 |
++++ เจ้าภาพบอลโลก...ว่างนักเหรอ? : โดย..ปูเป้ ++++
|
|
คณะกรรมาธิการการกีฬา วุฒิสภาชุดนี้ ให้ความสำคัญกับฟุตบอลไทยค่อนข้างมากครับ อาจจะเป็นเพราะ มีคนอย่าง "บิ๊กวอ" วรวุฒิ โรจนพานิช คนกีฬา คนวงการฟุตบอลแต่ช้านานเป็นประธานคณะกรรมาธิการ การกีฬาชุดนี้อยู่
ที่ผ่านมาก็ เคยจัดสัมมนาในหลายๆ เรื่องทั้งเรื่องฟุตบอลอาชีพ เรื่องของการพัฒนาทีมชาติ เรื่องอุปสรรคในการสร้างฟุตบอลอาชีพ ฯลฯ ผมก็เคยไปร่วมเป็น 1 ในผู้สัมมนากับเขา ในรัฐสภาอันทรงเกียรติด้วย
ตอนระดมสมองสัมมนากันหลายๆ หัวข้อเป็นเรื่องที่ดีนะครับ แต่ผมไม่รู้ว่าหลังการสัมมนาเสร็จสิ้นได้นำบทสรุปของการพูดคุย ที่ตกตะกอนแล้วไปปฏิบัติเป็นรูปธรรมมากน้อยขนาดไหน
สัปดาห์ที่ผ่านมาก็มีข่าวใหญ่มาจากวงสัมมนาของกรรมาธิการการกีฬา เมื่อจัดสัมมนาเรื่อง "ประเทศไทยกับการเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลก ต้องเตรียมอะไร และอย่างไร"
ผู้ที่เข้าร่วมสัมมนา ล้วนแล้วแต่เป็นผู้รู้ในวงการกีฬา วงการฟุตบอลเมืองไทยทั้งสิ้น ตั้งแต่ ท่านชุมพล ศิลปอาชา รมว.กระทรวงการท่องเที่ยวและกีฬา, พล.ต.จารึก อารีราชการัณย์ เลขาฯ โอลิมปิค, คุณกนกพันธุ์ จุลเกษม ผู้ว่าฯ กกท.คุณสมบัติ ครุพันธ์ อธิบดีกรมพลศึกษา, นายกสมาคมฟุตบอลฯ คุณวรวีร์ มะกูดี, คุณกิตติรัตน์ ณ ระนอง อดีตผจก.ทีมชาติไทย ในสายสื่อก็มี คอลัมนิสต์อาวุโส อย่าง คุณพี่ประดิษฐ์ นิธิยานันท์ แห่งมติชน
บทสรุปของการสัมมนาครั้งนี้ก็คือ เราจะเสนอตัวเพื่อเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลกในปี 2026 หรือ 16 ปีข้างหน้า คุณวรวีร์ บอกว่าเรามีโอกาส...โดย สถานที่ที่เหมาะสมในการสร้างสนามมีทั้งหมด 10 แห่งคือ กทม., ฝั่งธนฯ, พัทยา, หัวหิน, ภูเก็ต, หาดใหญ่,เ ชียงใหม่, อุดรธานี, นครราชสีมาและสุพรรณบุรี
คุณชุมพล ศิลปอาชา ซึ่งก็ต้องยอมรับว่า มีบทบาทในวงการกีฬาและวงการฟุตบอลน้อยเต็มที ในช่วงระยะเวลาที่ท่านเป็นรัฐมนตรีอยู่ ก็ออกมายืนยันว่า รัฐบาลชุดนี้ พร้อมที่จะเอาจริงเอาจังในการให้ความช่วยเหลือเพื่อให้ไทยได้สิทธิ์ในการ เป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลกให้ได้
โปรเจกต์แบบนี้ คนที่อยู่ในวงการกีฬา คนที่เห็นความเป็นไปอยู่ทุกเมื่อเชื่อวัน รู้กันดีว่า ก็แค่โปรเจกต์สร้างข่าว ขายฝัน หาเสียงไปวันๆ เพราะในความเป็นจริง นี่คือ อภิมหาโปรเจกต์ ที่ไม่ใช่แค่คิดแล้วจะทำได้ มันต้องเป็นความร่วมมือร่วมใจ อย่างถึงที่สุดของรัฐบาล
แล้วคุณคิดว่าจากวันนี้ไปจนถึงวันที่เราจะเสนอตัวเพื่อเป็นเจ้าภาพ ฟุตบอลโลก ประเทศไทยยังจะปกครองโดยรัฐบาลนี้อยู่หรือ?
ธรรมชาติของการเมืองบ้านเรา ก็อย่างที่รู้กันคือพอขั้วใหม่มา โปรเจกต์ของขั้วเก่า ไม่ว่าจะดีแค่ไหนก็ต้องตกไป สมาคมฟุตบอลไทย จะต้องไปวิ่งตามอีกกี่รัฐบาลให้ยื่นมือเข้ามาสนับสนุน
การจะเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลกต้องใช้งบประมาณมหาศาลมากในการเตรียม ความพร้อม เอาแค่สนามแข่งขัน ซึ่งต้องสร้างใหม่เกือบทั้งหมด ด้วยงบประมาณหลายหมื่นล้าน ไหนจะสนามซ้อมที่ต้องมีเป็นร้อยแห่ง ที่พักที่ได้มาตรฐาน
นี่ยังไม่นับมาตรฐานของทีมฟุตบอลทีมชาติไทย ที่แรงกิ้งอันดับโลกไม่ได้เข้าแก๊ปเลย เราหวังแต่จะใช้ทางลัดไปเล่นฟุตบอลโลกรอบสุดท้ายในฐานะเจ้าภาพ โดยไม่ต้องผ่านการคัดเลือกเท่านั้นเองเหรอ
เราเคยคิดกันบ้างหรือเปล่า ว่า ไม่ต้องสนามระดับมาตรฐานฟุตบอลโลกหรอก ลำพังแค่สนามมาตรฐานซีเกมส์ อย่างสนาม 700 ปีเชียงใหม่, สนามเฉลิมพระเกียรติโคราช และอีกหลายๆ สนาม หลังการใช้งานมหกรรมกีฬาใหญ่ๆเราดูแลกันยังไง ได้ใช้ประโยชน์กับมันมากน้อยแค่ไหน
แล้วนี่เป็นสนามมาตรฐานฟุตบอลโลกที่ขนาดใหญ่โตมโหฬาร ใช้งบประมาณสร้างสูงลิบ เราจะบริหารจัดการกับมันยังไง
ผมว่าเราอย่าเพิ่งมองไกลขนาดนั้นเลย เอาแค่การเป็นเจ้าภาพฟุตซอลโลก 2012 ที่เราได้รับเลือกแล้ว ยังหาที่สร้างสนามไม่ได้เลย ไปหาการรถไฟ รฟท.ก็ทำท่าจะไม่ให้ จะย้ายไปหนองจอกก็ไกลเกินไป งบประมาณสร้าง 1,500 ล้านก็ไม่รู้ว่าจะผ่านหรือเปล่า นี่แค่สนามเดียว และเป็นสิ่งที่ต้องจัดอยู่แล้วนะครับ ยังเงียบฉี่เลย แล้วนับประสาอะไรกับฟุตบอลโลก
ผมชอบคำพูดของ พี่ประดิษฐ์ มติชน ที่พูดไว้ว่า "ประเทศไทยเหมือนคนที่ไม่เคยตรวจโรค เลยไม่รู้ตัวเอง เมื่อฟีฟ่าหรือไอโอซี เข้ามาตรวจสอบ จึงรู้ว่าเราป่วยหนัก ต้องเอกซเรย์ตัวเองก่อน"
การ "บิด" เพื่อเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลกไม่ใช่ใช้เงินแค่ ล้าน สองล้านนะครับ ต้องใช้งบประมาณเป็นร้อยล้าน...ถ้ายังจำกันได้ สมัยที่เราลืมตัวไปบิดเป็นเจ้าภาพโอลิมปิก เมื่อหลายปีก่อนก็หมดไปหลายสิบล้าน สุดท้ายตกรอบตั้งแต่ไก่โห่ เพราะไม่รู้ตัวเองอย่างนี้ งบประมาณแผ่นดินทั้งนั้น ก็ไม่เห็นมีใครรับผิดชอบ
ไม่ใช่ผมไม่เห็นด้วยนะครับ กับการเสนอตัวเป็นเจ้าภาพบอลโลก แต่เราต้องรู้ตัว ประเมินตัวเองมากๆ
เวลาว่างๆ เอาไปคิดหาทางพัฒนาฟุตบอลไทยตั้งแต่ระดับเยาวชน พัฒนาลีกไทยให้แข็งแกร่ง รัฐบาลอยากจะซ่าก็หันมาช่วยดำเนินการฟุตซอลโลกให้เรียบร้อยก่อน หรืออย่างน้อยๆ ใช้มาตรการลดภาษีให้สโมสรเพื่ออุดหนุนฟุตบอลอาชีพให้เจริญรุ่งเรืองก่อน แค่นี้ก็เป็นการแสดงความจริงใจกับวงการฟุตบอลไทย
ไม่ใช่หาเสียงไปวันๆ...เห็นช้างขี้ ก็อยากขี้ตามช้าง แบบนี้
ที่มา : siamsport.co.th/Column/100909_096.html
| จากคุณ |
:
janthepen  
|
| เขียนเมื่อ |
:
9 ก.ย. 53 18:20:33
|
|
|
| |
