ความคิดเห็นที่ 1 นั่นสิ งง  เหมือนกัน  ว่ากู้เงินมาซื้อสดมสร มาเป็นของตัวเอง  แต่กับ  เอาหนี้มาลงบัญชี เป็นหนี้ของสโมสรทุกคน  ไม่เข้าใจอ่ะ จากคุณ : H-vichaiyut เขียนเมื่อ : 11 พ.ค. 53 12:50:16

ความคิดเห็นที่ 2 ลองตะกูลเกรเซอร์มันประกาศขายสิ  รับรองรับโทรศัพท์กันหูฉีก กลุ่มทุนจ้องจะซื้อแมนยูเยอะมาก เพราะแบรนด์มันติดอันดับ1โลกไปแล้ว จากคุณ : G_Great เขียนเมื่อ : 11 พ.ค. 53 12:50:41

ความคิดเห็นที่ 3 ดูเหมือน FA จะไม่ค่อยจะสนใจสโมสรในบ้านตัวเองเลย อย่างลิเวอร์พูลง่ายๆเป็นตัวอย่าง แทนที่จะเลื่อนเตะเพื่อที่จะให้หงส์ได้พักเต็มๆก็ไม่ได้ทำ ถ้าได้นายดีอย่างพี่แขก กับเฮียหมีก็ดีไป แต่ถ้าร้ายก็ไอ้เกลโง่ กับ ไอ้สองตัวนั้นของลิเวอร์พูล ถ้าซวยสุดๆก็คงจะเป็นปอมปีย์ จากคุณ : เสินกงเป้า เขียนเมื่อ : 11 พ.ค. 53 12:59:06

ความคิดเห็นที่ 4 ไม่อยากมี ก็ขาย รูหนี้ กับ นาหนี้ สิครับ หายไป 2 หนี้เลย ล้อเล่น ขำๆ นะครับ ป.ล. หงส์ทีมรักผม ก็หนี้บานเลยเหมือนกันครับ จากคุณ : IamGOD เขียนเมื่อ : 11 พ.ค. 53 13:00:50

ความคิดเห็นที่ 5 เกลเซอร์ ทำธุรกิจโดยการระดมซื้อหุ้น จากผู้ถือหุ้นรายย่อยต่างๆ จากแต่ก่อนเกลเซอร์ถือหุ้นอยู่ระดับ 10 %กว่าๆ จนระดมซื้อหุ้นเพิ่มมูลค่าหุ้นให้ตัวเองเรื่อยๆ จนได้กรรมสิทธิ์ครอบครองโดยต้องจ่ายที่รวมแล้วทั้งหมด ในราคา 700 ล้านปอนด์ เกลเซอร์ก็ต้องเอาชื่อแมนฯยู ไปยื่นกับ ธนาคารเพื่อขอเอาเงินมาลงทุนกับสโมรแห่งนี้ โดยแจงรายละเอียดรายรับ รายจ่าย ทั้งหมดที่แมนฯยูมีเอาไปวาง ดูกระแสเงินหมุนเวียน จนสุดท้ายธนาคารอนุมัติ โดยจ่ายดอกเบี้ยตามสัญญาที่ได้เซ็นมา   จากทีมที่ มูลค่าทางตลาดอยู่ 700 ล้านปอนด์  ณ  ตอนนี้มันได้กลายเป็น 1500 ล้านปอนด์(7หมื่น 5พันล้านบาท ขาดอีกพันล้านก็จะเท่าแระ) และได้ชื่อว่าเป็นทีมที่มีมูลค่าทางการตลาดดีที่สุดในโลก ... เกลเซอร์มันไม่ขายหรอกครับ ..เพราะ ทีมนี้มันสามารถอัพไปได้ถึง 2000 ล้านปอนด์ภายในอีก 2-3 ปีข้างหน้า .. ส่วนที่หลายคนสงสัยว่าทำไมหนี้มันไม่ยอมลดซักที  นั่นเป็นเพราะ มันมีระยะเวลาการชำระหนี้ จะจ่ายทีเดียว 700 ล้านปอนด์ก็ได้ แต่ทางธนาคารคงไม่ยอม มันเป็นไปตามระยะสัญญาครับ ส่วนที่แฟนๆเขาต่อต้านนั่นเป็นเพราะ ตระกูลเกลเซอร์ เขายังมีสิ่งที่แฟนบอลไม่เชื่อใจอยู่ พูดง่ายๆว่าไม่ชัดเจนลับล่อๆ แฟนเขากลัวและพยายามต่อต้านอย่างนี้มากกว่า จากคุณ : พริบพรรณดาว เขียนเมื่อ : 11 พ.ค. 53 13:02:00

ความคิดเห็นที่ 6 ที่ทำให้เกลเซอร์  กล้าลงทุนจริงๆ   คือ HIDDEN  ASSET ของแมนยู ที่มีมูลค่ามหาศาล แต่ผมเชื่อว่า เมื่อถึงวันนึง  เกลเซอร์ขายแน่ๆ เพราะเกลเซอร์เป็นนักธุรกิจ  ไม่ใช่คนดูบอล จากคุณ : นางสเตนเลส เขียนเมื่อ : 11 พ.ค. 53 13:07:27

ความคิดเห็นที่ 7 ผมก็เคยสงสัยมาก่อน แล้วก็มารอดูคำตอบเผื่อจะมีใครรู้รายละเอียดความเป็นมา แต่ก็ไม่มี จนในที่สุดด้วยความอยากรู้ ก็เลยค้นหาคำตอบด้วยตัวเองด้วยการหาอ่านเอาจากสื่อประเทศเอง ตอนนี้คิดว่าเข้าใจว่าเกิดอะไรขึ้นบ้าง เล่าให้ฟังคร่าวๆ ไม่เอาตัวเลขนะครับ ตัวเลขต่างๆเคยโพสไปแล้ว ลืมไปหมดแล้ว อิอิ มูลค่าของหุ้นทั้งหมดราคาประมาณ 700 กว่าล้านปอนด์ เกลเซอส์มีไม่พอเลยกู้มาซื้อหุ้นไว้ได้จนบังคับซื้อส่วนที่เหลือได้หมด หลังจากเป็นเจ้าของสมบูรณ์ก็เอาหนี้ส่วนนี้มาให้สโมสรรับภาระจ่ายดอกเบี้ย ภาระดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายนี้ต่อปีสูงถึงกว่า 60 - 70 ล้านปอนด์ต่อปี ซึ่งมีผลกระทบต่อสโมสรคือ แทนที่ก่อนหน้านี้จะไม่มีหนี้ เงินส่วนนี้ก็เอาไปซื้อนักเตะสตาร์ได้ทุกปี ก็กลายเป็นต้องมาเสียเปล่าจ่ายเป็นดอกเบี้ยแทน หนี้มีสองส่วน คือส่วนที่กู้จากแบงค์ ใช้สินทรัพย์สนามโอลแทร็ฟฟอร์ดไปจำนองไว้ สโมสรจ่ายดอกเบี้ยแต่ยังไม่เคยได้จ่ายเงินต้น เพราะหลายปีมานี้สโมสรก็ใช้เงินไปซื้อนักเตะมาเพิ่มจำนวนไม่น้อย หนี้อีกส่วนกู้มาจากกองทุนอัดจ์ฟันด์ หนี้สินส่วนนี้ตามเงื่อนไขสัญญาไม่สามารถจ่ายเงินต้นและดอกเบี้ยได้ ต้องรอจนกว่าจะรีไฟแนนซ์หนี้ส่วนแรกก่อนเท่านั้น ส่วนดอกเบี้ยจะถูกทบต้นไปเรื่อยๆ มันก็เลยทำให้ยอดหนี้เพิ่มขึ้นเรื่อยๆทุกปี ปีนี้ปิดฤดูกาลเดือนนี้ ก็คือเดือนที่ปิดงบประมาณประจำปีของสโมสร เกลเซอร์ต้องรีไฟเแนนซ์เพื่อลดหนี้ส่วนฮัดจ์ฟันด์ที่มีดอกเบี้ยสูงให้ยอดลดลงมา ถ้ารีไฟแนนซ์ไม่ได้ ยอดหนี้ของสโมสรปีนี้จะมียอดทั้งหมดขึ้นไปที่ 1,000ล้านปอนด์ ความจริงโครงสร้างการเป็นหนี้ ซับซ้อนเข้าใจยากเลยไม่ขออธิบายครับ สถานการณ์ตอนนี้เกลเซอส์ต้องขายขาดทุนหรือเท่าทุนเท่านั้นถึงจะมีใครมาซื้อ ตอนนี้หนี้มากขึ้นเรื่อยๆจากดอกเบี้ยทบต้นจนหาคนซื้อไม่ได้ง่ายๆครับ อย่างแรกราคาตอนนี้ขายทีเท่าทุนคือ 1,000 ล้านปอนด์ไม่ใช่ 700 ล้านปอนด์อีกต่้อไป ใครที่จะมาซื้อต้องหาิเงินสดมาซื้อ ถ้าไม่มีเงินสดก็กู้มาซื้อก็คือวนกลับเข้าไปเหมือนเดิม กำไรที่ได้กับเงินสดที่ลงไปไม่คุ้มกับการลงทุนถ้าเอาเงินไปลงทุนอย่างอื่น สิ่งที่ดีที่สุดคือหาเจ้าของที่พร้อมมาทุ่มเงินแบบไม่หวังผลกำไร อย่างการกลับไปเป็นหุ้นถือครองเหมือนเดิม กลุ่มเร็ดไนฟ์ทีี่ต้องการมาซื้อที่บอกว่าเป็นกลุ่มแฟนบอล ความจริงก็ไม่ได้มีเงินสด เป็นการรวมตัวของกลุ่มทุนที่ต้องกู้มาเช่นกัน และักำไรพยายามบีบเพื่อซื้อราคาเกลเซอส์ขาดทุน จึงเป็นไปไม่ได้ ผู้ลงทุนจากจีนตั้งราคาไว้ให้เกลเซอส์ขายแบบเท่าทุนคือ 1,000 ล้านปอดน์ เกลเซอส์ยังไม่ขายเลย ทางออกไม่ง่าย ติดตามกันต่อไป จากคุณ : CityFC เขียนเมื่อ : 11 พ.ค. 53 13:10:34

ความคิดเห็นที่ 8 เกลเซอร์ไม่ได้โง่ และบริหารไม่เป็นนะครับ - -* อย่าคิดว่าหนี้เยอะ แล้วจะโง่ดีกว่า ผมว่าเขาฉลาดมากๆด้วยซ้ำ คิดดูสิ วันๆไม่ต้องทำอะไร เพราะการจัดการทีมกับสโมสรก็มีคนทำให้อยู่แล้ว แล้วก็ให้มันจัดการกันเอง ท่านเซอร์กับกิลด์เองก็โอเคไม่ยุ่งมากมาย ส่วนทางนั้นเขาก็รอนับเงินสบายเอากำไรไปโปะหนี้... ถามหน่อยว่าแบบนี้มันโง่ตรงไหน ?? แต่ไอ้การเอาหนี้ของตัวเองมาเป็นหนี้สโมสร...มันออกจะดูน่าเกลียดเท่านั้นเอง แต่ก็ใช่ว่าจะไม่มีเงินหมุนให้ ยังมีเงินให้ใช้จ่ายเรื่อยๆนั่นล่ะครับ การตีออกมาตีโพยตีพายนี่ ส่วนหนึ่งคงเพราะเกลเซอร์เป็นเสือนอนกิน และไม่ค่อยใจป้ำมากกว่ามั้ง อย่าไปมองอย่างเสี่ยหมีหรือท่านชีคแล้วมาดูว่านอกจากใช้เงินแล้วเกลเซอร์มันฉลาดกว่ายังไง... หรือใครอยากจะเห็นเจ้าของสั่งให้ซื้อคนนั้น สั่งให้ซื้อคนนี้ ไม่พอใจขายทิ้งเปลี่ยนผู้จัดการทีมตามอารมณ์งั้นเหรอ ?? ต่อให้มีเงินมากแบบนั้น ขนสตาร์มาเยอะแยะผมเองก็ไม่ค่อยชอบหรอกครับ แต่โดยสรุปแล้วหนี้ที่เกิดขึ้นทั้งหมดนั้น มาจากเจ้าของสโมสรครับ และมันน่าเกลียดตรงที่ว่า มันเอาเงินกำไรของสโมสรไปโปะหนี้ตัวเอง...ก็เท่านั้น ไม่ได้แย่ตรงไหนในความคิดผม..ก็แค่ปลิง ไม่ต้องทำอะไรก็ดูดได้เรื่อยๆพอหนี้หมดก็กินสบายใช้จ่ายก็คล่อง(แต่เมื่อไหร่ล่ะ?) ผิดอย่างดูโอ้มะกันของเพื่อนหงส์ ที่นั่นการบริหารแย่กว่ามาก ผู้จัดการทีมก็ไม่ค่อยคุ้มราคากับการซื้อนักเตะหรือปั้นนักเตะออกไป แม้หนี้จะเยอะเหมือนกันแต่ปัจจัยมันต่างกันครับอย่าเอามาเทียบ... สำหรับสิงห์นั้น เอาเป็นว่าคิดเล่นๆวันใดวันหนึ่งเสี่ยหมีเราเกิดเบื่อขึ้นมาแล้วถอนเงินทุนออกทันทีจะเกิดอะไรขึ้น... มองลงไปแชมป์เปี้ยนชิพดูลีดส์ให้ดีๆนั่นล่ะคือตัวอย่างครับ.. เงินที่ใช้จ่ายตอนนี้ เป็นเงินของเสี่ยหมีเกือบทั้งหมดกำไรที่ได้มายังไม่เท่าเงินทุนที่เสี่ยหมีประเคนแบบให้เปล่าๆเลย ไหนจะค่าเหนื่อยนักเตะอีก... แต่อีกทีมหนึ่งอย่างปืน หนี้ก็ร่อยหรอลงทุกปีการใช้จ่ายที่ไม่ฟุ่มเฟือยไม่ใหญ่โตแต่รักษามาตรฐานได้ทุกปี.. ในบิ๊กโฟร์นั่นอาเซน่อลถือว่าตัวเบาสบายสุดไม่ต้องเป็นกังวลเรื่องอะไรเลย ส่วนแมนซิตี้นั้นก็แบบเดียวกับเชลซีครับเกิดโดนถอนทุนไป ภาระค่าเหนื่อยทั้งหมดก็จะตกที่สโมสรคอยรับ แล้วสภาพทีมแบบแมนซิตี้จะพอมีเงินไปจ่ายหรือ ?? ก็ต้องขายนักเตะทิ้ง หรือแย่หน่อยก็จะโดนลดลงไปเล่นลีกต่ำกว่าพรีเมียร์.. ซึ่งกรณีทั้งหมดนี้หากมีคนมาเทคไปได้ก็รอดไป ถ้าไม่มีก็มองไปข้างล่างโน่นล่ะครับ... จากคุณ : ผู้ชายไร้สาระ เขียนเมื่อ : 11 พ.ค. 53 13:16:30

ความคิดเห็นที่ 9 เล่าให้ฟังอีกเล็กน้อยพอเป็นความเข้าใจได้ว่า สโมสรฟุตบอลไม่ใช่ธุรกิจสร้างกำไรอย่างที่หลายคนเข้าใจ แมนยูมีรายได้ดีที่สุดต่อปีรวมทุกอย่างแล้วหักค่าใช้จ่ายในการประกอบการแล้วมีกำไรอยู่ที่ สองร้อย ล้านปอนด์ ค่าเหนื่อยนักเตะทั้งทีมต่อไปพอๆกับเชลซีคือ ร้อย ล้านปอนด์ เหลือกำไรอีก ร้อยล้านปอนด์ ถ้าไม่มีหนี้ก็ถือว่าพออยู่ได้เพราะทุกปีต้องจ่ายเิงินซื้อนักเตะใหม่ด้วย แต่พอมีหนี้ต้องจ่ายก็เหลืออยู่ไม่ถึง ยี่สิบ สามสิบ ล้านปอนด์เพื่อซื้อนักเตะและยอมเท่าทุนในปีนั้น โดยที่ยังไม่ได้จ่ายเงินต้นด้วยซ้ำ และการไม่สะสมเงินไว้รีไฟแนนซ์จ่ายเงินต้น ก็ทำให้ยอดดอกเบี้ยส่วนฮัดจ์ฟันด์งอกขึ้นต่อไปอีก นี่คือเหตุผลที่ทำไมตั้งต้นที่ เจ็ดร้อย ล้านปอนด์ ปีนี้เดือนนี้ปิดงบดุลรายปี ดอกเบี้ยจะทบต้นมากลายเป็น หนึ่งพัน ล้านปอนด์ ทางออกไม่ใช่ง่ายอย่างที่เข้าใจ เกลเซอส์ไม่ขาดทุนแน่นอน แต่สโมสรก็โตยากเช่นกัน ยิ่งจากตัวอย่างก็พอจะบอกได้ว่า สโมสรฟุตบอลไม่ใช่กิจการที่ได้กำไรอย่างที่เข้าใจ ถ้าไม่ยอมขาดทุนหรือเป็นหนี้ถ้าเจ้าของไม่มีเงินสด ก็ต้องยอมให้ผลงานตกต่ำลงเรื่อยๆ สโมสรที่ผลงานดีขึ้นเรื่อยๆ คือสโมสรที่ยอมขาดทุน แล้วเจ้าของจะได้เงินทั้งหมดคืนเมื่อขายกิจการเท่านั้น ถ้ามีคนมาซื้อและยอมอัดฉีดเงินและขาดทุนต่อไปเพื่อรักษาผลงานของทีม สโมสรฟุตบอลต่างก็ขาดทุนกันทั้งนั้นจึังเป็นเรื่องปกติ เพื่อรักษามูลค่าทางตลาดของตัวเอง ถ้าปีไหนไม่ได้เงินจากแชมเปี้ยนลีคเมื่อไหร่ ก็แทบจะกลายเป็นว่าหายนะมาเยือนเลยทีเดียว จากคุณ : CityFC เขียนเมื่อ : 11 พ.ค. 53 13:34:35

ความคิดเห็นที่ 10 อ่า.. เป็นหนี้เพราะกู้แบงค์มาซื้อ ก็เหมือนกู้เงินมาทำธุรกิจนั่นแหละ บัญชีของธุรกิจนั้นๆ เริ่มต้นก็ต้องติดตัวแดงจนกว่าจะผ่อนหมด ซึ่งแมนฯยูเป็นสินค้าที่มีราคาสูง ใช้ทุนส่วนตัวไม่พอ ต้องกู้แบงค์เพิ่ม ส่วนใหญ่ระบบก็เป็นแบบนี้ ยกเว้นได้ผู้บริหารใจป้ำแบบ เสี่ยหมี หรือ ชีคของแมนซิตี้ ที่ควักทุนตัวเองให้สโมสรทั้งหมด ทีนี้ต้องดูว่ายอดกำไรหลังหักค่าใช้จ่ายรวมไปถึงค่างวด+ดอกเบี้ยที่ต้องจ่ายในแต่ละปีเหลือมากน้อยแค่ไหน ถ้าเหลือมากก็ถือว่าผลประกอบการดี ธนาคารแฮปปี้ ผู้ประกอบการก็แฮปปี้ แต่บางครั้งมันตรงกันข้าม ผลประกอบการไม่ดี รายได้ไม่เป็นไปตามที่คิด ขายนักเตะแล้วก็ัยังไม่พอค่างวด มีการควักเนื้อหรือระดมทุนเพื่อนำไปโปะหนี้ หรือบางปีหมุนไม่ทันก็มีหนี้เพิ่ม อันนี้ถึงจะเริ่มมีปัญหา พาไปสู่การขายธุรกิจ สำหรับแมนฯยู ชื่อนี้ยังไงก็ขายได้ ราคาสูงขึ้นทุกๆปีอยู่แล้ว เพราะงั้นแฟนบอลจึงไม่กลัวเรื่องที่จะล้มละลาย เพราะถ้าประกาศว่าขายทุกอย่างก็คงจบ แต่ที่รวมตัวกันมาต่อต้านเกลเซอร์ เพราะรู้สึกว่ามันไม่โปร่งใสเนื่องจากมันเป็นไปได้ยังไงที่ทีมแชมป์ลีกสามสมัย รวมทั้งขายนักเตะได้ถึง 80 ล้านปอนด์ แต่ยอดหนี้กลับสูงขึ้นเรื่อยๆ มีการเอาสนามโอลด์แทรฟฟอร์ดไปค้ำประกันหนี้ ซ้ำร้ายเวลาขาดทุนแทนที่จะควักเนื้อของตัวเอง กลับออกพันธบัตรออกมาขายเพื่อระดมทุนไปจ่ายหนี้ซะงั้น ถ้ายังมีการดูดกำไรเข้าตัว เอาหนี้ให้สโมสรแบบนี้ต่อไป อย่าว่าแต่ได้เงินมาซื้อนักเตะเพิ่มเลย อาจจะต้องขายนักเตะตัวหลักออกไปเรื่อยๆ เพื่อประคองยอดหนี้ด้วยซ้ำ จากคุณ : BlueLightS เขียนเมื่อ : 11 พ.ค. 53 13:37:43

ความคิดเห็นที่ 11 แต่ที่รวมตัวกันมาต่อต้านเกลเซอร์ เพราะรู้สึกว่ามันไม่โปร่งใสเนื่องจากมันเป็นไปได้ยังไงที่ทีมแชมป์ลีกสามสมัย รวมทั้งขายนักเตะได้ถึง 80 ล้านปอนด์ แต่ยอดหนี้กลับสูงขึ้นเรื่อยๆ มีการเอาสนามโอลด์แทรฟฟอร์ดไปค้ำประกันหนี้ ซ้ำร้ายเวลาขาดทุนแทนที่จะควักเนื้อของตัวเอง กลับออกพันธบัตรออกมาขายเพื่อระดมทุนไปจ่ายหนี้ซะงั้น ถ้ายังมีการดูดกำไรเข้าตัว เอาหนี้ให้สโมสรแบบนี้ต่อไป อย่าว่าแต่ได้เงินมาซื้อนักเตะเพิ่มเลย อาจจะต้องขายนักเตะตัวหลักออกไปเรื่อยๆ เพื่อประคองยอดหนี้ด้วยซ้ำ จากคุณ : BlueLightS   ------------------------------------------------------------------------- อันนี้ครับ คือที่มาที่แฟนๆพากันประท้วงในปีนี้ หลังจากซาลงไปมากจากช่วงเข้ามาเทคใหม่ๆ ผมก็ได้ยินมาอย่างนี้เช่นกัน รวมทั้งมีกระแสร่ำลือว่า เกลเซอร์หอบเงินไปอุ้มธุรกิจพรรคพวกในเมืองมะกันด้วย ตรงนี้ครับ ที่น่าจะเรียกว่าดูดกำไรเข้าตัว แฟนๆจึงรังเกียจมาก จากคุณ : สงบใจ เขียนเมื่อ : 11 พ.ค. 53 14:02:16

ความคิดเห็นที่ 12 สโมสรที่ผลงานดีขึ้นเรื่อยๆ คือสโมสรที่ยอมขาดทุน แล้วเจ้าของจะได้เงินทั้งหมดคืนเมื่อขายกิจการเท่านั้น ถ้ามีคนมาซื้อและยอมอัดฉีดเงินและขาดทุนต่อไปเพื่อรักษาผลงานของทีม --------------------------------------------------------------------- ตรงนี้ไม่ใช่ความเป็นจริงเสมอไปครับ แมนฯยูฯ ช่วงที่เป็นมหาชนทำกำไรทุกปีนะ แม้แต่ก่อนหน้านั้นนิดหน่อยก็ใช่ เพียงแต่ว่า ในแต่ละปีนั้นมันจะมีกำไรมากหรือน้อยกว่าปีที่แล้วเท่านั้นเอง เพราะไม่มีหนี้สิน และที่จำได้ กำไรหลังหักค่าใช้จ่ายทั้งหมดของยูไนเต็ด ติดท็อปไฟว์ท็อปเทนของสโมสรในโลกมาแทบตลอด ไม่เคยขาดทุนครับ ก่อนหน้าที่จะเป็นหนี้พราะเกลเซอร์ ยูไนเต็ดบริหารงบการซื้อและค่าจ้างนักเตะมาตลอด มีเพดานค่าเหนื่อย ถึงแม้จะสูงกว่าทีมอื่น แต่ก็ยังมี เพื่อรักษาระดับรายจ่ายไม่ให้สูงกว่าตัวเลขประมาณการรายรับ โดยการนี้ ยูไนเต็ดจึงต้องผ่านเข้ารอบก่อนรอง หรือรอบรอง แชมเปี้ยนส์ลีกให้ได้ทุกปี เพื่อการันตีรายได้ส่วนหนึ่งไงครับ แต่พอมาเป็นหนี้เพราะเกลเซอร์ ไอ้ดอกเบี้ยที่ไม่เคยต้องมาเดือดร้อนก็ต้องมาจ่าย กำไรที่เคยจัดสรรได้เต็มๆ แบ่งปันส่วนผู้ถือหุ้นได้ก็ต้องถูกปลิงแบ่งหอบไปเชยชม เหลือก็ไม่เท่าไหร่....เฮ้อ..... แก้ไขเมื่อ 11 พ.ค. 53 14:09:13 แก้ไขเมื่อ 11 พ.ค. 53 14:08:37 จากคุณ : สงบใจ เขียนเมื่อ : 11 พ.ค. 53 14:07:53

ความคิดเห็นที่ 13 ถือว่ามาคุยกันประสาแฟนบอลนะครับ เกลเซอส์ไม่ได้ดูดกำไรโดยตรงแต่อาจเป็นไปได้ที่ได้กำไรจ่ายธุรกิจร่วม ไม่ทราบว่าได้เคยอ่านบทความที่ลงในบอร์ดแฟนบอลแมนยูอังกฤษรึเปล่า เค้ารวบรวมมาแล้วปรากฏว่าค่าใช้จ่ายของสโมสร 2 ปีก่อนหน้านี้สูงถึงเกือบ100 ล้านปอนด์นะครับ แจงไปแล้วบริษัทที่ได้เ้งินจากการทำธุรกิจก็คือกลุ่มที่แวดล้อมตระกูลเกลเซอส์อยู่หลายบริษัท ค่าใช้จ่ายบอกว่าสูงมากเพราะจ่ายเป็นค่าทำความสะอาด รักษาความปลอดภัย จิปาถะ แต่ของแมนยูสูงไปนิด กระซิบว่าป๋าเฟอร์กี้และภรรยาก็เป็นประธานบริษัทแห่งหนึ่งที่ทำธุรกิจและได้ประมาณ 1 ล้านปอนด์ นอกจากนี้ก็เงินเดือนคนในตระกูลและผู้บริหารที่รับกันก็สูงมาก ส่วนรายรับรายจ่ายของสโมสรปีทีผ่านๆมาโดยภาพรวมคือ กำไรจากค่าลิขสิทธิการเป็นแชมป์พรีเมียร์ เข้าถึงรอบชิงแชมเปี้ยนลีค สินค้าสโมสร รวมกันทั้งหมดคือ 200 ล้านปอนด์ ค่าเหนื่อยนักเตะ 100 ล้านปอนด์ ค่าใช้จ่ายจิปาถะอื่นๆรวมกันแล้ว 50 ล้านปอนด์ จ่ายดอกเบี้ยแบงค์ 50 ล้านปอนด์ สรุปว่าถ้าไม่คิดถึงการซื้อและขายนักเตะแล้ว สโมสรเท่าทุน เท่านั้นเองไม่เห็นหนทางปลดหนี้หรือมีทางที่จะจ่ายเงินต้นเลย และถ้าไม่ได้ไปแชมเปี้ยนลีคจะหายไปทันที 60 ล้านปอนด์ที่นั่งนี้จึงสำคัญมากๆ ดังนั้นอย่าคิดว่าสโมสรฟุตบอลที่ไหนมีกำไรเลยครับ ถ้าไม่มีหนี้ ไม่ต้องจ่ายดอกปีละ 50 ล้านปอนด์ก็ยังถือได้ว่าส่วนนี้เป็นกำไรได้ถ้าไม่ซื้อนักเตะมาเพิ่ม แต่ความจริงก็ต้องซื้อนักเตะเพิ่มทุกปี ถ้าอยากรักษาผลงานไว้เหมือนเดิม ภาพรวมจึงขอให้คิดกันว่า สโมสรฟุตบอลไม่ว่าที่ไหนก็ไม่ได้มีกำไรมากมายอย่างที่เข้าใจกัน จากคุณ : CityFC เขียนเมื่อ : 11 พ.ค. 53 14:17:53

ความคิดเห็นที่ 14 ความคิดเห็นที่ 8 "สำหรับสิงห์นั้น เอาเป็นว่าคิดเล่นๆวันใดวันหนึ่งเสี่ยหมีเราเกิดเบื่อขึ้นมาแล้วถอนเงินทุนออกทันทีจะเกิดอะไรขึ้น..." เชลซี ใช้หนี้เสี่ยหมี"หมดแล้ว" ครับ ถ้าเสี่ยขายทีม ก็ไม่ได้"พ่วงหนี้"แบบแกลเซอร์หรือสองมะกันแน่นอน ถ้าเกิดขายจริง "กรณีแย่สุด คือมีเงินซื้อนักเตะน้อยลง" จากคุณ : Longinus เขียนเมื่อ : 11 พ.ค. 53 14:57:29

ความคิดเห็นที่ 15 อยากจะเสริมอะไรหน่อย อีกอย่างที่หลายคนเข้าใจผิด คือที่ไม่ซื้อนักเตะเพิ่มช่วงซัมเมอร์ก่อน เพราะทีมเป็นหนี้ ไม่ใช่แน่นอนครับ ผมว่าในยุคเกลเซอร์เนี่ย เงินอนุมัติง่ายถ่ายคล่องที่สุดแล้วนะ เชื่อว่าถ้าเกลเซอร์มาตั้งแต่แรก เงินล้านสองล้านที่ยึกยักกันในกรณีของโรนัลดิณโญ่ หรือเงินที่เหนียวในกรณีของรอบเบน (ในสมัยเคนยอนและกิลล์) ผมเชื่อว่าเกลเซอร์อนุมัติไปนานแล้วครับ ส่วนเรื่องหนี้ ก็ตามที่หลายคนว่ามาครับ จากคุณ : King of Extreme เขียนเมื่อ : 11 พ.ค. 53 15:06:19

ความคิดเห็นที่ 16 เชลซีก็เช่นเดียวกับซิตี้ไม่ได้จ่ายคืนเจ้าของหมดแล้ว แต่เจ้าของยกหนี้ให้หมดแล้ว คือยกจากยอดที่เป็นหนี้ให้กลายเป็น equity มูลค่าของสโมสรแทน ทั้งนี้เพื่อให้เป็นไปตามกฏใหม่ของสมาคมฟุตบอลที่ไม่อนุญาตให้สโมสรที่ขาดทุนเข้าร่วมการแข่งขันในฤดูกาลหน้า คือแทนที่จะแปลงว่าขาดทุนและต้องจ่ายคืนเจ้าของ ก็กลายเป็นว่าเจ้าของได้รับกรรมสิทธิหุ้นมีมูลค่าสูงขึ้นครับ จากคุณ : CityFC เขียนเมื่อ : 11 พ.ค. 53 15:08:37

ความคิดเห็นที่ 17 กฏใหม่เพิ่งประกาศใช้ ฤดูกาลนี้ ? เลยหรือป่าวครับ #16 จากคุณ : ค้างคาวเฒ่า เขียนเมื่อ : 11 พ.ค. 53 15:23:03

ความคิดเห็นที่ 18 ที่บอกว่ายอดหนี้จะเป็น 1,000 ปอนด์ หนี้จริงคือ 700 ล้านปอนด์และเงินต้นที่เกลเซอส์ควักมาในตอนแรก 300 ล้านปอนด์ รวมกันเป็นเิงิน 1,000 ล้านปอนด์ เป็นการขายแบบไม่มีกำไร ที่เกลเซอร์เท่าทุน ตอนที่ซื้อมามูลค่า 700 ล้านปอนด์ แต่ตอนนี้จะขายแบบเท่าทุนก็คือ 1,000 ล้านปอนด์ 300 ล้านปอนด์คือยอดหนี้ที่เพิ่มขึ้นมาในช่วงหลังจากเทคโอเวอร์เนื่องจากดอกเบี้ยทบต้นครับ ความเห็นส่วนตัวคิดว่า สโมสรฟุตบอลไม่ควรมีเจ้าของเป็นเอกชน แต่ควรดำเนินการเป็นแบบแฟนบอลถือหุ้น เหมือนแมนยูก่อนหน้านี้ และเหมือนบาร์เซโลน่าที่ยังเป็นอยู่ การมีเอกชนเข้ามาทำให้เกิดการแข่งขันที่สูงจนราคานักเตะเกินจริง เป็นภาระแก่สโมสรฟุตบอลอื่นๆที่เหลือ ทำให้สโมสรต้องยอมเป็นหนี้เพื่อซื้อนักเตะเข้ามาราคาท้องตลาดที่สูงขึ้นเรื่อยๆเพื่อรักษาอันดับและผลงานในสนาม โรนัลโด้ 80 ล้านปอนด์ แล้วก็กาก้า นี่ถ้าเมสซี่ย้ายทีมก็ 100 ล้านปอนด์ขึ้นแน่นอน จากคุณ : CityFC เขียนเมื่อ : 11 พ.ค. 53 15:36:46

ความคิดเห็นที่ 19 กฏใหม่ห้ามสโมสรที่ขาดทุนลงแข่งในรายการของสมาคมฟุตบอลไม่แน่ใจจริงๆว่าเิริ่มต้นฤดูกาลหน้านี้เลยรึเปล่า หรือหลังฤดุกาลนี้ครับ แต่ก็เห็นด้วยกับพลาตินี่นะครับ เป็นมาตรการที่ทำให้สโมสรเลิกแข่งขันกันซื้อนักเตะ ทำให้ไม่เกิดภาระหนี้จนบานปลายในตอนท้ายถ้าผลงานไม่ได้ตามเป้า แต่สโมสรที่เจ้าของมีเงินก็ได้เปรียบจากกฏนี้ การซื้อเข้าแล้วขาดทุน เจ้าของก็ปัดหนี้เป็นมูลค่าหุ้นสูงขึ้นไปได้เรื่อยๆ ตอนท้ายก็ยังเป็นผลดีกับสโมสรอยู่ดี คือถ้าเจ้าของเดิมยอมขายขาดทุน คนที่เสียเงินคือเจ้าของทีม สโมสรไม่ต้องแบกรับภาระตรงนี้ แก้ไขเมื่อ 11 พ.ค. 53 15:49:38 จากคุณ : CityFC เขียนเมื่อ : 11 พ.ค. 53 15:47:18

ความคิดเห็นที่ 20 คุณCityFC อธิบายชัดเจนดีครับ จากคุณ : =STMS= เขียนเมื่อ : 11 พ.ค. 53 16:00:56

ความคิดเห็นที่ 21 ในภาพรวมคุณ City ได้อธิบายไว้ดีแล้วแหละครับ และผมก็ยังมองว่าสโมสรไม่ควรจะเป็นเอกชนที่เน้นผลกำไรเต็มรูปแบบเหมือนกัน ซึ่งมันไม่ยั่งยืนแม้แต่น้อย และเสี่ยงต่อการล้มทั้งยืนด้วย เหมือนตอนที่เกิด hamburger crisis ที่อเมริกา ซึ่งเกลเซอร์ถูกลือว่าเอาเงินยูไนเต็ดไปอุ้มพรรคพวกนั่นแหละ อ้อ...ผมรบกวนคุณ CityFC อีกนิดครับ มันยังมีรายรับอีกส่วนที่ยังไม่ถูกพูดถึง นั่นคือ แบรนดิ้ง ของแต่ละทีม ที่ไปเซ็นสัญญาเป็นสปอนเซอร์สินค้า หรือเป็นพาร์ทเนอร์ในการทำธุรกิจ แม้แต่การนำตราสัญลักษณ์ไปใช้ในสินค้าของตัวเองก็ตาม พวกนี้มีมูลค่าทั้งหมด และเซ็นกันปีนึงๆไม่ใช่มูลค่าน้อยๆ ผมว่ารายได้ตรงนี้ส่วนนึงแหละ ที่ถูกนำมาคำนวณรายได้ต่อปีอ่ะครับ และน่าจะมีน้ำหนักพอที่จะทำให้สโมสรแต่ละแห่ง มีความแตกต่างทางกำไรหรือขาดทุนได้หลังหักค่าใช้จ่ายต่างๆ มันจึงไม่แปลกที่แต่ละสโมสรดังๆถึงต้องขยายฐานไปแดนไกล นอกจากแฟนบอลกลุ่มใหม่ที่เพิ่มขึ้นแล้ว ยังหวังได้ถึงธุรกิจกลุ่มใหม่ๆที่อาจเป็นรายได้ก้อนโตที่จะเข้ามายังสโมสรในอนาคตด้วยครับ แก้ไขเมื่อ 11 พ.ค. 53 16:19:48 จากคุณ : สงบใจ เขียนเมื่อ : 11 พ.ค. 53 16:16:27

ความคิดเห็นที่ 22 ก็มันขึ้นค่าตั๋วขนาดนั้นแค้นสิครับ จากคุณ : qerlic เขียนเมื่อ : 11 พ.ค. 53 16:19:02

ความคิดเห็นที่ 23 คิดว่าธุรกิจเป็นเจ้าของทีมฟุตบอลอังกฤษปัจจุบันนี้จริงๆแล้วมันคือการเป็นเจ้าของแบบเอามันส์มากกว่า (ในเคสของสโมสรกลางๆถึงเล็กที่บริหารแบบธุรกิจท้องถิ่น) หรือถ้าจะมองให้ลึกๆในแง่ร้ายในเคสของสโมสรใหญ่ๆเงินหมุนมหาศาล ก็อาจจะมองได้ว่าเป็นแหล่งฟอกเงินที่ดีสำหรับเหล่าเสี่ยนานาชาติเกิดใหม่ที่ทำธุรกิจหลากหลายตั้งแต่ขาว เทา ดำ เอาเงินจากทุกแหล่งของตัวมาโปะลงตรงนี้ก่อนฟอกออกไปตามรายทางจากค่าใช้จ่ายต่างๆที่ตั้งขึ้นมาให้สโมสรจ่ายออกไป โดยรายรับซ่อนเร้นของเจ้าของไม่ใช่เพียงแค่ว่ามาจากรายรับล้วนๆของสโมสรตามตัวเลขกลมๆอย่างเดียวแบบที่คนนอกเข้าใจกัน เป้าหมายกำไรเป็นกอบเป็นกำในต้นทุนที่เท่ากัน คิดว่าถ้าเป็นนักธุรกิจธรรมดาทำธุรกิจขาวๆก็รู้อยู่แล้วว่าเอาเงินจำนวนที่เท่ากันนี้ไปลงทุนทำอย่างอื่นได้ผลตอบแทนกลับมาเยอะกว่าธุรกิจนี้มากค่ะ จากคุณ : withidak เขียนเมื่อ : 11 พ.ค. 53 19:39:55

ความคิดเห็นที่ 24 ถ้าว่ากันด้วยเรื่องในสยามบอล ผมก็ก็ว่าโอเคเลยนะครับ ไม่มายุ่มย่ามการซื้อตัว ไม่มาวุ่นวายการจัดการทีมของป๋า อนุมัติเงินได้ถ้าป๋าต้องการ คือพี่แกก็ทำแต่เรื่องธุรกิจสโมสรไป ส่วนเรื่องฟุตบอลก็ให้ป๋ากับพรรคพวกดูแลไป จากคุณ : HamyLee เขียนเมื่อ : 11 พ.ค. 53 20:04:22

ความคิดเห็นที่ 25 เชลซี ใช้หนี้เสี่ยหมี"หมดแล้ว" ครับ ถ้าเสี่ยขายทีม ก็ไม่ได้"พ่วงหนี้"แบบแกลเซอร์หรือสองมะกันแน่นอน ถ้าเกิดขายจริง "กรณีแย่สุด คือมีเงินซื้อนักเตะน้อยลง" จากคุณ : Longinus     เขียนเมื่อ : 11 พ.ค. 53 14:57:29     ไม่ได้ใช้หนี้นะครับ มีเยอะจนมองเห็นว่าผ่อนไม่ไหว เจ้าของเลยยกหนี้ให้เลยตะหาก แผนงบดุลประจำปี จะได้ไม่ขาดทุน จนโดนเล่นงานตัดแต้ม สาเหตุหลักๆก็เพราะ เชลซีมีนักเตะระดับทีมชาติที่วัยย่างสามสิบมาก จนค่าเหนื่อยในทีมตัวจริง น่าจะเฉลี่ยที่ห้าหกหมื่นปอนด์แล้วกระมัง จากคุณ : vdi เขียนเมื่อ : 11 พ.ค. 53 21:55:27