 |
ความคิดเห็นที่ 3 |
เจาะข่าวฮอต โดย..บ่อน้ำร้อน : ร็อบเบน-สไนจ์เดอร์ อีกหนึ่งก้าวกับการคืนสู่เหย้าที่มาดริด
เหลือเวลาอีกไม่ถึง 7 สัปดาห์ ศึกฟุตบอลโลก 2010 รอบสุดท้าย ที่แอฟริกาใต้ ก็จะเริ่มเปิดฉากฟาดแข้งกัน แต่นอกจากบรรดาทีมเต็งแชมป์อย่าง บราซิล, สเปน, อาร์เจนติน่า, อิตาลี และ อังกฤษ เชื่อว่า ณ เวลานี้ พลพรรค "อัศวินสีส้ม" ทีมชาติฮอลแลนด์ คงมีหวังที่จะประสบความสำเร็จมากขึ้น เมื่อ อาร์เยน ร็อบเบน ปีกตัวเก่ง "เสือใต้" บาเยิร์น มิวนิค และ เวสลี่ย์ สไนจ์เดอร์ มิดฟิลด์ "งูใหญ่" อินเตอร์ มิลาน กำลังอยู่ในช่วงท็อปฟอร์มที่สุดของฤดูกาลนี้
2 ดาวเตะชาวดัตช์ เป็นเพื่อนร่วมทีม "ราชันชุดขาว" เรอัล มาดริด เมื่อปีที่แล้ว แต่ ร็อบเบน และ สไนจ์เดอร์ เหลืออีกเพียงเกมเดียวที่พวกเขาอาจจะได้มาเผชิญหน้ากันในศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก รอบชิงชนะเลิศ ในวันที่ 22 พ.ค.นี้ ในอดีตสนามเหย้าของพวกเขา "ซานติอาโก้ เบร์นาเบว" การมาของ ริคาร์โด้ กาก้า และ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ ผู้เล่นยอดเยี่ยมของฟีฟ่า ปี 2007 และ 2008 ตามลำดับ ด้วยค่าตัวรวมกันกว่า 150 ล้านยูโร และ มาดริด เลือกปล่อยตัว สไนจ์เดอร์ กับ ร็อบเบน เพื่อนำเงินเข้ามาชดเชยส่วนที่ควักจ่ายออกไป แต่สุดท้าย แฟนบอลอาจได้เห็นทั้ง 2 คนกลับมาที่เบร์นาเบวอีกครั้งในช่วงปลายเดือนหน้า แต่เจ้าของสนามที่มีทั้ง โรนัลโด้, กาก้า, ราอูล อัลบิโอล, อัลบาโร่ อาร์เบลัว, ชาบี อลอนโซ่ และ คาริม เบนเซม่า กลับจอดป้ายอยู่แค่รอบ 16 ทีมสุดท้าย วันอังคารที่ 27 เม.ย.นี้ บาเยิร์น จะบุกไปเยือน โอลิมปิก ลียง โดยพกความได้เปรียบที่ชนะมาก่อนในเกมนัดแรกจากประตูโทนของ ร็อบเบน ขณะที่ในวันพุธที่ 28 เม.ย. สไนจ์เดอร์ และผองเพื่อน "เนรัซซูรี่" จะต้องไปเจอศึกหนักที่คัมป์ นู แม้พวกเขาจะเอาชนะแชมป์เก่า บาร์เซโลน่า มาได้ก่อน 3-1 ในเกมนัดแรกที่จูเซ็ปเป้ เมอัซซ่า ก็ตาม บาเยิร์น คว้าแชมป์ยุโรปครั้งล่าสุดเมื่อปี 2001 ขณะที่สำหรับ อินเตอร์ ต้องย้อนไปเมื่อปี 1964 และ 1965 สำหรับแชมป์ 2 สมัยของพวกเขา โดยในช่วงหลายปีที่ผ่านมานี้มักจะเป็นทีมจากลา ลีกา สเปน และพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ที่ทำผลงานได้โดดเด่น เข้าถึงรอบลึกๆ ในถ้วยใบใหญ่ของยุโรป แต่ในฤดูกาลนี้แตกต่างออกไปอย่างชัดเจน และต้องยอมรับว่า สองคู่หูเลือดกังหันลม ซึ่งเป็นส่วนเกินที่ มาดริด เมื่อฤดูกาลก่อน กลับกลายเป็นดาวเด่นในปีนี้ ปีกจอมเลื้อยวัย 26 ปี ย้ายมายังถิ่นอัลลิอันซ์ อารีน่า เมื่อเดือน ส.ค.ปีที่แล้ว ด้วยค่าตัวราว 25 ล้านยูโร เขาสร้างสถิติให้กับตัวเองด้วยการทำไปแล้ว 20 ประตูรวมทุกรายการ จากการลงเล่น 32 นัดในฤดูกาลนี้ และจากฟอร์มช่วงนี้ถึงกับทำให้บางคนยกย่องเขาเป็นนักเตะหมายเลข 2 ของโลก รองจาก ลิโอเนล เมสซี่ แต่สิ่งที่เขาทำได้เหมือน เมสซี่ อีกอย่าง คือเขามักทำประตูสำคัญได้ในช่วงเวลาที่ทีมต้องการ นับตั้งแต่วันที่ 23 ม.ค.เป็นต้นมา ร็อบเบน ซัดไปแล้ว 16 ประตู จาก 18 นัด ช่วยให้ทัพ "เสือใต้" ยังมีลุ้นคว้า 3 แชมป์ในฤดูกาลนี้ ทั้ง บุนเดสลีกา, เดเอฟเอ โพคาล และ แชมเปี้ยนส์ ลีก เมื่อเดือนที่แล้วเขาซัดประตูชัยในช่วงต่อเวลาพิเศษให้ทีมชนะ ชาลเก้ 04 ในรอบตัดเชือก เดเอฟเอ โพคาล และทำได้นัดละประตูในเกมยุโรป 4 นัดล่าสุด เขี่ย ฟิออเรนติน่า และ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ตกรอบ 16 และ 8 ทีมสุดท้าย ตามลำดับ ด้วยกฎประตูทีมเยือนทั้ง 2 รอบ ด้าน สไนจ์เดอร์ ไม่ได้ทำประตูเป็นกอบเป็นกำแบบ ร็อบเบน โดยเขาซัดไปเพียง 8 ประตู จากการลงสนาม 32 นัด แต่สิ่งที่เขามีคือศักยภาพในการบัญชาเกมแดนกลาง "กัซเซ็ตต้า เดลโล่ สปอร์ต" หนังสือพิมพ์แดนมะกะโรนี ให้คำจำกัดความเขาไว้ว่า "รอยตวัดแปรงที่เติมเต็มงานศิลป์ให้สมบูรณ์" การจ่ายบอลอันเฉียบขาดของเขาให้ ซามูเอล เอโต้ ซัดประตูดับฝัน เชลซี ในรอบ 16 ทีมสุดท้าย และในเกมกับ "บาร์ซ่า" เขายังเป็นคนซัดประตูตีเสมอ และจ่ายให้ ดีเอโก้ มิลิโต้ โขกประตูที่ 3 ให้ทีมได้ แม้ บาร์เซโลน่า จะเป็นฝ่ายครองบอลถึง 71 เปอร์เซ็นต์ ในเกมนัดแรก และแน่นอนว่าคงทำได้อีกครั้งในเกมที่คัมป์ นู วันพุธนี้ และ สไนจ์เดอร์ จะเป็นตัวทีเด็ดของ อินเตอร์ เพราะการจ่ายบอลแบบสั่งได้ของเขาจะบีบให้ บาร์ซ่า ไม่สามารถเปิดเกมบุกได้เต็มที่ ขณะที่ ร็อบเบน ซัดประตูทีมเยือนเขี่ย 2 ทีมชั้นนำตกรอบมาแล้ว ดังนั้น คงไม่น่าแปลกอะไรหากเขาจะทำอีกครั้งที่ ลียง
บ่อน้ำร้อน
http://www.siamsport.co.th/Column/100425_064.html
จากคุณ |
:
still solo one
|
เขียนเมื่อ |
:
26 เม.ย. 53 20:29:19
|
|
|
|
 |