ชัยชนะของ "ปีศาจแดง" ที่มีเหนือชาลเก้นั้นไม่ได้สร้างกระแสอะไรมากมายนัก เพราะก่อนลงสนามลูกทีมของเซอร์อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ก็เป็นต่ออยู่แล้วแม้ว่าจะเล่นเป็นทีมเยือน
ถ้า "ราชันสีน้ำเงิน" ไม่มี มานูเอล นอยเออร์ เฝ้าเสา ป่านนี้สกอร์อาจจะขาดลอยกว่าที่เป็นอยู่ เพราะรูปเกมสู้กันไม่ได้จริงๆ ส่วนตัวเชื่อว่าไม่น่าจะมีปาฏิหาริย์ใดๆ สำหรับลูกทีมของราล์ฟ รังนิก ในเกมที่จะยกพลมาเยือนโอลด์ แทรฟฟอร์ดในสัปดาห์หน้า
ถึงตรงนี้ก็ขอตัดฉับไปถึง "เอล กลาสิโก้" นัดที่ 3 ในรอบ 2 สัปดาห์กันดีกว่า เพราะแม้จะจบด้วยสกอร์ 0-2 เหมือนคู่แรก แต่เกมนี้มีประเด็นร้อนเกิดขึ้นมากมายทั้งในระหว่างเกมและหลังจบเกมซึ่งจบลง ด้วยการที่เรอัล มาดริดเหลือผู้เล่นแค่ 10 คนอีกครั้ง
พระเอกใน "Battle of Bernabeu" เมื่อคืนวันพุธที่ผ่านมาคงเป็นใครไปไม่ได้นอกจาก ลีโอเนล เมสซี่ ที่เหมาคนเดียว 2 ประตูให้บาร์ซ่าเหยียดขาข้างหนึ่งเข้าไปรอในนัดชิงที่เวมบลีย์
ไม่มีใครปฏิเสธว่าดาวเตะชาวอาร์เจนไตน์รายนี้คือกองหน้าที่ทรง ประสิทธิภาพที่สุดของโลกในชั่วโมงนี้ พิสูจน์ได้จากผลงานการซัดไปแล้ว 52 ประตู (ในทุกถ้วย) ทั้งที่ยังไม่ทันจะจบฤดูกาล 2010-11 ซึ่งรวมถึง 11 ประตูในศึกแชมเปี้ยนส์ ลีกด้วย
อย่างไรก็ตาม ก่อนที่ เปเป้ จะโดนใบแดงไล่ออกจากสนามในครึ่งหลัง เมสซี่ แผลงฤทธิ์ไม่ค่อยจะออก แต่ทันทีที่เรอัล มาดริดเหลือผู้เล่นแค่ 10 คน ศูนย์หน้าร่างเล็ก ก็สร้างความปั่นป่วนให้แนวรับของเจ้าถิ่นได้เป็นระลอกๆ
ใครที่ได้ชมเกมนี้คงจะเห็นตรงกันว่าขาดความไหลลื่นเพราะเรอัล มาดริด เน้นตั้งรับและหาจังหวะโต้กลับเร็ว (ทั้งที่เป็นเจ้าถิ่น) แถมยังทำฟาวล์ตัดเกมอยู่ตลอดเวลา แต่บางครั้งก็ต้องยอมรับว่าผู้เล่นบาร์ซ่าออกลูกสำออยใช่ย่อยเหมือนกันทั้ง เปโดร, ดาเนี่ยล อัลเวส และ เซร์คิโอ บุสเก็ต
เอ็มมานูเอล อเดบายอร์ หัวหอกเรอัล มาดริด ให้สัมภาษณ์หลังจบเกมว่า "ฟุตบอลเป็นเกมของลูกผู้ชาย แต่เมื่อไหร่ที่คุณเล่นกับบาร์ซ่า เมื่อไหร่ก็ตามที่คุณสัมผัสพวกเขา พวกเขาจะลงไปกองกับพื้น ร้องห่มร้องไห้อย่างกับเด็กทารก"
"เมื่อไหร่ก็ตามที่มีจังหวะเข้าบอล 50-50 พวกเขาจะทิ้งตัวไปนอนกับพื้น ร้องครวญคราง เอามือกุมที่หน้า ผู้จัดการทีม, แฟนบอลและนักเตะบนม้านั่งสำรองก็จะโวยวายด้วย กระนั้นก็ตาม บาร์เซโลน่าเป็นสโมสรที่วิเศษ มีนักเตะที่ยอดเยี่ยม แต่พวกเขาต้องหยุดการกระทำแบบนั้น"
ขนาดคนที่ไม่เกี่ยวข้องกับทั้งสองทีมอย่าง ริโอ เฟอร์ดินานด์ กองหลังแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ยังออกมาผสมโรงด้วยการกล่าวผ่านทวิตเตอร์ของตนเองประณามเปโดร ที่ออกอาการดีดดิ้นเกินเหตุว่า "การพุ่งล้มนี้เป็นเรื่องน่าขัน/ น่าละอาย เมื่อ เปโดร ได้ดูเทป คุณคิดว่าเขาจะนึกในใจว่า "นี่เราทำอะไรลงไป" หรือเปล่า ?"
ขณะที่ ชาบี เอร์นานเดซ เพลย์เมกเกอร์บาร์ซ่า มั่นใจว่าใบแดงของเปเป้เป็นเรื่องที่ถูกต้องแล้ว และยังวิจารณ์ชุดขาวว่าเน้นอุดอย่างเดียวด้วย เช่นเดียวกับ ดาวิด บีย่า กองหน้าของทีม ที่ยืนยันว่ายักษ์ใหญ่แห่งคาตาลันสมควรจะเป็นผู้ชนะเพราะเล่นได้เหนือกว่า อย่างชัดเจนตลอดทั้งเกม
"เราได้ผลการแข่งขันที่เราสมควรได้รับ อีกครั้งที่เราเป็นฝ่านเหนือกว่า เราเป็นทีมที่ต้องการเล่นเกมรุกและสนุกกับเกมในสนาม พวกเขาได้แต่หวังว่าเราจะทำผิดพลาดกันเอง นั่นเป็นแท็คติกที่ได้ผลในรอบชิงชนะเลิศโคปา เดล เรย์ (มาดริดชนะ 1-0 ในช่วงต่อเวลาพิเศษ) แต่ไม่ใช่ครั้งนี้" ชาบี กล่าว
ส่วน ประเด็นร้อนที่เป็นที่พูดถึงกันมากที่สุดก็คือ โชเซ่ มูรินโญ่ ที่ถูกตะเพิดไปนั่งชมเกมบนอัฒจันทร์หลังจากที่ไปพูดประชดประชันการ โวล์ฟกัง สตาร์ค ผู้ตัดสินชาวเยอรมัน ว่าทำได้ดีมากในจังหวะที่ไล่ เปเป้ ออกจากสนาม
กุนซือชาวโปรตุกีส จะหมดสิทธิคุมทีมข้างสนามในนัดเยือนที่คัมป์ นูอย่างแน่นอน และมีแนวโน้มว่าอาจจะถูกแบนเพิ่มเติมหลังตบะแตกในการให้สัมภาษณ์หลังจบเกม กล่าวหาผู้ตัดสินว่าเป่าเข้าข้างบาร์ซ่า รวมถึงลามปามไปถึงยูฟ่าว่าตั้งใจจะให้ทีมของเป๊ป กวาร์ดิโอล่า เข้าชิงชนะเลิศอยู่แล้วด้วยเนื่องจากมีความสัมพันธ์ที่ดีต่อกัน
เมื่อถูกกล่าวหาแบบนั้นทำให้บาร์ซ่าตัดสินใจยื่นเรื่องต่อคณะกรรมการด้าน วินัยของยูฟ่าเพื่อพิจารณาบทลงโทษมูรินโญ่ และล่าสุดยูฟ่าก็เตรียมตั้งข้อหา 5 กระทงต่อเรอัล มาดริด ทั้งการที่แฟนบอลปาสิ่งของลงมาในสนาม, แฟนบอลบุกลงมาในสนามหลังจบเกม, ใบแดงของเปเป้, การถูกไล่ออกระหว่างเกมของมูรินโญ่ และการที่โค้ชชาวโปรตุกีสกล่าวหาผู้ตัดสินและยูฟ่าอย่างร้ายแรงหลังจบเกม ด้วย
มูรินโญ่ เป็นโค้ชปากร้ายมาตั้งแต่ไหนแต่ไรแล้ว และการวิจารณ์ผู้ตัดสินอย่างรุนแรงก็เป็นเรื่องที่คอลูกหนังคุ้นเคยกันดี แต่ครั้งนี้ดูจะเลยเถิดไปมากจนทำให้ลืมที่จะมองความผิดพลาดของตัวเองใน เรื่องแท็คติกและยอมรับว่าบาร์ซ่าเป็นฝ่ายเหนือกว่าอย่างแท้จริง
ไม่ว่าใบแดงของ เปเป้ จะเป็นจุดเปลี่ยนของเกมหรือไม่ แต่ยังไง "ราชันชุดขาว" คงต้องยอมรับความปราชัยเมื่อวันพุธที่ผ่านมา พร้อมกับตั้งตาตั้งตาฝึกซ้อมเพื่อเตรียมตัวบุกไปเยือนถิ่นคัมป์ นูด้วยความหวังอันริบหรี่ที่จะพลิกสถานการณ์กลับมาเป็นผู้ชนะและคว้าตั๋วไป ลุยเวมบลีย์