 |
การใช้สารกระตุ้นในพรีเมียร์ลีก
กลายเป็นข่าวฮือฮาทันที หลังจาก โคโล่ ตูเร่ เซนเตอร์แบ็กทีมชาติไอวอรี่โคสต์ ของสโมสร "เรือใบสีฟ้า" แมนเชสเตอร์ ซิตี้ แห่งพรีเมียร์ลีก อังกฤษ ไม่ผ่านการตรวจสารกระตุ้น และถูกแบนแบบไม่มีกำหนด จนกว่าจะได้ข้อสรุปในกรณีนี้
แม้จะไม่ใช่ครั้งแรกที่เกิดเรื่องโด๊ปในลีกเมืองผู้ดี แต่มันก็นานมากแล้วหากถอยหลังไปดูรายสุดท้ายที่เจอข้อหานี้ คือ ฌอน นิวตัน กองกลาง เวสต์แฮม ยูไนเต็ด เขาโดนแบน 7 เดือน เมื่อเดือนเมษายน 2006 เพราะใช้โคเคนในเกมรอบรองชนะเลิศ เอฟเอ คัพ กับ มิดเดิ้ลส์โบรช์ แม้ไม่ถูกขับออกจากสโมสร แต่ก็หมดอนาคต เพราะหลังพ้นโทษ เขามีโอกาสลงสนามอีก 5 เกม ก่อนถูกส่งให้ไปอยู่ เลสเตอร์ ซิตี้ แบบยืมตัวจนจบฤดูกาล 2007-08 แม้ได้สัญญาถาวรกับทีม "สุนัขจิ้งจอก" แต่โดนยกเลิกหลังจากนั้น 6 เดือน หลังเล่นเพียงแค่ 10 แมตช์เท่านั้น ต่อมาก็ตกงานจนถึงปัจจุบัน
อาเบล ซาเวียร์ อดีตแบ๊กขวาทีมชาติโปรตุเกส เคยสร้างประวัติศาสตร์อื้อฉาวสมัยอยู่กับสโมสร "สิงห์แดง" มิดเดิ้ลส์โบรช์ เมื่อเดือนพฤศจิกายน 2005 ด้วยการเป็นนักเตะรายแรกของพรีเมียร์ลีก ที่จงใจโด๊ปเพื่อเพิ่มประสิทธิภาพในการลงเล่น ด้วยการใช้สาร เมธานโดรสเตโนโลน (หรือ เดียนาบอล) ไม่ใช่เหตุบังเอิญจากการใช้ยา หรือมาจากยาเสพติด จนถูกสหพันธ์ฟุตบอลยุโรป (ยูฟ่า) สั่งแบน 12 เดือน แต่กลับไม่โดนต้นสังกัดยกเลิกสัญญา และอยู่กันจนจบฤดูกาล 2006-07
อาเดรียน มูตู อดีตกองหน้าทีมชาติโรมาเนีย สร้างเรื่องฉาวสมัยเป็นนักเตะ เชลซี เขาถูกตรวจพบว่าใช้โคเคน เมื่อเดือนกันยายน 2004 จนต้องโทษแบน 7 เดือน และปรับอีก 20,000 ปอนด์ (ราว 978,200 บาท) จากสมาคมฟุตบอลอังกฤษ (เอฟเอ) ก่อนจะโดนต้นสังกัดยกเลิกสัญญา ล่าสุดดาวเตะวัย 32 ปี ซึ่งย้ายไปอยู่ "ม่วงมหากาฬ" ฟิออเรนติน่า สโมสรในกัลโช่ เซเรีย อา อิตาลี เพิ่งพ้นโทษแบน 6 เดือน (จากตอนแรกคือ 1 ปี) โดยคณะกรรมการโอลิมปิกอิตาลี (โคนี่) หลังถูกตรวจพบสารต้องห้ามประเภท ซิบูทรามีน จากเกมโคปปา อิตาเลีย กับ ลาซิโอ เมื่อ 20 ม.ค. 2010
ก่อนหน้านั้นก็มีนักเตะเชลซีอีกรายที่มีปัญหาเรื่องนี้คือ มาร์ค บอสนิช อดีตผู้รักษาประตูทีมชาติออสเตรเลีย เรื่องเกิดขึ้นเมื่อเดือนกันยายน 2002 เพราะตรวจพบว่าใช้โคเคนเช่นกัน และโดนแบน 9 เดือน เป็นสถิตินักเตะที่ถูกเอฟเอสั่งพักแข้งในกรณีนี้นานสุดจนถึงปัจจุบัน และเชลซีจัดการโละเจ้าของตำแหน่งผู้เล่นยอดเยี่ยมแห่งปี 1997 ของโอเชียเนีย และมีค่าเหนื่อยถึงสัปดาห์ละ 45,500 ปอนด์ (ราว 2,225,405 บาท) ออกจากสโมสรไปตามระเบียบ
ส่วนเจ้าของสถิตินักเตะพรีเมียร์ลีกรายแรกที่โดนแบนเพราะโด๊ป คือ คริส อาร์มสตรอง สมัยเป็นกองหน้า คริสตัล พาเลซ เมื่อเดือนมีนาคม 1995 ตอนนั้นถูกพบว่าเสพกัญชา แต่โดนแบนแค่ 1 เดือนเท่านั้น และกลับมาช่วยต้นสังกัดลุ้นหนีตกชั้นหลังผ่านการเช้าโปรแกรมบำบัด ฤดูกาล 1994-95 เขายิงไป 16 ประตู แต่ไม่สามารถช่วยให้พาเลซอยู่รอดได้สำเร็จ แต่หลังจากนั้นมีโอกาสย้ายเข้าสังกัด ท็อตต์แน่ม ฮ็อตสเปอร์ กับ โบลตัน วันเดอเรอร์ส ตามลำดับ
ปีเดียวกันนั้น ลี โบว์เยอร์ ซึ่งเพิ่งเซ็นสัญญาเป็นนักเตะอาชีพกับ ชาร์ลตัน แอธเลติก สโมสรดิวิชั่น 1 (ลีกอันดับ 2) เพียงแค่ฤดูกาลเดียว และ ดีน แชนด์เลอร์ เพื่อนร่วมทีม ถูกพบว่าเสพกัญชา จนโดนแบน 8 สัปดาห์ และต้องเข้าโปรแกรมบำบัดที่จัดให้โดยเอฟเอ แต่ทำให้รายแรกหลุดโผจากทีมชาติอังกฤษ ชุดอายุต่ำกว่า 18 ปี ปัจจุบันโบว์เยอร์ค้าแข้งมา 18 ปีแล้ว โดยอยู่กับ เบอร์มิงแฮม ซิตี้ และเป็นเจ้าของสถิติได้ใบเหลืองมากสุดในพรีเมียร์ลีก ขณะแชนด์เลอร์ยังคงลงเตะในระดับสมัครเล่น
ริโอ เฟอร์ดินานด์ เซนเตอร์แบ๊กทีมชาติอังกฤษ ของสโมสร แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ก็เคยมีประสบการณ์โดนแบน 8 เดือนมาแล้วเช่นกัน แถมถูกเอฟเอสั่งปรับ 50,000 ปอนด์ (ราว 2,445,500 บาท) เมื่อเดือนกันยายน 2003 ไม่ใช่เพราะโด๊ปยา แต่เนื่องจากไม่ยอมเข้าตรวจสารกระตุ้นตามนัด อย่างไรก็ตาม หลังจากนั้นเฟอร์ดินานด์ก็กลับมาคว้าแชมป์ลีก 3 ครั้งกับ "ปีศาจแดง" ตามด้วยซิวทั้งแชมป์สโมสรโลก กับ ยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก ในปี 2008 แถมได้สวมปลอกแขนกัปตันทีมชาติอังกฤษอีกต่างหาก
นอกจากอังกฤษ และวงการลูกหนังแล้ว ยังมีพ่อค้าแข้งในหลายประเทศ เช่น เอ็ดการ์ ดาวิดส์, ดิเอโก้ มาราโดน่า, แฟร้งค์ เดอ บัวร์, เฟอร์นานโด เคาโต้, อิบราฮิม ทังโก้, เรเน่ ฮิกิต้า, โรมาริโอ, ยาป สตัม, เอกอร์ ติตอฟ, แบร์กนาร์ ลาม่า และ คริสโตฟ ดูการ์รี่ รวมถึงนักกีฬาประเภทอื่นทั่วโลก ทั้งจักรยาน, กรีฑา, อเมริกันฟุตบอล, ยกน้ำหนัก, บาสเก็ตบอล, ว่ายน้ำ, ยิงปืน, ปีนเขา, รักบี้, มวยปล้ำ, เบสบอล, สกี หรือเทนนิส ต่างเคยโดนลงโทษเพราะการเสพสารต้องห้าม หรือยาเสพติดกันมาแล้ว แม้แต่ม้าแข่ง ยังเคยถูกมนุษย์ใข้เป็นเครื่องมือในการโกงกันเอง บางรายเป็นแชมป์โลก แชมป์โอลิมปิก ครองสถิติโลก ก็ถูกริบแชมป์ ยกเลิกสถิติ และโดนตราหน้าไปตลอดว่าเคยทำให้กีฬาที่พวกเขาลงเล่น ต้นสังกัด รวมทั้งชาติบ้านเกิด ต้องมัวหมองเพราะกิเลสส่วนตัว ด้วยอารมณ์ความคิดเพียงชั่ววูบ
เรื่องของตูเร่นั้นเพิ่งมีการประกาศผลตรวจครั้งแรก เพราะฉะนั้นเขายังมีโอกาสรอด หากผลตรวจอีกหนไม่เหมือนเดิม แม้เปอร์เซนต์จะน้อย แต่ใช่ว่ามืดมนจนหมดหนทาง เราจึงควรรอการตัดสินชี้ขาดเสียก่อน และตอนนี้ต้องถือว่าผู้ต้องสงสัยยังบริสุทธิ์
ที่เอ่ยถึงทั้งหมดนี้เพื่อให้เห็นว่า บางครั้งเราก็ผิดพลาดได้ แต่ขึ้นอยู่กับคนๆนั้นด้วยว่าจะเรียนรู้จากประสบการณ์ที่เกิดขึ้นมากหรือน้อยแค่ไหน บางรายมีโอกาสกลับมายิ่งใหญ่ในวงการ หรือรักษาอาชีพตัวเองไว้ได้ แต่ผู้เล่นอีกจำนวนไม่น้อยที่การใช้สารกระตุ้นเพียงชั่วเวลาหนึ่ง ทำให้ทั้งชีวิตต้องพัง ขนาดเป็นนักกีฬาที่มีทุกอย่าง ทั้งเงินทอง ชื่อเสียง เกียรติยศ ยังเสียอนาคตเพราะไปยุ่งกับยาเสพติด หรือสารต้องห้าม ดังนั้นเราก็ควรหลีกห่างกับสิ่งเหล่านี้ให้ไกล เพราะใช่ว่าเราจะโชคดีได้กลับสู่ทางที่ถูกต้องเหมือนกันทุกคน
http://www.siamsport.co.th/Column/110304_137.html
จากคุณ |
:
still solo one
|
เขียนเมื่อ |
:
6 มี.ค. 54 10:48:07
|
|
|
|
 |