ตอบยาวๆ หรือสั้นๆ ดี........งั้นเอาประวัติแบบยาวๆ แล้วกัน
วิธีการนับแต้มเทนนิสในสมัยก่อนที่ใช้นาฬิกาซึ่งตั้งอยู่ด้านหลังผู้แข่งขัน เป็นตัวบอกคะแนน โดยจะหมุนนาฬิกาทีละเศษ 1 ส่วน 4 ของหน้าปัดเพื่อให้ดูง่ายๆ ดังนั้น วิธีการนับแต้มจึงเพิ่มทีละ15 แต้ม เป็น 15 30 45 และ 60 ซึ่งหมายถึงจบเกมหากฝ่ายไหนถึง 60 ก่อนก็ได้เกมนั้นไป
ต่อมาปี 1875 สโมสร Marylebone Cricket Club (MCC) ในอังกฤษซึ่งดูแลเรื่องการออกกฎกติกาเทนนิสสมัยใหม่ได้เปลี่ยวิธีการขานแต้ม ใหม่เป็น 15 30 40 แล้วก็ เกม ทั้งนี้ เชื่อว่าน่าจะเป็นเพราะต้องการช่วยให้กรรมการออกเสียงได้ง่ายขึ้นเพราะใน ภาษาอังกฤษ 15 30 40 จะออกเสียงว่า ‘ฟิฟทีน’ ‘เธอร์ตี’ ‘ฟอร์ตี’ แต่หากใช้แต้มสุดท้ายเป็น 45 กรรมการก็ต้องออกเสียงว่า ‘ฟอร์ตีไฟว์’ ซึ่งค่อนข้างยาวและออกเสียงลำบากจึงย่อให้เหลือแค่ ‘ฟอร์ตี’ นั่นเอง
นอกจากวิธีการนับคะแนนที่พิสดารไม่เหมือนกีฬาอื่นๆ แล้วคอเทนนิสทั้งหลายเคยสังเกตบ้างไหมว่า ทำไมเวลาดูการแข่งขันเทนนิสจากต่างประเทศ กรรมการจึงขานแต้มของผู้แข่งขันที่ได้แต้ม 0 ว่า ‘เลิฟ’ (Love) มันเกี่ยวอะไรกับ 0 ตรงไหน หากเคยล่ะก็จากนี้ไปคงจะหายสงสัยแล้วล่ะ เพราะที่มาของคำว่า ‘เลิฟ’ ที่กรรมการขานนั้นมาจากคำว่า ‘L’ oeuf’ ในภาษาฝรั่งเศสที่แปลว่า ‘ไข่’ ซึ่งมีรูปทรงเหมือนเลข ’0′ นั่นเอง พอพูดเป็นภาษาอังกฤษก็ออกเสียงตรงกับคำว่า ‘Love’ ที่แปลว่า ‘รัก’ นั่นเอง
เช่นเดียวกับคำว่า ‘ดิวซ์’ (deuce) ที่กรรมการขานเมื่อผู้เล่นทั้งสองฝ่ายได้คะแนนเท่ากันที่ 40 ต่อ 40 แต้ม ก็มาจากคำว่า ‘deux’ ในภาษาฝรั่งเศสที่แปลว่า ‘สอง’ ซึ่งหมายความว่าให้ผู้เล่นที่มีแต้มเสมอกันอยู่ที่ 40-40 แข่งกันอีก 2 ลูกเพื่อตัดสินว่าใครจะได้เกมนี้ไป
เครดิต : ctharmyreserve.com/การนับแต้มเทนนิส/
จากคุณ |
:
july 19
|
เขียนเมื่อ |
:
วันลอยกระทง 54 14:26:13
|
|
|
|