ความคิดเห็นที่ 1 (ความจริงผมก็ไม่ได้ตั้งใจที่จะค้นคว้าข้อมูลที่มาของยูยิตสู)  จากการที่ชอบศิลปป้องกันตัวมากกว่ากีฬาชนิดอื่นๆ และมีความรู้ศิลปป้องกันตัวในระดับหนึ่ง  และจากการที่ผมเข้าคลุกคลีกับชาวยุทธหลายสาย รวมทั้งเป็นหนึ่งในการก่อตั้งสมาคมสหพันธ์วูซูแห่งประเทศไทย  ได้มีโอกาสเดินทางไปต่างประเทศไม่ว่าจะฝั่งค่าย武朮-國術 ผมจึงมั่นใจในความเห็นเดิมที่ว่ายูยิตสู มีที่มาจากจีนแผ่นดินใหญ่  ให้เราตรวจดูข้อมูลจาก Wikipedia บ้างว่าเขาว่ากันอย่างไร? Origins Several theories explain the origins of jujutsu. One theory holds that in the 17th century, a Chinese man named Chen Yuan Ping introduced the techniques of jujutsu to three ronin - Fukuno Hichiroemon, Miura Yojiemon, and Isogai Jirozaemon. The other theory propounded by the Yōshin-ryū holds that a doctor named Akiyama Shirobei from Nagasaki devised jujutsu upon his return from China where he learned the art of hakuda. Yet another theory claims that jujutsu began "in the age of the gods" and is a purely Japanese invention.[5][6] The term jūjutsu was not coined until the 17th century, after which time it became a blanket term for a wide variety of grappling-related disciplines. Prior to that time, these skills had names such as "short sword grappling" (小具足腰之廻 kogusoku koshi no mawari?), "grappling" (組討 or 組打 kumiuchi?), "body art" (体術 taijutsu?), "softness" (柔 or 和 yawara?), "art of harmony" (和術 wajutsu, yawarajutsu?), "catching hand" (捕手 torite?), and even the "way of softness" (柔道 jūdō?) (as early as 1724, almost two centuries before Kanō Jigorō founded the modern art of Kodokan Judo).[2] จากคุณ : SURAWISH เขียนเมื่อ : 16 ก.ย. 54 12:13:17

ความคิดเห็นที่ 2 Today, the systems of unarmed combat that were developed and practiced during the Muromachi period (1333–1573) are referred to collectively as Japanese old-style jujutsu (日本古流柔術 Nihon koryū jūjutsu?). At this period in history, the systems practiced were not systems of unarmed combat, but rather means for an unarmed or lightly armed warrior to fight a heavily armed and armored enemy on the battlefield. In battle, it was often impossible for a samurai to use his long sword, and would therefore be forced to rely on his short sword, dagger, or bare hands. When fully armored, the effective use of such "minor" weapons necessitated the employment of grappling skills. Methods of combat (as mentioned above) included striking (kicking and punching), throwing (body throws, joint-lock throws, unbalance throws), restraining (pinning, strangling, grappling, wrestling) and weaponry. Defensive tactics included blocking, evading, off-balancing, blending and escaping. Minor weapons such as the tantō (knife), ryofundo kusari (weighted chain), kabuto wari (helmet smasher), and kakushi buki (secret or disguised weapons) were almost always included in Sengoku jujutsu. จากคุณ : SURAWISH เขียนเมื่อ : 16 ก.ย. 54 12:21:05

ความคิดเห็นที่ 3 ภาพShorinji Kempo (少林寺拳法) was established by Doshin So (宗 道臣) เราจะเห็นท่าการต่อสู้มีต้นกำเนิดมาจากเซ่าหลิน  ทั้งๆที่ทางเซ่าหลินเองวิทยายุทธส่วนใหญ่เน้นที่หมัดมวยและการเตะ  วิชาล๊อกจับ ทุ่ม ใช่ว่าทางเซ่าหลินจะไม่มี เพียงแต่ไม่เน้น ทางเราเลยไม่เห็นการวิชานี้ในจีน  ซึ่งสามารถสรุปได้ว่า วิชานี้ทางญี่ปุ่นรับจากจีนไปเปิดตัวเองได้เต็มที่(โดยที่ทางจีนไม่ใส่ใจเผยแพร่นัก) จากคุณ : SURAWISH เขียนเมื่อ : 16 ก.ย. 54 12:43:10

ความคิดเห็นที่ 4 คลิปจาก Shorinji Kempo <div>เราจะเห็นท่าการต่อสู้ด้วยมือเปล่า  ตามด้วยวิชาที่คล้ายไอคิโด และยูญิตสู</div> ให้ดู จากคคห ถัดไปครับ แก้ไขเมื่อ 16 ก.ย. 54 13:39:26 แก้ไขเมื่อ 16 ก.ย. 54 13:38:30 แก้ไขเมื่อ 16 ก.ย. 54 13:36:58 แก้ไขเมื่อ 16 ก.ย. 54 13:36:50 แก้ไขเมื่อ 16 ก.ย. 54 13:36:35 จากคุณ : SURAWISH เขียนเมื่อ : 16 ก.ย. 54 13:11:44

ความคิดเห็นที่ 5 คลิปจาก Shorinji Kempo จากคุณ : SURAWISH เขียนเมื่อ : 16 ก.ย. 54 13:41:03

ความคิดเห็นที่ 6 ชาวจีนส่วนหนึ่งเชื่อว่า ขบวนเด็กที่จิ๋นซีฮ่องเต้ส่งไปล่องเรือหายาอายุวัฒนะแล้วไม่ได้กลับมา เป็นที่มาของญี่ปุ่นเลย แต่ก็ไม่มีหลักฐานอีกนะแหละ จากคุณ : คนรักดาบไทย เขียนเมื่อ : 16 ก.ย. 54 15:05:00

ความคิดเห็นที่ 7 ขออนุญาตตอบซ้ำแล้วกันครับ ซูโม่ ถือเป็นกีฬาอีกประเภทหนึ่งของญี่ปุ่นที่แพร่หลาย ซูโม่เป็นการต่อสู้ของคน 2 คน ใช้มือเปล่าและกำลังกายเข้าทำการต่อสู้กันมาแต่สมัยโบราณกว่า 2,500 ปีมาแล้ว นักประวัติศาสตร์ในวิชายูยิตสูได้สนใจซูโม่มาก จากหนังสือเกี่ยวกับประวัติศาสตร์ญี่ปุ่น ที่รวบรวมโดย Imperial Command ชื่อนิฮอนโซกิ (Nihon-Sho-Ki) ในปี พ.ศ. 1263 กล่าวถึงการแข่งขันในสมัยของจักรพรรดิ์ ซุยนิน         ก่อนคริสต์ศักราช 230 ปี (พ.ศ. 2313) ยืนยันว่าเป็นการเริ่มต้นของวิชาซูโม่ ซึ่งแปลว่าการต่อสู้โดยใช้กำลังเข้าประลองกัน การต่อสู้ตามหลักวิชาซูโม่ บางท่าจะตรงกับวิชายูยิตสู เช่น การใช้สะโพกเป็นกำลังบังคับขากวาดเหวี่ยงคู่ต่อสู้ให้เสียหลักล้มลงซึ่งท่า นี้วิชายูยิตสูเรียกว่า ฮาราย กุชิ (Harai Goshi) เป็นการยืนยันว่าวิชาซูโม่มีความสัมพันธ์กับวิชายูยิตสูแน่นอน การพัฒนาวิชายูยิตสูเป็นวิชายูโด ตอนปลายสมัย เซนโกกุ (Sengoku) วิชายูยิตสูได้ถูกรวบรวมไว้เป็นแบบแผนอย่างมีระเบียบ โตกูกาวา (Tokugawa) เป็นตระกูลที่ทำการปราบปรามการกระด้างกระเดื่องบรรดาเจ้าผู้ครองนครตามหัว เมืองต่าง ๆ ให้สงบลงอย่างราบคาบและตั้งตนเป็นมหาอุปราชปกครองประเทศญี่ปุ่น เมื่อบ้านเมืองสงบสุข http://guru.sanook.com/ เท่าทราบประวัติการต่อสู้แบบซูโม เกิด ก่อน วัดเสาหลิน นี้ครับ ส่วนตัวนะครับ ผมว่าการต่อสู้ สไตร ปัดหักล็อก  ของญีปุ่นมีมานาน แล้วครับ  ผมคิดว่าการจับทุ่มหักล็อก แบบทีรับอธิพลของจีน หน้า จะ "เพิมเติม"เขามาทีหลังครับ จากคุณ : win_mma เขียนเมื่อ : 16 ก.ย. 54 15:23:40

ความคิดเห็นที่ 8 ครับ ซูโม่เองจัดเป็นการแสดงพลังของคู่ต่อสู้ให้ชนะบนมาตรฐานที่ตั้งไว้ เราจะเห็นนักซูโม่มักเป็นคนที่มีน้ำหนักมาก มักเป็นคนอ้วนซะส่วนใหญ่  ซูโม่ไม่น่าเป็นศิลปการป้องกันตัวเต็มรูปแบบ ตัวซูโม่เดิมมีความเกี่ยวโยงทางด้านศาสนาด้วย โดยเราจะเห็นได้จากบทความใน Wikipedia ดังนี้... Sumo (相撲 sumō?) is a competitive full-contact sport where a wrestler (rikishi) attempts to force another wrestler out of a circular ring (dohyō) or to touch the ground with anything other than the soles of the feet. in addition to its use as a trial of strength in combat, sumo has also been associated with Shinto ritual, and even certain shrines carry out forms of ritual dance where a human is said to wrestle with a kami (a Shinto divine spirit). It was an important ritual at the imperial court. Representatives of each province were ordered to attend the contest at the court and fight.  Over the rest of Japanese recorded history, sumo's popularity has changed according to the whims of its rulers and the need for its use as a training tool in periods of civil strife. The form of wrestling combat probably changed gradually into one where the main aim in victory was to throw one's opponent. The concept of pushing one's opponent out of a defined area came some time later. Also, it is believed that a ring, defined as something other than simply the area given to the wrestlers by spectators, came into being in the 16th century as a result of a tournament organized by the then principal warlord in Japan, Oda Nobunaga.At this point wrestlers would wear loose loincloths,During the Edo period, wrestlers would wear a fringed kesho-mawashi during the bout, whereas today these are worn only during pre-tournament rituals. Most of the rest of the current forms within the sport developed in the early Edo period.  จากคุณ : SURAWISH เขียนเมื่อ : 16 ก.ย. 54 17:40:52

ความคิดเห็นที่ 9      Professional sumo (大相撲 ōzumō?) can trace its roots back to the Edo period in Japan as a form of sporting entertainment. The original wrestlers were probably samurai, often rōnin, who needed to find an alternative form of income. Current professional sumo tournaments began in the Tomioka Hachiman Shrine in 1684, and then were held in the Ekō-in in the Edo period. They have been held in the Ryōgoku Kokugikan since 1909, though the Kuramae Kokugikan had been used for the tournaments in the post-war years until 1984.      Nations adjacent to Japan, sharing many cultural traditions, also feature styles of traditional wrestling that bear resemblance to sumo. Notable examples include Mongolian wrestling, Chinese Shuai jiao (摔角), and Korean Ssireum. Examples of Chinese art from 220 BC show the Korean wrestlers stripped to the waist and their bodies pressed shoulder to shoulder.[1] อย่างที่กล่าวไว้ในย่อหน้าสุดท้ายนี้  รูปแบบของซูโมเองเป็นของญี่ปุ่นโดยแท้ แต่วิธีการเอาชนะของซูโมได้ถูกพัฒนาจากวิธีการต่อสู้อีกหลายๆวิชาจากจีนแผ่นดินใหญ่  ซึ่งญี่ปุ่นเองก็ยอมรับ? ไม่ว่าจะเป็นยูโด ยูยิตสู คาราเต้ ไอคิโด  เคมโป  ต่างก็เป็นสาย Martial Art จากนั้นก็พัฒนามาเป็นกีฬาภายหลัง อย่าลืม? แผ่นดินใหญ่จีนมีประวัติอันยาวนาน  ประกอบไปด้วยคนหลายกลุ่มที่ล้วนแต่ต้องต่อสู้เพื่อแย่งชิงดินแดน  ดังนั้นจึงเป็นที่เกิดของวิชาการต่อสู้หลากรูปแบบ  ส่วนที่เซ่าหลินเอง จริงอยู่วัดเซ่าหลินมีอายุไม่นาน  แต่เราทราบไหมว่า  มวยเซ่าหลินที่เรารู้จักกัน  จริงๆแล้วพัฒนามาจากศิลปการต่อสู้หลายตระกูลเดิมๆของจีน ก่อนศาสนาพุทธเข้าเสียอีก ซึ่งประด้วยชาวยุทธมารวมตัวกันในวัดเซ่าหลิน เพื่อฝึกและต่อต้านชาวแมนจููโดยเฉพาะ  ตัววัดเซ่าหลินเองไม่ได้เป็นที่เริ่มต้นวิชาการต่อสู้เลย  วัดก็คือวัด เป็นศาสนสถานที่สงบไว้ปฏิบัติธรรม  ไม่ใช่้เป็นที่สอนให้คนไปเตะต่อยกันครับ   จากคุณ : SURAWISH เขียนเมื่อ : 16 ก.ย. 54 18:11:10

ความคิดเห็นที่ 10 ความคิดเห็นที่ 6     ชาวจีนส่วนหนึ่งเชื่อว่า ขบวนเด็กที่จิ๋นซีฮ่องเต้ส่งไปล่องเรือหายาอายุวัฒนะแล้วไม่ได้กลับมา เป็นที่มาของญี่ปุ่นเลย  แต่ก็ไม่มีหลักฐานอีกนะแหละ ******************************************************* ครับ  การวิเคราะห์ข้อมูลทางประวัติศาสตร์ บางเรื่องอาจจะไม่มีหลักฐานครับ   ดูจากข้อมูลประวัติของจิ๋นซี นักประวัติศาสตร์เพียงนำมาเป็นข้อคิด ว่าชาวญี่ปุ่นเอง อาจ  อาจจะเป็นชนกลุ่มที่ว่า  และหากเป็นจริงอย่างที่ว่ากัน  เราเคยคิดกันบ้างไหม? ว่า คนจีนกลุ่มนั้นกล้าเก็บหลักฐานว่าตนเป็นจีนกลุ่มนั้น?    จากคุณ : SURAWISH เขียนเมื่อ : 16 ก.ย. 54 18:48:53

ความคิดเห็นที่ 11 ลองอ่านบทความนี้.....จริงหรือไม่อยู่ที่ดุลพินิจของแต่ละคนครับ............ ต้นกำเนิดประเทศญี่ปุ่น           จิ๋นซีฮ่องเต้จิตใจโหดร้ายอำมหิต ยึดหกแคว้นรวมเป็นแคว้นเดียว ดำเนินการปกครองอย่างเหี้ยมโหดป่าเถื่อน เผาทำลายตำรับตำรา ฝังเหล่านักพรตทั้งเป็น เข่นฆ่าผู้คนที่ไร้ความผิด มีความคิดจะเป็นจักรพรรดิ์ตลอดกาล เพียรแสวงหาวิธีอยู่ค้ำฟ้า ครั้งนั้นมีชาวเมืองฉีคนหนึ่งชื่อ สีฟุ ได้ถวายหนังสือแก่จิ๋นซีฮ่องเต้มีความว่า “ที่กลางทะเลมีเกาะเทวดา 3 เกาะ ชื่อ ผงไหล ฟางจ้าง และหยิงโจว เกาะทั้งสามนี้มีสมุนไพรอายุวัฒนะกินแล้วอายุยืนเป็นอมตะ ถ้าได้เด็กชายหญิงเมืองฉีไปเสาะหา ก็อาจเอามาได้” จิ๋นซีฮ่องเต้จึงใช้สีฟุนำเด็กชายหญิงหลายพันคนออกทะเล เมื่อสีฟุไปแล้วไม่ได้กลับมาอีกเลยสีฟุ นำเด็กวัยรุ่นชายและหญิงหลายพันคนไปถึงเกียวโต แล้วสั่งให้เด็กวัยรุ่นชายและหญิงแต่งงานเป็นสามีภรรยากัน ตั้งเป็นอีกชนชาติหนึ่งเรียกว่า“ญี่ปุ่น” โดยสถาปนาตนเองขึ้นเป็นจักรพรรดิ์ ก็คือ “จักรพรรดิ์จิมมุ” ปฐมกษัตริย์ของประเทศญี่ปุ่น นั่นเอง จากคุณ : SURAWISH เขียนเมื่อ : 16 ก.ย. 54 18:53:49

ความคิดเห็นที่ 12 ก็อย่าง ทีพูดและครับ    และขอพูดซ้ำอีกครั้ง   การจับหักล็อกของจีน มี มา**เพิมเติม**ทีหลัง  มิใช้มีมาก่อนซูโม ครับ  ก่อน หน้านั้น ไม่ได้เป็นกีฬาครับ แต่เป็นการ ประลองกันถึงตาย ไม่ต่าง กับ การต่อสู้แบบ แพนเคชั้น  ทีมีการฆ่ากันด้วยมือเปล่า ต่อมา ซูโม เป็นกีฬา ทีถูกตัดลดทอนท่าอันตราย และ มีกฎกติกาห้ามต่างๆ มีเกียวพันธ์ กับศาสนา และการเมือง ครับ  มันถึงไม่สามารถ ใช้การต่อสู้กันได้เต็มรูปแบบ แต่ถามว่าเทคนิคทีมีอยู่สามารถป้องกันตัวได้ ไหม ผมบอกว่าเลยได้ครับ ท่าทีหน้ากลัวของซูโมคือความแข็งแรงของรางกาย ท่าทุ่ม และท่าตบครับ     ญีปุ่นก็มีประวัติศาสตร์ ยาวนาน  มีการรบราแย้งแควนดินแดนเหมือนกัน ถ้าย้อนไปเมือ 3-400ปีก่อนจะ เห็นได้ว่ามีสำนักดาบ ได้ หลายร้อย แห่ง ในประเทศทีเล็กนิดเดียว ลัทธิทาง ศาสนาต่างๆ ก็ไม่ได้สอนให้ฆ่าคนครับ โดยไร้เหตุผล แต่ถามว่ายิวยิตสู้ มีส่วน เกียวข้องกับศาสนา ไหม มีอย่างมาก ครับ  มีความคลายคลึงกับการเรียนการสอนแบบวัดเส้าหลินด้วยครับ   แต่ "คน" มันนำไปปฎิติบัตรทุกคนไหม  ก็ตอบว่า "ไม่"ครับ  จริงๆ   ญีปุ่นก็เป้นประเทศทีเก่าแก่เหมือนกันนะครับ  เมือหลายหมื่นปี ก่อน  ยังไม่ใช้ เกาะครับ  แต่เป็นแผ่นดินทียื่นออกมาจาแผ่นดินใหญ่ครับ  พวกมองโกลรอย (คนยุคก่อนประวัติศาสตร์) ได้เคลือนย้ายมาอยู่นานแล้วครับ    เพราะตามความเป็นจริง มีคนท้องถิ้น อยู่แล้ว ครับ การอพยพของเคลืนย้ายชนเผ่าต่างๆ จีน เคลืยนย้ายมาทีหลัง ต้อนทีมันเป็นเกาะไปแล้ว ครับ   ผมจึงคิดว่า   การประสมประสานศิลปการต่อสู้ของจีน เกิดขึ้น ทีหลัง ครับ มิใช้เคลือนย้ายมาจากจีน เต็มรูปแบบครับ จากคุณ : win_mma เขียนเมื่อ : 16 ก.ย. 54 19:37:04

ความคิดเห็นที่ 13 บอกตรงๆเรื่องต้นกำเนิดของญี่ปุ่นที่ว่ามาผมก็ว่าไม่น่าเชื่อครับ อย่างที่ข้างบนบอกเกาะญี่ปุ่นมีคนเข้ามาอาศัยอยู่นานแล้วก่อนที่จิ๋นซีจะรวมประเทศซะอีก เรื่องภาษาและวัฒนธรรมหลายอย่างอาจจะรับมาจากจีนจริงครับ แต่เรื่องที่ว่าคนจีนข้ามน้ำข้ามทะเลมาตั้งถิ่นฐานที่สร้างประเทศญี่ปุ่นผมว่ายากจะเชื่อ เอาง่ายๆภาษาจีนกับญี่ปุ่นก็แทบจะไม่เหมือนกันเลยครับ ญี่ปุ่นยืมจากจีนมาแค่ตัวหนังสือ แต่หลักไวยกรณ์และหลักการออกเสียงของสองภาษาแทบจะไม่เหมือนกันเลย ภาษาจีนไวยกรณ์ยังคล้ายกับภาษาไทยมากกว่าเสียอีก จากคุณ : ohms เขียนเมื่อ : 16 ก.ย. 54 21:07:55

ความคิดเห็นที่ 15 ศิลปการต่อสู้หลายชนิดน่า่จะได้รับรูปแบบจากวรยุทธจีนแผ่นดินใหญ่ จากคุณ : SURAWISH เขียนเมื่อ : 16 ก.ย. 54 23:43:17

ความคิดเห็นที่ 16 คุณ ohm ครับ คนญี่ปุ่นตัวจริงน่ะ ตอนนี้กลายเป็นชนกลุ่มน้อยในประเทศญี่ปุ่นไปแล้วครับ ก็คือพวกเผ่าไอนุนั่นแหละ พวกไอนุ สู้พวกที่อพยพมาใหม่ไม่ได้เลย ด้อยกว่าทุกอย่างครับ ในตำนานของประเทศญี่ปุ่นเอง ก็ยังมีการแบ่งพวกไอนุเป็นชนเผ่าป่าเถื่อนด้วยซ้ำ ถ้าเคยอ่านตำนานเรื่อง ราชาสุซาโนะโอะ ที่ไปฆ่างูเจ็ดหัวจนได้เป็นจักรพรรดิที่ยิ่งใหญ่องค์แรก ๆ แล้วต่อมาก็มาถึง จอมราชันย์อย่างนามูจิ อ่านกันสนุกสนานได้เลยครับ เป็นตำนานของญี่ปุ่นเลย ปัจจุบันบนเกาะนอกชายฝั่งญี่ปุ่น ก็มีศาลที่สร้างขึ้นเพื่อบูชา นามูจิ เหมือนกันครับ จากคุณ : ผ้าพับไว้ เขียนเมื่อ : 17 ก.ย. 54 01:14:02

ความคิดเห็นที่ 17 ผมไม่ได้เชี่ยวชาญประวัติศาสตร์นะ เเต่เท่าที่ศึกษามา  ผมว่าเรื่องเเนวคิดคนญี่ปุ่นมาจากจีน   ศิลปะวัฒนธรรมญี่ปุ่นมาจากจีน    ผมว่ามันเป็นเเค่เเนวคิดที่เกิดขึ้นในยุคที่จีนเป็นคอมมิวนิสต์หลังสงครามโลกครั้งที่2นี้เอง       หลักฐานประกอบเเนวคิดไม่ค่อยมี   มีเเต่คำบอกเล่าที่หาที่มาไม่ได้     ผมว่ามันเป็นวิธีการปลุกใจเพื่อสร้างชาติอย่างนึงของพรรคคอมมิวนิสต์ในสมัยนั้นมากกว่า    เกิดพร้อมๆกับเเนวคิดอื่นหลายอย่าง   เช่น  จีนเป็นผู้ค้นพบอเมริกา   จีนเป็นผุ้คิดค้นดินปืนเป็นชาติเเรก   จีนประดิษฐ์ปืนเป็นชาติเเรก   เป็นต้น    เพราะประเทศจีนใหญ่กว่ามีทรัพยากรมากกว่า  คนก็มากกว่า    ความรุ้ความสามารถก็ไม่ได้ด้อยกว่าญี่ปุ่น    เเต่กลับรบเเพ้ญี่ปุ่นโดยตลอด      ทำได้เเค่ป้องกันญี่ปุ่นยกพลมาตี  เเต่ไม่เคยยกพลไปตีญี่ปุ่นได้สำเร็จ   จึงต้องสร้างความรักชาติ   ความภาคภูมิใจในชาติขึ้นมาเพื่อให้ประชาชนมีความฮึกเฮิมในการสร้างชาติขึ้นมาใหม่หลังสงคราม     จริงๆเเล้ว ญี่ปุ่นเองมีวัฒนธรรมโบราณต่างๆเป็นของตัวเอง    อาจจะมีคล้ายมีเหมือนจีนบ้างผมว่าก็ไม่ใช่เรื่องเเปลก   เพราะญี่ปุ่นอยุ่ใกล้กับจีน    มีการค้าขายไปมาหาสุ่กันตั้งเเต่โบราณ   ซึ่งประเทศที่อยู่ใกล้กันมักจะมีการเเลกเปลี่ยนวัฒนธรรมกันจนมีความคล้ายคลึงกัน   เเต่วัฒนธรรมโบราณของญี่ปุ่นก็มีเอกลักษณ์มากมายหลายอย่างที่ไม่มีในประเทศจีน          ส่วนเรื่องวัดเส้าหลินนี้เท่าที่เคยอ่านเเละฟังมาจากหลายๆเเหล่ง      รู้สึกว่าวิชามวยวัดเส้าหลินจริงๆนั้นไม่มีเเล้ว    เพราะสูญหายไปในยุคโบราณที่มีการเผาทำลายวัดหลายครั้ง     อ.มวยต่างๆในวัดก็เเตกเเยกกระจายกันไป     ยากที่จะสืบหาข้อมุลได้    วัดเส้าหลินในปัจจุบันก็มาจากวัฒนธรรมคอมมิวนิสหลังสงครามโลกครั้งที่2อีกนั้นเเละ     ในตอนเเรกพรรคคอมมิวนิสไม่อยากให้มีการรื้อฟื้นวัดเส้าหลินอีก   เเล้วก็ไม่อยากให้มีการฝึกมวยจีนด้วยเพราะมองเป็นเรื่องศักดินาชนชั้น    สนับสนุนให้ประชาชนทำไร่ไถนา  หรือทำงานอุตสาหกรรมตามที่พรรคคอมฯสั่งเพียงอย่างเดียว   ไม่ต้องคิดทำอย่างอื่น     ต่อมาพอประเทศเริ่มดีขึ้น   พรรคคอมฯก็มีความต้องการสร้างเอกลักษณของชาติ  สร้างความภาคภูมิใจ   สร้างกระเเสรักชาติให้คนในชาติ   ก็เลยฟื้นฟูวัฒนธรรมโบราญต่างๆของจีน       เพื่อเเสดงว่าชาติจีนมีความยิ่งใหญ่มาตั้งเเต่อดีตไม่เเพ้ชาติใดในโลก      วัดเส้าหลินเลยกลับมามีอีกครั้งหนึ่ง     เเต่วิชาคงไม่ใช่ของเดิมอีกเเล้ว    เพราะพรรคคอมมิวนิสคงไม่รู้จะไปหาอ.ดั้งเดิมที่ไหนมาสอน     ก็เลยรวบรวมเท่าที่มี(น่าจะเป็นวิชามวยจีนของคนจีนในท้องถิ่นเเถวๆที่ตั้งวัด)เเล้วก็ประกาศไปว่านี้เเละวิชาเส้าหลินดั้งเดิม         เเล้วรัฐบาลก็ช่วยสนับสนุนโปรโมตเป็นวัฒนธรรมของชาติ     ส่งออกไปเเสดงโชว์มวย  โชว์กายกรรมในต่างประเทศ     จนกลายเป็นวัดเส้าหลินเเบบในปัจจุบัน     วิชามวยเเท้จริงของวัดเส้าหลินทุกวันนี้ก็ยังหาข้อสรุปไม่ได้ว่ามากจากไหน    บางคนก็เชื่อว่ามาจากปรมาจาร์ยตั๊กม้อ  ผู้ก่อตั้งวัดเส้าหลิน  ซึ่งเป็นชาวอินเดีย(มีหลักฐานที่มาค่อนข้างชัดเจน)  ซึ่งจริงๆตั้งใจเข้ามาเผยเเพร่พระพุทธศาสนา   เอาวิชาการต่อสู้ของอินเดียมาเผยเเพร่เพื่อให้พระสงฆ์ในวัดมีสุขภาพร่างกายเเข็งเเรง(จะเห็นว่าท่ามวยจีนหลายๆท่าจะคล้ายๆหลักการของโยคะ)        เเล้วก็พัฒนามาเรื่อย     จนมวยเส้าหลินกลายเป็นต้นกำเนิดของ มวยจีน   เเพร่หลายออกไปทั่วประเทศ    เเต่คนจีนบางคนก็บอกว่าไม่ใช่   มวยจีนก็กำเนิดในจีนเเละคิดค้นโดยคนจีนนี้เเละ      โดยถือมวยเก่าเเก่พวก3มวยภายใน     เป็นต้นกำเนิดหลักของมวยจีนไม่ได้เกี่ยวอะไรกับวัดเส้าหลินหรือมาจากอินเดียเลย   ปล.เรื่องประวัติศาสตร์    มันมีเเนวคิดเยอะเเยะมากมายนับไม่ถ้วน    เเต่สุดท้ายก้ต้องยึดถือกันที่ตัวหลักฐานที่พิสูจน์ได้สากลเป็นหลัก    เเต่ใครจะเชื่อในทฤษฏีไหนก็ไม่ผิด       ตราบใดที่ไม่ได้สร้างความเดือดร้อนให้ใคร      เเละถ้าเชื่อเเล้วเกิดประโยชน์มากกว่าโทษ    เเต่ในทัศนคติของผมประวัติศาสตร์ที่เผยเเพร่ในประเทศเผด็จการเเละคอมมิวนิสส์ความน่าเชื่อถือค่อนข้างต่ำ   เพราะมักจะถูกใช้ไปในทางโฆษณาชวนเชื่อ     สร้างความรักชาติซะมากกว่าที่จะยึดถือความเป็นจริง      เราก็ศึกษาไว้เป็นข้อมุลเเต่อย่าไปยึดติดกับประวัติศาสตร์มากจนเกินไปเลยครับ แก้ไขเมื่อ 18 ก.ย. 54 01:48:58 แก้ไขเมื่อ 17 ก.ย. 54 08:30:20 แก้ไขเมื่อ 17 ก.ย. 54 03:07:12 จากคุณ : พระเอกจอมหักกระดูก เขียนเมื่อ : 17 ก.ย. 54 03:03:31

ความคิดเห็นที่ 18 ผมขอขอบคุณทุกท่านที่เข้ามาให้ความเห็น   นับถือ นับถือ..... จากคุณ : SURAWISH เขียนเมื่อ : 17 ก.ย. 54 12:03:53

ความคิดเห็นที่ 19 #16 แต่มันก็ยังไม่มีหลักฐานที่ชัดเจนเพียงพอที่จะอ้างได้ว่าญี่ปุ่นปัจจุบันคือชนชาติจีนนี่ครับ แล้วญี่ปุ่นสมัยโบราณก็ไม่ได้มีแต่ไอนุด้วย พวกยามาไตนี่ก็เป็นพวกญี่ปุ่นดั้งเดิมเหมือนกัน แถมเรื่องวัฒนธรรมบางอย่างญี่ปุ่นปัจจุบันก็รับมาจากยามาไตเยอะไม่ใช่น้อยเลยด้วย ไอ้ตำนานของซูซาโนที่คุณว่ามามันก็ตำนานของยามาไตนี่นะ จากคุณ : ohms เขียนเมื่อ : 17 ก.ย. 54 15:10:30

ความคิดเห็นที่ 20 # คุณพระเอกจอมหักกระดูก เรื่องวัฒนธรรมจีนที่ญี่ปุ่นรับมา ตรงนี้ชัดเจนนะครับ อย่างน้อย ๆ บันทึกในประวัติศาสตร์สมัยราชวงศ์ถัง ที่ญี่ปุ่นตอนนั้นยังตั้งเมืองหลวงที่นารา ก็รับเอาวัฒนธรรมจีนไปเต็ม ๆ นิกายเซน ก็รับเอาพุทธศาสนานิกายวัชรวาทไปจากจีน พระญี่ปุ่นที่ชื่อ ทากุอัน ก็มาร่ำเรียนที่ฉางอันเป็นสิบปีก่อนจะกลับไปญี่ปุ่นครับ ในญี่ปุ่นก็มีบันทึกไว้ชัดเจน ถ้าจะบอกว่าวัฒนธรรมญี่ปุ่นบริสุทธิ์ ไม่เจือปนจีนเลย หรือว่า แนวคิดเรื่องญี่ปุ่นมาจากจีนเป็นวาทะกรรมของพรรคคอมฯ ผมว่าไม่ถูกต้องเลยครับ # คุณ Ohms ปัญหาก็คือ ยามาไต พัฒนาศักยภาพตัวเองได้เร็วกว่าไอนุ ได้อย่างไรล่ะครับ ?? ถ้าย้อนไปดูตำนานปรัมปรา ญี่ปุ่นเชื่อว่าตัวเองมาจากเทพีสุริย อามาเตราสึ  คนจีนก็มีตำนานเจ้าแม่หนี่หวา เหมือนกันครับ จากคุณ : ผ้าพับไว้ เขียนเมื่อ : 17 ก.ย. 54 18:37:55