แดงเดือด 157
Update : 10/10/2011 12:15:33 น.
Report by : Siamsport News ( Jackie )
สัปดาห์ที่แล้วผมเดินทางไปพักผ่อนที่อังกฤษ และเป็นหนึ่งในเด็กหงส์จำนวน 2,500 คนที่กูดิสัน พาร์ค ดู ลิเวอร์พูลบุกชนะเอฟเวอร์ตัน 2-0
ก็สนุกสนานในบรรยากาศแฟนบอลเพราะไม่คุ้นกับสิ่งนี้นอกเหนือไปจากการนั่งทำงานในเพรส บอกซ์ระหว่างปี 1996-98 อารมณ์ ความรู้สึกมันก็อีกแบบหนึ่ง ผมเขียนบรรยายไปในสตาร์ซอกเกอร์รายวันหมดแล้ว ประเด็นอะไรต่างๆนั้นก็คงชัดเจนในพื้นที่ส่วนนั้น
วันนี้ผมกลับมาเมืองไทยมองไปยังอนาคตอันใกล้สำหรับ ศึกแดงเดือด ลิเวอร์พูล-แมนฯยูฯ ดีกว่าครับ
ถ้านับเฉพาะในลีกสูงสุดคือตั้งแต่ดิวิชั่นหนึ่งเดิมเปลี่ยนเป็นพรีเมียร์ลีกคู่นี้ก็พบกันมาแล้ว 156 ครั้ง ลิเวอร์พูลชนะ 53 เสมอ 43 แมนฯยูฯชนะ 60 ครั้ง
ในความเป็นจริงแล้วคู่อริของแมนฯยูไนเต็ดแต่ดั้งเดิมแบบว่าเมื่อต้องหวดแข้งกันแล้วอาจดุทั้งในและนอกสนามชนิดที่ต้องระดมกำลังทั้งตำรวจม้า, สุนัขตำรวจและหน่วยปราบจราจลชนิดมีเฮลิคอปเตอร์บินเหนือสนามเพื่อรักษาความปลอดภัยอย่างถึงที่สุด
ไม่ใช่ทั้งลิเวอร์พูล, แมนเชสเตอร์ ซิตี้ หากแต่เป็น ยูงทอง ลีดส์ ยูไนเต็ด ซึ่งจัดว่าเป็นคู่ปฏิปักษ์ ด้วยเหตุผลเชิงประวัติศาสตร์ เล่าไปก็ยาวเปลืองเนื้อที่เปล่าๆ ในวันนี้ลีดส์ อยู่ในเดอะ แชมเปี้ยนชิพ รอวันขึ้นมายังลีกสูงสุด ขณะที่ลิเวอร์พูลนั้นจัดว่าเป็นคู่แข่งขันกันในเรื่องความสำเร็จของสนามบอลมากกว่าจะเป็นอริ เป็นปฏิปักษ์กันแบบต้องซัดให้ตายกันไปข้างหนึ่ง
การเปรียบเทียบความสำเร็จของแฟนหงส์และปีศาจแดงเกิดขึ้นแบบต่อเนื่องนับตั้งแต่แมนฯยูฯ ยิ่งใหญ่ในวงการฟุตบอลอังกฤษมาก่อนในทศวรรตที่ 50-70 จากนั้นลิเวอร์พูลก็เริ่มเข้ามาเทค โอเวอร์ โดยมีจุดเริ่มต้นช่วงกลางทศวรรตที่ 60 ยาวจนถึงทศวรรตที่ 90
ขณะที่แมนฯยูฯ ยิ่งใหญ่ก็เป็นทีมแรกที่ได้แชมป์ยุโรป สร้างสตาร์ดังประดับวงการบอลอังกฤษมากมาย...ภายใต้การดูแลทีมของ เซอร์ แมตต์ บัสบี้ ปูชนียบุคคลของชาวผี เมื่อลิเวอร์พูลก้าวเข้ามารับช่วงความสำเร็จแทน จากการสร้างทีมใหม่ของ บิลล์ แชงค์ลีย์ ต้นตำรับ พาส แอนด์ มูฟ ของชาวหงส์และสร้างสตาฟบูทรูม คือทีมงานขึ้นมาจนมีส่วนในการสานต่อความสำเร็จแบบต่อเนื่องกว่า 30 ปี
ลิเวอร์พูล สร้างผลงานและประสบความสำเร็จมากกว่าทั้งถ้วยในประเทศและระดับยุโรปมากกว่าแมนฯยูฯ จนเป็นทีมที่ยิ่งใหญ่อันดับหนึ่งของยุโรปในช่วง 80
กระทั่งเมื่อดิวิชั่นหนึ่งเดิมเปลี่ยนเป็นพรีเมียร์ลีกเมื่อปี 1992 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดกลับมาอีกครั้งและเที่ยวนี้ในยุคของ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ปีศาจแดง กินยาวเรื่อยมาจนคว้าแชมป์ลีกสูงสุดแซงหน้าลิเวอร์พูลไปเป็นที่เรียบร้อยแล้ว เหลือแต่แชมป์ยุโรปที่ยังติดค้างในใจทำให้เด็กหงส์ยังคุยต่อได้อีกเรื่อยๆ
อย่างไรก็ตามสิ่งที่หนึ่งที่ติดค้างในใจแฟนหงส์มานานหากใครที่ติดตามบอลอังกฤษมาตั้งแต่ยุค 70 ปลายๆเข้าใจว่าอายุอานามก็คงไปหลักสี่กันหมดแล้ว น่าจะรู้สึกคล้ายๆกันคือว่า แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดเป็นทีมที่สร้างความลำบากใจให้ลิเวอร์พูลในทุกครั้งที่พบกัน
ไม่ได้มีลุ้นแชมป์อะไร..และมักแพ้ทีมเล็กๆ แต่เมื่อเจอหงส์แดงเมื่อ 20-30 ปีก่อน ศักดิ์ศรีของความเป็นทีมใหญ่ ศักดิ์ศรีของทีมที่เคยยิ่งใหญ่มาก่อน ทำให้ แมนฯยูฯ ไล่บี้ ไล่เตะจนขุนพลหงส์ พาส ไม่ได้...มูฟก็ไม่ถนัด ไม่แพ้ก็เสมอ ชนะได้ก็ยากลำบาก
ลูกหมั่นไส้จึงมีเกิดขึ้นในหมู่ชาวหงส์เมื่อคิดถึงแมนฯยูฯ ซึ่งในยุคหงส์แดงยิ่งใหญ่นับปีได้ที่ลุ้นแชมป์กัน และแมนฯยูฯ ก็มักจะจอดป้ายไปก่อนไม่กี่เดือนหลังลีกสตาร์ท เช่นกันครับมายุคพรีเมียร์ลีกในวันนี้ แมนฯยูไนเต็ด ยิ่งใหญ่....และถ้าเล่นในโอลด์ แทรฟฟอร์ด ก็ยากที่หงส์แดงจะบุกไปทำอะไรได้มากมาย ส่วนใหญ่แพ้และเสมอกลับมา
มีบ้างชนะในยุค ราฟา, อุลลิเยร์ กว่าจะตั้งลำได้ก็โดน เซอร์ อเล็กซ์ สอนบอลไปหลายครั้ง
มาเที่ยวนี้ เคนนี ดัลกลิช พบกับแมนฯยูฯ เป็นรอบที่สอง หลังจากต้นปีโดนเขี่ยตกรอบเอฟเอ คัพ ส่วนพรีเมียร์ลีกในบ้าน นับว่าได้ใจแฟนหงส์ยิ่งนักเพราะ หลุยส์ ซัวเรส โชว์ฟอร์มสุดยอดช่วยกันไล่อัดแมนฯยูฯที่แอนฟิลด์ 3-1 เกมวันเสาร์นี้เจอกันเร็วแถมเป็นช่วงเวลาเบรกทีมชาติ และเป็นช่วงที่ลิเวอร์พูลแพ้มาสองครั้งแล้วในการออกตัวปีนี้
การแพ้เป็นครั้งที่สามถ้าจะเกิดขึ้นในบ้านตัวเองต่อ แชมป์เก่า มีโอกาสเป็นไปได้แต่ถ้ามันเกิดขึ้น รับประกันได้เลยว่า...ภาพจะออกมาดูวิกฤตทันที!
เทียบฟอร์มกันแล้วต้องยอมรับว่าชั่วโมงนี้ ปีศาจแดง เหนือกว่า แต่ถ้านำศักดิ์ศรีของชาวหงส์มาปลุกเร้าและกระตุ้นให้สู้ ให้ลุย มันก็สามารถเทียบเท่าได้เพียงแต่ว่าเกมนัดนี้อาจไม่ใช่เกมลักษณะแบบนั้นเนื่องจากทั้งสองทีมมีนักเตะไปรับใช้ทีมชาติกันมา
หลุยส์ ซัวเรส เล่นให้อุรุกวัยหนึ่งนัดเต็มๆชนะโบลีเวีย 4-2 จากนั้นเยือนปารากวัยคงไม่มีปัญหาอะไรและต้องเดินทางกลับอังกฤษกว่าจะได้ลงทีมซ้อมก็พฤหัสบดี วันศุกร์ซ้อมหนักไม่ได้อีก อาการล้าจากการเล่นและเดินทางมีแน่นอน ตามด้วย เดิร์ก เคาต์ เล่นให้ฮอลแลนด์ ลูคัส เลวา, มาร์ติน สเคอเทิล, สจวร์ต ดาวนิ่ง 60 นาที
แน่นอนครับ..ของแมนฯยูฯก็ไปเล่นทีมชาติมาด้วยเหมือนกันหลายคน...เวย์น รูนีย์ เล่นตั้ง 73 นาทีก่อนโดนใบแดง...
เรื่องพลังตรงนี้อาจไม่ได้เปรียบและเสียเปรียบกัน แต่คงไม่ใช่เกมประเภทใช้พลังเข้าบดบี้และกระตุ้นให้เกิดการเล่นแบบนั้นได้โดยง่าย ทางด้าน เคนนี ดัลกลิช คงต้องดรอป หลุยส์ ซัวเรส เป็นตัวสำรองหากว่ากันตามความจริง ขณะที่ แอนดี้ แคร์โรลล์ ไม่มีผลกระทบ สตีเวน เจอร์ราร์ด น่าจะพร้อมตั้งแต่ต้นเกม
ดูจากวิธีการเล่นบอลแล้ว หงส์แดง ยังคงต้องค้นหาจังหวะการเล่นของตัวเอง ไม่ส่งบอลเสียง่าย ต้องแม่นยำ หวังผลได้ และต้องเซตบอลไปให้ถึงกรอบเขตโทษของแมนฯยูฯให้บ่อยที่สุด...ประเด็นนี้เรื่องเกมรุก การโจมตีคู่แข่งนั้นเป็นสิ่งที่ต้องยอมรับว่าแมนฯยูฯ ทำได้ดีกว่า อีกทั้งแมนฯยูฯ ยังเป็นทีมที่เด็ดขาดกว่าเมื่อต้องการประตู ไม่ว่าพวกเขาจะเล่นเกมดีหรือไม่ก็ตาม
พื้นที่สุดท้ายหน้าบ้านคู่แข่งคือสิ่งที่ปีศาจแดงมีดีกว่าหงส์แดง ประกอบกับกองหลังหงส์แดงออกลูกมั่วอยู่บ่อยๆ ตรงนี้อาจเป็นจุดนำไปสู่การเสียประตูได้ง่าย โดยข้อสรุปเปอร์เซนต์ชนะแมนฯยูฯ ย่อมมีมากกว่าแม้เล่นในบ้านหงส์แดง แต่มุมเสมอก็เปิดกว้างสำหรับสองทีมที่ศักยภาพไม่เต็มที่นัก
ในทางตรงกันข้ามหากลิเวอร์พูลหวังชนะ....คงต้องเล่นกันเนี้ยบสุดๆ ไม่มีผิดพลาดอะไรในทุกแดนตั้งแต่หลังจนถึงหน้า ปัญหาคือจะทำได้มากขนาดไหนกันละครับเมื่อเจอกับทีมแชมป์เก่าซึ่งลงตัวกว่าในเรื่องการเล่นบอล
ขอบคุณ Webmaster
http://www.siamsport.co.th/Column/111010_093.html