ความคิดเห็นที่ 1 ฤดูกาล 1991-1992 เอฟซี บาร์เซโลน่า(สเปน) 1-0(ET.) ซามพ์โดเรีย(อิตาลี) สนาม : เว็มบลีย์ สเตเดี้ยม, ลอนดอน(อังกฤษ) การแข่งขันฟุตบอลยุโรปปีสุดท้ายในชื่อของยูโรเปียนคัพ เป็นการพบกันระหว่าง เอฟซี บาร์เซโลน่า ยอดทีมจากสเปน กับ ลาซามพ์ ซามพ์โดเรีย ทีมแกร่งจากอิตาลี ที่มีจอมทัพอย่างโรแบร์โต มันชินี่ ตลอด 90 นาทีทั้ง 2 ทีมยังทำอะไรกันไม่ได้ทำให้ต้องต่อเวลาพิเศษออกไป และในนาทีที่ 111 บาร์ซ่าก็มาได้ฟรีคิกนอกกรอบเขตโทษ จากการทำฟาล์วของมันชินี่ แล้วก็เป็นโรนัลด์ คูมันปราการหลังตีนระเบิด วิ่งเข้ามาอัดฟรีคิกตูมเดียวแหวกกำแพงเข้าประตูไป และนั่นก็กลายเป็นประตูชัยให้บาร์ซ่าพิชิตลาซามพ์ไปได้ 1-0 พร้อมกับคว้าแชมป์ยุโรปสมัยแรกของสโมสรได้เป็นผลสำเร็จ ปล. โจเซฟ กวาร์ดิโอล่า เฮดโค้ชคนปัจจุบันและ คาร์เลส บุสเก็ตส์ พ่อแท้ๆของแซร์จิโอ บุสเก็ตส์มิดฟิลด์คนปัจจุบันของทีม ต่างก็เป็นผู้เล่นที่มีชื่อในทีมชุดนั้นทั้งคู่ จากคุณ : A E Y A U D D A เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 54 15:39:40

ความคิดเห็นที่ 2 ฤดูกาล 1992-1993 โอลิมปิค มาร์กเซย(ฝรั่งเศส) 1-0 เอซี มิลาน(อิตาลี) สนาม : โอลิมเปีย สเตเดี้ยน, มิวนิค(เยอรมัน) ปีแรกของการเปลี่ยนระบบการแข่งขันใหม่ภายใต้ชื่อของ ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก โอลิมปิค มาร์กเซยจากฝรั่งเศส ต้องโคจรมาพบกับโคตรทีมแกร่งจากอิตาลีอย่าง เอซี มิลาน ชุด 3 ทหารเสือดัทช์  ในเกมที่ใครก็คิดว่ามาร์กเซยจะตกเป็นรอง กลับกลายเป็นมาร์กเซยที่เป็นฝ่ายมาได้ประตูขึ้นนำก่อนในนาทีที่ 43 จากลูกเตะมุม เป็นบาซิเล่ โบลี่ ปราการหลังของทีมเทคตัวขึ้นขวิดบอลเข้าประตูไป จากนั้นตลอดเวลาที่เหลือมาร์กเซย์เล่นกันได้อย่างรัดกุม แม้กระทั่งยอดกองหน้าอย่างมาร์โก ฟาน บาสเท่น หรือฌอง ปิแอร์ ปาแปง ก็ยังเจาะตาข่ายไม่ได้ จบเกม มาร์กเซยบดเอาชนะมิลานไปได้ 1-0 แบบหักปากกาเซียน จากคุณ : A E Y A U D D A เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 54 15:40:51

ความคิดเห็นที่ 3 ฤดูกาล 1993-1994 เอฟซี บาร์เซโลน่า(สเปน) 0-4 เอซี มิลาน(อิตาลี) สนาม : โอลิมปิค สเตเดี้ยม, เอเธนส์(กรีซ) แชมเปียนส์ลีกปีนี้เป็นการพบกันของอดีตผู้ท้าชิงใน 2 ปีก่อนหน้าอย่างบาร์เซโลน่า และเอซี มิลาน ซึ่งเป็นเกมที่หลายฝ่ายให้การจับตามองว่าจะต้องเป็นนัดชิงที่ดุเดือดและสูสีจากนักเตะชั้นยอดของทั้ง 2 ทีมรวมถึงยอดผู้จัดการทีมของทั้ง 2 ฝั่ง(คาเปลโล่ของมิลาน และโยฮัน ครอยฟ์ของบาร์ซ่า) แต่รูปเกมกลับกลายเป็นเป็นมิลานทันทีที่ได้ประตูแรก เมื่อเดยัน ซาวิเซวิชลากลุยมาทางกราบขวาก่อนหยอดไปเสาสองให้ดาเนี่ยล มาสซาโร่ หัวหอกที่มาแทนฟาน บาสเท่นเข้าชาร์จเข้าประตูไป ถึงแม้บาร์ซ่าจะมีโอกาสบ้างจากจังหวะยิงของโรมาริโอ้แต่ก็ไม่คมพอ ผิดกับมิลานที่บุกขึ้นมาทีไรเป็นเข้า และมาได้ประตูที่สองจากโดนาโดนี่ที่ลุยมาทางปีกซ้ายก่อนหักเข้ากลางให้มาสซ่าโรคนเดิมกดด้วยซ้ายเสียบเสาของเข้าไป ครึ่งหลังมิลานยังไม่ผ่อนเครื่องมาได้ประตูที่ 3 จากซาวิเซวิชที่แย่บอลจากมิเกล นาดาลได้ทางกราบขวาก่อนจะกระดกบอลริมกรอบเขตโทษข้ามหัวซูบิซาร์เรต้าเข้าไปอย่างเหนือชั้นสุดๆ สุดท้ายมิลานมาได้ประตูปิดกล่องจากจังหวะลุยขึ้นมาของเดอไซญี่ที่ปีก่อนหน้านี้เพิ่งจะได้แชมป์มากับมาร์กเซย แล้วเจ้าตัวก็จัดการปั่นบอลด้วยขวาโค้งเข้าประตูไปอย่างสวยงามเป็นประตูที่ 4 ให้มิลานถล่มเอาชนะบาร์เซโลน่าไปขาดลอยราวกับทีมคนละชั้น ปล.ปีนี้เป็นนัดชิงที่ชนะกันขาดลอยมากที่สุดของชปล.ในรอบ 22 ปีหลังสุด โดยทีมสุดท้ายที่ชนะเกิน 3 ลูกก็คือมิลานเอง ที่เอาชนะสเตอัว บูคาเรสต์ไป 4-0 ในฤดูกาล 1988-1989 จากคุณ : A E Y A U D D A เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 54 15:41:48

ความคิดเห็นที่ 4 ฤดูกาล 1994-1995 เอซี มิลาน(อิตาลี) 0-1 อายักซ์ อัมสเตอร์ดัม(ฮอลแลนด์) สนาม : แอร์นส์ ฮัปเปล สเตเดี้ยน, เวียนา(ออสเตรีย) อายักซ์ ยอดทีมจากฮอลแลนด์ในยุคนั้นภายใต้การคุมทีมของยอดโค้ชชาวดัทช์ หลุยส์ ฟาน กาล สามารถฝ่าด่านอรหันต์เข้ามาพบกับ สุดยอดทีมในยุคต้น 90 คือเอซี มิลาน แชมป์เก่าเมื่อปีที่แล้ว พร้อมกับสร้างสถิติเข้าชิงเป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน และก็เป็นอีกครั้งที่แชมเปียนส์ลีกแสดงให้เห็นว่าทีมที่ชื่อชั้นดีกว่าบนหน้ากระดาษ ไม่จำเป็นต้องเป็นผู้ชนะเสมอไป เมื่ออายักซ์สามารถสู้กับยอดทีมอย่างมิลานได้อย่างไม่เป็นรอง เกมทำท่าว่าจะเสมอกันในเวลา แต่แล้วในนาทีที่ 85 ก็เป็นแพทริค ไคลเวิร์ต ศูนย์ดาวรุ่งของอายักซ์ ที่ลงมาเป็นตัวสำรอง รับบอลมาจากไรจ์การ์ดหน้าเขตโทษก่อนจะดีดด้วยซ้ายเข้าประตูไป ให้อายักซ์เฉือนเอาชนะมิลานไปได้ 1-0 พาทีมกลับมาคว้าแชมป์ถ้วยนี้อีกครั้งนับตั้งแต่ปี 1973 ส่วนมิลานก็ต้องอกหักกับการป้องกันแชมป์ในปีนั้นไป จากคุณ : A E Y A U D D A เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 54 15:42:46

ความคิดเห็นที่ 5 ฤดูกาล 1995-1996 อายักซ์ อัมสเตอร์ดัม(ฮอลแลนด์) 1-1(2-4 pen.) ยูเวนตุส(อิตาลี) สนาม : สตาดิโอ โอลิมปิโก้, โรม(อิตาลี) อายักซ์แชมป์เก่ามีโอกาสกลับมาป้องกันแชมป์อีกครั้ง และปีนี้ก็ต้องพบกับทีมจากอิตาลี่อีกครั้ง เพียงแต่คราวนี้เปลี่ยนหน้ามาเป็นทีมม้าลาย ยูเวนตุส แทน และก็เป็นยูเวนตุสที่เริ่มเกมได้ดีกว่าก่อนจะมาได้ประตูขึ้นนำไปก่อน จากจังหวะที่แฟรงค์ เดอร์ บัวร์ กองหลังของอายักซ์โหม่งคืนหลังไม่ดี โดนฟาบริซิโอ ราวัลเนลลี่ หอกผมหงอกขอม้าลายฉกไปยิงมุมแคบให้ยูเว่ขึ้นนำไปก่อน 1-0 แต่อายักซ์ก็สามารถตามตีเสมอได้ในครึ่งหลังจากยารี่ ลิตมาเน่นที่เก็บตกฟรีคิกหน้าประตูเข้าไป จบ 90 นาทีเสมอกัน 1-1 ทำให้ต้องต่อเวลาพิเศษแต่จนแล้วจนรอดยังยิงกันไม่ได้ทำให้ต้องดวลจุดโทษ แล้วก็เป็นเอ็ดการ์ ดาวิดส์กับซอนนี่ ซิลอย 2 นักเตะของอายักซ์ที่พลาด ขณะที่เพชรฆาตของยูเว่ยิงเข้ากันทุกคน ทำให้ยูเวนตุสเอาชนะการดวลจุดโทษกับอายักซ์และคว้าแชมป์ไปได้ในที่สุด จากคุณ : A E Y A U D D A เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 54 15:43:47

ความคิดเห็นที่ 6 ฤดูกาล 1996-1997 โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์(เยอรมัน) 3-1 ยูเวนตุส(อิตาลี) สนาม : โอลิมเปีย สเตเดี้ยน, มิวนิค(เยอรมัน) เป็นอีกปีที่แชมป์เก่าอย่างยูเวนตุสได้กลับมาลุ้นป้องกันแชมป์ คราวนี้พบกับม้ามืดจากเยอรมันอย่าง โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ ภายใต้การคุมทีมของท่านนายพล อ็อตม่าร์ ฮิตซ์เฟลด์ ขณะที่ยูเว่ปีนี้ได้ซีเนดิน ซีดานเข้ามาเป็นจอมทัพของทีม เกมเริ่มมายูเว่มีโอกาสได้ทักทายก่อนจากจังหวะยิงด้วยซ้ายของคริสเตียน วิเอรี่ แต่บอลก็ถากเสาออกไปเข้าข้างตาข่าย จากนั้นกลายเป็นดอร์ทมุนด์ที่ขึ้นนำไปก่อน ในจังหวะที่พอล แลมเบิร์ตหนุนลูกสะกัดจากลูกเตะมุม บอลลอยมาเข้าทางคาร์ล ไฮนซ์ รีดเล่ ก่อนจะพักอกหนึ่งจังหวะแล้วซัดด้วยซ้ายเข้าไปให้เสือเหลืองขึ้นนำ 1-0 ผ่านไปอีกแค่ 5 นาทีดอร์ทมุนด์มาได้ประตูที่ 2 เป็นรีดเล่คนเดิมที่ขึ้นโขกลูกเตะมุมเข้าไป ก่อนที่ครึ่งหลังยูเว่จะมาไล่คืนได้ 1 ลูกจากลูกไขว้ของเดล ปิเอโร่ แต่แล้วความหวังของทีมม้าลายก็ต้องมาพังทลายเมื่อสเตฟาน ชาปุยซาต์ไหลบอลทะลุให้ลาร์ส ริคเค่นทางกราบขวา เจ้าหนุ่มริคเค่นไม่รอช้าตักบอลตามน้ำข้ามหัวอังเจโล่ เปรุซซี่เข้าไปอย่างสวยงาม ให้ทีมเสื้อเหลืองดอร์ทมุนด์โค่นแชมป์เก่ายูเวนตุส เถลิงบัลลังก์แชมป์ไปครองได้อย่างยิ่งใหญ่ จากคุณ : A E Y A U D D A เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 54 15:44:46

ความคิดเห็นที่ 7 ฤดูกาล 1997-1998 เรอัล มาดริด(สเปน) 1-0 ยูเวนตุส(อิตาลี) สนาม : อัมสเตอร์ดัม อารีน่า, อัมสเตอร์ดัม(เนเธอร์แลนด์) มาร์เซโล่ ลิปปี้ทำสถิติเทียบเท่าฟาบิโอ คาเปลโล่ เมื่อสามารถพาทีมยูเวนตุสเข้าชิงได้เป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน หนนี้ต้องมาปะทะกับราชันชุดขาว เรอัล มาดริด ผู้ร้างเกียรติยศในถ้วยใบนี้มาตั้งแต่ปี 1966 เกมนี้ทั้ง 2 ทีมเปิดเกมแลกกันอย่างสนุก ทางฝั่งยูเว่ก็มีโอกาสลุ้นจากทั้งซีดาน, อินซากี้ และเดล ปิเอโร่ ส่วนมาดริดก็มีโอกาสได้จบทั้งราอูล, มอริเอนเตส และมิยาโตวิช แต่ดูเหมือนเทพีแห่งโชคอยู่ทางฝั่งของราชันชุดขาว เมื่อโรแบร์โต้ คาร์ลอสได้ยิงเก็บตกจากริมกรอบเขตโทษด้านซ้าย บอลไปแฉลบผู้เล่นยูเว่มาเข้าทางมิยาโตวิช แตะหลบโกลหนึ่งจังหวะก่อนที่จะยิงเข้าไปอย่างเยือกเย็น ให้มาดริดขึ้นนำ 1-0 และกลายเป็นประตูชัยของทีมไปในท้ายที่สุด ทิ้งให้ยูเวนตุสต้องอกหักเป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน จากคุณ : A E Y A U D D A เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 54 15:46:07

ความคิดเห็นที่ 8 ฤดูกาล 1998-1999 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด(อังกฤษ) 2-1 บาเยิร์น มิวนิค(เยอรมัน) สนาม : คัมป์ นู, บาร์เซโลน่า(สเปน) ตลอดฤดูกาลแห่งปาฏิหาริย์ของแมนฯ ยูไนเต็ด คงไม่ผิดนักหากมันจะมาเกิดขึ้นอีกครั้งในนัดนี้ เมื่อปิศาจแดงที่กำลังมีลุ้นทริปเปิ้ลแชมป์โคจรมาพบเสือใต้ บาเยิร์น มิวนิค ทีมสุดเขี้ยวจากเยอรมัน โดยที่ก่อนหน้านี้ทั้งคู่พบกันมาแล้วในรอบแบ่งกลุ่ม ทันทีที่เริ่มเกมไปได้แค่ 6 นาที ก็ดูเหมือนความฝันของยูไนเต็ดจะเลือนราง เมื่อทีมเสียฟรีคิกหน้ากรอบเขตโทษเยื้องทางซ้าย เป็นมาริโอ บาสเลอร์ที่ปั่นบอลอ้อมกำแพงเข้าไป บาเยิร์นขึ้นนำ 1-0 หลังเสียประตูยูไนเต็ดพยายามตอบโต้ แต่ก็ไม่สามารถยิงผ่านมือได้โอลิเวอร์ คาห์นได้ ซ้ำยังหวิดเสียประตูที่สองเพิ่มจากทั้งเอฟเฟ่นแบร์ก, โชลและยังเคอร์ แต่ยังดีที่มีทั้งเสาและคานประตู รวมถึงปีเตอร์ ชไมเคิ่ลมาช่วยชีวิตไว้ แล้วเวลาก็เดินไปจนครบ 90 นาที ท่ากลางความหวังอันริบหรี่ของเรด อาร์มี่ ในช่วงทดเวลาบาดเจ็บนาทีแรกจุดเริ่มต้นของปาฏิหาริย์ก็บังเกิด เมื่อยูไนเต็ดมาได้ลูกเตะมุมทางฝั่งซ้าย เดวิด เบ็คแฮมเปิดเตะมุมเข้าไป แต่กองหลังเสือใต้สกัดบอลไม่ขาด ไรอัน กิ๊กส์ได้โอกาสเก็บตกหน้ากรอบเขตโทษด้วยขวา และเป็นเท็ดดี้ เชอริ่งแฮมตัวสำรองตวัดลูกยิงของกิ๊กส์ตามน้ำเข้าไปให้ปิศาจแดงตามตีเสมอได้ 1-1 แบบสุดช็อค ในนาทีที่ผู้เล่นบาเยิร์นกำลังจะเรียกสมาธิกลับมา พวกเขาก็ต้องมาเสียลูกเตะมุมลูกที่ 2 เป็นเบ็คแฮมคนเดิมที่ปั่นเข้าเขตโทษ บอลมาถึงเชอริ่งแฮมโหม่งเช็ดไปทางเสาสอง และก็กลายเป็นโอเล่ กุนนาร์ โซลชา ตัวสำรองอีกคน ที่เหยียดขาขวาดีดลูกบอลเข้าไป ให้ยูไนเต็ดพลิกกลับมานำ 2-1 ในเวลาห่างกันเพียง 2 นาที ท่ามกลางนักเตะเสือใต้ที่แทบไม่อยากจะเชื่อสายตาตัวเอง แล้วผู้ตัดสินก็เป่านกหวีดหมดเวลา ทำให้แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดปล้นชัยชนะมาจากบาเยิร์น มิวนิคด้วยสกอร์ 2-1 สร้างตำนานคว้า 3 แชมป์ คือพรีเมียร์ลีก, เอฟเอคัพ และยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก มาครองได้สำเร็จราวกับเทพนิยายอย่างสุดมหัศจรรย์ แก้ไขเมื่อ 17 พ.ค. 54 03:13:22 จากคุณ : A E Y A U D D A เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 54 15:47:54

ความคิดเห็นที่ 9 ฤดูกาล 1999-2000 เรอัล มาดริด(สเปน) 3-0 บาเลนเซีย(สเปน) สนาม : สต๊าด เดอ ฟรองซ์, แซงต์ เดอนิส์(ฝรั่งเศส) ราชัน ชุดขาวมีโอกาสกลับมาลุ้นแชมป์ในถ้วยใบนี้อีกครั้งหลังปีที่แล้วพลาดเข้าชิงไป คราวนี้พบกับทีมร่วมลีกซึ่งเป็นม้ามืดแห่งปีอย่าง ไอ้ค้างคาว บาเลนเซีย ที่มีดาวดังอย่างกาอิซกา เมนดิเอต้า และเคลาดิโอ โลเปซนำทัพ เปิดฉากมาเป็นมาดริดที่เหนือกว่า จนมาได้ประตูขึ้นนำจากซัลกาโด้ ที่เก็บตกจากกรอบเขตโทษด้านขวาแล้วเปิดบอลมาที่เสาสอง และก็เป็นเฟอร์นันโด มอริเอนเตส ที่สอดขึ้นมาโหม่งกดลงพื้นเข้าไปให้มาดริดขึ้นนำ 1-0 และจบครึ่งแรกด้วยสกอร์นี้ ครึ่งหลังมาดริดยังไม่เพลาเกมบุก และมาได้ประตูนำห่างเป็น 2-0 จากสตีฟ แม็คมานานมาน ที่กระโดดวอลเลย์ลูกโหม่งสกัดของกองหลังไอ้ค้างคาวเข้าไป ก่อนที่มาดริดจะได้โอกาสสวนกลับอีกหนึ่งจังหวะ เป็นราอูล กอนซาเลสที่เก็บบอลได้จากครึ่งสนามโล่งๆ แล้วลากเดี่ยวเข้าไปเลี้ยงหลบซานติอาโก คายิซาเรซ ก่อนจะยิงเข้าไปอย่างเลือดเย็นเป็นประตูตอกฝาโลงให้มาดริดถล่มเอาชนะบาเลนเซียไปได้ 3-0 ครองจ้าวยุโรปในปีนั้นได้สำเร็จ ปล. ปีนั้นมาดริดได้สิทธิ์เป็นทีมเหย้า แต่ขอใส่ชุดแข่งทีมเยือนสีดำเอง ส่วนบาเลนเซียใส่ชุดทีมเยือนสีส้มของตัวเองตามปกติ จากคุณ : A E Y A U D D A เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 54 15:49:12

ความคิดเห็นที่ 10 ฤดูกาล 2000-2001 บาเยิร์น มิวนิค(เยอรมัน) 1-1(5-4) บาเลนเซีย(สเปน) สนาม : ซาน ซิโร่, มิลาน(อิตาลี) เสือใต้ บาเยิร์น มิวนิค ได้มีโอกาสลบฝันร้ายของตัวเองเมื่อ 2 ปีที่แล้ว เมื่อได้เข้าชิงอีกครั้งในปีนี้ โดยพบกับไอ้ค้างคาว บาเลนเซีย รองแชมป์เมื่อปีที่แล้ว อันเป็นการพบกันของ 2 รองแชมป์ใน 2 ปีหลังสุด เกมเริ่มมาได้เพียงแค่ 2 นาที โอกาสทองของไอ้ค้างคาวก็มาถึงก่อน เมื่อผู้ตัดสินดิ๊ก โยล เป่าให้จุดโทษกับทีมในจังหวะที่เมนดิเอต้าโดนรุมกินโต๊ะในกรอบเขตโทษ และก็เป็นเจ้าตัวเองที่ออกมาสังหารไม่พลาด ให้บาเลนเซียขึ้นนำก่อน 1-0 อย่างรวดเร็ว แต่หลังจากนั้นบาเยิร์นก็มีโอกาสทองที่จะตีเสมอ เมื่อเอฟเฟ่นแบร์กกัปตันทีม ถูกเกี่ยวล้มในจังหวะกระชากในกรอบเขตโทษด้านซ้าย ผู้ตัดสินเป่าให้เป็นจุดโทษเช่นกัน แต่เมห์เหม็ด โชล กลับซัดไปติดเซฟของคายิซาเรซชวดได้ประตูตีเสมออย่างน่าเสียดาย อย่างไรก็ตาม ครึ่งหลังบาเยิร์นก็มาได้จุดโทษอีกครั้งเมื่อผู้ตัดสินเป่าว่าผู้เล่นของบาเลนเซียทำแฮนด์บอลในจังหวะแย่งโหม่งกับคาสเท่น ยังเคอร์หัวหอกของเสือใต้ คราวนี้เป็นเอฟเฟ่นแบร์กที่ลุกมาสังหารเอง และจอมห้าวหัวเสือก็ซัดไม่พลาดให้บาเยิร์นตีเสมอเป็น 1-1 ได้สำเร็จ จากนั้นทั้งคู่ไม่สามารถทำอะไรกันได้อีกทำให้เกมยืดเยื้อมาจนถึงการยิงจุดโทษ แต่ทั้งคู่ก็ยังเสมอกันในการยิง 5 คนแรกทำให้ต้องยิงต่อแบบซัดเด้นเดธ และก็เป็นเมาริซิโอ เปเญกริโน่กองหลังของไอ้ค้างคาวที่ยิงพลาดเป็นคนสุดท้าย หยิบยื่นแชมป์ให้กับเสือใต้โดยอัตโนมัติ ทำให้ไอ้ค้างคาว บาเลนเซีย ต้องอกหักเป็นปีที่ 2 ติดต่อกัน ส่วนบาเยิร์นก็สามารถลบฝันร้ายเมื่อ 2 ปีที่แล้วลงได้ พร้อมกับคว้าแชมป์สมัยที่ 4 ของทีมไปครอง จากคุณ : A E Y A U D D A เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 54 15:50:29

ความคิดเห็นที่ 11 ฤดูกาล 2001-2002 ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น(เยอรมัน) 1-2 เรอัล มาดริด(สเปน) สนาม : แฮมพ์เด้น ปาร์ค, กลาสโกว์(สก็อตแลนด์) ทีมห้างยา ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่น ม้ามืดจากเยอรมันในปีนั้นที่มีมิชาเอล บัคลัคมิดฟิลด์คนสำคัญเป็นห้องเครื่องของทีม ได้สร้างชื่อให้ตัวเอง ด้วยการหักด่านแมนฯ ยูไนเต็ดในรอบรองเข้ามาชิงกับ ราชัน ชุดขาว เรอัล มาดริด ยุคกาลาติกอส ที่นำทัพโดย ซีเนดิน ซีดานและหลุยส์ ฟิโก้ ได้สำเร็จ แต่ก็เป็นมาดริดที่ฉวยโอกาสได้ก่อนเพียงแค่ 8 นาทีแรก จากโรแบร์โต้ คาร์ลอส ที่ทุ่มไกลจากเกือบครึ่งสนามมาถึงเขตโทษให้ราอูลตวัดยิงด้วยซ้ายตามน้ำเข้าประตูไปแบบสุดคมเป็น 1-0 แต่หลังจากนั้นเพียง 5 นาทีเลเวอร์คูเซ่นก็มาได้ฟรีคิกที่ริมเขตโทษด้านซ้าย เป็นแบร์น ชไนเดอร์ที่เปิดเข้าไปให้ลูซิโอ กองหลังชาวบราซิลของทีมเทคตัวขึ้นโหม่งผ่านมือกาซิยาสเข้าไปตีเสมอเป็น 1-1 อย่างรวดเร็ว แต่แล้วก่อนจะหมดเวลาในครึ่งแรกเพียงไม่กี่นาที ซีเนดิน ซีดาน ก็โชว์ทักษะความเป็นสุดยอดนักเตะเมื่อมีโอกาสเอี้ยวตัววอลเลย์ด้วยซ้ายจากการจุดพลุโด่งมาของคาร์ลอส บอลพุ่งโค้งผ่านมือฮันส์ ยอร์ก บุตต์เข้าไปอย่างสุดสวย ให้มาดริดพลิกขึ้นนำอีกครั้งเป็น 2-1 และนั่นก็กลายเป็นประตูชัยของเกมนี้ ส่งผลให้เรอัล มาดริด ครองแชมป์สูงสุดเป็นสมัยที่ 9 มาจนถึงปัจจุบัน ปล. 5 ปีหลังจนถึงปีนั้น มาดริดได้เข้าชิงปีเว้นปี และได้แชมป์ทุกครั้งที่เข้าชิงทั้ง 3 ครั้ง ปล. 2 ประตูชัยของซีดานในปีนั้น ยังถูกจัดอันดับให้เป็นประตูที่สวยที่สุดของแชมเปียนส์ลีกจนถึงปัจจุบัน แก้ไขเมื่อ 17 พ.ค. 54 03:17:14 แก้ไขเมื่อ 16 พ.ค. 54 15:52:15 จากคุณ : A E Y A U D D A เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 54 15:51:35

ความคิดเห็นที่ 12 ฤดูกาล 2002-2003 ยูเวนตุส(อิตาลี) 0-0(2-3) เอซี มิลาน(อิตาลี) สนาม : โอลด์ แทรฟฟอร์ด, แมนเชสเตอร์(อังกฤษ) ม้าลาย ยูเวนตุส และปิศาจแดงดำ เอซี มิลาน 2 ยอดทีมจากอิตาลีในเวทียุโรปรอบ 10 ปีหลังสุด ได้โอกาสโคจรมาพบกันในนัดชิงปีนี้ แต่ทั้ง 2 ทีมก็เล่นด้วยความระมัดระวัง แม้จะมีโอกาสทำประตู แต่ก็ไม่ผ่านมือทั้งจิอันลุยจิ บุฟฟ่อน และดีด้า นายทวารของทั้ง 2 ทีมไปได้ จนจบ 120 นาทีต้องดวลจุดโทษตัดสิน โดยที่ 3 คนแรกของแต่ละทีมพลาดกันไปฝั่งละ 2 คน ก่อนที่เปาโล มอนเตโร่ คนที่ 4 ของยูเว่จะมาพลาดซ้ำ ทำให้หลังจากอังเดร เชฟเชนโก้ ดาวยิงคนสุดท้ายของทีมยิงผ่านมือบุฟฟ่อนเข้าไป มิลานก็คว้าแชมป์สมัยที่ 6 ของตัวเองได้สำเร็จ ในเกมนัดชิงที่น่าอึดอัดที่สุดเกมหนึ่งของถ้วยใบนี้ แก้ไขเมื่อ 16 พ.ค. 54 18:39:27 จากคุณ : A E Y A U D D A เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 54 15:53:19

ความคิดเห็นที่ 13 ฤดูกาล 2003-2004 อาแอส โมนาโก(ฝรั่งเศส) 0-3 เอฟซี ปอร์โต้(โปรตุเกส) สนาม : อัลฟ์ ชาลเก้ อารีนา, เกลเซ่นเคียร์เช่น(เยอรมัน) แชมเปียนส์ลีกนัดชิงปีนี้ เป็นการพบกันครั้งแรกของ 2 ม้ามืดอย่าง อาแอส โมนาโก ภายใต้การคุมทีมของดิดิเยร์ เดส์ชองส์ ผู้เคยคว้าแชมป์รายการนี้มาแล้ว และ เอฟซี ปอร์โต้ ของเทรนเนอร์หนุ่มจอมอหังการ โชเซ่ มูริญโญ่ ที่ผ่านเข้ามาชิงกันได้แบบหักปากกาเซียน แต่เกมที่ใครๆคิดว่าน่าจะสู้กันได้อย่างสูสี กลับกลายเป็นเกมวันเวย์ของยอดทีมจากโปรตุเกส เมื่อมาได้ประตูแรกจากคาร์ลอส อัลแบร์โต้ ศูนย์หน้าบราซิลเลี่ยนของทีม ที่รับบอลในกรอบเขตโทษก่อนพลิกยิงด้วยขวาเข้าไปอย่างสุดสวยในปอร์โต้ขึ้นนำ 1-0 ก่อนจะมาได้ประตูที่ 2 ในครึ่งหลังจากเดโก้ เพลย์เมคเกอร์คนเก่งของทีม ที่ได้ยืนยิงโล่งๆในเขตโทษ ปิดท้ายด้วยจังหวะสวนกลับ และก็เป็นดิมิทรี อเลนิเชฟได้หลุดขึ้นไปกดด้วยขวาแสกหน้าฟลาวิโอ โรม่าเต็มๆ ให้ปอร์โต้ทุบเอาชนะโมนาโกไป 3-0 อย่างไม่ยากเย็นเป็นถ้วยที่ 3 ของทีมในปีนั้น พร้อมกับเปิดตำนาน เดอะ สเปเชี่ยล วัน ของมูริญโญ่ ก่อนเจ้าตัวจะย้ายมาคุมทีมสิงโตน้ำเงินคราม เชลซี ในฤดูกาลถัดมา จากคุณ : A E Y A U D D A เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 54 15:54:32

ความคิดเห็นที่ 14 ฤดูกาล 2004-2005 ลิเวอร์พูล(อังกฤษ) 3-3(3-2) เอซี มิลาน(อิตาลี) สนาม : อตาเติร์ก โอลิมปิค สเตเดี้ยม, อิสตันบุล(ตุรกี) หากจะมีเทพนิยายซักเรื่องเกิดขึ้นในสนามฟุตบอล พระเจ้าก็คงเป็นผู้เขียนบทให้มันเกิดขึ้นในนัดนี้ เมื่อลิเวอร์พูลที่ร้างราถ้วยใบนี้มาตั้งแต่ปี 1984 ต้องมาปะทะกับอดีตแชมป์เมื่อ 2 ปีที่แล้วอย่าง เอซี มิลาน แต่เพียงแค่ครึ่งแรกก็แทบจะได้บทสรุปของเกม เมื่อเริ่มเกมไปได้แค่นาทีเดียว เปาโล มัลดินี่ยอดกองหลังกัปตันทีมก็วอลเลย์จากลูกเปิดฟรีคิกของปิร์โลด้วยขวาเข้าไปให้มิลานออกนำ 1-0 ตั้งแต่ไก่โห่ จากนั้นในท้ายครึ่งแรก มิลานได้จังหวะสวนกลับ ริคาร์โด้ กาก้าแทงทะลุช่องให้เชฟเชนโก้หลุดมาทางขวาแล้วตบเข้ากลางให้เฮอร์นัน เครสโปเข้าฮอสตามสูตรหนีห่างไปเป็น 2-0 และก่อนหมดครึ่งแรกเพียงแค่นาทีเดียว ลิเวอร์พูลก็ต้องมาเสียประตูที่ 3 จากการจ่ายบอลคิลเลอร์พาสฉีกแนวรับของกาก้า ให้เครสโปคนเดิมหลุดไปดีดบอลข้ามตัวของดูเด็คเข้าไป จบครึ่งแรกลิเวอร์พูลตามหลังสุดกู่ถึง 3-0 ท่ามกลางความหมดอาลัยตายอยากของแฟนๆหงส์แดง แต่เมื่อเริ่มครึ่งหลังมาได้ไม่นานแสงสว่างอันเรืองรองของลิเวอร์พูลได้ถูกจุดขึ้นในนาทีที่ 54 เมื่อสตีเฟ่น เจอร์ราร์ด ยอดกัปตันทีมของหงส์แดงขึ้นโหม่งลูกเปิดจากรีเซ่เข้าไปตีตื้นเป็น 3-1 และประตูนั้นก็เหมือนเป็นการจุดประกายของพลพรรคเรด แมชชีน ถัดมาอีกแค่ 2 นาที วลาดิเมียร์ ชมิเซอร์ ได้โอกาสสับนอกกรอบเขตโทษ บอลเบียดเสาหนีมือดิด้าเข้าไปให้ลิเวอร์พูลไล่มาเป็น 3-2 หลังจากนั้นก็ดูเหมือนไม่มีอะไรจะมาหยุดนักเตะหงส์แดงได้อีกแล้ว เมื่อเจอร์ราร์ดได้ทะลุเข้ากรอบเขตโทษแล้วโดนเกี่ยวร่วงในกรอบ ผู้ตัดสินไม่ลังเลเป่าให้เป็นจุดโทษทันที เป็นชาบี้ อลองโซ่ที่รับหน้าที่สังหาร ก่อนเจ้าตัวจะวิ่งเข้าไปยิง ติดเซฟของดิด้า แต่ก็ล้มตัวยิงซ้ำเข้าไปได้ทันควัน ให้ลิเวอร์พูลไล่ตามกลับมาตีเสมอเอซี มิลานได้ 3-3 เพียงช่วงเวลาแค่ 6 นาที จบ 90 นาทีเสมอ 3-3 ในช่วงต่อเวลาพิเศษมิลานก็มามีโอกาสจะได้ประตูขึ้นนำอีกครั้งจากเชพเชนโก้ที่โหม่งจะเข้าอยู่แล้ว แต่ก็ถูกดูเด็คซูเปอร์เซฟไวได้ เจ้าตัวจะตามซ้ำมุมแคบ แต่ก็ติดขาดูเด็คออกไปอีก จนต้องตัดสินกันด้วยการยิงลูกโทษ มิลานได้ยิงก่อน แต่ก็มาพลาดทั้ง 2 คนแรก ทำให้เชพเชนโก้ที่ยิงคนสุดท้ายต้องยิงให้เข้าเพื่อลุ้นกับคนสุดท้ายของลิเวอร์พูล ก่อนเจ้าตัวจะถูกดูเด็ครบกวนสมาธิจนยิงไปติดเซฟ ทำให้ลิเวอร์พูล สร้างปาฏิหาริย์พลิกจากตามหลังถึง 3 ประตูกลับมาตีเสมอและชนะไปด้วยลูกโทษในท้ายที่สุด กลายเป็นตำนานเทพนิยายสุดยอดแห่งการคัมแบ็คในค่ำคืนที่อิสตันบุลอยู่ความทรงจำของสาวกหงส์แดงทุกคนตราบนานเท่านาน จากคุณ : A E Y A U D D A เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 54 15:55:53

ความคิดเห็นที่ 15 ฤดูกาล 2005-2006 เอฟซี บาร์เซโลน่า(สเปน) 2-1 อาร์เซน่อล(อังกฤษ) สนาม : สต๊าด เดอ ฟรองซ์, แซงต์ เดอนิส(ฝรั่งเศส) อีกหนึ่งนัดชิงที่สนาม สต๊าด เดอ ฟรองซ์ เป็นการพบกันของ 2 ทีมที่ได้ชื่อว่าเล่นเกมรุกได้น่าตื่นเต้นที่สุดในโลกอย่างบาร์เซโลน่า และอาร์เซน่อล เริ่มเกมมาไอ้ปืนใหญ่ได้ทักทายก่อนจากลูกยิงของเธียร์รี่ อองรี แต่ก็ติดเซฟของบิคตอร์ บัลเดซทั้ง 2 ครั้ง 2 ครา แต่แล้วจุดเปลี่ยนของเกมก็มาถึง เป็นโรนัลดิญโญ่ที่จ่ายบอลทะลุช่องไปให้ซามูเอล เอโต้หลุดไปโดนเยนส์ เลห์มันน์รวบนอกกรอบเขตโทษ ก่อนบอลมาถึงลูโดวิช ชูลี่ยิงเข้าไป แต่กรรมการให้เป็นลูกฟาล์วก่อน แล้วแจกใบแดงไล่เลห์มันน์ออกจากสนามไป แต่ 10 คนของอาร์เซน่อล กลับมาได้ประตูขึ้นนำไปก่อนเมื่อได้ฟรีคิกริมกรอบเขตโทษด้านขวา อองรีเปิดบอลไปให้โซล แคมป์เบลล์เทคตัวขึ้นโหม่งผ่านมือบัลเดซตุงตาข่ายให้ปืนใหญ่ออกนำไปก่อน 1-0 และจบครึ่งแรกไปด้วยสกอร์นี้ ครึ่งหลังสู้กันมาจนถึงนาทีที่ 75 บาร์ซ่าก็มาตีเสมอได้สำเร็จเมื่ออิเนียสต้าแทงบอลเข้าเขตโทษ เป็นเฮนริค ลาร์สันตัวสำรองป้ายบอลต่อไปให้เอโต้ซัดมุมแคบเข้าไปเป็น 1-1 ถัดมาอีกแค่ 5 นาที ลาร์สันรับบอลมาจากชูเลียโน่ เบลเล็ตติ ก่อนพลิกตัวจ่ายทะลุกลับคืนไป ให้เบลเล็ตติยิงยัดมุมแคบลอดขาอัลมูเนียเข้าไป ให้บาร์ซ่าพลิกเกมกลับมาเอาชนะไปได้ 2-1 คว้าแชมป์หนที่ 2 ของทีมได้สำเร็จ ปล. เยนส์ เลห์มันน์ เป็นผู้เล่นคนแรกที่โดนไล่ออกจากสนามในนัดชิงทั้งยูฟ่า แชมเปียนส์ลีกและยูโรเปียนคัพเดิม จากคุณ : A E Y A U D D A เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 54 15:57:11

ความคิดเห็นที่ 16 ปีหลังๆเท่าที่จำได้แชมป์เก่าไม่เคยป้องกันแชมป์ได้เลยใช่ไหมครับ จากคุณ : Godgate เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 54 15:57:48

ความคิดเห็นที่ 17 ฤดูกาล 2006-2007 ลิเวอร์พูล(อังกฤษ) 1-2 เอซี มิลาน(อิตาลี) สนาม : สไปโร หลุยส์ สเตเดี้ยม, เอเธนส์(กรีซ) กลายเป็นรีแมทช์นัดชิงเมื่อ 2 ปีก่อน เมื่อลิเวอร์พูลกลับมาพบกับเอซี มิลานอีกครั้ง แต่เกมในคราวนี้ดูจะแตกต่างจากเมื่อ 2 ปีที่แล้ว เมื่อครึ่งแรกทำท่าจะจบด้วยสกอร์ 0-0 แต่มิลานมาได้ฟรีคิกหน้ากรอบเขตโทษ อันเดรีย ปิร์โล่ ได้โอกาสปั่นฟรีคิกแฉลบตัวอินซากี้เข้าประตูไป ทำให้มิลานออกนำไปก่อน 1-0 ในครึ่งแรก ครึ่งหลังลิเวอร์พูลพยายามจะตามตีเสมอเหมือนที่พวกเขาเคยทำได้ แต่ก็ยังไม่เป็นผลสำเร็จ จนนาทีที่ 82 กาก้าก็สำแดงฤทธิ์ จ่ายบอลทะลุแผงหลังหงส์แดงไปให้อินซากี้คนเดิม แตะบอลหลบเรน่าก่อนจะหักยิงมุมแคบเข้าไปให้มิลานนำห่างเป็น 2-0 แม้ลิเวอร์พูลจะสามารถยิงคืนมาได้ 1 ประตูจาก เดิร์ก เคาท์ ที่โหม่งเข้าไปในนาทีที่ 89 แต่ก็ไม่เพียงพอที่จะสร้างปาฏิหาริย์ได้เหมือนคราวที่แล้ว ทำให้มิลานล้างแค้นหงส์แดงได้สำเร็จพร้อมกับคว้าแชมป์สมัยที่ 7 ของตัวเอง ขณะเดียวกันก็กลายเป็นปีทองของริคาร์โด้ กาก้า ที่เปิดตำนานผีกาก้า ทั้งยิงทั้งจ่าย จนได้รางวัล บัลลง ดอร์ ในปีนั้นไป จากคุณ : A E Y A U D D A เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 54 15:58:29

ความคิดเห็นที่ 18 ฤดูกาล 2007-2008 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด(อังกฤษ) 1-1(6-5) เชลซี(อังกฤษ) สนาม : ลุซนิกิ สเตเดี้ยม, มอสโคว(รัสเซีย) ครั้งแรกของ 2 ทีมจากเกาะอังกฤษในนัดชิงชนะเลิศของถ้วยใบนี้เป็นการพบกันระหว่าง แมนฯ ยูไนเต็ด อดีตแชมป์ 2 สมัย กับเชลซี ที่เข้ามาชิงได้เป็นหนแรกของสโมสร เกมช่วงแรกเป็นไปอย่างสนุกตื่นเต้น และเป็นแมนฯ ยูไนเต็ดที่มาได้ประตูขึ้นนำไปก่อน จากจังหวะที่เวส บราวน์เติมขึ้นมาก่อนเปิดด้วยซ้ายเข้าเขตโทษให้ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ขึ้นโหม่งเข้าไป เป็น 1-0 แต่ก่อนจะเข้าสู่ช่วงทดเวลาบาดเจ็บในครึ่งแรก มิกาเอล เอสเซียงได้โอกาสยิงไกล บอลไปแฉลบหลังริโอ เฟอร์ดินานด์ มาเข้าทางแฟรงค์ แลมพาร์ดที่เติมขึ้นมายิงสวนเอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์เข้าไปให้เชลซีตามตีเสมอเป็น 1-1 ได้สำเร็จ ครึ่งหลังทั้ง 2 ทีมก็ต่างก็มีโอกาสจะบวกสกอร์เพิ่มแต่ทำไม่ได้ ทำให้ต้องเวลาพิเศษ ในช่วงต่อเวลาเชลซีหวิดจะได้ประตูขึ้นนำอีกครั้งจากทั้งแลมพาร์ดและดร็อกบา และบอลก็ไปชนทั้งเสาและคานออกไป และก่อนจะหมดเวลา เชลซีก็ต้องมาเหลือผู้เล่นแค่ 10 คน เมื่อดร็อกบาไปตบะแตกตบหน้าเนมานย่า วิดิชในจังหวะที่กำลังมีเรื่องมีราวกัน ทำให้โดนใบแดงไล่ออกไป ก่อนที่ทั้ง 2 ทีมจะต้องมายิงจุดโทษตัดสิน และกลายเป็นโรนัลโด้ที่กำลังจะแปรสภาพจากฮีโร่กลายเป็นผู้ร้าย เมื่อเป็นคนเดียวที่ยิงไปติดเซฟของปีเตอร์ เช็ค ทำให้เชลซีจ่อคว้าแชมป์เพียงแค่ปลายเล็บ ทันทีที่จอห์น เทอร์รี่คนสุดท้ายยิงเข้าไป แต่แล้วพระเจ้าก็เหมือนจะเล่นตลก เมื่อเทอร์รี่เสียหลักลื่นล้มก่อนจะยิงไปชนเสา ช่วยให้ยูไนเต็ดฟื้นจากความตายมาแบบเส้นยาแดงผ่าแปด ทำให้ต้องยิงซัดเด้นเดธ์กันต่อ และลูกสุดท้ายของเชลซีก็เป็นนิโคล่าส์ อเนลก้าออกมายิงแต่ถูกฟาน เดอร์ ซาร์เซฟเอาไว้ได้ ทำให้ปิศาจแดง พลิกสถานการณ์กลับมาเอาชนะเชลซีในการดวลจุดโทษพร้อมกับคว้าแชมป์สมัยที่ 3 ของตนเองไปได้อย่างสุดระทึก ปล. ช่วยท้ายฤดูกาลนั้นแฟรงค์ แลมพาร์ดต้องมาสูญเสียคุณแม่ไป ทำให้ทุกครั้งที่เขาทำประตูได้จะชูนิ้วขึ้นไปบนสรวงสวรรค์เพื่อเป็นการอุทิศให้กับคุณแม่ของเขา ปล. ไรอัน กิ๊กส์ ทำลายสถิติผู้เล่นที่ลงสนามมากที่สุดของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดด้วยจำนวน 759 นัด แซงหน้าเซอร์ บ็อบบี้ ชาร์ลตัน เมื่อถูกเปลี่ยนตัวลงไปแทน พอล สโคลส์ในครึ่งหลัง จากคุณ : A E Y A U D D A เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 54 16:00:16

ความคิดเห็นที่ 19 ฤดูกาล 2008-2009 เอฟซี บาร์เซโลน่า(สเปน) 2-0 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด(อังกฤษ) สนาม : สตาดิโอ โอลิมปิโก้, โรม(อิตาลี) แมนฯ ยูไนเต็ดได้กลับมาลุ้นป้องกันแชมป์อีกครั้ง แต่คราวนี้ต้องเจอคู่ต่อกรระดับพระกาฬอย่างบาร์เซโลน่าที่นำทัพโดยลีโอเนล เมสซี่ดาวยิงของทีม เริ่มเกมช่วงแรกเป็นยูไนเต็ดที่ทำได้ดีกว่า มีโอกาสได้ลุ้นประตูหลายครั้งจากคริสเตียโน่ โรนัลโด้ แต่ก็ยังไม่เข้าเป้า จนกระทั่งบาร์ซ่าตั้งหลักได้และเป็นอันเดรส อิเนียสต้าที่เก็บบอลได้กลางสนามก่อนพาบอลจ่ายออกข้างไปให้ซามูเอล เอโต้ ล็อคบอลหลบเนมันย่า วิดิชแล้วยิงจิ้มยัดเสาแรกเข้าไปให้บาร์เซโลน่าขึ้นนำ 1-0 ทันทีที่ขึ้นนำ รูปเกมก็ตกเป็นของบาร์ซ่าอย่างสมบูรณ์จนทำให้นักเตะปิศาจแดงหาบอลกันแทบไม่เจอ ครึ่งหลังขณะที่ยูไนเต็ดพยายามหาจังหวะทวงประตูคืน ก็กลายเป็นชาบี้ เฮอร์นันเดซที่เก็บบอลจังหวะสองก่อนตักบอลไปที่เสาสองอย่างเหมาะเหม็งให้เมสซี่ทะยานขึ้นโขกเสียบเสาสอง ชนิดที่ฟาน เดอร์ ซาร์ได้แต่ยืนมอง ทำให้บาร์ซ่าหนีห่างไปเป็น 2-0 และนั่นก็เป็นเรื่องยากเกินกว่าที่ยูไนเต็ดจะทวงประตูคืนได้ จบเกมบาร์ซ่าโลน่าเอาชนะแมนฯ ยูไนเต็ดไปได้ 2-0 ทำให้อาถรรพ์ของแชมป์เก่าที่ไม่สามารถป้องกันแชมป์ได้ในนัดชิงปีถัดไปได้(นับตั้งแต่เปลี่ยนมาเป็นยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก)ยังคงอยู่สืบต่อไป จากคุณ : A E Y A U D D A เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 54 16:01:34

ความคิดเห็นที่ 20 ฤดูกาล 2009-2010 บาเยิร์น มิวนิค(เยอรมัน) 0-2 อินเตอร์ มิลาน(อิตาลี) สนาม : เอสตาดิโอ ซานติอาโก เบอร์นาบิว, มาดริด(สเปน) นัดชิงชนะเลิศเมื่อปีที่แล้ว เป็นบาเยิร์น มิวนิคที่สามารถพาตัวเองเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศได้อีกครั้ง มาพบกับ อินเตอร์ มิลาน ของโชเซ่ มูริญโญ่ ที่กำลังลุ้นทริปเปิ้ลแชมป์หลังได้มาแล้ว 2 ถ้วยจากอิตาลี เริ่มเกมมาบาเยิร์นขึ้นเกมบุกได้อย่างวูบวาบ จากความสามารถของอาร์เยน ร็อบเบน ปีกจรวดของทีม แต่อินเตอร์ก็อาศัยความเหนียวแน่นและความเฉียบคมทำประตูขึ้นนำไปก่อนเพียงการเล่นบอลแค่ 3 จังหวะ จากฮูลิโอ เซซ่าร์ที่เตะเปิดบอลมาให้ดิเอโก้ มิลิโต้โหม่งชงให้เวสลีย์ สไนจ์เดอร์ทำชิ่งกลับคืนไปให้มิลิโต้ดึงหนึ่งจังหวะก่อนยิงเข้าไปอย่างเลือดเย็นเป็นสกอร์ 1-0 ครึ่งหลังทั้ง 2 ทีมยังเป็นฝ่ายผลัดกันรุกผลัดกันรับอย่างสูสี แต่อินเตอร์ที่เกมสวนกลับมีประสิทธิภาพมากกว่าก็มาได้ประตูที่สอง จากจังหวะสวนกลับของทีม เอโต้ไหลออกทางปีกซ้ายให้มิลิโต้เลี้ยงขึ้นมา ก่อนทำท่าจะเลี้ยงเข้ากลางแล้วล็อคหลบจนฟาน บุยเต็นหลังหัก แล้วเอี้ยวตัวยิงด้วยขวาเข้าไปอย่างเหนือชั้น และก็กลายเป็นประตูปิดกล่องให้ มูริญโญ่ที่ทำอินเตอร์เฉียบคมกว่าบดเอาชนะเสือใต้ไปได้ 2-0 พร้อมกับคว้าถ้วยที่ 3 เป็นทริปเปิ้ลแชมป์ทิ้งท้ายให้กับทีม ก่อนจะลาไปคุมเรอัล มาดริดในฤดูกาลถัดมา จากคุณ : A E Y A U D D A เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 54 16:02:57

ความคิดเห็นที่ 21 และทั้งหมดนั้นก็คือนัดชิงยูฟ่า แชมเปียนส์ลีกทั้ง 18 ครั้ง + ยูโรเปียนคัพ 1 ครั้ง ในรอบ 19 ปีที่ผ่านมา เหลือเวลาอีกไม่ถึง 2 สัปดาห์ นัดชิงยูฟ่า แชมเปียนส์ลีกครั้งที่ 56 ระหว่าง แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดกับ เอฟซี บาร์เซโลน่า ก็จะระเบิดศึกขึ้น ใครจะเชียร์ใคร ใครจะชนะ ใครจะเป็นฝ่ายได้สุขสมหวัง ใครจะต้องผิดหวังอีกครั้ง 28 พ.ค. นี้มาพบคำตอบด้วยกัน ระหว่างนั้น โปรดเฝ้ารอด้วยใจระทึก ขอบคุณครับ! ปล. ขอบพระคุณเจ้าของคลิปทั้งหมด รวมถึงคลิปของคุณ talents1628 มา ณ ที่นี้ ขอบคุณครับ แก้ไขเมื่อ 16 พ.ค. 54 16:19:03 จากคุณ : A E Y A U D D A เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 54 16:12:06

ความคิดเห็นที่ 22 #16 ตั้งแต่เปลี่ยนชื่อมาเป็น ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก ยังไม่มีทีมใดเคยป้องกันแชมป์ในปีถัดไปได้เลยครับ จากคุณ : A E Y A U D D A เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 54 16:18:01

ความคิดเห็นที่ 23 ยุค 90 นี่ อิตาลีครองโลกจริงๆ เข้าชิงแทบทุกปี จากคุณ : PEDestrain เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 54 16:25:22

ความคิดเห็นที่ 24 ขอบคุณสำหรับกระทู้ดี มีสาระครับ จากคุณ : เปลืองเวลา เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 54 16:25:59

ความคิดเห็นที่ 25 กระทู้แบบนี้ ดีจังเลย ... ขอบคุณครับ จากคุณ : Tiggy-ข้าวหอม เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 54 16:29:51

ความคิดเห็นที่ 26 ชอบกระทู้นี้จัง ขอบคุณมากๆครับ จากคุณ : เงาะกระป๋อง เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 54 16:41:29

ความคิดเห็นที่ 27 เยี่ยมครับ...........หวังว่าจะเป็นเกมส์ที่สนุกนะครับ.......แพ้ชนะไม่สำคัญขอให้เกมส์ออกมาดูสนุกก้อพอครับ จากคุณ : nen united เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 54 16:58:31

ความคิดเห็นที่ 28 กระทู้นี้ยอดเยี่ยมมากครับ ขอบคุณมากๆ จากคุณ : duke of wizz เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 54 17:04:59

ความคิดเห็นที่ 29 กระทู้ยอดเยี่ยม มากเลยครับ จากคุณ : น้ำตาจากสวรรค์ เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 54 17:10:34

ความคิดเห็นที่ 30 ผมพึ่งเคยเห็น nen united เม้นไม่อวยทีมโปรด ตัวปลอมป่าว !!!! จากคุณ : erkDaZe เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 54 17:14:50

ความคิดเห็นที่ 31 จิ้มไปที่ความเห็นที่ 12 Milan - Juventus น่าจะเป็น เชฟเชนโก้ ยิงผ่านมือ บุฟฟ่อน นะครับ O_o ป.ล. ผมดูนัดชิงนัดแรกคือนัด 95-96 Ajax - Juventus รู้จักเฮียหงอกก็นัดนี้เลยครับ ><" จากคุณ : Ume~PoKo เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 54 18:26:17

ความคิดเห็นที่ 32 จิ้มไปที่ความเห็นที่ 12 Milan - Juventus น่าจะเป็น เชฟเชนโก้ ยิงผ่านมือ บุฟฟ่อน นะครับ O_o ป.ล. ผมดูนัดชิงนัดแรกคือนัด 95-96 Ajax - Juventus รู้จักเฮียหงอกก็นัดนี้เลยครับ ><" จากคุณ : Ume~PoKo เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 54 18:31:33

ความคิดเห็นที่ 33 #31 คุณUme~PoKo ขอบคุณมากครับที่ช่วยทักท้วง พิมพ์มาก มึนเองครับ จากคุณ : A E Y A U D D A เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 54 18:40:26

ความคิดเห็นที่ 34 จากคุณ : SamuDi Knight เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 54 20:47:27

ความคิดเห็นที่ 35 ดูแล้วคิดถึงวันเก่า ๆ เริ่มดูปีที่ม้าลายชนะอาแจ๊กซ์เหมือนกัน ปล. ว่าแต่เบียร์ Amstel นี่ไปไหนแล้วเนี่ย จากคุณ : yongzaa เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 54 22:46:43

ความคิดเห็นที่ 36 วันที่ แมนยูพลิกกลับมาชนะ 2-1  มันสุดๆ  จริงๆ จากคุณ : vn, man เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 54 23:05:45

ความคิดเห็นที่ 37 ดูชิง UCL ปีแรกสมัยดอร์ทมุนด์เป็นแชมป์  รอบรองผ่านแมนยูมาด้วยมั้งเหมือนจะใช่นะ จากคุณ : bobenz เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 54 23:08:25

ความคิดเห็นที่ 38 #คุณyongzaa อัมสเทลเป็นเบียร์ในเครือของไฮเนเก้นมาตั้งแต่ปี 1968 แล้วครับ เพียงแต่ภายหลังรายได้จากการโฆษณาในแชมเปียนส์ลีกเพิ่มขึ้นมหาศาล ไฮเนเก้นเลยเปลี่ยนกลยุทธ์มาเน้นขายผลิตภัณฑ์หลักในเครือของตัวเองแทนครับ #bobenz ใช่ครับ ช่วงนั้นใครล้มยูไนเต็ดได้มักจะก้าวขึ้นไปถึงแชมป์ตลอด จากคุณ : A E Y A U D D A เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 54 23:43:24

ความคิดเห็นที่ 39 ขอบคุณสำหรับกระทู้ดีๆ ค่ะ ^^ จากคุณ : Noey :p เขียนเมื่อ : วันวิสาขบูชา 54 00:03:32

ความคิดเห็นที่ 40 มิลานปี 2006 - 2007 สมกับที่เป็นอินซากี้จริง ถูกที่ถูกเวลาตลอด จากคุณ : Antornz เขียนเมื่อ : วันวิสาขบูชา 54 00:21:47

ความคิดเห็นที่ 41 คลิปมอสโคว์ 2008 คนทำ ทำออกมาได้ดราม่ามาก ภาพ+เพลงเข้ากันสุดๆ จากคุณ : LL cool P เขียนเมื่อ : วันวิสาขบูชา 54 00:23:15

ความคิดเห็นที่ 42 ได้ดูบอลกับพ่อครั้งแรกก็คู่ชิง แมน ยู เจอกับ บาเยิน มิวนิคครับ พ่อหนีไปนอนตั้งแต่จบครึ่งแรก ส่วนผมยังนั่งดูอยู่จนจบ หลังจากนั้นมาก็กลายเป็นแฟน แมน ยู อย่างเต็มตัวครับ จากคุณ : aewman99 เขียนเมื่อ : วันวิสาขบูชา 54 00:46:28

ความคิดเห็นที่ 43 ลูกยิงซาวิเซวิชยังตรึงใจมาจนทุกวันนี้ บาร์ซ่าของครอยฟ์โดนถลุงยับไปเลย เชื่อว่าแกคงลืมไม่ลง อิอิ จากคุณ : นักมายากลแห่งรัสเซีย เขียนเมื่อ : วันวิสาขบูชา 54 01:19:23

ความคิดเห็นที่ 44 ขอบคุณมากๆค่ะ  ชอบมากเป็นกระทู้ที่ดีมากเลย เมื่อกี้ดูรายการ ucl ของช่อง3อะ เจอน้าโอเล่ด้วย เขาไปสัมภาษณ์น้าถึงนอร์เวย์แหนะ (มั๊ง) ^^ คิดถึงน้าจังเลย จากคุณ : BeNettY เขียนเมื่อ : วันวิสาขบูชา 54 01:20:24

ความคิดเห็นที่ 45 ดูแล้วขนลุกมากๆเลย ในหลายๆนัด ขอบคุณครับ จากคุณ : sirapiluck (sirapiluck) เขียนเมื่อ : วันวิสาขบูชา 54 04:18:20

ความคิดเห็นที่ 46 ดูคลิปแล้ว ไม่น่าเชื่อประวัติศาสตร์ UCL จะไม่มีโคตรนักบอลอย่าง โรนัลโด้ มาราโดน่า บาจโจ้ เคยแม้แต่เข้าชิง จากคุณ : Kill11by1pass เขียนเมื่อ : วันวิสาขบูชา 54 04:27:01

ความคิดเห็นที่ 47 กระทู้ยอดเยี่ยมมาก  จากคุณ : ย้ำคิดย้ำฝัน เขียนเมื่อ : วันวิสาขบูชา 54 07:58:51

ความคิดเห็นที่ 48 กระทู้ดีมีสาระ น่าปล้นกิ๊ฟ...เยี่ยมครับ.. จากคุณ : มหาอุตม์ เขียนเมื่อ : วันวิสาขบูชา 54 08:30:16

ความคิดเห็นที่ 49 ดูคลิบ MAN utd ปี 2008 แล้วน้ำตาซึมครับ จากคุณ : โคอีสีอิฐ เขียนเมื่อ : วันวิสาขบูชา 54 11:11:53

ความคิดเห็นที่ 50 เอ ทำไมผมรู้สึกว่ามันเพิ่งเปลี่ยนจากยูโรเปี้ยนคัพมาเป็น UCL เมื่อไม่นานมานี้เองหว่า เหมือนกับว่ามาเปลี่ยนหลังยกเลิกถ้วย cup winners cup และให้ทีมอันดับ 2-3 มาแข่งได้ด้วย หรือผมแก่แล้ว จากคุณ : nisas เขียนเมื่อ : วันวิสาขบูชา 54 11:14:35

ความคิดเห็นที่ 51 กระทู้นี้สุดเจ๋ง รีบโหวตให้ทันทีทันใด จากคุณ : yyswim เขียนเมื่อ : วันวิสาขบูชา 54 12:41:47

ความคิดเห็นที่ 52 ขอบคุณสำหรับกระทู้เตือนความจำคับ :) จากคุณ : Liverpool_BigFan เขียนเมื่อ : วันวิสาขบูชา 54 14:18:57

ความคิดเห็นที่ 53 คลิปปี2008-2009 ขนลุกมากๆอ่ะ จังหวะตอนที่เป็นภาพสโลว์นักเตะคนอื่นวิ่งมาหาน้าซาร์ ปล่อยเจ้าโด้นอนร้องไห้ 555 นั่งดูล่ะน้ำตาซึม จากคุณ : nekojung เขียนเมื่อ : วันวิสาขบูชา 54 15:31:12

ความคิดเห็นที่ 54 เยี่ยมครับ  ใจหายใจคว่ำสุดๆก็ ปี 1998-1999 นั่นเลย กัดเล็บ กัดนิ้ว ทั้งเกมส์ จากคุณ : หน้าต่างไร้กลอน เขียนเมื่อ : วันวิสาขบูชา 54 15:35:42

ความคิดเห็นที่ 55 โห ขนลุกเลย ทบทวนไปในตัวด้วย เเฟนผีอย่างผมยอมรับจริงๆ  เเชมป์ของหงส์เเดง ดราม่า สุดๆ แก้ไขเมื่อ 17 พ.ค. 54 16:55:51 จากคุณ : palovema เขียนเมื่อ : วันวิสาขบูชา 54 16:34:22

ความคิดเห็นที่ 56 ขอบคุณมากเลยครับ จากคุณ : Costacurta เขียนเมื่อ : วันวิสาขบูชา 54 16:57:34

ความคิดเห็นที่ 57 ขอบคุณ จขกท มากมายครับ จำได้ว่าผมดูนัดชิง UCL ปีแรก ฤดูกาล 1996-1997 โบรุสเซีย ดอร์ทมุนด์ คว่ำ ยูเวนตุส และก็ไม่เคยพลาดสักปีเดียว ผมยกให้ปีนัดชิงปี 1998-99 ที่แมนยู ได้ 3 แชมป์ และ 2004-2005 ที่ลิเวอร์พูล ตามหลัง เอซีมิลาน 3 ลูกแต่เข้าวินเฉย เป็นนัดชิงในความทรงจำเลยทีเดียว จากคุณ : anakinaom เขียนเมื่อ : วันวิสาขบูชา 54 19:56:31

ความคิดเห็นที่ 58 ปี 3 แชมป์ (98/99) ยูไนเต็ด ต้องเจอกับ ยูเวนตุส ที่เข้าชิงมา 3 ปีซ้อน อารมณ์มันจะขนาดไหน น่าจะพอเข้าใจ จบด้วยการชนะแบบสุดมันส์ พูดไป ลุ้นกว่ารอบชิงอีกล่ะมั้ง แต่รอบชิง ยิ่งดราม่ากว่า! ขอบคุณจขกท.ครับ จากคุณ : art_sarawut เขียนเมื่อ : วันวิสาขบูชา 54 20:40:19

ความคิดเห็นที่ 59 ขอบคุณค่ะ ดู #18 น้ำตาจะไหล  #21 โคตรมันเลย จากคุณ : petrified เขียนเมื่อ : วันวิสาขบูชา 54 21:11:47

ความคิดเห็นที่ 60 สุดยอดเลย ละครสามารถสร้างได้ว่า จะให้เป็นในรูปแบบไหน ว่าจะเศร้า ตื่นเต้น หรือดราม่าเรียกน้ำตา แต่..... ฟุตบอล นี่มีทุกแบบ เป็นอะไรที่ละครไม่สามารถเทียบกับสิ่งที่เกิดขึ้นมาได้ ปาฎิหารย์มันมีอยู่จริง และเชื่อแฟนบอลหลายทีมสัมผัสได้ในการชมการแข่งขันที่ผ่านมา ดราม่ามากๆทั้งของยูไนเต็ดและของหงส์แดง ดูแล้วน้ำตาซึม ขนาดเป็นแฟนยูไนเต็ดนับถือเลย ตอนหงส์คว้า UCL นี่สุดยอดมาก ช๊อตกัปตันเจิดกระตุ้นเพื่อนหลังจากตีไข่แตกนี่กำลังใจเพื่อนนี่มาอีกบานเลย เป็นช๊อตแห่งการเรียกกำลังใจเลย และที่สำคัญแฟนบอลนี่แม้ว่าทีมจะตาม 0-3 แต่ไฟสีแดงมันส่องสว่างไปทั่วอิสตันบูลเลยทีเดียว ส่วนของยูไนเต็ดไม่มีอะไรบรรยายเพราะน้ำตาซึมไปทั้ง 2 รอบ >,< ไม่รู้ปีนี้จะได้เรียกน้ำตาอีกรอบไหม ฮาๆๆๆ จากคุณ : ayuchan เขียนเมื่อ : วันวิสาขบูชา 54 21:59:19

ความคิดเห็นที่ 61 ฤดูกาล 1998-1999 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด(อังกฤษ) 2-1 บาเยิร์น มิวนิค(เยอรมัน) ภาพที่ Samuel Kuffour ทุบพื้น ร้องไห้ เพราะ เจ็บใจมันยังคาตา ผมอยู่เลย... จากคุณ : ข้าวคลุกน้ำปลา เขียนเมื่อ : 18 พ.ค. 54 12:26:44

ความคิดเห็นที่ 62 คห61 ร้องไห้ได้อย่างเจ็บปวดมากอ่ะ จากคุณ : nekojung เขียนเมื่อ : 18 พ.ค. 54 22:54:33