่ในสนามนานที่สุดเป็นของ "Paolo Maldinis" ที่ 2,217 นาที 23 แมตช์ ในฟุตบอลโลก 4 ครั้ง นำหน้า Matthaus ที่ลงเล่นไป 25 แมตช์ ในฟุตบอลโลก 5 ครั้ง ............. จากคุณ : pinspin เขียนเมื่อ : 1 มี.ค. 53 05:25:58

ความคิดเห็นที่ 23 23. มีเพียง 2 คนเท่านั้นที่ครองแชมป์ฟุตบอลโลกในฐานะนักเตะและโค้ช คนแรกคือ "Mario Zagallo" ในฐานะนักเตะทีมชาติบราซิล (1958/62) และในฐานะโค้ชเมื่อปี 1970 อีกคนคือ  "Franz Backenbauer"  ทำสำเร็จในปี 1974 และ 1990 ตามลำดับ .......... จากคุณ : pinspin เขียนเมื่อ : 1 มี.ค. 53 05:26:30

ความคิดเห็นที่ 24 24. แมตช์ที่อาร์เจนติน่าพบเม็กซิโกในฟุตบอลโลกปี 1930 ตัดสินโดยผู้ตัดสินที่ไม่ธรรมดา 2 คนคือ Ulrico Saucedo ทำหน้าที่ผู้ตัดสินโดยที่หมวกอีกใบคือผู้จัดการทีมชาติโบลิเวีย และ Costel Radulescu ไลน์แมนที่หมวกอีกใบคือโค้ชทีมชาติโรมาเนีย ........ จากคุณ : pinspin เขียนเมื่อ : 1 มี.ค. 53 05:27:12

ความคิดเห็นที่ 25 25. โค้ชชาวต่างชาติไม่เคยพาทีมชาติใดได้แชมป์โลกแม้แต่ทีมเดียว ............... จากคุณ : pinspin เขียนเมื่อ : 1 มี.ค. 53 05:27:55

ความคิดเห็นที่ 26 ถ้าผมแปลข้อมูลผิดพลาดยังไง รบกวนแจ้งด้วยนะครับ และหากท่านใดมีข้อมูลดีๆเพิ่มเติม ช่วยกันเพิ่มได้ตามอัธยาศัยเลยนะครับ แก้ไขเมื่อ 02 มี.ค. 53 16:14:50 จากคุณ : pinspin เขียนเมื่อ : 1 มี.ค. 53 05:28:41

ความคิดเห็นที่ 27 ในข้อ 20 ถ้าผมจำไม่ผิด จู๊ส  ฟองแตง ไม่น่าจะยิง 13 ประตูในแมทเดียว แต่น่าจะเป็นดาวซัลโวสูงสุดในทัวนาเม้น ด้วยจำนวนประตู 13 หรือ 14 ประตูนี่แหละ จากความทรงจำนะครับ  ถ้าผิดก็ขออภัย จากคุณ : Free Kick เขียนเมื่อ : 1 มี.ค. 53 07:14:43

ความคิดเห็นที่ 28 ในข้อ20 อันดับ1 ใช่ ronaldo ในบอลโลกสามทัวนาเม้น แต่อันดับ2นะ เกร็ด มุลเลอร์ ต่างหาก ยิงไป 14ลูกใน บอลโลกสองทัวนาเม้น อันดับสาม จู๊ส  ฟองแตง ในหนึ่งทัวนาเม้น หลังจากนั้นก็ขาหักไมได้แข่งอีกเลยแขวนสตั๊ดเลย แล้วทำไมไม่พูดถึงถ้วยบอลโลกถ้วยแรกมั้งล่ะที่บราซิลได้ครอบครองแต่ถูกขโมยปัจจุบันยังหาไม่เจอ จากคุณ : คนรักทีม อินทรีย์เหล็ก (mangnitez) เขียนเมื่อ : 1 มี.ค. 53 07:37:16

ความคิดเห็นที่ 29 นั่นนะสิ ฟองแตงถ้ายิง 13 ลูกในแมทช์เดียว ผมว่าเขาคงนำดาวซัลโวตลอดกาลแซงโด้อ้วนไปแล้ว เพราะขนาดแมทช์เดียวยัง 13 ลูก แล้วแมทช์อื่น ๆ  น่าจะยิงเพิ่มได้อีก หรือว่าเขายิงไม่ได้อีกเลย ???? แก้ไขเมื่อ 01 มี.ค. 53 11:32:44 จากคุณ : ขอบตะวัน เขียนเมื่อ : 1 มี.ค. 53 11:32:06

ความคิดเห็นที่ 30 เพิ่มเติมข้อ 18 ว่า นัดที่ฮังการีเอาชนะเอลซัลวาดอร์ในปี 1982 ยังเป็นนัดเดียวในรอบสุดท้ายที่มีทีมหนึ่งทีมใดยิงประตูได้ถึงเลขสองหลักด้วย และทีมชาติเอลซัลวาดอร์ชุดนั้น น่าจะ (ไม่แน่ใจข้อมูล) เป็นทีมเดียวที่ได้เข้ารอบสุดท้ายฟุตบอลโลกในยุคใหม่ ที่ยอมไม่ส่งนักเตะครบตามจำนวนที่ฟีฟ่าอนุญาต (ปกติทีมอื่นมีแต่ต้องตัดกันอุตลุตกว่าจะเหลือตามโควต้า) คือส่งไปแค่ 20 คนจากโควต้า 22 คน เนื่องจากปัญหาการเงินของประเทศในเวลานั้น สำหรับสถิติชนะมากที่สุดในรอบคัดเลือก เป็นของทีมชาติออสเตรเลีย ที่ถล่มอเมริกันซามัวไป 31-0 ในรอบคัดเลือกปี 2002 โดยนัดนั้นอาร์ชี่ ธอมป์สัน นักเตะออสเตรเลียยิงไปคนเดียว 13 ประตู!!!! ---------------------------------------------------------------------- สำหรับสถิติการทำประตูที่เร็วที่สุดในฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย เป็นของ ฮาคาน ซูเคอร์ จากทีมชาติตุรกี ในนัดชิงที่ 3 ฟุตบอลโลกปี 2002 กับเกาหลีใต้เจ้าภาพ (ร่วม) โดยใช้เวลาเพียงแค่ 11 วินาที ส่วนสถิติยิงประตูเร็วที่สุดในรอบคัดเลือก แทบไม่น่าเชื่อว่าเป็นผลงานของดาวิเด้ กัลเทียรี่ (Davide Gualtieri) จากทีมสมันน้อยอย่างซานมาริโน่ แถมเป็นการยิงใส่ทีมยักษ์ใหญ่อย่างอังกฤษด้วย!!! ในการแข่งขันรอบคัดเลือกฟุตบอลโลกปี 1994 นัดสุดท้าย โดยกัลเทียรี่ใช้เวลาเพียงแค่ 8.3 วินาที ก็ทำประตูให้ซานมาริโน่กระตุกหนวดสิงโตนำไปก่อน 1-0 ก่อนจะจบเกมนั้นโดยที่อังกฤษชนะไป 7-1 (แต่ก็ต้องตกรอบอยู่ดี) จากคุณ : เกียรตินำ เขียนเมื่อ : 1 มี.ค. 53 11:33:33

ความคิดเห็นที่ 31 #25 นี่เอาฮา ชิมิ จากคุณ : สักวันฉันจะอ้วนกลม เขียนเมื่อ : 1 มี.ค. 53 11:34:24

ความคิดเห็นที่ 32 ข้อ 17 บอกว่า  แมตช์ที่ทีมชาติออสเตรียชนะทีมชาติสวิตเซอร์แลนด์ 7-5 ในฟุตบอลโลกปี 1954  คือแมตช์ที่ถูกบันทึกไว้ว่ามีการยิงประตูกันมากที่สุดในฟุตบอลโลกรอบสุดท้าย ข้อ 20  ยิงคนเดียว นัดเดียว 13 ลูก มันก็ต้องมากกว่าข้อ 17 ซิ จากคุณ : ผีหัวดำ เขียนเมื่อ : 1 มี.ค. 53 11:38:07

ความคิดเห็นที่ 33 เพิ่มข้อ 25 สำหรับโค้ชต่างชาติ ที่นำทีมเข้าใกล้ถ้วยฟุตบอลโลกที่สุด ก็คือ แอร์นส์ ฮัปเปิล โค้ชชาวออสเตรีย ที่นำทีมชาติฮอลแลนด์เข้าชิงฟุตบอลโลกปี 1978 แต่ไปแพ้ให้กับอาร์เจนติน่าเจ้าภาพในนัดชิงชนะเลิศ 1-3 ในช่วงต่อเวลาพิเศษ จากคุณ : เกียรตินำ เขียนเมื่อ : 1 มี.ค. 53 11:54:17

ความคิดเห็นที่ 34 เอาเกร็ดน่ารู้มาช่วยเพิ่มเติมให้ครับ..... ถึงแม้ว่า พลาซิโด กราลินโด ของเปรู จะเป็นนักเตะจอมโหดคนแรกของฟุตบอลโลกที่โดนไล่ให้ออกจากสนามไป ในเกมที่ เปรูลงสนามพบกับโรมาเนีย ในฟุตบอลครั้งแรกที่อุรุกวัยเมื่อปี 1930 แต่สมัยนั้นก็ยังไม่มีกฏ " ใบเหลือง ใบแดง " ในโลกของฟุตบอลอย่างเป็นเรื่องเป็นราว 36 ปีต่อมา.... หลังจากการตัดสินที่มีปัญหาอย่างมากมายระหว่างกรรมการกับนักเตะ ในฟุตบอลโลก 1966 ที่เกิดมาจาก การใช้ภาษาที่แตกต่างกันของผู้ตัดสินกับนักฟุตบอล ทำให้เกิดการเข้าใจผิดและเกิดกรณีปัญหาขึ้นมาในเกมรอบก่อนรองชนะเลิศระหว่างอังกฤษกับอาร์เจนติน่า ที่กรรมการ รูดอลฟ์ ไคส์สไลน์ ชาวเยอรมัน ได้ไล่อันโตนิโอ รัตติน กับตันทีมของอาร์เจนติน่าออกจากสนามไป เพียงเพราะการเข้าใจผิดในเรื่องของภาษา ที่สื่อสารกันคนล่ะเรื่อง ต่อมา เคน แอสตั้น ผู้ตัดสินจากอังกฤษได้เสนอไอเดียให้มีการกำหนด " ใบเหลือง และ ใบแดง " ขึ้นมา เพื่อเป็นการตักเตือนแทนการสื่อสารทางภาษา และลดความรุนแรงที่เกิดขึ้นในเกมลง โดยใบเหลือง และใบแดง เริ่มมีใช้ครั้งแรกในฟุตบอลโลกที่เม็กซิโก ในปี 1970 และ เยฟกินี่ โลวเชฟ ของสหภาพโซเวียต ก็เป็นนักเตะคนแรกในฟุตบอลโลก ที่ได้รับใบเหลือง ในเกมนัดเปิดสนามกับทีมเม็กซิโกเจ้าภาพ ส่วนใบแดงนั้น ต้องรอมาอีก 4 ปีเต็ม ถึงจะได้แจกกัน... ในฟุตบอลโลก 1974  ที่เยอรมันตะวันตก คาร์ลอส คาซิรี่ ของชิลี ก็เป็นนักเตะคนแรก ที่มีเกียรติอย่างสูงได้รับ " ใบแดง " เชิญให้ออกจากสนามไปอาบนํ้าในห้้องพักก่อนใครเพื่อน ในเกมที่ชิลี ลงสนามพบกับเจ้่าภาพเยอรมันตะวันตก ในรอบแรก ....                                                                                                   > Shine on you crazy diamond < แก้ไขเมื่อ 01 มี.ค. 53 15:36:19 จากคุณ : Romancini เขียนเมื่อ : 1 มี.ค. 53 15:19:30

ความคิดเห็นที่ 35 เอารูปทีมชาติฝรั่งเศส ที่ต้องใส่เสื้อที่ขอยืมมาจากสโมสร Atletico Kimberley ใน# 9 มาให้ดูครับ น่าเบิร์ดกระโหลกคนรับผิดชอบชุดของทีมตราไก่ จริงๆ ในภาพ โดมินิค โรเชอตู ในชุด ขาว เขียว ที่ทำเอาแฟนฝรั่งเศสหน้าจอทีวีต้องมึนตึ๊บ ไปตามๆกัน ช่างทำไปได้.......                                                                                                   > Shine on you crazy diamond < จากคุณ : Romancini เขียนเมื่อ : 1 มี.ค. 53 15:34:18

ความคิดเห็นที่ 36 ^ ความจริงต้องเบิร์ดกระโหลกทั้งสองทีม หรืออาจจะรวมไปถึงเจ้าหน้าที่ฟีฟ่าครับ เพราะตามปกติชุดเหย้าของฮังการีเป็นสีแดง ขณะที่ชุดเหย้าของฝรั่งเศสเป็นสีน้ำเงิน ถ้าต่างฝ่ายต่างใส่ชุดเหย้า ก็คงเล่นกันได้ไม่มีปัญหาไปแล้ว แต่ดันใจตรงกันเอาชุดเยือนมาทั้งคู่ซะงั้น แต่ความจริงเจ้าหน้าที่ทีมฝรั่งเศสก็น่าโดนเบิร์ดจริงละครับ อย่างฟุตบอลโลกครั้งต่อมา 1982 นัดแรกเจอกับอังกฤษ ไม่รู้ต่างฝ่ายต่างไปถือเคล็ดอะไรกันมา เลยใส่ชุดเยือนด้วยกันทั้งคู่ ทั้งๆ ที่ความจริงชุดเหย้าของทั้งสองทีมก็คนละสีอยู่แล้ว จากคุณ : เกียรตินำ เขียนเมื่อ : 1 มี.ค. 53 16:38:57

ความคิดเห็นที่ 37 เพิ่มจาก คห 34 สำหรับนักเตะที่เจอ "ใบแดง" เร็วที่สุดในการแข่งขันฟุตบอลโลก ก็คือ โฮเซ่ บาติสต้า นักเตะทีมชาติอุรุกวัย ซึ่งโดนไล่ออกตั้งแต่เริ่มแข่งไปได้แค่ 56 วินาที (ไม่ถึงนาทีด้วยซ้ำ!!!) ในการเจอกับสก็อตแลนด์เมื่อฟุตบอลโลกปี 1986 แต่สุดท้ายอุรุกวัยที่เล่น 10 คนแทบทั้งเกมในวันนั้น ก็ยันสกอร์ไว้ที่ 0-0 จนจบเกม ได้เข้ารอบสองไปแบบหวุดหวิด -------------------------------------------------------------------------- และสำหรับการตัดสินผลด้วยการยิงลูกโทษที่จุดโทษ เริ่มใช้ครั้งแรกในปี 1982 โดยคู่แรกที่ต้องตัดสินกันก็คือเกมรอบรองชนะเลิศระหว่างเยอรมันตะวันตกกับฝรั่งเศส ซึ่งจบเกม 120 นาทีเสมอกัน 3-3 ก่อนที่เยอรมันตะวันตกจะชนะในการยิงลูกโทษ 5-4 ได้ผ่านเข้าไปชิงชนะเลิศกับอิตาลี แก้ไขเมื่อ 01 มี.ค. 53 17:56:14 จากคุณ : เกียรตินำ เขียนเมื่อ : 1 มี.ค. 53 17:50:27

ความคิดเห็นที่ 38 ^ ^ ^ เกมนี้ เป็นแม๊ตซ์แห่งความทรงจำของผมเลยนะนั่น คุณ เกียรตินำ สุดยอดดราม่าอย่างแท้จริง....                                                                                                   > Shine on you crazy diamond < จากคุณ : Romancini เขียนเมื่อ : 1 มี.ค. 53 18:03:42

ความคิดเห็นที่ 39 คุณรู้หรือไม่ว่า.... เพราะการฉลองแชมป์กันอย่างไม่ระมัดระวัง...ของนักเตะบราซิล ทำให้ถ้วย FIFA World cup มีรอยตำหนิ ตราบเท่าทุกวันนี้ และนี่คือภาพแสดงหลักฐาน จากคุณ : วจีวิจารณ์ เขียนเมื่อ : 1 มี.ค. 53 23:12:16

ความคิดเห็นที่ 40 ขอบคุณสำหรับบทความดีๆด้วยครับ... จากคุณ : Muyan เขียนเมื่อ : 1 มี.ค. 53 23:28:37

ความคิดเห็นที่ 41 ^ ^ 5555555 จากคุณ : pheebar เขียนเมื่อ : 2 มี.ค. 53 00:27:03

ความคิดเห็นที่ 42 รอยจอบหรือครับ39 จากคุณ : NJ_kung เขียนเมื่อ : 2 มี.ค. 53 06:21:40

ความคิดเห็นที่ 43 ข้อ 25 นี้ อ้างอิง สถิติจริงเลยป่ะครับ? ถามเป็นความรู้ครับ จากคุณ : chelsit เขียนเมื่อ : 2 มี.ค. 53 12:06:07

ความคิดเห็นที่ 44 ฮาซะงั้นอะ 55+ จากคุณ : WiseChocolate เขียนเมื่อ : 2 มี.ค. 53 14:38:33

ความคิดเห็นที่ 45 ขอบคุณมากครับ สำหรับข้อมูล-ความรู้ดีๆ แต่มีข้อนึงผมยังไม่แน่ใจว่าบางทีอาจมีความผิดพลาดเล็กน้อย(หรือปล่าว) นะครับ 4. Today the FIFA World Cup™ is by far the biggest TV sports event in the world. In 2006, a cumulated audience of more than 26 billion viewers was recorded for the 64 matches. This compares to less than 5 billion viewers for the 2008 Olympic Games in Beijing. เข้าใจว่า.. ฟุตบอลโลกเป็นมหกรรมกีฬาที่มียอดผู้ชมทางทีวีสูงสุดนำโด่ง โดยบอลโลก 2006 มียอดผู้ชมรวมทั้ง 64 นัดได้ 26,000 ล้านคน เปรียบเทียบกับยอดผู้ชมโอลิมปิคเกมที่ปักกิ่งที่มียอดผู้ชมเพียงแค่ไม่ถึง 5,000 ล้านคนเท่านั้น จากคุณ : art_sarawut เขียนเมื่อ : 2 มี.ค. 53 17:42:12

ความคิดเห็นที่ 46 12 ไม่เคยเล่นรอบคัดเลือก แต่ได้เล่นฟุตบอลโลก อันนี้ไม่รวมเจ้าภาพใช่มั้ยครับ จากคุณ : ตีนกบ เขียนเมื่อ : 2 มี.ค. 53 17:44:23

ความคิดเห็นที่ 47 Puskas & Co ใน คห.ที่ 18 คือ ทีมชาติฮังการี ครับ มาจาก Ferenc Puskas สุดยอดกัปตันทีมชาติฮังการีในสมัยนั้น จากคุณ : TASoccer เขียนเมื่อ : 2 มี.ค. 53 20:01:04

ความคิดเห็นที่ 48 ขอบคุณสำหรับกระทู้ที่เป็นประโยชน์ และช่วยโหมโรงฟุตบอลโลกที่จะมาถึงได้เป็นอย่างดี (อีก 99 วันเท่านั้นครับ เตรียมอดนอนกันได้แล้ว) เข้ามาเสริมสถิติที่น่าสนใจบ้างครับ  เอาเป็นนักเตะที่ยิงประตูได้ทุกนัดในฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายก็แล้วกันครับ เดิมมีการบันทึกไว้ว่า แจร์ซินโญ นักเตะบราซิลเป็นคนเดียวที่ยิงประตูได้ทุกนัด จากรอบแรกถึงรอบชิง ในปี 1970  ( 9 ประตู) แต่จริงๆแล้วมีนักเตะอีกคนหนึ่งครับ ที่ทำสถิติได้แบบนั้น  ก็คือ จุสต์ ฟองแตง  ดาวซัลโวฟุตบอลโลกปี 1958 ชาวฝรั่งเศส (13 ประตู) เพียงแต่การบันทึกสถิติไปนับว่าถึงนัดชิง ซึ่งจะหมายถึงนัดชิงชนะเลิศ ตามที่เข้าใจกัน   แต่ ฟองแตงไม่ได้เข้าชิงชนะเลิศ เพระฝรั่งเศสแพ้บราซิล ฝรั่งเศสได้แค่ชิงที่ 3  อย่างไรก็ตาม ถ้านับกันจริงๆ แล้ว ฟองแตง ก็จะเล่นเท่ากับแจร์ซินโญ เช่นกัน คือ 6 นัด  (รอบแรก 3 นัด รอบก่อนรอง ,รอบรอง และรอบชิงที่3 ) จึงน่าจะบันทึกสถิตินี้ให้ฟองแตงด้วยครับ ในปี 2002 โรนัลโด(เหยินใหญ่) เกือบจะได้บันทึกสถิตินี้เช่นกัน ถ้าทำประตูได้ในรอบก่อนรองที่เตะกับอังกฤษ  แต่ถ้าเทีบยกับทั้ง 2 คนข้างต้น ก็น่าจะถือว่าใกล้เคียงกัน เพราะโรนัลโด แข่ง 7 นัด มากกว่า แจร์ซินโญ และฟองแตงอยู่ 1 นัดครับ แก้ไขเมื่อ 03 มี.ค. 53 11:24:23 จากคุณ : อาร์คีมิดิส เขียนเมื่อ : 3 มี.ค. 53 11:23:23

ความคิดเห็นที่ 49 ดีครับ มีแต่สถิติน่าสนใจทั้งนั้นเลย จากคุณ : zygoticle เขียนเมื่อ : 3 มี.ค. 53 13:16:21

ความคิดเห็นที่ 50 4. ปัจจุบันการแข่งขันฟุตบอลโลกถือเป็นการถ่าย ทอดสดชนิดกีฬาที่มีผู้ชมมากที่สุดในโลก ในฟุตบอลโลกปี 2006 มียอดผู้ชมมากกว่า 26,000 ล้านคน จาก 64 แมตช์แข่งขัน   และเมื่อเปรียบ เทียบกับโอลิมปิคเกมส์ปี 2008 ที่กรุงปักกิ่ง ที่มีผู้ชมไม่ถึง 5 พันล้านคน ฟุตบอลหรือฟุตบอลโลกจึงเป็นกีฬาที่มีผู้ชมมากที่สุดในโลก โลกเรามีประชากร เกิน 10,000 ล้านคนแล้วหรอครับ -_- อ่อ คงหมายถึง ในแต่ละรอบที่แข่งแล้วเอามารวมกัน แก้ไขเมื่อ 03 มี.ค. 53 13:59:05 จากคุณ : mus_saleep เขียนเมื่อ : 3 มี.ค. 53 13:57:33

ความคิดเห็นที่ 51 นั่นสิ ยอดผู้ชมทางทีวีไม่น่าจะวัดเป็นตัวเลขได้นะ 26000 ล้านมันเกินจำนวนประชากรโลกอีก แต่ถ้าหมายถึงคนนึงดูนัดนี้แล้วดูนัดถัดๆ ไปด้วยก็ว่าไปอย่าง แต่โอลิมปิกกีฬาเยอะอะ ถ่ายทอดกันไม่ครบทุกชนิดกีฬาทุกรอบอยู่แล้ว ไม่เหมือน 64 แมทช์บอลโลกที่ได้ดูกันทุกคนทุกนัด แต่โอลิมปิคส่วนใหญ่ประเทศต่างๆ ก็นำแต่กีฬาที่ชาติตัวเองมีลุ้นมาถ่ายทอด หรือกีฬาสำคัญ ๆ มาถ่าย แต่ถ้าโอลิมปิคทุกชาติถ่ายทอดทุกชนิดกีฬาทุกรอบ ทุกเหรียญคงต้องใช้ทีวีหลายร้อยช่อง อันนี้ผมว่าน่าจะแซงผู้ชมบอลโลกทางทีวีแน่นอน จากคุณ : unicorn-k เขียนเมื่อ : 3 มี.ค. 53 15:25:33

ความคิดเห็นที่ 52 ข้อ 4. นี่เป็นการเปรียบเทียบระหว่างฟุตบอลโลก กับฟุตบอลในโอลิมปิกรึเปล่าครับ ตัวเลขมันแปลกๆ เพราะในโอลิมปิก  วันใดก็ได้ ขอเพียงมีจีนกะดินเดีย ในกีฬาชนิดใดก็ได้  คนดูก็เกินพันล้านคนสบายๆ   เอาล่ะถ้าคิดเฉพาะฟุตบอลในโอลิมปิก เอาเฉพาะนัดที่จีนลงแข่งในโอลิมปิกทุกแม็ต รวมคนดูเข้าด้วยกัน   ผมว่าจะเกิน ห้าพันล้านคนเอานะ . . . เพิ่มเติม โอลิมปิกที่ผ่านมาจัดในจีน จีนมีประชากร 1800 ล้านคน แถมจีนเป็นจ้าวเหรียญทองตะหาก แต่มีคนดูถ่ายทอดทั้งโลกแค่ห้าพันล้าน ข้อมูลนี้ยากจะเชื่อครับ แก้ไขเมื่อ 03 มี.ค. 53 15:51:57 จากคุณ : หนุ่มบางปะกง เขียนเมื่อ : 3 มี.ค. 53 15:42:26

ความคิดเห็นที่ 53 12. ทีมชาติที่เคยแข่งขันในฟุตบอลโลกโดยไม่ได้แข่งขันในรอบคัดเลือกมาก่อน มีเพียงทีมเดียวนั่นคือทีมชาติ Dutch East Indies ในฟุตบอลโลกที่ฝรั่งเศสในปี 1938 โดยลงแข่งขันในนามทวีปเอเชีย และร่วงตกรอบไปด้วยน้ำมือของทีมชาติฮังการีที่ไล่ถล่มไป 6-0 ------------------------------------------------------------------ จำมาจากในพันทิปว่า เป็นฟุตบอลโลกครั้งแรกนะไม่ใช่ที่ฝรั่งเศส เขาต้องการเชิญทีมจากเอเชียไปแข่งขัน ตอนแรกเชิญญี่ปุ่นแต่ญี่ปุ่นปฏิเสธ แล้วมาเชิญไทยเป็นทีมที่สองแต่ไทยก็ปฏิเสธ เลยไปเชิญอินโดนีเซีย ตอนนั้นเป็นเมืองขึ้นของ Holland ใช้ชื่อประเทศว่า Dutch East Indies นักเตะส่วนใหญ่ที่ไปก็เป็นคน Holland น่าเสียดายทีมชาติไทยเกือบได้ไปบอลโลกแล้ว จากคุณ : TrojanTHM เขียนเมื่อ : 3 มี.ค. 53 17:29:43

ความคิดเห็นที่ 54 ฮาข้อ25ทำไมต้องเป้นรูปร็อบโบ้ จากคุณ : mooler เขียนเมื่อ : 3 มี.ค. 53 17:43:08

ความคิดเห็นที่ 55 มาเพิ่มอีกข้อว่า ออสเตรเลียเป็นชาติเดียวในโลกในขณะนี้ ที่เคยได้เข้ารอบสุดท้ายฟุตบอลโลก ในฐานะของตัวแทนจากคนละทวีป กล่าวคือ ในปี 1974 ออสเตรเลียได้เข้ารอบสุดท้ายในฐานะของตัวแทนโซนเอเชีย และในปี 2006 ที่ผ่านมา ออสเตรเลียได้เข้ารอบสุดท้ายในฐานะตัวแทนโซนโอเชียเนีย (นอกจากออสเตรเลียแล้ว อีกประเทศที่มีโอกาสทำได้ก็คืออิสราเอล ซึ่งเคยเข้ารอบในฐานะตัวแทนจากโซนเอเชียมาแล้วในปี 1970 ก่อนที่จะย้ายไปอยู่โซนยุโรปอย่างในปัจจุบัน แต่ยังไม่เคยได้เข้ารอบเมื่อเตะในโซนยุโรป) แก้ไขเมื่อ 03 มี.ค. 53 18:14:38 แก้ไขเมื่อ 03 มี.ค. 53 18:13:48 จากคุณ : เกียรตินำ เขียนเมื่อ : 3 มี.ค. 53 18:11:13

ความคิดเห็นที่ 56 เอาอีกข้อแล้วกัน เมื่อครั้งที่ทีมจากสหราชอาณาจักร (อังกฤษ, สก็อตแลนด์, เวลส์ และไอร์แลนด์เหนือ) สมัครเข้ามาเล่นฟุตบอลโลก ในปี 1950 นั้น ทางฟีฟ่าได้กำหนดให้การแข่งขันฟุตบอลชิงแชมป์สหราชอาณาจักร (British home championship) ซึ่งทั้ง 4 ชาติสหราชอาณาจักรแข่งกันเป็นประจำทุกปีอยู่แล้ว (ก่อนจะเลิกจัดไปในปี 1984) ประจำปี 1949-50 เป็นรอบคัดเลือกฟุตบอลโลกไปด้วยพร้อมกัน โดยจะเอา 2 ทีมเข้ารอบ แต่ปรากฎว่าสก็อตแลนด์ซึ่งผิดหวังจากการได้แค่รองแชมป์ในปีนั้นขอถอนทีมไม่ไปแข่งฟุตบอลโลก ก็เลยมีแค่อังกฤษซึ่งได้แชมป์ทีมเดียวที่ได้ไปฟุตบอลโลก 1950 และในฟุตบอลโลกครั้งต่อมา 1954 ก็ยังคงใช้ฟุตบอลชิงแชมป์สหราชอาณาจักรคัดเลือกเช่นกัน แต่คราวนี้สก็อตแลนด์ซึ่งยังคงได้รองแชมป์ในปีนั้นไม่เล่นตัวอีก ไปแข่งฟุตบอลโลกครั้งนี้ด้วยพร้อมกับอังกฤษ หลังจากนั้นในปี 1958 จึงได้ยกเลิกการใช้ฟุตบอลชิงแชมป์สหราชอาณาจักรเป็นรอบคัดเลือกฟุตบอลโลกไป ทีมจากสหราชอาณาจักรต้องไปแข่งคัดเลือกกับทีมอื่นในยุโรป และครั้งนั้นก็ปรากฎว่าเป็นครั้งแรกและครั้งเดียวที่ทีมจากสหราชอาณาจักรทั้ง 4 ทีม ผ่านไปเล่นฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายทั้งหมด แก้ไขเมื่อ 03 มี.ค. 53 18:27:33 จากคุณ : เกียรตินำ เขียนเมื่อ : 3 มี.ค. 53 18:26:04

ความคิดเห็นที่ 57 ลืมเกาหลีใต้ไปได้ไงครับ ทีมนี้คือความอัปยศของลูกหนังเอเซีย ทำให้ต่างชาติเขาประณามว่า ทวีปเราขี้โกง จากคุณ : Mbell เขียนเมื่อ : 3 มี.ค. 53 22:00:48

ความคิดเห็นที่ 58 เอาบทความของอา พิษณุ นิลกลัด มาฝากครับ ******************* ด้วยความจำเป็นของอาชีพ ทำให้ผมต้องไปดูฟุตบอลโลกรอบชิงชนะเลิศที่ญี่ปุ่น เพื่อนฝรั่งซึ่งยึดอาชีพคล้ายๆผม จัดแจงจองตั๋วให้ตั้งแต่เมื่อหกเดือนที่แล้ว... เราสองคนออกเดินทางเช้าตรู่วันจันทร์ที่ 24 มิถุนายน ก่อนออกเดินทางหนึ่งวัน ผมถามเขาว่า "ถ้ารอบชิงชนะเลิศเป็นตุรกีเตะกับเกาหลีใต้ ยูจะว่ายังไง" เขาหัวเราะก่อนตอบติดตลกว่า "เราสองคนจะไปยืนขายตั๋วที่โยโกฮามา รับรองว่าต้องมีแฟนฟุตบอลไม่เกาหลีก็ตุรกีให้ราคาเราสูงกว่าที่เราซื้อมาสาม สี่เท่าตัวแหงๆ" พูดตลกเสร็จ เขาก็พูดซีเรียสแบบคนที่ทำมาหากินอยู่ในแวดวงกีฬาระดับโลกว่า ถ้าตุรกี-เกาหลีใต้เป็นคู่ชิงชนะเลิศ ถือเป็นความโชคร้ายของเกมลูกหนัง และเป็นความโชคร้ายของสหพันธ์ฟุตบอลนานาชาติ ไม่ได้ดูถูกเกาหลีและตุรกี แต่ ณ พ.ศ. นี้ ถ้าเกาหลีชิงชนะเลิศฟุตบอลกับตุรกี มันเป็นยิ่งกว่า ไทเกอร์ วูดส์ ตกรอบทั้งสี่เมเจอร์ในปีเดียวกัน งานกร่อย และกระทบถึงอนาคตของกีฬาฟุตบอลทั้งในแง่ธุรกิจและในสงครามแย่งชิงแฟนกีฬาทั่วโลก การแข่งขันฟุตบอลโลก บาสเกตบอลโลก หรือวอลเลย์บอลโลกที่แข่งเป็นทัวร์นาเมนต์ยาวๆ ทีมที่จะเป็นแชมป์โลกต้องเป็นทีมเกรดเอไม่ทีมใดก็ทีมหนึ่งในแปดเก้าทีมชั้น นำของโลกที่รู้ๆ กันอยู่ว่าชาติใดบ้าง ถ้าทีมนอกสายตาได้แชมป์โลก มันต้องมีอะไรไม่ชอบมาพากล อย่างฟุตบอลโลกคราวนี้ คนเกาหลีใต้ฉลองชัยชนะท่ามกลางคราบน้ำตาของนักฟุตบอลทีมชั้นนำของโลกทีมแล้วทีมเล่า เรียนตามตรงว่ารอบแรกผมก็เชียร์เกาหลีใต้ เชียร์ในฐานะคนเอเชียด้วยกัน อยากให้ฝรั่งตะวันตกเห็นว่าเอเชียของพวกเราไม่ใช่กระจอก แต่นัดหลังๆ กับโปรตุเกสและอิตาลีชักไม่อยากเชียร์ ยิ่งนัดกับสเปนเลิกเชียร์ไปเลย แถมแช่งให้ตกรอบอีกต่างหาก ในฐานะคนเอเชียด้วยกัน อายคนทวีปอื่นน่ะครับ แพ้ตกรอบไปซะเลยดีกว่า ชาวโลกจะได้ไม่ด่าคนเอเชียว่าขี้โกง โกงเรื่องกีฬาต่อหน้าคนเป็นร้อยล้านพันล้านทั่วโลกน่าอายนะครับ ทวีปอื่นเขาจะเหมาว่าเราซึ่งเป็นเอเชียนขี้โกงไปด้วย ทั้งๆ ที่เราเลิกโกงมาเป็นสิบปีแล้ว ! พ.ศ. นี้แฟนกีฬาชาวไทยไม่รักชาติจนลืมหูลืมตาไม่ขึ้นเหมือนสมัยก่อน อย่างมวยต่างประเทศมาชกกับมวยของเรา ลองมวยเราโดนต่อยแทบตาย แต่กรรมการตัดสินให้ชนะซีครับ โอปะเรเตอร์สำนักงานหนังสือพิมพ์และโทรทัศน์รับโทรศัพท์ด่ากรรมการ และโปรโมเตอร์จนเจ็บหู ผมไม่ได้ตำหนิคนเกาหลีที่ฉลองกันทั้งประเทศทุกครั้งที่ชนะ ไม่ตกใจที่ท่านประธานาธิบดี คิม แด จุง บอกว่าวันนี้ชาวเกาหลีมีความสุขที่สุดในรอบ 5,000 ปี แต่รู้สึกเศร้าใจที่ผู้นำและชนชั้นนำของประเทศที่พัฒนาแล้วบางประเทศ ไม่มีหิริโอตตัปปะ ไม่สร้างวัฒนธรรมทางการกีฬาที่ถูกที่ควรให้คนในชาติได้เห็นเป็นแบบอย่าง และยิ่งเศร้ามากขึ้น เมื่ออ่านคำให้สัมภาษณ์ของนักฟุตบอลทีมสเปน โปรตุเกส และอิตาลี ที่ให้สัมภาษณ์หลังการแข่งขันทั้งน้ำตา มีอยู่คนหนึ่งอายุ 34 ปีแล้วบอกว่า "นี่เป็นฟุตบอลโลกครั้งสุดท้ายของผม ทำไมถึงทำกับผมอย่างนี้" สลดใจไหมครับ ตอนที่เกาหลีใต้เป็นเจ้าภาพเอเชี่ยนเกมส์เมื่อปี 2529 เขากวาดเหรียญทองมวยสมัครเล่นหมดทุกรุ่น ไม่เหลือให้ใครแม้แต่เหรียญเดียว ใครๆ ก็คิดว่าคง "หน้ามืด" เหตุการณ์แบบนี้คงไม่มีอีก อีก 2 ปีต่อมา เป็นเจ้าภาพกีฬาโอลิมปิก รอย โจนส์ จูเนียร์ นักมวยอเมริกันต่อยนักมวยเกาหลีแทบเอาเปลขึ้นไปหามลงเวที ครบยก รอย โจนส์ แพ้คะแนน เกจิบอกว่าแพ้เพราะต่อยนักมวยเกาหลีไม่ตายคาเวที เรื่องของ รอย โจนส์ เป็นข่าวใหญ่ให้ได้อายไปทั่วโลก ใครๆ ก็คิดว่าเรื่องแบบนี้จะไม่เกิดขึ้นเวลาเกาหลีเป็นเจ้าภาพอีก 14 ปีหลังโอลิมปิก เกาหลีใต้เป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลก 2002 เหตุการณ์แบบเดิมๆ ก็เกิดอีก ผมไม่ทราบว่าปัญญาชนเกาหลีเขารู้สึกอย่างไรกับเหตุการณ์ทำนองนี้ เกาหลีใต้พยายามแข่งขันกับญี่ปุ่นในทุกๆ ทาง ก่อนฟุตบอลโลกเปิดสนาม คนเกาหลีใต้บอกว่าคราวนี้แหละเกาหลีจะพิสูจน์ให้ชาวโลกเห็นว่าไม่ได้เป็นรองญี่ปุ่นในทุกๆ ด้าน ผมเชื่อครับว่าเกาหลีก้าวทันญี่ปุ่นแล้ว แต่สิ่งที่ผมมั่นใจว่าเกาหลียังล้าหลังญี่ปุ่นหลายสิบปี คือสปิริตของนักกีฬา จากคุณ : Mbell เขียนเมื่อ : 3 มี.ค. 53 22:08:14

ความคิดเห็นที่ 59 คุณ TrojanTHM ข้อมูลที่ว่า Dutch East Indies หรือ อินโดนีเซีย ได้เข้าไปเล่นในฟุตบอลโลกที่ฝรั่งเศส ปี 1938 ถูกต้องแล้วล่ะครับ ไม่ใช่ได้รับเชิญไปเล่นในฟุตบอลโลก ครั้งที่ 1 ที่อุรุกวัยปี 1930 ฟุตบอลโลกครั้งแรกนั้น ไม่มีทีมจากเอเซียเดินทางไปร่วมแข่งขันเลยสักทีมเดียว ส่วนสมาคมฟุตบอลสยามในเวลานั้น ที่มีเจ้าพระยารามราฆพเป็นคนดูแลอยู่ ก็เห็นว่าการเดินทางไปอุรุกวัยในเวลานั้น ใช้เวลานานมากถึง 5 - 6 เ้ดือน และ ต้องใช้เงินคลังหลวงเป็นจำนวนมากมายมหาศาล ในการเตรียมทีม จึงตอบปฎิเสธการเข้าร่วมการแข่งขันไป.... และ จริงๆแล้วในปี 1938 นั้น ทีม Dutch East Indies จะต้องเล่นเพลย์ออฟกับญี่ปุ่น เพื่อหาทีมที่จะไปเล่นที่ฝรั่งเศสก่อนนะครับ แต่ ญี่ปุ่น ที่กำลังอยู่ในช่วงของสงครามกับจีนอยู่ในเวลานั้น ได้ขอถอนตัวไป เลยทำให้ Dutch East Indies ได้เข้ารอบไปแบบไม่ต้องเหนื่อย ส่วนสมาชิกผู้เล่นของทีม Dutch East Indies ที่ไปเล่นฟุตบอลโลก 1938 นั้น เกินกว่าครึ่งทีม ก็เป็นคนอินโดนีเซียแท้ๆนะครับ มีผู้เล่นสัญชาติฮอลแลนด์ร่วมทีมอยู่เพียง 5 คนเท่านั้นเอง....                                                                                                   > Shine on you crazy diamond < จากคุณ : Romancini เขียนเมื่อ : 4 มี.ค. 53 04:27:11

ความคิดเห็นที่ 60 ^ ^ ^ ขอบคุณข้อมูลจากคุณ Romancini มากครับ แล้วแบบนี้วงการลูกหนังของอินโดนีเซียเขาภูมิใจหรือได้บันทึกไว้ในประวัติศาสตร์หรือป่าวว่าเคยได้ไปฟุตบอลโลกมาแล้ว จากคุณ : TrojanTHM เขียนเมื่อ : 4 มี.ค. 53 13:25:01

ความคิดเห็นที่ 61 ตอบคุณ TrojanTHM ครับ.... ตามประวัติศาสตร์แล้ว ก็ต้องนับว่า Dutch East Indies ที่เข้ารอบฟุตบอลโลก ที่ฝรั่งเศสในปี 1938 นั้น ต้องถือเป็นสถิติการเข้าร่วมการแข่งขันฟุตบอลโลกของทีมอินโดนีเซีย ด้วยล่ะครับ เพราะ Dutch East Indies ไปฟุตบอลโลกครั้งนั้นในฐานะตัวแทนของเอเซีย อย่างแท้จริง และในประวัติศาสตร์ของสมาคมฟุตบอลอินโดนีเซียที่ตั้งขึ้นมา หลังจากได้รับเอกราชจากฮอลแลนด์ ในปี 1949 ก็ได้บันทึกสถิติการแข่งขันครั้งนี้เอาไว้รวมกับสถิติต่างๆของทีมฟุตบอลอินโดนีเซีย ในยุคต่อมาด้วยครับ... http://en.wikipedia.org/wiki/Indonesia_national_football_team                                                                                                   > Shine on you crazy diamond < แก้ไขเมื่อ 04 มี.ค. 53 17:59:50 จากคุณ : Romancini เขียนเมื่อ : 4 มี.ค. 53 14:45:25

ความคิดเห็นที่ 62 ขอเพิ่มเติมจาก # 30 " สำหรับสถิติการทำประตูที่เร็วที่สุดในฟุตบอลโลกรอบ สุดท้าย เป็นของ ฮาคาน ซูเคอร์ จากทีมชาติตุรกี ในนัดชิงที่ 3 ฟุตบอลโลกปี 2002 กับเกาหลีใต้เจ้าภาพ (ร่วม) โดยใช้เวลาเพียงแค่ 11 วินาที " จากคุณ   : เกียรตินำ ....... ส่วนผู้ที่ยิงประตู " ช้าที่สุด " ในประวัติศาสตร์ของฟุตบอลโลก ก็ได้แก่....อเล็กซานโดร เดลเปียโร่ ของทีมชาิติอิตาลี่ ที่ยิงประตูสุุดท้ายตอกฝาโลง ให้ทีมอัซซูรี่ ฝัง เยอรมัน ไป  2 - 0  ในนาทีที่ 120 ของการต่อเวลาพิเศษ ในการแข่งขันรอบรองชนะเลิศ ฟุตบอลโลกปี 2006 ที่ประเทศเยอรมัน                                                                                                   > Shine on you crazy diamond < แก้ไขเมื่อ 08 มี.ค. 53 02:18:05 จากคุณ : Romancini เขียนเมื่อ : 4 มี.ค. 53 15:15:54

ความคิดเห็นที่ 63 เพิ่มอีกข้อครับ "ทีมชาติไทย ไม่เคยเข้ารอบสุดท้ายฟุตบอลโลก" จากคุณ : Certain_Shade_of_Green เขียนเมื่อ : 5 มี.ค. 53 00:05:42

ความคิดเห็นที่ 64 จบหักมุม 555 จากคุณ : *omega* เขียนเมื่อ : 5 มี.ค. 53 22:38:15