Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
TIA Column : Bob Paisley...ชายผู้ยิ่งใหญ่ในหัวใจ The kop ตลอดกาล ติดต่อทีมงาน

วันที่ 14 กุมภาพันธ์เวียนกลับมาบรรจบครบรอบปีครั้งใด ทุกคนสามารถตอบได้ว่า นี่คือวันวาเลนไทน์ วันแห่งความรัก คงจะมีแต่ The kop เท่านั้นที่รู้ว่า นี่ไม่ใช่วันแห่งความรักเท่านั้น แต่ยังเป็นวันแห่งความสูญเสียด้วย

...14 กุมภาพันธ์ 1996 ชายผู้หนึ่งได้จากโลกนี้ไป ชายคนนั้นเป็นที่เคารพรักของผู้คนนับล้าน คนที่รักทีมฟุตบอลที่ชื่อว่า "ลิเวอร์พูล" ชายคนนั้นชื่อ บ๊อบ เพสลีย์ อดีตผู้จัดการทีมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งในวงการฟุตบอลอังกฤษ แน่นอนว่า เราเกิดไม่ทันได้สัมผัสทีมรักในสมัยที่เพสลีย์คุมทีม แต่โชคดีที่มีโอกาสได้อ่านอัตชีวประวัติของเขา และต้องบอกว่า มันน่าทึ่งมาก

บ๊อบ เพสลีย์ เป็นชาวจอร์จี้ เกิดในหมู่บ้านชาวเหมือง ห่างจากซันเดอร์แลนด์ไป 7 ไมล์ เขาเป็นลูกคนที่ 2 ของบ้าน และเป็นคนรักกีฬามาตั้งแต่เด็ก แต่ครอบครัวของเขาอยู่อย่างลำบาก และไม่ค่อยจะมีเงินมากนัก ดังนั้นก็ลืมไปได้เลยที่จะมีโอกาสเป็นเจ้าของลูกฟุตบอลซักลูก เพสลีย์ต้องไปขอ "กระเพาะหมู" จากลุงที่ทำงานในโรงฆ่าสัตว์ เอามาเป่าลมแล้วใช้แทนลูกฟุตบอล ...เขาเตะ "กระเพาะหมู" ข้างถนนเป็นประจำ จนมีฝีมือมากพอจะเข้าร่วมกับทีมของโรงเรียนได้

เพสลีย์อยากเป็นนักเตะซันเดอร์แลนด์ เมื่อโตขึ้น เขาจึงไปทดสอบฝีเท้าที่นั่น แต่โชคดี(ของลิเวอร์พูล อิอิ) ที่โค้ชของซันเดอร์แลนด์บอกว่า เขาตัวเล็กเกินไป หลังจากนั้นเขาไปทดสอบกับวูล์ฟ คำตอบก็ยังเหมือนที่ซันเดอร์แลนด์ แต่ในที่สุดฝีเท้าของเขาก็ไปสะดุดตาแมวมองทีมสมัครเล่นที่ชื่อว่า บิชอป ฮ๊อคแลนด์ เขาเล่นบอลในตำแหน่งแบ็คซ้าย เข้าบอลหนักเสมอ และยังเป็นคนคิดวิธีการทุ่มไกลด้วย (อันนี้อึ้งมากตอนที่อ่าน) หลังจากโชว์ฟอร์มได้ดี เขาจึงเป็นที่สนใจของสโมสรชั้นนำ ซันเดอร์แลนด์กลับมาหาเขาอีกครั้ง แต่เขาปฏิเสธเพราะให้สัญญา จอร์จ เคย์ ผู้จัดการทีมลิเวอร์พูลไปแล้วว่าจะย้ายไปอยู่ด้วย

วันที่ 8 พฤษภาคม 1939 บ๊อบ เพสลีย์ในวัย 20 ปี เดินทางมาลิเวอร์พูล เริ่มต้นความสัมพันธ์ 44 ปีกับสโมสรที่เขาสร้างความสำเร็จมากมาย และเป็นสโมสรสุดท้ายในชีวิตของเขา

แต่ยังไม่ทันไร ความวุ่นวายก็เกิดขึ้น สงครามโลกครั้งที่ 2 ทำให้เพสลีย์ต้องเลื่อนการเป็นนักเตะอาชีพไปถึง 6 ปี แทนที่เขาจะได้ลงไปต่อสู้ในสนามฟุตบอล เขากลับต้องไปสนามรบแทน เขาถูกเกณฑ์ทหารในเดือนตุลาคม ปี 1939 หลังจากนั้น เขาประจำการที่ค่ายในอังกฤษหลายแห่ง ซึ่งทำให้เขายังมีโอกาสจะได้กลับมาเล่นฟุตบอลที่สโมสรลิเวอร์พูลบ้าง คือ ลำบากแค่ไหนก็ยอม ขอให้ได้เล่นเท่านั้น ซึ่งเขาได้เล่นให้ลิเวอร์พูลไป 33 นัด ยิง 10 ประตู ไม่เลวเลยใช่มั้ยคะ ...แต่ที่สุด เขาก็ถูกส่งตัวไปอียิปต์ และอยู่ต่างประเทศนานถึง 4 ปี แต่ถึงจะไม่ได้ลงเล่นกับลิเวอร์พูล แต่เขาก็ยังเล่นกีฬาเสมอในค่ายทหารนั่นเอง และหลังสงครามถึงได้กลับมาเปิดตัวอย่างเป็นทางการในฤดูกาล 1945-1946 เขาได้เล่นร่วมกับบิลลี่ ลิดเดล, ลอรี่ ฮิวจ์ส, เรย์ แลมเบิร์ต

ในสมัยนั้น ผู้จัดการทีมไม่ได้มีอำนาจสิทธิ์ขาดในทีมเหมือนอย่างสมัยนี้ แม้แต่การจัดตัวผู้เล่น บอร์ดบริหารก็ยังเข้ามาแทรกแซงเป็นประจำ ลิเวอร์พูลได้ชิงเอฟ เอ คัพในปี 1950 และเพสลีย์ถูกตัดชื่ออกจากทีม เพราะบอร์ดบริหารแทรกแซงจอร์จ เคย์ เขาผิดหวังมาก และลิเวอร์พูลก็ชวดแชมป์ในที่สุด โดยที่เพื่อนร่วมทีมหลายคนถึงกับออกปากว่า ถ้ามีเพสลีย์ ต้องชนะแน่ๆ ความขมขื่นในครั้งนี้เกือบทำให้เพสลีย์ย้ายทีม แต่หลังจากคิดทบทวนดู เขาก็เปลี่ยนใจ เพราะถึงไปอยู่กับทีมอีกก็ไม่ได้รับประกันว่า จะไม่ถูกตัดชื่อแบบนี้อยู่ดี เขาจึงอยู่ต่อ และมีโอกาสได้เป็นกัปตันทีมด้วยในฤดูกาลถัดมา

ประสบการณ์การถูกตัดชื่อจากทีมนี้ เพสลีย์นำมาใช้ด้วยในตอนที่เป็นผู้จัดการทีม เขาเข้าใจความรู้สึกของนักเตะที่จะต้องถูกตัดชื่อเป็นอย่างดี เพราะเขาผ่านความรู้สึกนั้นมาแล้ว แต่การจัดการทีมที่ดี นักเตะคนใดคนหนึ่งจะสำคัญไปกว่าทีมไม่ได้เป็นอันขาด นี่เอง ถึงเป็นที่มาของคำว่า "ไม่มีนักเตะคนไหนใหญ่ไปกว่าสโมสร" ทั้งหมดมันเกิดมาจากเพสลีย์ เพราะแม้แต่ปู่แชงค์ที่ว่าห้าวๆ ก็ยังมีความผูกพันกับนักเตะชุดแรกๆที่เขาเข้ามาคุมทีม และไม่ค่อยจะหานักเตะเด็กๆมาเสริมทีม จนเพลสีย์ต้องเตือนว่า มันถึงเวลาต้องถ่ายเลือดนักเตะแล้ว

ลิเวอร์พูลตกชั้นในปี 1954 และบ๊อบ เพสลีย์ก็ตัดสินใจเลิกเล่น เขาเล่นให้ลิเวอร์พูลไป 278 นัด ยิงประตู 13 ลูก ตอนแรกเขาคิดจะกลับไปเป็นช่างก่ออิฐที่บ้าน แต่เขาสนใจวิชากายภาพบำบัดมานานแล้ว และมีความรู้ในเรื่องนี้ดีพอ เมื่อประธานสโมสรเรียกเขาไปพบเพื่อถามว่าอยากย้ายทีมมั้ย เขาตอบไปว่า ไม่อยากไปเล่นที่อื่น ถ้ามีงานโค้ช เขาก็อยากทำ เพราะมีความรู้เรื่องกายภาพบำบัด ในที่สุด บ๊อบ เพสลีย์ก็ได้เป็นสต๊าฟโค้ชทีมสำรองสมใจ

บทบาทการเป็นนักกายภาพบำบัดของเพสลีย์นั้นไม่ธรรมดาเลยทีเดียว เพียงแค่มอง ตรวจอาการเบื้องต้น เขาก็สามารถบอกได้ทันทีว่า อาการบาดเจ็บนั้นคืออะไร สมัยที่ปู่แชงค์มาคุมทีม นิสัยอย่างหนึ่งของเขาก็คือ "กลัวนักเตะบาดเจ็บ" ถ้าใครได้รับบาดเจ็บ ปู่แชงค์จะไม่พูดด้วยเลย บ๊อบจะบอกนักเตะทุกคนว่า ถ้าเจ้านาย(ปู่แชงค์) ถามว่าอาการเป็นยังไงบ้าง ให้ตอบไปว่า สบายดี หายแล้ว ซึ่งที่จริงปู่แชงค์เองก็ดูออกว่านักเตะเจ็บ แต่การพูดแบบนั้น เป็นจิตวิทยาอย่างหนึ่งที่จะทำให้แชลค์ลีย์ใจเย็น และสงบลง เพราะมันเป็นการแสดงออกมาว่า นักเตะมีความกระตือรือร้นที่จะเล่นให้ทีม และบ๊อบจะเป็นคนรับหน้ากับทุกเรื่องก่อนจะถึงมือปู่แชงค์ นับว่าเป็นผู้ช่วยผู้จัดการทีมที่สุดยอดจริงๆ แม้เมื่อเป็นผู้จัดการทีม เขาก็ทำโดยไม่เซ็นสัญญากับสโมสร จนบอร์ดบริหารต้องอ้อนวอนให้เขาเซ็นสัญญาเป็นเวลา 7 ปี ซึ่งบ๊อบ ให้เหตุผลว่า

"ผมไม่ต้องการสัญญาอะไร เพราะผมคิดว่า แค่ตั้งใจทำงานก็พอแล้ว แต่ถึงได้สัญญาก็ไม่ได้แปลว่า ผมจะละเลยงานเพราะถือว่ามีสัญญาผูกมัดแล้ว ผมก็จะยังคงทุ่มเทให้งานเหมือนเดิม"

พระเจ้าจอร์จ หัวใจหล่อมากกกกกก

ถ้าเราดูรูปเก่าๆของบ๊อบ เพสลีย์ เราทุกคนน่าจะเห็นตรงกันว่า เขาเหมือน "คุณลุงใจดี" ...ใช่ เขาดูสงบและเหมือนจะใจดี แต่ทุกคนที่อยู่ใกล้ชิดเขาต่างรู้ว่า เขาเป็นคนเด็ดขาดมาก อาจจะมากกว่าแชงค์ลีย์ด้วยซ้ำ ปู่แชงค์จะดูโผงผาง บ๊อบจะดูนิ่ง นุ่มนวล แต่เขาฉลาดสุดๆ เป็นที่ปรึกษาชั้น 1 ของแชงค์ลีย์ และในยามที่เขาต้องเข้ามารับบาทบาทเป็นผู้จัดการทีมลิเวอร์พูลแทนแชงค์ลีย์ เขาก็ยังคงอ่อนน้อมเหมือนเดิม ใช้ชีวิตเหมือนเดิม ที่สำคัญ ติดติดที่สุด

เคยอ่านหนังสือฟาวเลอร์ที่เขาประทับใจ คิง เคนนี่ตอนขับรถพาเขาไปส่งบ้าน แต่เพสลีย์เองก็ไม่ต่างกัน เขาไปรับมาร์ค ลอว์เรนสัน มาเซ็นสัญญากับลิเวอร์พูลด้วยตัวเองในชุดเสื้อกันหนาวกับรองเท้าแตะ !!! ...รู้เลยว่า วิธีคิดและทัศนคติของคิง เคนนี่ ได้รับมาจากใคร หุหุ

สิ่งหนึ่งที่เชื่อว่า เพสลีย์อาจจะผิดหวังมากไม่แพ้การชวดแชมป์ในบางปี คือ การไม่ได้จับคู่ เคนนี่ ดัลกลิช กับ เควิน คีแกน เพราะเขาไม่ได้ตั้งใจจะซื้อเคนนี่มาแทนคีแกน แต่อยากให้ทั้งคู่ได้เล่นร่วมกันมากกว่า และเพสลีย์ไม่เคยได้เห็น อย่างเช่นที่ไม่มีใครได้เห็น บ๊อบบอกไว้ว่า "ถ้ามีเคนนี่คู่กับคีแกน เขาก็ไม่ต้องคิดอะไรแล้ว แค่จัดอีก 9 ตำแหน่งแล้วนั่งรอถ้วยแชมป์ได้เลย"

...ถึงจะดูเป็นคุณลุงใจดี แต่คำพูดก็ใช่เล่นนะ...หลายครั้งที่คำพูดของเขาทำให้เรานิ่งอึ้งได้ เพราะมันก็เชือดเฉือนไม่น้อย เช่น นักข่าวเคยถามเพสลีย์ว่า

"ถ้าทีมของคุณมีฮอดเดิ้ลอยู่ด้วย จะช่วยให้ทีมของคุณดูมีระดับขึ้นมั้ย" (ฮอดเดิ้ลเพิ่งจะยิงลิเวอร์พูลอย่างสุดสวยไป)

เพสลีย์ตอบว่า

"นักเตะที่จะได้ชื่อว่าเล่นอย่างมีระดับได้นั้น ต้องเป็นนักเตะที่ดีให้ได้เสียก่อน"

...ตึงงงงง แรงม๊ะ เหอะๆ จะว่าไปก็เป็นต้นแบบให้เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน เอาเป็นแบบอย่างในการเล่นกับสื่อ และใช้สื่อให้เป็นประโยชน์เหมือนกัน

และแน่นอนว่า เคนนี่ก็รับมาเต็มๆ อิอิ

การวางแผนการเล่นและแก้เกมของเพสลีย์นั้น ถือได้ว่าอยู่ในระดับสุดยอด เขาไม่ค่อยจะใช้ตัวสำรอง ปีที่ใช้นักเตะเยอะที่สุด เขาใช้เพียงแค่ 16 คนเท่านั้น แต่ถ้านัดไหนที่เขาเปลี่ยนตัว มักจะทำให้เกมเปลี่ยนได้เสมอ และกว่า 80% ทำให้ทีมสามารถยิงประตูได้และชนะในที่สุด แต่ก็ใช่ว่าลิเวอร์พูลจะเล่นดีทุกเกมของเพสลีย์ ในวันที่เล่นไม่ดีและแพ้ เพสลีย์จะไม่ดุด่าลูกทีมรุนแรง แต่คำพูดของเขาจะทำให้ลูกทีมรู้สึกฮึดกลับมาได้ทุกครั้ง เขาจะไม่พูดจาเสียดัง เขาบอกว่า การพูดเสียงไม่ดังนัก จะทำให้คนตั้งใจฟังมากกว่าพูดเสียงดัง (เอากะเขาสิ) ลิเวอร์พูลเคยร่วงลงไปอยู่อันดับ 12 แต่สุดท้ายเป็นแชมป์ลีก ไม่ใช่เพราะนักเตะของเราเก่งและอึดอย่างเดียว และไม่ใช่งานง่ายเลย บอกได้เลยว่าทุกแชมป์ของลิเวอร์พูลได้มาด้วยความยากลำบากทั้งนั้น แม้ที่เราเคยเห็นมันจะดูสวยสดงดงาม แต่นักเตะต้องทุ่มเทกันอย่างหนัก สต๊าฟโค้ชคิดค้นหาวิธีการเอาชนะกันหัวแทบแตก ต้องใช้ความอดทนอย่างสูง ที่สำคัญกว่านั้น ซึ่งเป็นสิ่งที่เพสลีย์ให้ความสำคัญมากที่สุดคือ "ทีมสปีริต"

ทีมสปีริต คือ หัวใจสำคัญของความสำเร็จของลิเวอร์พูล แฮนเซ่นบอกว่า ที่ลิเวอร์พูล ไม่ว่าใครจะยิ่งใหญ่มาจากไหน บ๊อบ เพสลีย์จะไม่ยอมให้ใครมาเด่นเกินทีม เพราะทีมคือสิ่งที่สำคัญที่สุด เขาไม่เคยใจอ่อนกับนักเตะสูงวัย ไม่ว่าจะรับใช้สโมสรมายาวนานแค่ไหน ถ้าถึงเวลาต้องตัดออกจากทีม เขาก็จะทำโดยไม่ลังเล ทุกคนต้องพร้อมเสียสละเพื่อทีม ใครที่อดทนเพื่อทีมไม่ได้ก็ต้องออกไป มันทำให้ทีมมีความเป็นหนึ่งเดียว (อย่างที่เรากำลังจะได้เห็นเคนนี่ทำในตอนนี้)

ตอนที่โจ ฟาแกนลาออกไปและเคนนี่ ดัลกลิช ต้องรับหน้าที่เป็นผู้เล่น-ผู้จัดการทีม เพสลีย์กลับมาช่วยเป็นที่ปรึกษาให้คิง เคนนี่ ถึง 2 ปี ...เป็น 2 ปีที่ไม่ได้เป็นประโยชน์ต่อเคนนี่เท่านั้น แต่มันได้ส่งผลมาถึงลิเวอร์พูลด้วย ทั้งในตอนนั้นและแน่นอนว่าตอนนี้ด้วย...จริงมั้ยล่ะคะ

อยากจะบอกว่า สิ่งที่บ๊อบ เพสลีย์ เคยทำให้ลิเวอร์พูลไม่เคยจางหายไป มันยังคงอยู่ในความทรงจำ เป็นส่วนหนึ่งของประวัติศาสตร์ และวิถีทางแบบลิเวอร์พูลที่เขากับแชงค์ลีย์ปลูกฝังไว้ จะยังคงอยู่คู่กับสโมสรตลอดไปผ่านจากรุ่นสู่รุ่น บางช่วงเวลา อาจดูเหมือนจะหมดสิ้นไป แต่แท้จริงแล้ว มันไม่เคยเลือนหาย มันยังคงอยู่ในตัวตนของผู้คนในแอนฟิลด์ เมลวู้ด และลิเวอร์พูล ...ในวันนี้ เราจะได้เห็นผ่านคิง เคนนี่ วันข้างหน้า เราอาจได้เห็นมันผ่านเจมี่ คาร์ราเกอร์หรือสตีเว่น เจอร์ราร์ด และต่อไป อาจจะเป็นมาร์ติน เคลลี่

สุดท้ายนี้ มันยากเหลือเกินที่จะถ่ายทอดความเป็นบ๊อบ เพสลีย์ ...มันอาจจะง่ายกว่า ถ้าจะบอกว่า วิถีแห่งแอนฟิลด์นี่แหละ คือ วิถีที่มาจากตัวตนส่วนหนึ่งของผู้จัดการทีมที่ยิ่งใหญ่ที่สุดคนหนึ่งของลิเวอร์พูล

(เซอร์) บ๊อบ เพสลีย์

แก้ไขเมื่อ 16 ก.พ. 54 12:01:53

แก้ไขเมื่อ 16 ก.พ. 54 00:38:05

 
 

จากคุณ : howk_ky
เขียนเมื่อ : 16 ก.พ. 54 00:36:52




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com