 |
ความคิดเห็นที่ 11 |
อินเตอร์ - บาเยิร์น เกมประวัติศาสตร์
เป็นไปตามคาดกับการคว้าแชมป์ที่ 2 ได้ทั้ง อินเตอร์ และ บาเยิร์น มิวนิค เมื่อสัปดาห์ก่อนทำให้เกมชิง ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ที่ ซานติอาโก้ เบร์นาบิว วันเสาร์ที่ 22 พฤษภาคม นี้จึงสุดพิเศษจริงๆ
นอกจากผู้ชนะจะกวาด 3 แชมป์ได้ในฤดูกาลเดียวเหมือน บาร์เซโลน่า ที่ทำไว้ในฤดูกาลก่อนแล้วยังจะส่งให้ โชเซ่ มูรินโญ่ หรือ หลุยส์ ฟาน กัล กลายเป็นกุนซือคนที่ 3 ที่ทำได้แชมป์กับ 2 สโมสร
โชเซ่ มูรินโญ่ เคยพา ปอร์โต้ เถลิงบัลลังก์แชมป์รายการนี้มาแล้วแบบพลิกความคาดหมายในปี 2004 ขณะที่ หลุยส์ ฟาน กัล สร้างชื่อขึ้นมาตอนนำ อาแจ๊กซ์ อัมสเตอร์ดัม โค่น เอซี มิลาน 1-0 ได้ในรอบชิงชนะเลิศปี 1995
ทั้งนี้ในอดีตที่ผ่านมามีแค่ แอร์นส์ ฮัปเปิ้ล กับ อ็อตมาร์ ฮิทช์เฟลด์ ที่เคยพา 2 สโมสรคว้าแชมป์รายการนี้ซึ่งในอดีตก็คือ ยูโรเปี้ยนส์ คัพ มาครองได้
สำหรับ มูรินโญ่ ในวัย 47 ปีจะกลายเป็นเทรนเนอร์อายุน้อยที่สุดในประวัติที่พา 2 สโมสรหมายเลข 1 ของยุโรปได้หากทีมงูใหญ่ของเขาเก็บชัยชนะได้ เพราะกว่าที่ แอร์นส์ ฮัปเปิ้ล จะทำสำเร็จกับ เฟเยนูร์ด ร็อตเตอร์ดัม และ ฮัมบูร์ก ก็ปาเข้าไป 57 ปีแล้ว ขณะที่ อ็อตมาร์ ฮิทช์เฟลด์ ทำได้ในวัย 52 ปี กับ โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ และ บาเยิร์น มิวนิค ตามลำดับ
อย่างไรก็ดี ฟาน กัล ในวัย 58 ปีจะเป็นเจ้าของสถิติประสบความสำเร็จสูงสุดกับ 2 สโมสรในช่วงเวลาที่ห่างกันมากที่สุด ซึ่งหากย้อนกลับไปสมัยพาทีมดังแดนกังหันได้แชมป์ปี 1995 ก็ปาเข้าไป 15 ปีแล้ว
ขณะที่ ฮัปเปิ้ล ทิ้งช่วงจากที่พา เฟเยนูร์ด ร็อตเตอร์ดัม พลิกกลับมาชนะ กลาสโกว์ เซลติก 2-1 ในปี 1970 แล้วมาได้แชมป์อีกครั้งกับ ฮัมบูร์ก ที่เฉือนชนะ ยูเวนตุส 1-0 ในปี 1983 เป็นเวลา 13 ปี
ทั้งนี้ มูรินโญ่ ซึ่งมั่นใจเหลือเกินว่าชื่อของเขาต้องถูกจารึกเข้าไปอยู่ในกลุ่มเดียวกับ 2 ยอดกุนซือดังกล่าวแน่ไม่ช้าก็เร็ว และแม้จะได้รับการจดบันทึกเลยเมื่อจบเกมนี้ก็จะไม่ใช่คนที่พา 2 ทีมคว้าแชมป์ถ้วยใหญ่ยุโรปได้เร็วที่สุด เพราะ อ็อตมาร์ ฮิทชเฟลด์ ใช้เวลาที่ห่างกันแค่ 4 ปีพา โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ คว้าแชมป์ในปี 1997 ด้วยการชนะ ยูเวนตุส 3-1 ต่อด้วยการนำ บาเยิร์น มิวนิค ดวลจุดโทษชนะ บาเลนเซีย 5-4 หลังเสมอกันในเวลาปรกติ 1-1 ในปี 2001
ในแง่ของประสบการณ์ หลุยส์ ฟาน กัล ที่อาวุโสกว่ามีมากกว่า โชเซ่ มูรินโญ่ แน่แถมเทรนเนอร์ชาวโปรตุกีสยังเคยเป็นมือขวาของกุนซือชาวดัตช์มาก่อนด้วยในสมัยที่ยังคุม บาร์เซโลน่า อีกทั้งยังได้รับคำยกย่องจาก อ็อตมาร์ ฮิทช์ฟิลด์ อีกด้วยว่าทำผลงานได้อย่างยอดเยี่ยมในฤดูกาล 2009-10 นี้
นอกจากจะรับมือกับสตาร์ดังในทีมเสือใต้ได้เป็นอย่างดีแล้ว ที่ ฟาน กัล ได้เครดิตไปเต็มๆ คือความสำเร็จในนโยบายหมุนเวียนนักเตะลงสนามอันเป็นกุญแจสำคัญให้ทีมมีลุ้นถึง 3 แชมป์
ทว่า โชเซ่ มูรินโญ่ ก็พิสูจน์ให้เห็นถึงฝีไม้ลายมือเหมือนกัน โดยเฉพาะการพาทีมเข้ามาถึงรอบชิงชนะเลิศก็ได้รับคำชมมากเหมือนกัน ซึ่งแน่นอนมันมาจากมันสมองของเขานั่นเอง
อย่างไรก็ดีแม้ มูรินโญ่ จะเคยเป็นผู้ช่วยของ ฟาน กัล แต่กลับมีปรัชญาลูกหนังที่ต่างกัน โดยกุนซือชาวดัตช์ชื่นชอบการเล่นเกมรุกเป็นชีวิตจิตใจอันเห็นได้จากสไตล์การเล่นของ บาเยิร์น มิวนิค ชุดนี้
ขณะที่กุนซือจอมโอหังชาวโปรตุกีสเน้นความแน่นอนและให้ลูกทีมทุกคนมีส่วนกับเกมรับ ทว่าก็ปฏิเสธโดยสิ้นเชิงว่าไม่ได้เน้นอุดประตูเหมือนที่มีหลายคนส่งเสียงวิจารณ์อยู่ในเวลานี้
และการที่ บาร์เซโลน่า กวาดไปได้ทั้ง 3 แชมป์ในฤดูกาลก่อนก็หมายความว่า "ทริปเปิ้ล แชมป์" จะเกิดขึ้น 2 ฤดูกาลติดไม่ว่าใครจะเป็นฝ่ายชนะในวันเสาร์ที่ 22 พฤษภาคม นี้ และถ้าเป็น อินเตอร์ ที่ชนะก็จะส่งให้ ซามูแอล เอโต้ กลายเป็นนักเตะประวัติศาสตร์ไปทันที
ทั้งนี้ก็เนื่องจาก เอโต้ เป็นกำลังสำคัญที่นำทีมเจ้าบุญทุ่มกวาดได้ทั้ง ลา ลีกา, โกปา เดล เรย์ และ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ในฤดูกาลก่อน ขณะที่พา อินเตอร์ คว้าไปแล้วทั้ง กัลโช่ เซเรีย อา และ โคปปา อิตาเลีย ซึ่งในอดีตที่ผ่านมายังไม่เคยมีนักเตะคนไหนที่ได้ ทริปเปิ้ล แชมป์ 2 ฤดูกาลติดและต่างสโมสรด้วย
จึงเห็นได้ว่าจะมีสถิติใหม่เกิดขึ้นมากมายเมื่อจบเกมนี้ทำให้การดวลกันของ อินเตอร์ กับ บาเยิร์น มิวนิค ถูกยกขึ้นมาอยู่ในระดับ 5 ดาวทันที
ในส่วนของความพร้อมล่าสุดนั้น อินเตอร์ จะขาด ติอาโก้ ม็อตต้า ที่โดนแบนเพราะถูกไล่ออกในรอบรองชนะเลิศ นัด 2 กับ บาร์เซโลน่า ซึ่ง โชเซ่ มูรินโญ่ ต้องตัดสินใจว่าจะใช้ เดยัน สแตนโกวิช ลงยืนแทน หรือดัน ฮาเวียร์ ซาเน็ตติ ขึ้นมายืนเป็นกลางรับคู่กับ เอสเตบัน กัมบิอาสโซ่ แล้วใช้ คริสเตียน คิวู ยืนเป็นแบ็คซ้าย
ด้าน บาเยิร์น มิวนิค แม้จะไม่ประสบความสำเร็จในการยื่นอุทธรณ์โทษแบนของ ฟร้องก์ ริเบรี่ แต่ หลุยส์ ฟาน กัล ก็จัดทีมชุดที่แข็งแกร่งและลงตัวลงสนามได้ โดย ฮามิต อัลตินท็อป จะลงทำเกมกราบขวาแทน
หากไม่มีตัวหลักรายใดเจ็บก่อนเดินลงสนามซะก่อน 11 คนแรกของทั้ง 2 ทีมน่าเป็นดังนี้
อินเตอร์ (4-2-3-1) : ชูลิโอ เซซ่าร์ - ดั๊กลาส ไมค่อน, ลูซิโอ, วอลเตอร์ ซามูเอล, คริสเตียน คิวู - ฮาเวียร์ ซาเน็ตติ, เอสเตบัม กัมบิอาสโซ่ - โกรัน ปานเดฟ, เวสลี่ย์ สไนเดอร์, ซามูแอล เอโต้ - ดิเอโก้ มิลิโต้
บาเยิร์น มิวนิค (4-2-2-2) : ฮันส์ ยอร์ก บุทท์ - ฟิลิปป์ ลามห์, ดาเนี่ยล ฟาน บุยเต็น, มาร์ติน เดมิเคลิส, โฮลเกอร์ บาดชตูเบอร์ - มาร์ค ฟาน บอมเมล, บาสเตียน ชไวน์สไตเกอร์ - อาร์เยน ร็อบเบน, ฮามิต อัลตินท็อป - โธมัส มุลเลอร์, อิวิก้า โอลิช
เทียบดูจากขุมกำลังและฟอร์มการเล่นช่วงหลังก็ต้องบอกว่าพอฟัดพอเหวี่ยงกัน แต่ในมุมของผู้สันทัดกรณีโดยเฉพาะบริษัทรับพนันถูกกฏหมายในยุโรปยกให้ อินเตอร์ มีภาษีกว่าเล็กน้อยตรงที่เกมรับเหนียวแน่นกว่า ขณะที่การเข้าทำมีพิษสงพอกัน
ทั้งนี้ความวูบวาบอาจจะอยูกับ บาเยิร์น มิวนิค เพราะมีตัวพลิกทีเด็ดอย่าง อาร์เยน ร็อบเบน แต่หากโดนปิดหรืดถูกตัดออกไปจากเกมได้ละก็มีปัญหาแน่
ขณะที่ทีมงูใหญ่อาศัยการวางบอลของ เวสลี่ย์ สไนเดอร์ เป็นหลัก ซึ่งก็ต้องตามดูเช่นกันว่าทีมของ ฟาน กัล จะมีไม้เด็ดอะไรในการรับมือหรือเปล่า
สรุปว่าเป็นคู่ชิงที่สมน้ำสมเนื้อเปี่ยมไปด้วยคุณสมบัติและยากต่อการชี้ชัดว่าสุดท้ายฝ่ายใดจะชนะ
รู้เพียงแต่ว่าจะเป็นเกมที่ดูแล้วตื่นเต้นตลอด และไม่ว่าฝ่ายใดชนะก็จะเป็นแชมป์ที่สมศักดิ์ศรี
ใครจะเขียนประวัติศาสตร์หน้าใหม่ขึ้นมาได้ระหว่าง โชเซ่ มูรินโญ่ หรือ หลุยส์ ฟาน กัล รวมไปถึง ซามูแอล เอโต้ เสาร์นี้มีคำตอบแล้วครับ...
"คุณฉุย"
จากคุณ |
:
still solo one
|
เขียนเมื่อ |
:
21 พ.ค. 53 11:41:06
|
|
|
|
 |