 |
Top10 เศรษฐีวงการลูกหนัง (ภาค 1)
แม็ก กาซีนฟุตบอลชั้นนำอย่างโฟร์-โฟร์-ทู (4-4-2) ได้เปิดเผยรายชื่อบุคคลที่รวยที่สุดในวงการฟุตบอล ซึ่งครอบคลุมทั้งในส่วนของเจ้าของสโมสร ผู้ถือหุ้นใหญ่ นักเตะและกุนซือ ซึ่งน่าแปลกใจที่คนดังอย่าง โรมัน อบราโมวิช เจ้าสัวเชลซี จะหล่นไปอยู่ที่ 4 ในปีนี้ ขณะที่ ล่ำซำที่สุดก็คือชีค มันซูร์ บิน ซาเยด อัล นายัน ของแมนเชสเตอร์ ซิตี้
อย่างไรก็ตาม ด้วยความที่มีการจัดอันดับเศรษฐีในวงการลูกหนังประจำฤดูกาล 2010-11 ถึง 3 ประเภท ผู้เขียนก็ต้องขออนุญาตลงเฉพาะในส่วนของเจ้าของทีมหรือผู้ถือหุ้นใหญ่ของสโมสรก่อน ส่วนท็อปเท็นนักเตะและผู้จัดการทีมจะทยอยตามมาในวันถัดไป
10 เจ้าของสโมสรหรือผู้ถือหุ้นที่รวยที่สุด
1. ชีค มันซูร์ บิน ซาเยด อัล นายัน (แมนเชสเตอร์ ซิตี้ : 20,000 ล้านปอนด์ : 1,000,000 ล้านบาท) (อันดับ 2 เมื่อปีที่แล้ว : 17,000 ล้านปอนด์)
ในขณะที่ผู้ใช้รถทั่วโลกต่างโอดครวญกับค่าน้ำมันที่แสนแพง แต่นั่นกลับทำให้ ชีค มันซูร์ฯ (ขอเรียกสั้นๆ เพราะชื่อยาวเหลือเกิน) มีความสุข เพราะนั่นทำให้รายรับจากธุรกิจน้ำมันของเขาทะยานขึ้นอีก 3,000 ล้านปอนด์ (ราว 150,000 ล้านบาท) และมีการประเมินกันว่าตอนนี้ทรัพย์สินของนักธุรกิจวัย 40 ปีจากอาบู ดาบี มีมากถึง 20,000 ล้านปอนด์
ท่านชีคฯ ซื้อแมนเชสเตอร์ ซิตี้ด้วยเงิน 210 ล้านปอนด์ (ราว 10,500 ล้านบาท) ในเดือนส.ค. 2008 ก่อนที่จะลงทุนถึง 325 ล้านปอนด์ (ราว 16,250 ล้านบาท) เฉพาะการซื้อนักเตะมาเสริมทีม โดยเฉพาะอย่างยิ่งในช่วงซัมเมอร์ที่ผ่านมา และนั่นก็ทำให้ตอนนี้ลูกทีมของโรแบร์โต้ มันชินี่ อยู่อันดับ 2 ของตารางพรีเมียร์ลีกอย่างสง่าผ่าเผย
2. ลักษมี มิตตาล (ควีนสพาร์ค เรนเจอร์ส : 17,000 ล้านปอนด์ : 850,000 ล้านบาท) (อันดับ 1 เมื่อปีที่แล้ว : 18,400 ล้านปอนด์)
แม้ว่าเจ้าของธุรกิจค้าเหล็กที่ใหญ่ที่สุดในโลกจากอินเดียจะหล่นจาก บัลลังก์เจ้าของทีมที่รวยที่สุด แต่ มิตตาล ในวัย 60 ปี ก็ยังมีเงินให้คิวพีอาร์ใช้สอยได้อย่างไม่ลำบาก และดูเหมือนว่าการซื้อหุ้น 20% จากควีนสพาร์คฯ เมื่อปี 2007 จะเริ่มผลิดอกออกผล เนื่องจากเวลานี้ทีมกำลังอยู่โซนหัวแถวของตารางแชมเปี้ยนชิพ และถือว่าอยู่ในเส้นทางที่ดีที่จะได้ลุ้นเลื่อนชั้นมาเล่นในลีกสูงสุดของเมืองผู้ดีอีกครั้ง
3. อลิเชอร์ อุสมานอฟ (อาร์เซน่อล) : 8,000 ล้านปอนด์ : 400,000 ล้านบาท) (อันดับ 9 เมื่อปีที่แล้ว : 1,300 ล้านปอนด์)
เจ้าสัวเชื้อชาติอุซเบกิสถาน วัย 57 ปี มีหุ้นในทีม "ปืนใหญ่" ประมาณ 172 ล้านปอนด์ (ราว 8,600 ล้านบาท) โดยเจ้าตัวกล่าวถึงสโมสรว่า "ความรักที่ผมมีต่ออาร์เซน่อลก็เหมือนกับความรักที่ชายคนหนึ่งมีให้กับหญิงคนรัก มันเป็นสิ่งที่คุณไม่สามารถจะขายได้"
อุสมานอฟ ซึ่งจบการศึกษาด้านความสัมพันธ์ระหว่างประเทศจากกรุงมอสโก เริ่มสร้างฐานะจากธุรกิจค้าเหล็กและเหมืองแร่เหล็ก โดยเขาถือหุ้นในบริษัทเหมืองแร่เหล็กที่ใหญ่ที่สุดของแดนหมีขาวเป็นเงินสูงถึงราว 6,500 ล้านปอนด์ นอกจากนั้น อุสมานอฟ ยังลงทุนในธุรกิจอื่นๆ ทั้งสื่อ, โทรคมนาคมและธนาคาร รวมถึงแมนชั่นสุดหรูในกรุงลอนดอนที่มีมูลค่าสูงถึง 48 ล้านปอนด์ด้วย (ประมาณ 2,400 ล้านบาท) และนั่นทำให้เงินรายได้ของเขาพุ่งพรวดจากอันดับที่ 9 มาอยู่ที่ 3 ในปีนี้
4. โรมัน อบราโมวิช (เชลซี : 7,400 ล้านปอนด์ : 370,000 ล้านบาท) (อันดับ 3 เมื่อปีที่แล้ว 7,800 ล้านปอนด์)
"เสี่ยหมี" ซึ่งสร้างความฮือฮาด้วยการหว่านเงินซื้อความสำเร็จให้ทีมสิงห์บลูส์เมื่อไม่กี่ปีที่ผ่านมา ยังคงฝันว่าสโมสรจะสามารถคว้าแชมป์ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก สมัยแรกมาครองให้ได้ในซีซั่นนี้หลังจากที่ต้องอกหักซ้ำแล้วซ้ำเล่า โดยเมื่อเดือนม.ค. ที่ผ่านมา นักธุรกิจวัย 43 ปีจากรัสเซีย ได้เคลียร์หนี้สโมสรจำนวน 340 ล้านปอนด์ (ราว 17,000 ล้านบาท) และตอนนี้ก็ยังนำเงินกู้จำนวน 709 ล้านปอนด์ (ราว 35,450 ล้านบาท) เพื่อนำไปให้เชลซีรักษาสมดุลบัญชีรายรับ-จ่ายด้วย
อบราโมวิช ซื้อเชลซีด้วยเงิน 140 ล้านปอนด์ (ราว 7,000 ล้านบาท) เมื่อ 7 ปีก่อน และถือว่าเป็นเจ้าของทีมที่ประสบความสำเร็จอย่างสูงคนหนึ่งในพรีเมียร์ลีกอย่างไม่ต้องสงสัย
5. ตระกูลลีเบอร์ (เซาแธมป์ตัน : 3,000 ล้านปอนด์ : 150,000 ล้านบาท)
มาร์คุส ลีเบอร์ ซึ่งเพิ่งจะเสียชีวิตไปเมื่อเดือนส.ค. ที่ผ่านมา กลายเป็นที่รักของแฟนบอลทีมนักบุญอย่างรวดเร็ว หลังจากที่นักธุรกิจซึ่งเกิดที่เยอรมันและพำนักอยู่ที่สวิตเซอร์แลนด์ ตัดสินใจซื้อเซาแธมป์ตัน เมื่อเดือนก.ค. 2009 หลังจากที่เดินทางมาถึงสนามเซนต์ แมรี่ได้ไม่ถึง 2 ชม. และแม้ว่าจะไม่มีการเปิดเผยตัวเลข แต่การเข้ามาเทคโอเวอร์สโมสรของลีเบอร์ ก็ช่วยให้ทีมจากลีกวันรอดพ้นจากการสถานะล้มละลายได้ทันเวลา ว่ากันว่า ทรัพย์สินของตระกูลลีเบอร์มีมากถึง 3,000 ล้านปอนด์ และแม้ว่า มาร์คุส จะเสียชีวิตไปแล้ว แต่ครอบครัวของเขาก็ยังทุ่มเทและพยายามสรรหาสิ่งที่ดีที่สุดให้กับเซาแธมป์ตันต่อไป พร้อมกับความหวังที่ว่าจะได้เห็นทีมเลื่อนชั้นขึ้นมาสู่ลีกแชมเปี้ยนชิพอีกครั้ง
6. โจ ลูอิส (ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ : 2,700 ล้านปอนด์ : 135,000 ล้านบาท) (อันดับ 4 เมื่อปีที่แล้ว : 2,500 ล้านปอนด์)
นักธุรกิจวัย 63 ปี ซึ่งปัจจุบันอาศัยอยู่ที่บาฮามาส เติบโตขึ้นมาในย่านตะวันออกของกรุงลอนดอนเช่นเดียวกับ แฮร์รี่ เร้ดแน็ปป์ กุนซือของทีม โดยหลังจากที่เริ่มต้นทำงานในร้านอาหารของครอบครัว ลูอิส ก็ได้เริ่มสร้างธุรกิจของตัวเองด้วยการเปิดร้านขายของให้นักท่องเที่ยวทั่วเมืองใหญ่ในทวีปยุโรป ก่อนที่จะหันไปจับงานด้านธุรกิจการแลกเปลี่ยนเงินตราต่างประเทศซึ่งทำเงินให้เขาอย่างมหาศาล
7. เดนิส โอไบรอัน (เซลติก : 1,870 ล้านปอนด์ : 93,500 ล้านบาท) (อันดับ 6 เมื่อปีที่แล้ว : 1,730 ล้านปอนด์)
โอไบรอันมีหุ้นในทีม "ม้าลายเขียวขาว" แค่ 2.8% ซึ่งมีมูลค่าแค่ 1 ล้านปอนด์ (ประมาณ 50 ล้านบาท) แต่นั่นเป็นเพียงเศษเงินของนักลงทุนทางการเงินชาวไอริชวัย 52 ปี ที่เป็นเจ้าของสถานีวิทยุถึง 42 คลื่นใน 8 ประเทศทั่วยุโรป โดยนอกเหนือจากสัมปทานคลื่นวิทยุแล้ว โอไบรอัน ยังทำเงินมหาศาลจากธุรกิจโทรคมนาคม, บริษัทมือถือ, สนามกอล์ฟในโปรตุเกส และหุ้นอีก 26% ในไอริช นิวส์ แอนด์ มีเดีย ด้วย
8. สแตนลี่ย์ โครนเก้ (อาร์เซน่อล : 1,850 ล้านปอนด์ : 92,500 ล้านบาท) (อันดับ 5 เมื่อปีที่แล้ว : 2,079 ล้านปอนด์)
เจ้าสัวชาวอเมริกัน ได้รับเลือกให้เข้ามาเป็นหนึ่งในบอร์ดบริหารของทีมปืนใหญ่เมื่อเดือนต.ค. 2008 ก่อนจะกลายเป็นผู้ถือหุ้นใหญ่ในสโมสรที่ 29.9% โดยนอกเหนือจากอาร์เซน่อลแล้ว โครนเก้ ยังมีหุ้นในทีมบาสเก็ตบอลอย่างเดนเวอร์ นักเกตส์ ในลีกเอ็นบีเอ, ทีมฮ็อกกี้อย่างโคโลราโด้ อวาลันเช่ รวมถึงช็อปปิ้ง เซนเตอร์และอาคารสำนักงานอีกจำนวนมากในสหรัฐอเมริกา
9. มัลคอล์ม เกลเซอร์และครอบครัว (แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด : 1,530 ล้านปอนด์ : 76,500 ล้านบาท) (อันดับ 7 เมื่อปีที่แล้ว : 1,500 ล้านปอนด์)
นักธุรกิจชาวมะกัน กลายเป็นหนึ่งในเจ้าของทีมที่ถูกเกลียดมากที่สุดในวงการลูกหนังอังกฤษ หลังจากเข้ามาซื้อทีม "ปีศาจแดง" เมื่อปี 2005 เนื่องจากทำให้ทีมติดหนี้มหาศาล และจากการเปิดเผยบัญชีเมื่อเดือนม.ค. 2010 ปรากฎว่าสโมสรติดหนี้สูงถึง 716.5 ล้านปอนด์ (ราว 35,825 ล้านบาท) แต่มัลคอล์ม รวมถึงลูกชายทั้ง 3 คนคือโจเอล, อัฟราม และ ไบรอัน ก็ยังคงมีทรัพย์สินส่วนตัวรวมกันเกินกว่า 1,500 ล้านปอนด์
10. เบอร์นี่ เอ็คเคิ่ลสโตน (ควีนสพาร์ค เรนเจอร์ส : 1,400 ล้านปอนด์ : 70,000 ล้านบาท) (อันดับ 8 เมื่อปีที่แล้ว : 1,466 ล้านปอนด์)
เจ้าพ่อฟอร์มูล่า-วัน วัย 79 ปี มีหุ้นในทีมคิวพีอาร์ 15% ซึ่งคิดเป็นเงินแค่ 150,000 ปอนด์ (7.5 ล้านบาท) แต่ทรัพย์สินมหาศาลของเขามาจากการจัดแข่งขันรถสูตรหนึ่งซึ่งเขาเป็นตัวตั้งตัวตีจัดขึ้นมาเมื่อปี 1949 นอกจากนั้น เอ็คเคิ่ลสโตน ยังมีธุรกิจโรงแรม, สื่อในเยอรมัน รวมถึงการเป็นเจ้าของทีมเอฟวันอย่างอัลฟ่า พรีม่าด้วย
ข้อมูลจาก : MSN ฟุตบอล
จากคุณ |
:
YesterdayOnceMore
|
เขียนเมื่อ |
:
9 ต.ค. 53 10:30:38
|
|
|
|
 |