TIA Column : บทสรุป "สุดขั้ว" ลิเวอร์พูล 2010-2011
|
|
จบลงไปแล้วอย่างสมบูรณ์สำหรับฟุตบอลพรีเมียร์ลีก ฤดูกาล 2010-2011 แน่นอนว่าไม่สวยงามเลยสำหรับพวกเราทุกคนที่มีความรัก ความหวัง ความผูกพันกับสโมสรลิเวอร์พูล เราเริ่มต้นด้วยปัญหา ราฟาจากเราไป หลายคนอาจพอใจแล้วที่เขาไปเสียได้ แต่ถ้ารู้เห็นเหตุการณ์ล่วงหน้าว่า มันจะเป็นอย่างที่เป็นในครึ่งฤดูกาลแรก เชื่อว่าคุณอาจเปลี่ยนใจ ยอมสู้กับราฟาอีกซักตั้งก็ได้
แต่มันก็ต้องผ่านเลยไป เรามีผู้จัดการทีมคนใหม่ รอย ฮอดจ์สัน ชายชาวอังกฤษวัย 63 ปี ผลงานที่ดีที่สุดในชีวิตการคุมทีม 35 ปี คือ การพาฟูแล่มเข้าชิงยูโรป้าลีกเมื่อปีที่แล้ว แน่นอนว่า แทบจะไม่มี The kop คนไหนปลาบปลื้มกับการได้ผู้จัดการทีมคนนี้ เราทุกคนต่างตั้งคำถามต่อความสามารถของเขา ส่วนตัว เราพยายามที่จะเริ่มต้นใหม่ ให้โอกาสเขา สนับสนุนเขาอย่างที่เคยสนับสนุนราฟามาแล้ว แต่ที่ทำได้จนถึงที่สุด คือการสนับสนุนเขาในฐานะผู้จัดการทีมลิเวอร์พูลในช่วงระยะเวลาเพียง 3 เดือนเท่านั้น เป็น 3 เดือนที่เราต้องใช้ความพยายามอย่างมากที่จะมองข้ามบางสิ่งบางอย่างที่เขาพูดและทำ แต่สิ่งเหล่านั้นมันเด่นชัดเกินกว่าจะละเลยได้จริงๆ ไม่เคยมีผู้จัดการทีมลิเวอร์พูลคนไหนกล้ามีปัญหากับ The kop มาก่อน ไม่ใช่ว่า เรายิ่งใหญ่มาจากไหน แต่สิ่งที่ The kop ทำให้ทีมมาโดยตลอดมันคือคำตอบในตัวมันเองแล้วว่า ทำไมผู้จัดการทีมคนแล้วคนเล่า นักเตะคนแล้วคนเล่าที่ผ่านเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของครอบครัวลิเวอร์พูล จึงได้ประทับใจ จดจำไว้ในความทรงจำ และพูดอยู่เสมอว่าพวกเราเป็นกองเชียร์ที่ยอดเยี่ยมเหลือเกิน แต่ รอย ฮอดจ์สันกลับแสดงความคิดเห็นดูถูก The kop และกล่าวหาว่า The kop ไม่สนับสนุนทีม และเมื่อเขาพูด The kop ก็จัดให้ ...ไม่เคยมีเกมเหย้าเกมไหนที่แฟนบอลจะเข้าไปเชียร์น้อยกว่าเกมกับโบลตัน เมื่อเดือนธันวาคม 2010 อีกแล้ว นับจากสนามแอนฟิลด์ มีความจุได้ราว 45,000 คน ไม่มีเกมไหนของทีมชุดใหญ่ที่จะมีกองเชียร์เข้าไปเชียร์น้อยเท่ากับเกมนั้นอีกแล้ว 35,000 คนในแอนฟิลด์ เห็นทีนั่งโล่งว่างได้อย่างชัดเจน
และหากมาพูดถึงฟอร์มการเล่น เชื่อว่า แม้แต่คนที่ไม่ชอบราฟามากที่สุด ก็ยังต้องยอมรับว่า รอย ฮอดจ์สัน แย่กว่ามากนัก เขาทำทีมแพ้มากกว่าชนะ เสียประตูมากกว่ายิงประตู ทีมหล่นไปอยู่โซนตกชั้น และพวกเราต้องเห็นบุคลิกภาพอันน่าอายของผู้จัดการทีมลิเวอร์พูล การแสดงความหงุดหงิด เครียด หาทางแก้ปัญหาไม่ได้ ด้วยเออ... "การถูหน้า" ...พระเจ้า มันเป็นภาพที่ติดตาตรึงใจมาจนบัดนี้จริงๆ
นี่ยังไม่นับ "วาทะ" อันเลวร้ายทั้งหลายทั้งปวง ที่ไม่อยากจะเชื่อว่ามันออกมาจากปากผู้จัดการทีมลิเวอร์พูล ซึ่งขอไม่พูดถึงจะดีกว่า เอาเป็นว่า มันเป็นความมืดมนในทุกๆสัปดาห์ที่ต้องทนดูทีมรักถูกปู้ยี้ปู้ยำครั้งแล้วครั้งเล่า จนแทบจะไม่อยากให้ถึงเกมลีกนัดถัดไปเลย
เรื่องผู้จัดการทีมไม่ใช่ไฮไลท์เพียงหนึ่งเดียวของฤดูกาลที่บ้าที่สุด ...ฤดูกาลนี้ สโมสรลิเวอร์พูลต้องเผชิญกับศึกสงครามครั้งใหญ่ นอกสนามฟุตบอล ใช่แล้วค่ะ การต่อสู้เพื่อขับไล่ "ปลิงมะกัน" นั่นเอง ยังจำได้มั้ยคะว่า สัปดาห์ที่ลิเวอร์พูลกำลังจะได้เจ้าของคนใหม่ มันวุ่นวายขนาดไหน เมื่อเส้นตายการชำระหนี้ให้ธนาคารใกล้มาถึง และ "ปลิงมะกัน" ไม่มีปัญญาจะไปรีไฟแนนท์ มาร์ติน แอนด์ เดอะ แก็งส์ ประธานสโมสรที่ "ปลิง" จำต้องแต่งตั้งมาเพื่อการขายสโมสรตามเงื่อนไขของธนาคาร ได้ประกาศขายสโมสร คัดเลือกผู้เสนอซื้อที่ดีที่สุด จนได้กลุ่มทุน FSG มา แต่ราคาซื้อไม่ได้อย่างใจปลิง จึงมีการฟ้องร้องกันข้ามประเทศให้ The kop ใจหายใจคว่ำกันหลายตลบ กว่าที่จะจบลงอย่าง Happy Ending สำหรับคนทุกคนที่รักสโมสรแห่งนี้ เล่นเอาปุ่ม F5 แทบพัง เพราะต้องอัพเดตกันนาทีต่อนาทีกันเลยทีเดียว
Happy เรื่องเจ้าของทีมกันไปแล้ว กลับมาหดหู่กับทีมกันต่อ เพราะทีมและผู้จัดการทีมยังคงตั้งหน้าตั้งตาฝังตัวอยู่ท้ายตารางต่อไป แม้จะกระเตื้องขึ้นมาได้ถึงอันดับ 13 แต่มันคือ จุดสิ้นสุดของความอดทนแล้ว (ช้าไปรึเปล่า) ในที่สุดหลังจากไปแพ้แบล็คเบิร์น 3-1 (ที่ข้าพเจ้าอดสงสัยไม่ได้ว่ากัปตันสุดที่รักตั้งใจยิงจุดโทษพลาดรึเปล่า) เราก็ได้เปลี่ยนผู้จัดการทีมเสียที และคราวนี้ มันคือ สิ่งที่ดีที่สุดที่เกิดขึ้นกับทีมในฤดูกาลนี้เลยทีเดียว
จริงมั้ยล่ะคะ
The Return of the King.
แน่นอนว่า คนเพียงคนเดียว ไม่อาจพลิกฟ้าคว้าดาวได้ในชั่วข้ามคืน แต่ลองถามหัวใจคุณดูสิ หัวใจที่รักลิเวอร์พูลสุดหัวใจ ว่าหัวใจมันรู้สึกอย่างไรกับการกลับมาของผู้ชายที่ชื่อ เคนนี่ ดัลกลิช
สำหรับเรา มันเหมือนได้โผล่พ้นน้ำ หายใจอากาศบริสุทธิ์เต็มปอด ลืมตามองเห็นท้องฟ้าที่สดใส มีสายลมที่หอบกลิ่นดอกไม้หอมหวานโชยผ่านมา มันคือ ความสุขล้นเหลือจริงๆ
เราไม่รู้เหมือนกันว่าทำไมถึงรู้สึกอะไรได้ขนาดนั้น ทั้งๆที่ไม่ทันได้ดูคิง เคนนี่ ทั้งในฐานะนักเตะและผู้จัดการทีมเลย เพียงแค่เห็นแววตาเขาในวันแรกที่เดินลงไปคุมทีมที่สนามโอลแทรฟฟอร์ด ในหัวใจของเรามันรู้ มันเชื่อ อย่างเต็มเปี่ยมว่า
"ผู้ชายคนนี้ รักลิเวอร์พูลมาก มากเหลือเกิน มากเกินกว่าที่ใครจะคิดถึง และเขารอคอยที่จะกลับมายืนตรงนี้ถึง 20 ปี"
การลาออกครั้งก่อน เป็นสิ่งที่คิง เคนนี่ เสียใจมาโดยตลอด เมื่อตอนที่ราฟาดึงเขากลับมาทำงานในสโมสรเมื่อปี 2007 เขาถึงเลือกกลับมา และคลุกคลีอยู่กับอคาเดมี่ของสโมสรมาโดยตลอด เขารู้จักชื่อเด็กๆทุกคน เขารู้จักสโมสรแห่งนี้ทุกซอกทุกมุม ตั้งแต่เมื่อ 34 ปีที่แล้วตั้งแต่ก้าวเข้ามาเป็นส่วนหนึ่งของสโมสร จนถึงวันนี้ เวลา 20 ปีที่เหมือนเขาหายไป แต่แท้จริงแล้ว เขาไม่ได้หายไปไหนเลย เขายังคงอยู่ ยังคงทำงานเพื่อผู้คนในเมืองลิเวอร์พูล และไปร่วมงานรำลึกฮิลล์โบโร่ทุกปี
เรารักราฟา เพราะเราเชื่อว่าราฟารักลิเวอร์พูล และกับคิง เคนนี่ มันไม่ต้องมีคำถามเลยว่าเขารักลิเวอร์พูลมั้ย...
สัญญาแค่ 6 เดือน คิง เคนนี่ยังยอมเซ็น ยอมทำ เมื่อเขามั่นใจว่ามันจะดีกับสโมสร ถ้าเป็นคนอื่น เขาอาจจะหาว่าดูถูกกันและปฏิเสธ แต่เพราะมันเป็นสิ่งที่คิง เคนนี่รอคอยมา 20 ปี คิดดูแล้วก็แทบไม่ต่างจากตอนที่ฟาวเลอร์กลับมาเซ็นสัญญาโดยไม่อ่านอะไรเลย
การกลับมาของ คิง เคนนี่ นำพาความหวังกลับมาสู่แอนฟิลด์ เขาคือคนหลอมรวมหัวใจทุกดวงในแอนฟิลด์ให้เป็นหนึ่งเดียว ยามทีมแพ้ เขาไม่เคยโทษใคร และทุกคำพูดหลังเกมของคิง ก็ฉุดเราขึ้นมาจากความเศร้าได้ทุกครั้ง ยามชนะ เขายกความดีความชอบให้ลูกทีมและสต๊าฟโค้ชทุกคน วาทะทุกๆคำ คือ การแสดงซึ่งความภาคภูมิใจในทีม เขาไม่เคยเอ่ยปากซักคำว่าทีมที่มีอยู่ไม่ดีพอ เขาให้กำลังใจเด็กๆที่มาจากอคาเดมี่ เขายกความดีความชอบสำหรับพัฒนาการของอคาเดมี่ให้ราฟา (ซึ่งเป็นคนริเริ่มปรับปรุง) และทีมงาน สต๊าฟโค้ชของอคาเดมี่ทุกคน
หลังเกมสุดท้ายของฤดูกาล ซึ่งเราแพ้ต่อวิลล่าไป 1-0 คิง เคนนี่พูดว่า "ผมผิดหวัง ผิดหวังแทนผู้เล่นทุกคน เพราะพวกเขาพยายามอย่างถึงที่สุดแล้ว..." ถ้าคุณมีเจ้านายแบบนี้ คุณจะไม่ทำงานถวายหัวให้สุดกำลังหรือ...
การกลับมาของคิง เคนนี่ คือ สิ่งที่ดีที่สุดในฤดูกาลนี้ และพูดตามตรงถึงจะมาช้าไปหน่อย แต่มันก็ดีเหลือเกินแล้วที่เขากลับมา กลับมาเป็น Boss ของเราอีกครั้ง
อะ อะ อะ เรื่องช๊อกในฤดูกาลนี้ไม่ได้มีแค่นี้หรอกค่ะ แน่นอน ไม่พูดเรื่องการย้ายทีมในเดือนมกราคม คงไม่ได้ เพราะ กด F5 แป้นพิมพ์แทบพังไม่แพ้ตอนขายสโมสรเลยทีเดียว
...ในขณะที่ทีมกำลังจะลืมตาอ้าปากได้ ศูนย์หน้าอันดับหนึ่งของทีมเกิดติสแตก เอ้ยยย ไม่เอาดีกว่า อืมมม เอาเป็นว่า เขาไม่มั่นใจในทีมเราอีกต่อไปแล้ว เพราะเขาอยากมาเล่นแชมเปี้ยนลีก แต่เรากำลังจะพลาดเป็นฤดูกาลที่ 2 ติดต่อกัน และเขาก็ไม่อยากจมปลักอยู่กับเรา เขาก็เลยขอย้ายทีมซะงั้นในเวลา เออ ...3 วันก่อนปิดตลาด ...ควันขึ้นเลยทีนี้ วุ่นวายกันไปทั้งแอนฟิลด์ แต่เราก็ผ่านจุดนั้นมาได้ ด้วยการขายเขาไปแล้วซื้อคนอื่นมาแทน ง่ายๆ แบบนั้นแหละ
จากวันนั้นจนถึงวันนี้ เราหายโกรธเขาแล้วล่ะ ยอมรับว่าแรกๆโกรธมาก แต่วันนี้ความโกรธหายไปหมดแล้ว แค่อยากรู้ติ๊ดเดียวว่าเขาเคยมีความรู้สึกผูกพันกับ The kop ซักนิดบ้างมั้ย แค่นั้นแหละ แต่เราคงไม่มีวันได้รู้หรอก...
นอกจากเรื่องบ้าบอคอแตกมากมายที่เกิดขึ้น ในฤดูกาลนี้เรายังได้เห็นเด็กสเกาซ์ขึ้นทีมชุดใหญ่ถึง 4 คน แม่เจ้า...เป็นเรื่องที่น่าปลาบปลื้มเป็นที่สุด เพราะหลังจากเจอร์ราร์ดขึ้นชุดใหญ่เมื่อ 12 ปีที่แล้ว ก็ไม่มีใครแจ้งเกิดได้อีกเลย แต่ปีนี้ …4 คร๊าบบบบบ มาร์ติน เคลลี่, เจย์ สเปียริ่ง, จอห์น ฟลานาแกน และแจ็ค โรบินสัน ...เด็กสเกาซ์มันดียังไง ทำไมมันถึงเป็นเรื่องน่ายินดีน่ะหรือ
ง่ายๆ นักเตะ 2 คนที่อยู่กับทีมเมื่อ 10 ปีที่แล้วจนถึงวันนี้เขาก็ยังอยู่ คือใคร
เจอร์ราร์ดกับคาร์ราเกอร์ ใช่มั้ยล่ะ...เด็กสเกาซ์พันธุ์แท้ เราไม่ต้องค้นหาว่ากัปตันและรองกัปตันของเรารักทีมขนาดไหน เด็ก 4 คนนั้นก็เหมือนกันนั่นแหละ
ถึงเราจะไม่ได้ไปเตะบอลยุโรปปีหน้า ก็ไม่เป็นไรนะคะ เราตื่นเต้นที่จะได้เห็นทีมของคิง เคนนี่ มากกว่าจะสนใจว่าทีมจะได้ลงเล่นในรายการไหนบ้างเสียอีก ถามว่า หวังแชมป์มั้ย ก็ต้องหวังอยู่แล้ว ขอซักแชมป์เถอะ อะไรก็ได้ ถ้าทีมสามารถทำได้ แต่ถ้าไม่ได้แชมป์ แล้วได้กลับไปเล่นแชมเปี้ยนลีก เราก็เชื่อว่า เจอร์ราร์ดจะยอมไม่ชูถ้วยอีกปี แต่ก็ไม่แน่นะ ถ้าอะไรต่อมิอะไรเป็นใจ เราอาจได้ทั้งชูถ้วยและได้กลับไปเล่นแชมเปี้ยนลีกก็ได้
หวังไปเถอะค่ะ ไม่ผิดกฎหมาย ไม่ทำให้ใครเดือดร้อน และมันคือเครื่องหล่อเลี้ยงหัวใจเรา ถ้าเราไม่มีความหวัง จะมีชีวิตอยู่ได้ยังไง กลับกัน ถ้าเราไม่หวัง ไม่ศรัทธา เชื่อมั่นในทีมที่เรารัก เราจะกล้าพูดว่ารักทีมได้ยังไง
กับฤดูกาลนี้ที่ให้คำนิยามว่า "สุดขั้ว" เพราะเรารู้สึกแบบนั้นจริงๆ
เราเสียใจที่สุดตั้งแต่เชียร์ทีมมาก็ฤดูกาลนี้ ในวันที่แพ้เอฟเวอร์ตัน 2-0 ที่กูดิสัน พาร์ค
เราปลงสุดๆกับทีม ยอมรับว่า ถึงขั้นคิดว่า แพ้ก็ไม่เป็นไร (อยากเปลี่ยนผู้จัดการทีม)
เราต้องกลืนน้ำลายตัวเอง ทรยศอุดมการณ์ของตัวเองที่อยากจะสนับสนุนผู้จัดการทีมลิเวอร์พูลทุกคนอย่างไม่มีเงื่อนไข (มันทนไม่ไหวจริงๆ)
เราไม่เสียใจที่ทีมแพ้ ไม่เสียใจที่กัปตันสุดที่รักยิงจุดโทษพลาด นัดที่แพ้แบล็คเบิร์น ...มันรู้สึกแบบนี้ได้ยังไงก็ไม่รู้
เรามีความสุขเป็นเดือนๆ เพียงแค่ คิง เคนนี่ กลับมาเป็นผู้จัดการทีมอีกครั้ง ถึงขนาดแพ้แมนยูในนัดแรกก็ยังยิ้มบ้าอยู่ได้
เราได้ช๊อกกับเรื่องย้ายทีมตอนเดือนมกราคมอย่างที่ไม่เคยเป็นมาก่อน
เราได้ร้องไห้ตอนตกรอบยูโรป้า ถึงไม่ปากว่าไม่แคร์เท่าไหร่ แต่ถ้าชนะได้มันก็ดีกว่าอยู่ดี
เราได้เห็นนักเตะลิเวอร์พูลมอบของขวัญวันเกิดให้ Boss ตัวเอง (ราฟาอยู่มา 6 ปี ยังไม่เห็นเคยได้เลย 555+)
เราได้เก็บภาพความประทับใจตอนที่ The kop ร้องเพลงอวยพรวันเกิดให้คิง เคนนี่ในนัดชนะแมนยู 3-1 (จะจำไม่มีวันลืมเลยจริงๆ)
และเราได้เห็น คิง เคนนี่ เซ็นสัญญาคุมทีมไปอีก 3 ปี
เห็นมั้ยว่า มัน "สุดขั้ว" จริงๆ มีทั้งเศร้าสุดๆ ดีใจสุดๆ ช๊อกสุดๆ ตื่นเต้นสุดๆ ถึงจะเริ่มห่วยและจบห่วย แต่ระหว่างทางมันเป็นเรื่องที่น่าจดจำทั้งนั้น ไม่ใช่เพียงแค่เรื่องดีๆมีความสุขเท่านั้น แต่เรื่องแย่ๆที่แสนจะขมขื่นก็ด้วย เพราะถ้าไม่มีเรื่องแย่ๆ เราก็ไม่มีวันรู้หรอกว่า เรื่องดีๆมันเป็นยังไง
ความสุขของพวกเราชาว The kop ในวันนี้อาจดูเล็กน้อย ไม่มีค่าสำหรับคนอื่น แต่พวกเราต่างก็เข้าใจว่ามันยิ่งใหญ่และมากมายขนาดไหน เพราะเคยอยู่ในจุดที่เลวร้ายมาก่อน เมื่อเราสัมผัสได้ถึงความหวัง ความสุขที่มันกลับมาปกคลุมแอนฟิลด์อีกครั้ง เราถึงมีความสุขอย่างเหลือเกิน ความสุขที่มีแต่ The kop เท่านั้นที่เข้าใจ
ดังนั้น มีความสุขกับทีมของเรากันต่อไปนะคะ ...ฤดูกาลหน้าพบกันใหม่
YNWA.
แก้ไขเมื่อ 23 พ.ค. 54 22:24:52
จากคุณ |
:
howk_ky
|
เขียนเมื่อ |
:
23 พ.ค. 54 22:10:11
|
|
|
|