 |
เจอนักมวยอีกท่านนึงครับ เป็นเรื่องเก่าๆ ก็อยากนำมาให้ อ่านกันดู
ชีวิตนักข่าว…ย้อนยุคมวยไทย ณรงค์ ชื่นนิรันดร์ เมื่อ วันที่ 2 มิถุนายน 2552 ผมได้มีโอกาสได้ไปรับประทานอาหารที่ร้านข้าวหมูแดงแสงทอง ที่ตั้งอยู่ ตัวเมืองสงขลา ซึ่งเป็นร้านอาหารที่เก่าแก่ และเป็นที่รู้จักของนักชิม แต่ ที่ผมสนในมากไปกว่านั้นคือ ที่ข้างฝาร้าน มีรูปนักมวยคาดเชือก ยืนในท่า พร้อมชกอย่างทะมัดทะแมง พร้อมกับมีนิตยสารชื่อ น๊อกเอาท์ฉบับมวยสยาม ปีที่ 7 ฉบับที่ 549 ประจำวันที่ 26-28 พฤษภาคม 2535 เขียนโดย เดชา ปราการะนันทน์ คอลัมภ์ย้อนยุคมวยไทย ผมได้สนทนากับ โกอ้วน ซึ่งเป็นลูกชาย ของร้านนี้ ได้ความว่า คนที่อยู่ในรูปที่เป็นนักมวยคนนั้นคือ พ่อของเขาเอง “สมัย เป็นเด็ก พ่อไม่เคยบอกลูก ๆ เลยว่า พ่อเป็นนักมวย เพราะกลัวว่า ลูก ๆ จะไปเป็นนักมวย ซึ่งเป็นอาชีพที่ ต้องเจ็บ ” โกอ้วนเล่าให้ฟัง พร้อม ๆ กับ ให้บริการโต๊ะอื่น ซึ่งผมเองก็ไม่ถามอะไรมาก เพราะอยากจะชิม ข้าวหมูแดงหมู กรอบ กับ เกาเหลาข้าวเปล่า เท่านั้นเอง แต่โกอ้วนก็เล่าให้ฟังอีกว่า “พ่อเป็นนักมวยที่เก่งมาก ชกชนะ นักมวยในภาคใต้หมดทุกคน จนไม่มีใครชกด้วย จึงต้องขึ้นไปชกที่กรุงเทพ เพื่อ หาคู่ชกที่ เหมาะสม ” “พ่อผมเป็นจีนไหหลำ มาตั้งรกรากที่ สงขลา และก็มามีครอบครัวที่นี่ พี่สาวคนโตของผม เพิ่งลาออก จากอาจารย์มหาลัย ครอบ ครัวเขาอยู่กรุงเทพ แต่ก็มาเยี่ยมน้อง ๆ ที่สงขลาบ่อย ความที่อาจารย์ พี่สาวจึงพูดได้หลายภาษา เวลามีฝรั่งต่างชาติ มาทานอาหารที่บ้าน พี่สาวก็จะนั่งคุยด้วย อย่างเป็นกันเอง ” นี่ขนาดผมไม่ได้นั่งคุย อย่างจริงจังนะ ผมก็ได้เรื่องได้ราวมาเล่าสู่ท่าน ฟัง คิดว่าถ้ามีเวลา ว่าจะนั่งคุยให้มากกว่านี้ แต่ผมเห็น คอลัมภ์เกี่ยว กับ เรื่องราวของเตี่ยโกอ้วนแล้ว ผมจึงขออนุญาตถ่ายรูป เพราะผมไม่มี เวลา และคิดว่า จะถอดความจากข้อความที่เขียนลงหนังสือมาให้ท่านอ่าน ซึ่งจะ เป็นที่รวดเร็ว ไม่ต้องจดให้เสียเวลา ดั่งข้อความ จากนิตยสารน๊อกเอาท์ฉบับมวยสยาม ดังต่อไปนี้ ยักษ์ไหลหลำ เขียนโดย เดชา ปราการะนันทน์ “สมัย เมื่อยักษ์สุข ปราสาทหินพิมาย กำลังกระเดื่องเดชอยู่ บนผืนผ้าใบเวทีราช ดำเนิน หลังจากปราบนักมวยชั้นยอดของเมืองสยาม เช่น สมาน ดิลกวิลาศ , สมพงษ์ เวชสิทธิ์ , ถวัลย์ วงศ์เทเวศร์ , จนพ่ายแพ้ไปเรียบราบ ยักษ์สุขก็กลายเป็นมวยขึ้น คาน หาคู่ชกไม่ได้ ต้องกลับไปทำไร่ไถนาที่บ้านเกิดอำเภอพิมาย จังหวัด นครราชสีมา ตามเดิม ” ทาง เวทีราชดำเนินรู้ว่า ยักษ์สุขคือมวยแม่เหล็กใหญ่ ที่เรียกร้องแฟนมวยได้เข้า ชมอย่างล้นหลามทำกำไรให้สยามอย่างเป็นกอบเป็นกำ จึงพยายามเสาะนักชกรุ่น ยักษ์ ทั้งรุ่นเก่าและรุ่นใหม่ ที่มีฝีมือคู่ควรกับยักษ์สุขแต่ก็ยังหาตัว ไม่ได้จนแล้วจนรอด เพราะ นักชกรุ่นใหม่ที่กำลังรุ่งขึ้นมาก็กระดูกยังอ่อน ถ้าขืนส่งขึ้นไปเจอกับ ยักษ์สุขก็จะเปรียบเสมือนหมูหนังกรอบให้ยักษ์สุข ได้ขบเคี้ยวเล่นตาม สบาย ส่วนนักมวยเก๋าที่เลิกราจากสังเวียนไปแล้ว ทางเวทีพยายามไปติดต่อมา ขึ้นชกอีก ก็ปรากฏว่าเก๋าจนสังขารไปไม่ไหว เพียงแค่เจอมวยทดสอบก็ถูกถลุงถูก หามลงเปลไปอย่างง่ายดาย เวที ราชดำเนินจึงต้องหานักชกที่มาปราบยักษ์สุขต่อไปอีก เพราะเกรงว่าถ้า ปล่อย ให้รื้อเวทีไปนาน ยักษ์สุขอาจจะเกิดความเซ็งเลยประกาศแขวนนวมไปเสีย ก่อน เนื่องจากเสียเวลารอคู่ชกนานจนเกินไป ขณะ เดียวกันนี้เองก็มีข่าว เล่าลือ จากปักษ์ใต้ว่า มีนักมวยร่างยักษ์คน หนึ่ง เป็นคนจีนชาวไหหลำมีรูปร่างสูงใหญ่ข้อลำแข็งแกร่งเหมือนท่อนเหล็ก และ มีหมัดขวาหนักเหลือประมาณ ใครเจอเข้าจัง ๆ ก็มีหวังหลับ ยักษ์ ไหหลำคนนี้เป็นหนุ่มใหญ่วัยฉกรรจ์ มีน้ำหนักตัวอยู่ในรุ่นมิดเดิลเวท ( 160 ปอนด์) ซึ่งถือว่าเป็นรุ่นใหญ่ในขณะนั้น นามบนสังเวียนนามว่า “ง่วนยกฟัด” กำลังโด่งดังอยู่ในปักษ์ใต้ จนหาคู่ชกที่คู่ควรได้ยาก ง่วน ยกฟัด มีที่พำนักอยู่ในตัวเมืองสงขลา ได้ชื่อว่าเป็นนักมวยที่ทรงพลัง และกำปั้น หนักที่สุดเท่าที่เคยได้เห็นกันมา และเมื่อขึ้นชกที่จังหวัดสงขลา ก็ชนะน็อก คู่ต่อสู่มาโดยตลอด โดยไม่มีคู่ชกคนอื่น ได้ยืนหยัดอยู่ได้จนถึงยกสุดท้ายเลย แม้นแต่คนเดียว เมื่อ หาคู่ชกในสงขลาไม่ได้ ง่วนยกฟัดก็ออกตระเวนชกตามสังเวียนภูธร เขาเดินทางไป ชกที่ภูเก็ต เจอกับวิชัย วิมานชัย มวยร่างยักษ์ของภูเก็ต ง่วนยกฟัด ก็เอาหมัดขวาทุบวิชัยแดดิ้นไปเพียงแค่ยกแรกเท่านั้น แต่ต่อมาก็เจอกับบันซิงห์ กลันตัน จากมลายู (มาเลเซีย) ง่วนยกฟัดก็ยิงหมัดขวากระแทกมวยมลายูหลับสนิทไปเพียงแค่ยกแรกเช่นกัน แล้ว ถูกจัดให้ขึ้นชิงเสื้อสามารถ ในรายการกุศลพิเศษ เจอกับ สวัสดี ปากพนัง ง่วน ยกฟัด ลุยเข้าถล่มด้วยหมัดขวา มหาประลัย กระแทกสวัสดิ์ คว่ำนับสิบในยกแรก จึงได้เสื้อสามารถ มาครองแบบ เหงื่อยังไม่ทันซึม แล้ว ก็เดินทางไปชกที่เวทีนครศรีธรรมราชเจอกับ แผลง เลือดไชยา ง่วนยกฟัด ก็ซัด แผลงลงไปนอนตีแปลงคายกแรก แล้วก็กลับไปสงขลาพบกับ อนงค์ ศรจันทร์ ก็ใช้เวลา เพียงครึ่งยกตะบันอนงค์ลงไปนอน ฟังกรรมการนับสิบอย่างง่ายดาย เมื่อ เอาชนะคู่ต่อสู้ด้วยการน็อกเพียงแค่ยกแรก ติดต่อถึงห้าคนซ้อน ทางเวทีสงขลาก็เห็นว่า มวยรุ่นยักษ์ของปักษ์ใต้ ต่างก็ ไม่มีใครหาญขึ้น ประลองฝีมือกับ ง่วนยกฟัด อีกแล้ว จึงลงทุนส่งนักมวยชั้นดี จากเวทีราชดำเนิน ไปทดสอบฝีมือกับยักษ์ไหหลำ เพื่อ จะได้พิสูจน์ว่า ง่วนยกฟัด จะก้าวไปสู่ความยิ่งใหญ่ ในเวหามวย เมืองไทยได้ หรือไม่ นัก มวยจากราชดำเนินที่เดินทางไปประลองฝีมือกับ ง่วนยกฟัดที่สงขลาก็คือ แก้ว เลือดเมืองกาญจน์ ซึ่งเคยผ่านการชกที่เวทีราช ดำเนินอย่างโชกโชนมาแล้ว และ ผลการชกก็ปรากฏว่า เพียงแค่นาทีแรกของยกแรกยังไม่พ้นที่ แก้ว เลือดเมืองกาญจน์ จะได้โชว์ฝีมือมวยไทย เข้าต่อกรกับยักษ์ไหหลำ ก็เจอ หมัดขวาของ ง่วนยกฟัด ทุบเข้าตรงปลายคางเพียงที่เดียวเท่านั้น แก้ว ก็ทรุดไปกองกับพื้นเวทีฟังกรรมการนับจนครบสิบไปอย่างง่ายดาย สถิติ การชกในระยะหลังของ ง่วนยกฟัด จึงเพิ่มขึ้นเป็นชนะน็อกในยกแรกติดต่อกันถึง 6 ครั้ง ถือเป็นสถิติที่ไม่เคยมีนักมวยรุ่นใหญ่คนใด เคยทำได้สำเร็จมาก่อน และ มาถึงตอนนี้ ทางสนามมวยสงขลา ก็เห็นว่าถึงเวลาแล้วที่ ง่วนยกฟัด จะได้เดิน ทางมาที่เวทีราชดำเนินเพื่อแสดงพลังหมัดขาวให้ เป็นที่ลือชาในแผ่นดิน สยาม และเพื่อเป็นการพิสูจน์ให้แฟนมวยเมืองกรุงให้เห็นว่า เขาเป็นนักมวย เพียงคนเดียวที่เหมาะสมที่สุดในการก้าวขึ้นไปทลายปราสาทหินพิมาย ที่ยักษ์ สุข ครอบครองอยู่ หัว หน้าคณะใหญ่ ๆในกรุงเทพ ต่างก็ต้องการตัว ง่วนยกฟัด ไปเข้าสังกัด เพราะจากสถิติการชกที่ ผ่านมา ก็เชื่อว่า ง่วนยกฟัด คงจะก้าวขึ้นไปกับ ยักษ์สุข อย่างแน่นอน ซึ่งถ้าหากยักษ์ไหหลำ สามารถคว่ำยักษ์สุขได้สำเร็จก็หมายถึง ชื่อเสียงและเงินรางวัลที่จะติดตามมาเป็นจำนวนมหาศาล และ ปรากฏว่าหัวหน้าคณะ ที่ติดต่อ ง่วนยกฟัด มาเข้าสังกัดในกรุงเทพ ได้สำเร็จก็ คือ นายเด๊ท มิโรซ่า หัวหน้าคณะศรแดง ซึ่งเป็นโอรสเจ้าอาหรับ อุสมาน ศรแดง เป็นดาราประจำ ค่ายอยู่ในขณะนั้น ง่วน ยกฟัด เดินทางมาซ้อมอยู่ที่ค่ายศรแดง ในตรอกต้นปิชา สีลม และซ้อมอยู่ไม่ นาน ก็ได้ขึ้นยกที่เวทีราชดำเนิน ซึ่งก่อนการชกแฟนมวยเคยได้ยินชื่อ เสียง และสถิติการชกของเขา ในหน้าหนังสือพิมพ์มาก่อนแล้ว จึงให้ความสนใจกัน ไม่น้อย และต้องการให้ดูว่า ยักษ์ไหหลำคนนี้จะมีทางก้าวขึ้นไปเจอกับ “ยักษ์สุข” ได้หรือไม่ คู่ ชกของง่วนยกฟัด ในวันนั้นคือ มนตรี ฉวีวงศ์ มวยร่างสูงใหญ่ ซึ่งดังมาจากสุพรรณบุรี เริ่มต้นในยกแรก ง่วน ยกฟัด ดูจะตื่นเวทีราชดำเนิน อยู่ไม่น้อย แต่ก็เป็นฝ่ายเดินเข้าหาแล้ว เหวี่ยงหมัดซ้ายขวาเข้าใส่ ฝ่ายมนตรีก็เตรียมปิดป้อง และตอบโต้ด้วยศอก หมายจะเปิดแผลที่หน้า ยักษ์ ไหหลำให้ได้ หลัง จากเข้าคลุกได้อึดใจเดียว ยังไม่ทันที่หมัดขาวของยักษ์ไหหลำจะสำแดง ฤทธิ์ ให้เห็นประจักษ์ มนตรีก็เกิดไหล่หลุดขึ้นมา อย่างกะทันหัน และขอยอมแพ้น็อกไปอย่างง่าย ดาย เพียงแค่ยกแรกเท่านั้น ทำให้แฟนมวยบ่นกันพึม ว่ายังไม่ทันได้ดูดี ยักษ์ มนตรีก็ลาโรงไปเสียก่อน แบบนกกระจอกไม่ทันกินน้ำ ทาง เวทีราชดำเนินเห็นว่ายักษ์ไหหลำประเดิมชัยได้อย่างงดงามเช่นนั้น ก็รีบจัด ให้ขึ้นชกอีกในเดือนต่อไป เพราะถ้าขืนรอมากไปกว่านี้ ยักษ์สุขก็อาจจะแขวนนวมไปเสียก่อน คู่ ชกคนต่อไปของ ง่วนยกฟัด ก็คือ ทวีเดช สมานนันท์ ยักษ์ใหญ่จากอีสาน เป็นมวย ที่ค่อนข้างจะเชื่องช้ายืดยาด แต่ก็มีความหนักหน่วงทั้งศอกทั้งเข่า และยัง มีความทรหดอดทน เป็นพิเศษ ถ้าง่วนยกฟัด เอาชนะทวีเดชไปได้ โอกาสที่จะได้เจอกับยักษ์สุข ก็ ใกล้เข้ามาทุกที ก่อน การชกในวงการต่อรองก็เชื่อกันว่า ทวีเดช จะต้องตกเป็นเหยื่อกำปั้น ของยักษ์ไหหลำ แน่นอน เพราะสถิติการชกที่ผ่าน มา ของง่วนยกฟัดสามารถชนะน็อกคู่ต่อสู้ได้ในยกแรกมานับสิบครั้ง และมวยที่ อืดอาดเหมือนเรือเกลือ อย่างทวีเดช จะต้องถูกถล่มถึงลงเปลอย่างไม่มีปัญหา แต่ ปรากฏว่า การต่อสู้กลับพลิกหน้ามือเป็นหลังมือ เพราะยักษ์อีสานชูแขน ป้องกัน หมัดของยักษ์ไหหลำไปได้อย่างรัดกุม แล้วก็ตอบได้ด้วยการ ฟันศอกและ แทงเข่าวงในจน ง่วนยกฟัด ไม่สามารถใช้หมัดขวามหาประลัย ได้ถนัด ยก แรกผ่านพ้นไปท่ามกลางความตื่นเต้นของแฟนมวยที่ได้เห็นทวีเดช รอดพ้นจากการ ถูกน็อกในยกแรกไปได้ เมื่อขึ้นยกที่สอง ทวีเดช ก็คงใช้วิธีการ ในแบบเดิมคือ ยกแขนขึ้นป้องกันหมัด แล้วก็รุกเข่าประชิดและโจมตีด้วยการฟันศอกแล้วถล่ม ด้วยเขาอย่างหนัก ง่วนยกฟัด ไม่เคยเจอการต้านทานอย่างเหนียวแน่นแบบนี้ก็ เริ่มหันรีหันขวางและเมื่อขึ้นยกสาม ง่วนยกฟัดก็ถูกปล้ำตีเข่าจนหมด แรง เพราะเคยชกมาเพียงยกเดียวก็ชนะน็อกก็ไม่เคยยืดเยื้อมาถึงขนาดนี้ และอีก สองยกสุดท้าย ง่วนยกฟัด ก็ตกเป็นฝ่ายรับการโจมตี อย่างเดียว หมัดขวาไม่มี โอกาสคลำถูกเป้าหมายเลย จนกระทั่งยกสุดท้าย สิ้นสุดลง ง่วนยกฟัดก็ถูกตัดสิน ให้แพ้คะแนน เป็น การพ่ายแพ้เป็นครั้งแรกในชีวิต ง่วนยกฟัด ก้าวลงจากเวทีด้วยความผิดหวัง และ แทนที่ยักษ์ไหหลำจะมุมานะฟิตซ้อม เพื่อกู้ชื่อขึ้นมาใหม่ ง่วนยกฟัดกลับ ประกาศแขวนนวม และเดินทางกลับสงขลา โดยไม่คิดที่จะกลับสู่สังเวียนอีกต่อไป เขาก็ตั้งค่ายมวยชื่อ “ส.ยก ฟัด” ส่งลูกศิษย์ขึ้นชกที่ปักษ์ใต้หลายคน ส่วนตนเองก็หันไปประกอบอาชีพใหม่ เป็น เจ้าของร้านซ่อมจักรยาน เมื่อค่ายมวยต้องสลายตัวไปตามกาลเวลา ง่วนยกฟัด ก็ ไม่ได้กลับคืนสู่วงกาลมวย อีกเลย * * * * * * * * * * แห ม๋...ได้อ่านเรื่องราว ของ ง่วนยกฟัด แล้วสนุกไหม๋ครับ ซึ่งเป็นนักต่อสู้ อย่างแท้จริง ต่อมาลูก ๆ บางคนก็ได้ข่าวว่า ไปอยู่เมืองนอก บางคนก็เป็นอาจารย์สอนในมหาวิทยาลัย และ บางคนก็มาเปิดร้านขายอาหาร ชื่อร้านข้าวหมูแดงแสงทอง ขายอาหารประเภท ข้าว หน้าเป็ด ข้าวหมูแดงหมูกรอบ ข้าวขาหมู ก๋วยเตี๋ยว ชา กาแฟ โอเลี้ยง ฯลฯ เอ้า..ผมขอเชิญไปรับประทาน ผมไปมาแล้ว อร่อยครับ แต่ก็มีคนถามว่า ร้าน ข้าวหมูแดงแสงทอง เป็นเจ้าแรกหรือไม่ อันนี้ผมตอบไม่ได้ว่าเป็นร้านแรกหรือ ไม่ แต่ตอบได้แต่เพียงว่า ร้านนี้เปิดมานานมากแล้ว และถือว่าเป็นร้านเก่า แก่ของเมืองสงขลา
http://narongthai.com/chee39.html
จากคุณ |
:
EZ2DJ
|
เขียนเมื่อ |
:
14 พ.ย. 53 06:07:27
|
|
|
|
 |