ความคิดเห็นที่ 1 ลองเทียบกับพวก NBA ผมว่าจะทำให้เสียระบบ loyalty หรือจงรักภักดีต่อสโมสรนั้นนะครับ เพราะนักเตะจะผลัดเปลี่ยนไปแต่ล่ะทีมบ่อยครั้งขึ้น เพื่อปรับสมดุลย์ของการเงิน ยิ่งฟุตบอลใช้ผู้เล่น ถึง 11 คนในการลงสนาม 15-17 คนเป็นอย่างน้อยสำหรับการผลัดเปลี่ยน 3 team หรือ 4 team trade ก็อาจเกิดขึ้นได้เพื่อปรับสมดุลย์ทางการเงิน และของทีม ข้อดีที่ได้ (หรืออาจจะไม่ดีก็แล้วแต่) ก็คือ แต่ละทีมมีความสูสีกันมากขึ้น ทีมที่มีผู้เล่นระดับชี้ชะตาการแข่งขันได้ 2 - 3 คน ระบบทีมดีๆ หน่อย อาจกลายเป็นทีมแชมป์เลยก็ได้ครับ อ่อ แต่นักเตะฝีเท้าปกติ ทีมเวิร์คดีๆ หรือนักเตะตัวรับอาจถูกกดราคาค่าเหนื่อยเลยก็ได้ครับ เพราะการเล่นรับมันต้องเล่นเป็นทีมมาก ตัวเดียวเอาเข้ามาก็ใช่ว่าจะมีอะไรดีขึ้นชัดเจน แต่ผมว่าธุรกิจบอลมันโตมาก ตลาดก็ใหญ่ ทีมยักษ์ใหญ่นี่อิทธิพลสูงมาก ไม่มีโอกาสที่จะยอมให้เกิดเหตุการณ์อย่างนี้ขึ้นหรอกครับ จากคุณ : de prince of darkness เขียนเมื่อ : 11 พ.ค. 54 14:28:36

ความคิดเห็นที่ 2 รอให้มีทีมใหญ่ๆฟองสบู่แตก ล้มละลายไปซักทีม 2 ทีม ถึงจะมีกฎนี้เกิดขึ้นได้ จากคุณ : [k]atalan เขียนเมื่อ : 11 พ.ค. 54 14:42:16

ความคิดเห็นที่ 3 ส่วนตัวคิดว่าเป็นไปได้ยากมากครับ อย่างลีกกีฬาในอเมริกาทำได้ เพราะลีกกีฬาในอเมริกาส่วนมากจะเป็นลีกเดียวบนยอดปิรามิดของกีฬานั้น โดยเฉพาะ NFL นี่ชัดมาก เพราะที่อื่นแทบไม่มีเล่นกัน แบบนี้จะกำหนดเพดานเงินเดือนยังไงก็ได้ เพราะนักกีฬาแทบไม่มีทางเลือก จะไม่เล่น NFL ก็ไม่รู้จะไปไหนที่ได้เงินมากเท่านี้ ส่วน NBA ถึงจะมีลีกยุโรป แต่ลีกยุโรปดูแล้วก็ยังห่างไกลจาก NBA พอสมควร แถมไม่มีการแข่งขันระหว่างกันด้วย แต่กรณีของฟุตบอลโดยเฉพาะในยุโรป มีลีกใหญ่ๆ หลายลีกอยู่บนยอดปิรามิดไม่พอ ยังมีการแข่งขันกันระหว่างทีมลีกเหล่านั้นด้วย (ถ้วย UCL, ยูโรป้าลีก) ดังนั้นจึงเป็นไปได้ยากมากที่จะมีลีกใดลีกหนึ่งเริ่มก่อน เพราะไม่งั้นทีมจากลีกตัวเองจะเสียเปรียบคู่แข่งในเวทียุโรปทันที เนื่องจากนักเตะดีๆ ของลีกตัวเองจะโดนลีกอื่นที่ไม่จำกัดเพดานเงินเดือน "ดูด" ไปหมด ถ้าจะทำได้ อย่างน้อยคงต้องให้ลีกใหญ่ๆ บนยอดปิรามิดอย่างอังกฤษ สเปน อิตาลี เยอรมัน (หรืออาจจะต้องรวมถึงระดับรองลงมาอย่างฝรั่งเศส โปรตุเกส ฮอลแลนด์ รัสเซีย ฯลฯ) ตกลงร่วมกันได้ก่อนว่าจะทำพร้อมๆ กัน ไม่งั้นไม่มีทางเป็นไปได้ แก้ไขเมื่อ 11 พ.ค. 54 14:56:29 จากคุณ : เกียรตินำ เขียนเมื่อ : 11 พ.ค. 54 14:43:10

ความคิดเห็นที่ 4 ถ้าให้กำหนดเพดานเท่ากันหมด ก็คงไม่ยุติธรรมกับทีมที่บริหารการเงินดี และมันคงเป็นไปไม่ได้ที่จะหาตัวเลขที่เหมาะสมสำหรับทั่วโลก ผมสนับสนุนแนวคิด ที่ว่าไม่กำหนดเพดานเงินเดือนโดยตรง แต่ว่าผลการดำเนินงานของสโมสรจะต้องไม่ขาดทุนมากกว่า xx% โดยไม่นับเงินสนับสนุนทางอ้อม เช่น เงินของโรมัน หรือ ท่านชีค คือ จะใช้เงินเท่าไหร่ก็ใช้ไป แต่ทีมต้องยืนอยู่ได้ด้วยตัวเอง แต่ถ้าออกกฎนี้มา แมนยุ ผมจะซวยมั้ยหว่า หนี้อ่วม - -" จากคุณ : assasin เขียนเมื่อ : 11 พ.ค. 54 15:32:28

ความคิดเห็นที่ 5 แฟนบอลตาดำๆ จะได้มีเงินซื้อตั๋วดูฟุตบอลอย่างมีความสุข (มากขึ้น) และของที่ระลึก เสื้อนักบอลก็จะมีราคาไม่สูง.. นักฟุตบอลบางคนลืมไปว่า.. ลงเตะนัดไม่กี่นัดได้รายได้เท่ากับค่าแรงของแฟนบอลบางคนหลายเดือนหรือเป็นปีๆ เห็นด้วยครับที่เพดานเงินเดือนของบางทีมสร้างระบบค่าแรงที่ไม่ดีขึ้นกับอาชีพฟุตบอล.. คนบางคนใช้ชีวิตอย่างสำราญ บนความเหนื่อยยากของแฟนบอล! จากคุณ : หวงตี้ เขียนเมื่อ : 11 พ.ค. 54 15:46:17

ความคิดเห็นที่ 6 รอ Financial Fair Play ก็แล้วกันครับ เป็น Soft Cap กลายๆ อยากซื้อนักเตะเพิ่ม ก็ต้องเพิ่มกำไรสโมสรให้มากขึ้น ถ้าทำเงินไม่ได้มากก็ซื้อไม่ได้มาก กฏนี้ยุติธรรมดีครับ ถ้าอยากได้เงินเพิ่มก็ต้องทำการเงินให้ดีขึ้น จะด้วยวิธีการใดก็แล้วแต่ จากคุณ : Mikamura Kaoru เขียนเมื่อ : 11 พ.ค. 54 16:01:45

ความคิดเห็นที่ 7 ยกตัวอย่าง ถ้าพวกวีลแชร์บาส เขาจะมีกำหนด value ของผู้เล่นไว้ เช่น ถ้าร่างกายยังสมบูรณ์มาก ก็จะได้แต้มเยอะ ถ้าร่างกายสมบูรณ์น้อยหน่อย ก็ได้แต้มน้อย ทั้งทีมจะต้องมีแต้มรวมไม่เกินเท่านี้ๆเป็นต้น ถ้าในฟุตบอลก็น่าจะจัดเป็นอายุนะครับ เช่นเด็กใหม่ฟอร์มสด แต้มก็เยอะหน่อย ถ้าสูงอายุแล้ว 30 กว่าๆ ก็แต้มน้อย แบบนี้ก็น่าจะทำให้ นักบอลสูงอายุยังมี value อยู่ได้ด้วยนะ จากคุณ : geefa เขียนเมื่อ : 11 พ.ค. 54 16:12:32

ความคิดเห็นที่ 8 จำได้ว่าสมัย ไมเคิลจอร์แดน อยู่ทีมชิคาโก้  ต้องยอมจำกัดค่าเหนื่อยตัวเอง เพื่อทำให้ทีมมีปัญญาไปจ้างนักบาสฝีมือดีมาร่วมทีมได้ แล้วทีมก็ไปหาสปอนเซอร์มาจ่ายให้ จอร์แดนอีกส่วนหนึ่งแทนค่าเหนื่อยตามสัญญา อย่างนี้เรียกว่าเสียระบบ  loyalty หรือเปล่าครับ การจะทำแบบนี้ได้ มันต้องควบคุมได้ทั้งหมด  ทุกลีก  ซึ่งมันยาก แล้วตัวเลขที่จะจำกัดล่ะ ใครจะเป็นคนกำหนด แล้วจะมีวิธีเปลี่ยนแปลงไปตามสภาพเศรษฐกิจยังไง โจทย์เหล่านี้ยากมาก   คงเป็นไปได้ยากที่จะควบคุมเพดานได้   คงต้องปล่อยให้ใช้เงินกันอย่างนี้ต่อไป   แล้วรอให้เจ๊งกันไปเองอย่างที่ข้างบนบอกนั้นแระ จากคุณ : llwu เขียนเมื่อ : 11 พ.ค. 54 16:21:35

ความคิดเห็นที่ 9 ไม่ต้องหรอกครับ การจำกัดเพดาน เพราะทีมไหนสร้างผลงานมาดี ก็ควรจะได้ประโยชน์จากการทำดีบ้าง ขอแค่เอาเงินจากอุตสาหกรรมบอล มาจ่ายซื้อ จ่ายจ้าง คนงานในอุตสาหกรรมบอล (นักเตะ) ก็พอแล้ว ไม่ใช่เอาเงินแขก เอาเงินกำไรน้ำมัน เงินก่อสร้าง หรือ อื่นๆ มาซื้อครับ มันเป็นการอัดฉีดเงินนอกระบบ ซึ่งมันก็คือ financial fair play น่ะแหละ อยากให้ใช้เลยปีหน้า จากคุณ : vdi เขียนเมื่อ : 11 พ.ค. 54 17:19:50

ความคิดเห็นที่ 10 ผมสนับสนุนความเท่าเทียมนะ อิอิ แต่ไม่อยากให้กำหนดตัวเลขตายตัว แต่จำกัดเป็น % แทน มีคณะกรรมการประเมินการเงิน แล้วให้จ่ายเป็นค่าเหนื่อยค่าซื้อตัวนักเตะ ทีมไหนรวยบริหารงานดีก็มีเงินซื้อหรือจ่ายค่าจ้างเยอะ ส่วนทีมเจ้าของรวยอันนั้นห้ามเอาเงินส่วนตัวมาช่วย จากคุณ : โอไซริส เขียนเมื่อ : 11 พ.ค. 54 17:37:59

ความคิดเห็นที่ 11 แต่ผมกลับรู้สึกว่า มันก็มีการตกชั้นมาเป็นตัวแปรด้วยนะครับ อย่าลืมว่า NBA NFL ไม่มีตกชั้น .... จากคุณ : dew's เขียนเมื่อ : 11 พ.ค. 54 19:48:27

ความคิดเห็นที่ 12 ถ้ากำหนด ก็อยากรู้ว่า "เพดาน" ที่ว่านั้นจะกำหนดจากอะไร คือ จริงๆ มันน่าจะพอทำได้ แต่ปัญหาก็อย่างที่บอกคือเพดานนั้นกำหนดจากอะไร จากบัญชีรายได้ของสโมสรนั้นๆ หรือปล่าว (คิดเป็น %) เช่นว่า กฏว่า รายจ่ายในส่วนของค่าจ้างนักเตะทั้งสโมสร ต้องเป็น x % ของรายได้รวมของสโมสร (เช่น สมมุติอาจจะต้องไม่เกิน 30%) ถ้าแบบนี้ ก็หมดปัญหา เพราะทุกทีมจะถูกควบคุมให้ใช้จ่ายภายในกรอบของตัวเอง ทีมใหญ่ๆ ที่หาเงินได้มาก มีรายรับมาก "เพดาน" ที่ว่านี้ก็ยังสูงอยู่ดี แต่ถูกระบบ เพราะหาเงินได้มากก็ย่อมมีสิทธิ์ใช้เงินได้มาก แต่ถ้ามีทีมเล็กๆ เกิดแจ็คพ็อตแตก ได้เจ้าของใหม่ มี "เงินที่มองไม่เห็น" เข้ามาสู่สโมสร ก็จะไม่สามารถเอามาซื้อสตาร์ค่าเหนื่อยแพงๆ ได้อยู่ดี เพราะมันจะไปติด % รายรับของสโมสร (ที่ใช้กำหนด เพดาน ที่ว่า) ซึ่งรายรับของสโมสรที่จะแจ้งต่อ เอฟ.เอ. ก็ย่อมมาจากพวกค่าตั๋ว, ค่าลิขสิทธ์, ค่าของที่ระลึก ฯลฯ ซึ่งก็แปลว่า "เงินที่มองไม่เห็น" ไม่เกี่ยว (เพราะมันนอกระบบ) ซวยไป แบบนี้ แต่ว่ากันตาม "ระบบ" มันก็ถูกต้องน่ะนะ แปลว่า อีกหน่อย ถ้าทีมเล็กๆ เกิด "แจ็คพ็อตแตก" ขึ้นมา สิ่งแรกที่พวกผู้บริหารใหม่ที่มารพร้อมกับ "เงินที่มองไม่เห็น" จะทำให้ก่อนก็คือ ทำให้เงินเหล่านั้นมัน "มองเห็น" ด้วยการลงทุนเพื่อเพิ่ม "รายรับของสโมสร" (ซึ่งก็จะส่งผลถึง "เพดาน" ที่ว่า) ไม่ว่าจะ ขยายสนาม, จ้างผจก.+ โค้ช เก่งๆ เพื่อทีมผลงานดีขึ้น คนดูเยอะขึ้น ที่ผมคิดว่า การกำหนด "เพดาน" ที่ว่าน่าจะออกมาทำนองแยกแยะแต่ละสโมสรไป แต่ละทีม อาจจะคิดเป็น % อย่างที่ยกตย.นี้ ก็เพราะคิดว่าไม่น่าจะมีการกำหนดเพดานนี้แบบเหมารวมทั้งลีก (เช่นว่า อาจหาค่าเฉลี่ยรายรับ-จ่ายทั้งลีก แล้วมากำหนดเพดาน) ซึ่งแบบนั้นทีมใหญ่ๆ คงไม่ยอม เพราะพวกเขาจะเสียเปรียบที่สุด จะทำให้ไม่เกิดการแข่งขัน เพราะทีมใหญ่ๆ จะไม่คิดที่จะพยายามเพิ่มรายรับ ไม่รู้จะขยายสาขาในเอเชียทำไม, ไม่รู้จะไปโปรโมตที่อเมริกาทำไม เพราะไม่ว่ารายรับจะมากแค่ไหน แต่ก็ติดเพดานเงินเดือนเท่าๆ กับทีมที่เพิ่งเลื่อนชั้นขึ้นมาอยู่ดี อีแบบนี้ ผมก็ไม่เห็นด้วย และทีมใหญ่ก็คงไม่ยอมอยู่แล้ว ส่วนถ้าคิดเป็น % จากรับของแต่ละสโมสรเอง ก็ไม่ต้องห่วงเรื่องการแข่งขันกับทีมจากลีกอื่นๆ ด้วย เพราะทีมใหญ่ๆ ที่มีรายรับมหาศาลอย่าง ยูไนเต็ด, อาเซน่อล, ลิเวอร์พูล หรือ เชลซี ก็ย่อมมีรายรับที่มาก และหมายถึงเพดานเงินเดือนนักเตะที่มากอยู่แล้ว จากคุณ : art_sarawut เขียนเมื่อ : 11 พ.ค. 54 20:12:44

ความคิดเห็นที่ 13 เกี่ยวอะไรกับแฟนบอลด้วยเนี่ย ถ้ามีความสุข จะดูจะซื้อ ก็เงินของเรานี่   ถ้าคิดว่ามันเกินตัวก็อย่าไปสนใจ ไม่ใช่จะไปรั้งค่าเหนื่อยของนักเตะ ไม่เห็นจะเข้าท่าเลย นัดเล็กๆ ก็ตั๋วหาง่าย ราคาไม่สูงมาก  เกมส์ใหญ่จะให้มาถูกๆได้ไง =============================================== ลงเตะนัดไม่กี่นัดได้รายได้เท่ากับค่าแรงของแฟนบอลบางคนหลายเดือนหรือเป็นปีๆ ^ ^ นักบอล จะให้มาเงินเดือนซักไม่กี่หมื่นหรือแสนเดียวเหรอ  มันก็เป็นกันทั้งโลกแหละ ฝีเท้าดี ก็ค่าเหนื่อยแพงตามไปด้วย ความความพอใจของคนจ่าย แปลกนะครับ   ความคิดนี้ นักบอลระดับนี้ กว่าจะไต่ระดับไปเล่นไม่ใช่ง่ายๆหรอก จะให้เงินเดือนระดับเท่า หรือไม่สูงเกิน   มนุษย์เงินเดือน แบบคนทั่วไป มัน แปลก ครับ !! ทีมเล็กค่าจ้างก็ถูก นักเตะระดับท็อป ทีมลุ้นแชมป์ก็แพงตามไปด้วย มันทำให้โลกลูกหนังน่าติดตาม  ทุกอย่างเป็นไปตามกลไก และระดับของทีมหมดครับ   ดูแบบ เมสซี่ โรนัลโด้  ถ้าเล่นได้แบบนั้น ทีมที่จ่ายค่าเหนื่อยมหาศาล เค้าไม่เดือดร้อนหรอกครับ จากคุณ : Angelus เขียนเมื่อ : 11 พ.ค. 54 20:36:29

ความคิดเห็นที่ 14 #8 แบบนั้น ผมมองว่าตัว MJ เองที่เสียสละเพื่อทีมมากกว่าครับ จากคุณ : wazenteq เขียนเมื่อ : 11 พ.ค. 54 22:21:53

ความคิดเห็นที่ 15 ผมว่ากฎใหม่ของพลาตินี่ก็ดูไม่ยุติธรรมนะครับ ที่ให้จำกัดรายจ่ายให้สมดุลกับรายรับ ( ผมไม่เเน่ใจ ) หรือให้ใช้เท่าที่หามาได้ เเบบนี้สโมสรเล็กๆจะเสียเปรียบเอานะ เเชมป์ก็ไม่ได้ จะเอาเงินที่ไหนมาใช้ จะกู้มาเพื่อซื้อตัวดีๆบ้างก็ไม่ได้ จากคุณ : loma2 เขียนเมื่อ : 12 พ.ค. 54 13:50:12