ความคิดเห็นที่ 1 อาทิตย์ที่ 12 เมษายน 1992 ชามอ่างยักษ์เวมบลีย์ได้ฤกษ์เปิดฟลอร์หญ้าต้อนรับคู่ชิงรัมเบโลว์ส ลีกคัพ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดพบนอตติงแฮม ฟอเรสต์ 2 ฤดูกาลที่ผ่านมา ปีศาจแดงภายใต้การนำทัพของอเล็กซ์ เฟอร์กูสันไม่เคยร้างราโทรฟีเกียรติยศเลย เอฟเอคัพเมื่อสองปีก่อน (จะนับแชริตี้ ชิลด์ที่เป็นผลพลอยได้จากการเป็นแชมป์ถ้วยนี้ด้วยก็ได้นะ โดยผลัดกันครองกับลิเวอร์พูลทีมละครึ่งปี) และคัพวินเนอร์สคัพเมื่อปีที่แล้ว (เช่นกัน จะนับถ้วยซูเปอร์คัพยุโรปที่เฉือนชนะเร้ด สตาร์ เบลเกรด แชมป์ยุโรปถ้วยใหญ่ด้วยก็ได้นะ) ปีนี้ก็มีแวว มยุราว่าจะมีโทรฟีไปประดับตู้โชว์ของสโมสรอีก...ลีกคัพใบนี้คือน้ำจิ้ม โทรฟีดิวิชัน 1 (ฤดูกาลสุดท้าย) คือความสำเร็จที่ทุกคนซึ่งเกี่ยวข้องกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดฝันใฝ่ แค่ 15 นาทีเท่านั้น “ช็อคซี” ไบรอัน แมคแคลร์ก็สังหารลูกผ่านของไรอัน กิกส์เข้าไปตุงตาข่ายซะแล้ว และนั่นคือประตูชัยสู่แชมป์! แล้วดับเบิลแชมป์ที่ใฝ่ฝันล่ะ? เหตุการณ์กลับตาละปัดแค่เพียงช่วงเวลา 8 วันเท่านั้น...หลังคว้าแชมป์ลีกคัพ โดยน้ำมือของทีมหน้าเดิมอย่าง นอตติงแฮม ฟอเรสต์ “เจ้าป่า” บุกมาล้างแค้น “ปีศาจแดง” ถึงถิ่นโอลด์ แทร็ฟเฟิร์ด 2-1 จากนั้นอาการ “เป๋” ก็กำเริบกับลูกทีมของอเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ถัดมาไม่กี่วันก็บุกไปแพ้เวสต์แฮมอีก 0-1 จำต้องยอมให้ลีดส์ ยูไนเต็ดแซงขึ้นนำเป็นจ่าฝูงแทน และวันที่ 26 เมษาปีนั้น...น่าจะเป็นวันที่ชาวเร้ด อาร์มีอยากลืมเลือนที่สุด แพ้ทีมคู่ปรับอย่างลิเวอร์พูล 0-2 ก็เลวร้ายพอแล้ว ผลการแข่งขันอีกสนามที่ปรากฏออกมาว่าลีดส์ ยูไนเต็ด 3-2 เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด มันหมายความว่า หมายความว่า ลีดส์ ยูไนเต็ดเป็นแชมป์ลีกสูงสุดเรียบร้อย...หาใช่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดไม่ การถล่มทอตแนม ฮอต สเปอร์สปิดท้ายฤดูกาล 3-1 ไม่ได้ช่วยให้เหล่าเร้ด เดวิลส์ชื่นใจขึ้นแม้แต่น้อย ในภาพ พอล อินซ์ขับเคี่ยวอยู่กับรอย คีนในนัดชิงลีกคัพ 92 ก่อนที่อีก 2 ฤดูกาลต่อมา ทั้งคู่จะได้มาประสานงานในแดนกลางร่วมกันที่โอลด์ แทร็ฟเฟิร์ด แก้ไขเมื่อ 16 พ.ย. 54 23:44:29 จากคุณ : baevi เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 54 23:42:45

ความคิดเห็นที่ 2 ซัมเมอร์ปีนั้น ผมเอาใจช่วยปีเตอร์ ชไมเคิลสุดฤทธิ์ ด้วยสงครามกลางเมืองยูโกสลาเวีย ทำให้ยูเอฟาต้องส่งสารถึงทีมรองแชมป์กลุ่มในรอบคัดเลือกอย่างเดนมาร์กให้เดินทางมาสวีเดนด่วน ดาวเตะจากคาบสมุทรจัตแลนด์หลาย ๆ คนต้องรีบเก็บข้าวของกลับจากพักร้อนแล้วรีบเข้าแคมป์ทีมชาติเพื่อทำศึกยูโร 92 พลางยกมือขวาแล้วร้องเพลงแบบพี่หนุ่ย ไมโคร “คิดแล้วปลื้ม เหมือนเจอส้มหล่น นอนก็นอนจนดึก พูดไม่ออก ไม่เคยรู้สึกอะไรแบบนี้มาก่อน...” ปีเตอร์ ชไมเคิล ผู้รักษาประตูแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดก็เป็นหนึ่งในนั้น! เดนมาร์กประเดิมสนามด้วยการเสมอของอังกฤษภายใต้การคุมทัพของ “หัวผักกาด” เกรแฮม เทย์เลอร์ก่อนจะมาแพ้สวีเดน จึงต้องมาชี้ชะตาเข้ารอบกับฝรั่งเศส ทีมที่ชนะรวดมาตลอดตอนรอบคัดเลือก ใครจะคิดว่าเดนมาร์กที่เตรียมตัวไม่กี่วันจะชนะ แถมยังเข้าไปถีบทีมเต็งอย่างฮอลแลนด์ร่วงรอบรองฯด้วยการดวลลูกโทษซะอีก ถึงตอนนั้นก็ไม่มีใครฉุดแดนิช ไดนาไมท์ทีมนี้ได้แล้ว เยอรมันก็ไม่รอดสันดอน โดนเดนมาร์กถองซะ 2-0 ขุนพลเดนมาร์กสร้าง “เทพนิยายเดนส์” ได้สำเร็จ ดาวเตะชุดแชมป์ยูโร 92 ก็เลยกลายเป็นนักเตะเนื้อหอมที่หลาย ๆ ทีมให้ความสนใจ รวมทั้งอเล็กซ์ เฟอร์กูสันด้วยที่ชื่นชมเฟลมมิง โพลเซน ศูนย์หน้าคู่หูของไบรอัน เลาดรู๊ปเป็นพิเศษ ก่อนเปิดศึก “พรีเมียร์ ลีก” ฤดูกาลแรกนั้น ปีศาจแดงได้ศูนย์หน้าคนใหม่มาเสริมทีมจริง ๆ แต่ไม่ใช่นักเตะหมายเลข 9 แชมป์ยุโรปคนนั้น แต่เป็นดาวยิงร่างโย่งจากเคมบริดจ์อย่างดิออน ดับลินนั่นต่างหาก เทพนิยายเดนส์เป็นเทพนิยายแห่งความเหลือเชื่อของเกมลูกหนัง แต่เทพนิยายที่เกิดขึ้นหลังฟุตบอลพรีเมียร์ ลีกฤดูกาล 1992-93 จบลง...เทพนิยายเรื่องยาวที่ดำเนินเรื่อยมาจนถึงปัจจุบันต่างหากที่ผมรู้สึกว่า โรแมนติกที่สุด! แก้ไขเมื่อ 17 พ.ย. 54 20:44:35 จากคุณ : baevi เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 54 23:45:47

ความคิดเห็นที่ 3 เพราะพลาดท่าชวดแชมป์แบบสุดช็อกเมื่อฤดูกาลก่อน ทำให้ทุกคนที่โอลด์ แทร็ฟเฟิร์ดรู้ดีว่าฤดูกาล 1992-93 ที่จะมาถึงนี้คงพลาดไม่ได้อีก “เรารู้ว่าการเป็นแชมป์สำคัญแค่ไหน น่าเสียดายที่เราทำให้แฟน ๆ ของเราผิดหวังเมื่อฤดูกาลก่อน” ไบรอัน ร็อบสันหรือกัปตันมาร์เวลเกริ่นนำ “เสียงเย้ยหยันจากแฟนบอลทีมอื่นทำให้ผมรู้สึกว่าแฟน ๆ ของเราต้องขมขื่นขนาดไหน ปีนี้เราจึงตั้งใจเป็นล้านเท่าที่จะนำแชมป์ที่พวกเขาปรารถนามาบรรณาการให้ได้ เราต้องเป็นแชมป์พรีเมียร์ ลีกปีนี้ให้ได้!” แต่การออกสตาร์ทปีนั้นไม่ชวนให้คิดเลยว่ายูไนเต็ดจะหยุดวันเวลาแห่งการรอคอยไว้ที่ 26 ปี เมื่อ 3 แม็ทช์แรก มีเก้าแต้มให้ไขว่คว้า แต่ขุนพลปีศาจแดงมักน้อยสุด ๆ เก็บมาแบบน่าร๊าก น่ารัก... แต้มเดียว! หลังจากที่เอริก ก็องโตนานำทัพลีดส์ ยูไนเต็ดเฉือนชนะลิเวอร์พูล 4-3 ในแม็ทช์การกุศลเปิดหัวฤดูกาลไปแล้วหนึ่งสัปดาห์ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด “รองแชมป์เก่า” ก็มีคิวดวลกับเชฟฟิลด์ ยูไนเต็ดในนัดเปิดซีซันที่บรามอลเลน สิบเอ็ดผู้เล่นใน “ทีมที่ดีที่สุด” ไม่สามารถประเดิมสนามได้ถึง 2 คน แบ็กขวา-พอล ปาร์เกอร์และมิดฟิลด์ตัวสำคัญ-ไบรอัน ร็อบสัน อเล็กซ์ เฟอร์กูสันแก้ปัญหาโดยการโยกเดนิส เออร์วินกลับมายืนเกมรับฝั่งขวา แล้วหย่อนดาวเตะสารพัดประโยชน์ทีมชาติเวลส์อย่างเคลย์ตัน แบล็คมอร์ยืนทางด้านซ้าย ส่วนแดนกลางนั้นเป็นโอกาสที่ดีที่ลูกชายหัวแก้วหัวแหวน...ดาร์เรน เฟอร์กูสันจะได้ลงทำหน้าที่ การปราศจากัปตันมาร์เวลทำให้อเล็กซ์ เฟอร์กูสันแต่งตั้งสตีฟ บรูซขึ้นเป็นกัปตันทีมแทน “บรูซมีคุณสมบัติผู้นำโดยธรรมชาติอยู่แล้ว เมื่อคุณเลือกกัปตันทีม คุณต้องเลือกนักเตะที่ได้รับการยอมรับนับถือจากเพื่อน ๆ ซึ่งบรูซได้ตรงนี้ แถมเค้ายังเข้ากับสื่อมวลชนได้ดีด้วย ซึ่งนั่นก็เป็นเรื่องจำเป็นเหมือนกัน” บิ๊กบอสชาวสก็อตแลนด์ให้เหตุผลถึงการเลือกผู้นำทีมคนใหม่ ยูไนเต็ดประเดิมไม่สวยพ่ายไป 1-2 โดยมาร์ค ฮิวจ์สเป็นคนตีไข่แตกให้ทีมได้ ถัดมาก็เป็นเกมกลางสัปดาห์ที่ได้เปิดบ้านรับเอฟเวอร์ตัน 3-0 คือสกอร์ที่ปรากฏ...แต่ 3 นั่นดันไปออกที่ฝั่งทีมเยือนนะ แม็ทช์ที่สามน่าจะเป็นแม็ทช์เรียกความมั่นใจกลับคืนเพราะได้เปิดบ้านอีกครั้งพบกับ “ม้าขาว” อิปสวิช น้องใหม่ ปีศาจแดงเก็บคะแนนได้จนได้...น่าเสียดายที่มันเป็นแค่แต้มเดียว แถมยังต้องอาศัยกองหลังอย่างเดนิส เออร์วินขึ้นมาพังประตูด้วย! ในภาพคือเดนิส เออร์วิน จากคุณ : baevi เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 54 23:48:02

ความคิดเห็นที่ 4 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดเก็บชัยชนะนัดแรกของฤดูกาลได้ในแม็ทช์ที่ 4 ของฤดกาล การออกไปเยือนเดอะ เดลของเซาแธมป์ตันนั้น ปรกติก็น่าหวั่นใจอยู่แล้วเพราะนี่คือสนามปราบเซียน! ยิ่งสถานการณ์ตอนนี้ด้วยแล้ว ผมเชื่อว่าแฟน ๆ ปีศาจแดงหลายคนคงออกอาการประหวั่นพรั่นพรึงมากขึ้นไปอีก แม้ในใจจะเชียร์ให้ทีม “ชนะสักทีเถ้อะ” ก็ตาม อเล็กซ์ เฟอร์กูสันเริ่มมีการปรับทีมจากสามแม็ทช์แรก ส่งไมค์ ฟีแลนลงเล่นเป็นแบ็กขวา แล้วโยกเดนิส เออร์วินกลับไปทางซ้าย แล้วก็ส่งดาวยิงคนใหม่อย่างดิออน ดับลินลงตัวจริงเป็นครั้งแรก หลังจากลงในฐานะตัวสำรองมา 3 เกมติด (แทนแคนเชลสกีซะ 2 แม็ทช์ แทนกิกส์อีกนัดนึง) โดยได้สวมเสื้อหมายเลข 7 ซึ่งปีกจรวดยูเครนยึดครองมาตลอดตั้งแต่นัดแรก (ในช่วงเวลาที่กัปตันมาร์เวลเจ็บพอดี) ยูไนเต็ดชนะแบบหืดจับ 1-0 แล้วก็ราวกับเขียนบทเลย เมื่ออดีตศูนย์หน้าเคมบริดจ์เป็นคนยิงประตูชัยให้ทีมได้ด้วย แต่ “ดีดี” ก็ได้ลงเล่นเป็นตัวจริงติดต่อกันต่อมาอีกสองเกมเท่านั้น (ชนะฟอเรสต์ 2-0 ชนะคริสตัล พาเลซ 1-0) จากนั้นก็หายหน้าหายตาไปนานเลย เมื่อได้รับอุบัติเหตุถึงขั้นขาหักในเกมที่พบกับปราสาทเรือนแก้ว ว่ากันว่าการบาดเจ็บของดิออน ดับลินคือจุดเปลี่ยนที่สำคัญของฤดูกาลนี้ เพราะนั่นทำให้อเล็กซ์ เฟอร์กูสันเกิดความรู้สึกอยากช็อปปิงศูนย์หน้ามาเสริมทีมอีกสักคน แล้วชื่อนึงที่แว่บขึ้นมาดันเป็นชื่อของศูนย์หน้าฝรั่งเศสซึ่งมีส่วนร่วมในการนำลีดส์ ยูไนเต็ดเป็นแชมป์ลีกฤดูกาลที่แล้วซะด้วย เขาคนนั้นมีนามว่าเอริก ก็องโตนา! นักเตะผู้อาจจะเป็นจิ๊กซอว์ชิ้นสุดท้าย จากคุณ : baevi เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 54 23:49:35

ความคิดเห็นที่ 5 เดือนกันยายนถือว่าเป็นเดือนที่น่าชื่นใจของเร้ด อาร์มีซะจริงเมื่อทีมรักไม่พ่ายแพ้เลยในลีก ชนะซะ 3 เสมออีก 2 หลังจากที่จัดการเชือดคริสตัล พาเลซ 1-0 ด้วยประตูชัยของสปาร์กี้ ในเกมที่สังเวยสามแต้มด้วยการบาดเจ็บของดับลินเมื่อต้นเดือน ยูไนเต็ดยังคงเดินหน้าต่อด้วยการชนะ “แชมป์เก่า” ลีดส์ ยูไนเต็ด 2-0 โดยได้ประตูจากสตีฟ บรูซและแคนเชลสกี ตามติดมาด้วยการล้างแค้นเอฟเวอร์ตัน (ปีนั้นจัดโปรแกรมแปลก ๆ ยังไม่ครึ่งซีซันเลย ทุกทีมมีคิวที่จะต้องเตะกับทีมไหนสักทีมครบ 2 แม็ทช์แล้ว) 2-0 ด้วยผลงานของบรูซและแมคแคลร์ ส่วนสองแม็ทช์ที่เสมอก็คือเกมเยือนสเปอร์สที่ผลจบลงที่ 1-1 และเปิดบ้านเสมอควีนส์พาร์ค 0-0 นอกจากเกมลีกแล้วยังมีบอลถ้วยให้ลงลุ้นอีกสองถ้วย นั่นก็คือโคคาโคลา ลีกคัพในยุคที่ยังต้องเตะรอบสองแบบเหย้า-เยือนกันอยู่และยูเอฟา คัพ ในถ้วยเล็กของประเทศนั้น ยูไนเต็ดทำได้แค่บุกไปเสมอไบรท์ตัน 1-1 ส่วนถ้วยเล็กของยุโรป ปีศาจแดงฟอร์มฝืดทำได้แค่เสมอตอร์ปิโด มอสโก 0-0 ที่โอลด์ แทร็ฟเฟิร์ด สิ่งที่น่าสนใจในนัดนี้ก็คือตรงซุ้มม้านั่งสำรองนั้น มีเด็ก ๆ หน้าอ่อน ๆ มานั่งรอโอกาสกันมากหน้าหลายตา ไม่ว่าแกรี เนวิลล์, นิกกี บัตต์และ...เดวิด เบ็คแฮม! คนแรกน่ะได้ลงเล่นด้วยนะ โดยถูกส่งลงไปเล่นแทนลี มาร์ติน นัดที่สอง แมนฯยูฯออกไปเสมอที่เมืองหมีขาวได้อีก 0-0 จึงต้องตัดสินทีมเข้ารอบด้วยการดวลลูกโทษ แม้จะมีปีเตอร์ ชไมเคิลยืนตระหง่านระหว่างสองเสา แต่ก็ไม่สามารถช่วยอะไรยูไนเต็ดได้ เมื่อผลการแข่งขันปรากฏออกมาว่าเจ้าบ้านชนะบนสกอร์ 4-3 แต่บนความพ่ายแพ้นั้นก็ยังมีสิ่งดี ๆ ให้เห็นบ้าง เมื่อพอล ปาร์เกอร์และไบรอัน ร็อบสันกลับมาเป็นตัวสำรองได้แล้ว โดยคนแรกถูกเปลี่ยนตัวลงไปแทนไมค์ ฟีแลน ส่วนคนหลังได้ลงไปบู๊แทนแดนนี วอลเลซด้วย ไบรอัน ร็อบสัน เจ็บออด ๆ แอด ๆ จากคุณ : baevi เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 54 23:51:21

ความคิดเห็นที่ 6 ช่วงเวลาแค่ 1 เดือน แต่ความรู้สึกช่างแตกต่างกันเหลือเกิน เดือนกันยายน ยูไนเต็ดไม่แพ้ใครเลย (นอกจากดวลลูกโทษแพ้ตอร์ปิโด มอสโก) แต่กับเดือนตุลาคมนั้น ยูไนเต็ดชนะได้แค่นัดเดียว แถมยังเป็นการชนะไบรท์ตัน 1-0 ในศึกโคคาโคลา ลีกคัพซะอีก! ในเกมที่ไบรอัน ร็อบสันลงเล่นเป็นตัวจริงแม็ทช์แรกของฤดูกาล (อ้อ! พอล ปาร์เกอร์ด้วย ซึ่งหลังจากนั้นแบ็กขวาร่างเล็กก็ยึดตัวจริงไปตลอดทั้งซีซัน ส่วนกัปตันมาร์เวลยังต้องเข้า ๆ ออก ๆ จากทีมเพราะอาการบาดเจ็บออด ๆ แอด ๆ) แล้วก็ผ่านเข้ารอบด้วยสกอร์รวม 2-1 แต่รอบถัดมาก็ถูกแอสตัน วิลลาดีดตกเส้นทางด้วยสกอร์ 1-0 เป็นอันว่าเปิดฤดูกาลมา 3 เดือน เส้นทางสู่แชมป์ของยูไนเต็ดถูกตัดเหลือแค่ 2 ถ้วยเรียบร้อย พรีเมียร์ ลีกที่ผลงานยังกระท่อนกระแท่นอยู่และเอฟเอคัพที่ทีมในลีกระดับสูงสุดยังไม่ลงแข่งขัน ผลงานในบอลลีกเดือนตุลาคม แม้จะไม่ชนะใครเลย แต่ถ้ามองโลกในแง่ดีก็ต้องบอกว่า...แต่ทีมก็แพ้ไปแค่นัดเดียวเองนะ เสมอมิดเดิลสโบรช์ 1-1 (บรูซยิงจุดโทษให้ทีม) เสมอลิเวอร์พูล 2-2 (ฮิวจ์สเบิ้ล) และเสมอแบล็คเบิร์น 0-0 ก่อนจะปิดท้ายเดือนด้วยการพ่ายวิมเบิลดัน 0-1 มาร์ค ฮิวจ์สยิงคนเดียว 2 เม็ดในเกมเสมอลิเวอร์พูล จากคุณ : baevi เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 54 23:53:05

ความคิดเห็นที่ 7 การพ่ายแอสตัน วิลลาครั้งที่สองในรอบ 10 วัน ทำให้เกิดการเปลี่ยนแปลงขึ้นที่โอลด์ แทร็ฟเฟิร์ด หลังจากตกรอบโคคาโคลา ลีกคัพด้วยสกอร์ 0-1 จากน้ำมือของวิลลา สิบวันต่อมาทั้งคู่ต้องโคจรมาพบกันอีกในศึกพรีเมียร์ ลีกที่สังเวียนเดิม วิลลา พาร์ค แล้วสกอร์ก็ดันออกมาแบบเดิมด้วย! ความพ่ายแพ้นัดนั้นทำให้ยูไนเต็ดยังแขวนตัวเองอยู่บนอันดับ 6 ของตาราง จากนั้นก็เป็นการหยุดยาวให้โปรแกรมทีมชาติ ช่วงพักยาว ๆ แบบนี้ มีการต่อสายถึงกันของอเล็กซ์ เฟอร์กูสันและเฮาเวิร์ด วิลกิลสัน นายใหญ่ลีดส์ ยูไนเต็ด มีการแย็บ ๆ ทีเล่นทีจริงตอนเริ่มต้น แต่ผลการเจรจาจบลงด้วยดีลสุดเซอร์ไพร้ส์ ดีลที่ทำให้ศิลปินลูกหนังชาวฝรั่งเศสอย่างเอริก ก็องโตนาต้องเก็บข้าวเก็บของย้ายมายังถิ่นโอลด์ แทร็ฟเฟิร์ดด้วยราคาสุดถูก “นี่เป็นช่วงเดียวที่ผมทั้งกังวล ทั้งซีเรียสที่สุดในฤดูกาล พวกเรายิงได้ไม่เพียงพอ ผมกำลังจะหมดหวังเพราะฟอร์มการเล่นกลับไปคล้าย ๆ กับปีก่อนที่ขาดแคลนประตู...มันเป็นบทเรียนราคาแพงจริง ๆ นะ...หากเราต้องการแชมป์ พอได้เอริกเข้ามา ผมมั่นใจว่าเราอาจจะทำได้ตอนจบฤดูกาล...เราจะมีผลงานที่ดีพอ” ยอดผู้จัดการทีมให้เหตุผลถึงการเซ็นสัญญาสุดวิเศษแห่งฤดูกาล “ผมจากมาเพราะต้องการความเปลี่ยนแปลง...มันก็เหมือนกับเรื่องผู้หญิงนั่นแหละ ถ้าวันไหนที่คุณไม่มีอะไรจะพูดหรือรู้สึกเบื่อ คุณก็จากเธอมา...” ดาวยิงอัจฉริยะชาวฝรั่งเศสให้เหตุผลของการย้ายทีมแบบนั้น อารมณ์ศิลปินซะขนาดนี้ แล้วก็องโตจะปักหลักอยู่ที่โอลด์ แทร็ฟเฟิร์ดนานไหม? “นานตราบเท่าที่ผมมีความสุข...และนานตราบที่แฟน ๆ รู้สึกสุขใจเมื่อมีผมอยู่ในทีม” ดาวเตะซึ่งต่อมากลายเป็นตำนานหมายเลข 7 ตอบคำถาม “ตอนนี้ผมตอบได้ทันทีเลยว่าผมรักและอยากอยู่ที่นี่ ผมคิดว่าแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดเป็นสโมสรที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในโลกทีมนึงและคิดว่าตัดสินใจถูกต้องที่มาที่นี่” การเซ็นสัญญาครั้งนี้ทำเอาผมอดใจรอให้พรีเมียร์กลับมาฟาดแข้งแทบไม่ไหว! แต่ก็องโตยังไม่ได้ประเดิมสนามหรอกนะในสองแม็ทช์แรกหลังจากย้ายมา ไบรอัน ร็อบสันกับลี ชาร์ปหวลกลับคืนมาเป็น 11 นักเตะชุดแรกของปีศาจแดงได้ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดชนะได้ทั้งโอลด์แดมและอาร์เซนอล 6 ธันวาคม 1992 เป็นวันที่ศึกแมนเชสเตอร์ ดาร์บี้ แม็ทช์ระเบิดขึ้นที่โอลด์ แทร็ฟเฟิร์ด เสื้อหมายเลข 7 ยังเป็นของกัปตันทีมขวัญใจชาวเร้ด อาร์มีอยู่ ส่วนเสื้อหมายเลข 12 ซึ่งสแตนบายรออยู่ที่ซุ้มม้านั่งสำรองนั้นตกเป็นของเอริก ก็องโตนา ยูไนเต็ดชนะซิตี้ไป 2-1 ก็องโตประเดิมสนามด้วยการเปลี่ยนตัวลงมาเล่นแทนไรอัน กิกส์ จากคุณ : baevi เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 54 23:54:23

ความคิดเห็นที่ 8 เอริก ก็องโตนาลงสนามในฐานะผู้เล่น 11 คนแรกในนัดถัดมาที่เปิดบ้านรับทีมฟอร์มแรง (และทำท่าว่าจะมีเอี่ยวลุ้นแชมป์ด้วย) อย่างนอริช ซิตี้ โดยใส่เสื้อหมายเลข 7 แทนไบรอัน ร็อบสัน (ที่อาจจะบาดเจ็บอีกครั้ง) และสิบเอ็ดคนแรกในนัดนี้ก็กลายเป็นโครงหลักของทีมจนจบซีซัน และในฤดูกาลถัดมาซึ่งนักเตะแต่ละคนต้องมีหมายเลขประจำ สิบเอ็ดคนแรกจากชุดนี้ก็คือผู้เล่นที่ได้หมายเลขประจำเป็นหมายเลข 1-11 ขอไล่เรียงเลยนะ 1 ปีเตอร์ ชไมเคิล, 2 พอล ปาร์เกอร์, 3 เดนิส เออร์วิน, 4 สตีฟ บรูซ, 5 ลี ชาร์ป, 6 แกรี พัลลิสเตอร์, 7 เอริก ก็องโตนา, 8 พอล อินซ์, 9 ไบรอัน แมคแคลร์, 10 มาร์ค ฮิวจ์ส, 11 ไรอัน กิกส์ ปีศาจแดงหยุดความร้อนแรงของนกขมิ้นเหลืองอ่อนสำเร็จ เชือดไป 1-0 ด้วยประตูชัยของสปาร์กี้ สัปดาห์ต่อมา แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดต้องกรีธาทัพเข้าสู่กรุงลอนดอนพบกับเชลซี ผลการแข่งขันอาจจะน่าผิดหวังที่เสมอ 1-1 แต่สิ่งที่น่าชื่นใจก็คือก็องโตประเดิมสกอร์แรกได้ในนัดนี้! แล้วก็ยิงติด ๆ กัน 2 นัดรวดในแม็ทช์ที่เสมอเชฟฟิลด์ เวนส์เดย์ 3-3 และถล่มโคเวนทรี 5-0 แม็ทช์หลังนี่เป็น 5 ประตูที่มาจาก 5 ขุนพลด้วย แสดงให้เห็นถึงความยอดเยี่ยมในการสังหารประตูที่พร้อมยิงสลุตออกจากทุกตำแหน่ง! ก็องโตเข้ามาเสริมความคมในแดนหน้าให้ปีศาจแดง จากคุณ : baevi เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 54 23:55:54

ความคิดเห็นที่ 9 ปี 1992 ผ่านไป ปี 1993 ก้าวเข้ามาแทน พร้อม ๆ กับฟอร์มที่ยอดเยี่ยมของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด ปีศาจแดงเริ่มต้นปีใหม่ด้วยการเขี่ยบิวรีตกรอบสาม เอฟเอคัพด้วยสกอร์ 2-0 จากการยิงของเด็กหนุ่มอย่างคีธ จิลเลสพีและเด็กหนวดอย่างไมค์ ฟีแลน รอบที่สี่ แมนฯยูฯยังแกร่งต่อไป เมื่อจัดการเชือดไบรท์ตันอีก 1-0 จากประตูชัยของไรอัน กิกส์ ส่วนในพรีเมียร์ ลีกนั้น ฟอร์มของปีศาจแดงยังคงร้อนแรงต่อเนื่อง ถล่มสเปอร์ส 4-1 ในเกมที่ดาหน้ากันยิงประตูแบบไม่ซ้ำหน้า ไม่ว่าจะเป็นพอล ปาร์เกอร์, เดนิส เออร์วิน, เอริก ก็องโตนาและไบรอัน แมคแคลร์ “การแสดงความสามารถของทีมเราเป็นสิ่งสำคัญ การไล่ถล่มโคเวนทรี 5-0 และถลุงสเปอร์ส 4-1 นั้น...ช่างเป็นเกมที่สนุกสนานเร้าใจ มันเป็นเกมที่ยอดเยี่ยมมาก” อเล็กซ์ เฟอร์กูสันพูดด้วยความปลาบปลื้ม จากนั้นปีศาจแดงก็เก็บชัยชนะเหนือควีนส์พาร์ค 3-1 และเหนือฟอเรสต์อีก 2-0 ก่อนจะมาสะดุดเอาท้ายเดือนเมื่อแพ้ให้กับอิปสวิช 1-2 อย่างไรก็ตาม ความพ่ายแพ้ที่พอร์ตแมน โร้ด มันก็แค่อุบัติเหตุเท่านั้นเพราะใน “เดือนแห่งความรัก” อสูรร้ายตนนี้กลับไม่รักใครเลย ปราณีหน่อยก็แค่บุกไปเจ๊าลีดส์ ยูไนเต็ดที่ทำท่าจะหมดสิทธิ์ป้องกันแชมป์ซะแล้ว 0-0 นอกนั้นชนะรวด ไล่ตั้งแต่เปิดบ้านเฉือนเชฟฟิลด์ ยูไนเต็ด 2-1, ชนะเซาแธมป์ตันในสกอร์เดียวกันและปิดท้ายด้วยการสอยโบโรร่วง 3-0 แต่ในศึกบอลน็อคเอาท์อย่างเอฟเอคัพนั้น ปีศาจแดงจำต้องยุติเส้นทางลงแค่เพียงรอบที่ 5 เมื่อพ่ายแพ้แก่ “ดาบคู่” เชฟฟิลด์ ยูไนเต็ดไป เป็นความสูญเสียเพื่อให้ได้มา...เพราะต่อแต่นี้ไป สมาธิของขุนพลปีศาจแดงจะโฟกัสที่โทรฟีพรีเมียร์ ลีกเท่านั้น จำได้ว่าแม้กระทั่งคุณอาย.โย่ง ยังให้ความเห็นแบบนี้ในคัมภีร์ฟุตบอลเหมือนกัน ปี 93 บรูซกับอินซ์ได้เฮแบบนี้อยู่บ่อยครั้ง จากคุณ : baevi เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 54 23:57:30

ความคิดเห็นที่ 10 เดือนมีนาคม เป็นเดือนที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดเก็บชัยได้เพียงแค่นัดเดียว แต่ก็ช่างเป็นชัยชนะที่หวานชื่น เพราะเหยื่อก็คือ “อดีต” ทีมที่แสนยิ่งใหญ่...ลิเวอร์พูล ปีศาจแดงบุกไปเก็บ 3 แต้มได้ถึงแอนฟิลด์ โดยคู่หูแมคแคลร์-ฮิวจ์สช่วยการฝังหงส์แดงคนละลูก ชัยชนะทำให้ยูไนเต็ดกลายเป็นตัวเต็งแชมป์ชัดเจนขึ้น แต่ดูเหมือนว่าลูกทีมของเฟอร์กูสันจะกลัวว่าแฟนบอลจะไม่ตื่นเต้นพอ ก็เลยกล้า ๆ แพ้โอลด์แดมในนัดถัดมาซะเลยด้วยสกอร์ 0-1 ก่อนที่จะทำได้แค่เสมอแอสตัน วิลลา คู่แข่งแย่งแชมป์ในฤดูกาลนั้นในโอลด์ แทร็ฟเฟิร์ดอีก 1-1 จากนั้นก็เสมอแมนเชสเตอร์ ซิตี้อีก 1-1 และปิดท้ายเดือนด้วยการเสมออาร์เซนอลในแบบโนสกอร์ เหลืออีก 7 แม็ทช์สุดท้าย “แชมป์เก่า” ลีดส์ ยูไนเต็ดน่าจะหมดหวังในการป้องกันโทรฟีซะแล้ว แชมป์ลีกสูงสุด 18 สมัยอย่างลิเวอร์พูลก็น่าจะแห้วเป็นปีที่ 3 ติดต่อกัน เพราะตอนนี้ทีมที่จะลุ้นแชมป์มีเพียงแค่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดและแอสตัน วิลลาเท่านั้น โดยอาจจะมีนอริช ซิตี้ที่เป็นตัวสอดแทรก จากคุณ : baevi เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 54 23:58:28

ความคิดเห็นที่ 11 โค้งสุดท้าย 7 แม็ทช์อันตราย สถานการณ์ตอนนี้ แอสตัน วิลลาตามเกาะติดปีศาจแดงที่หัวตาราง ถัดลงไปยังมีนอริชที่พร้อมคว้าชิ้นปลามันอยู่ 5 เมษายน ยูไนเต็ดต้องบุกไปเยือนแคร์โรว์ โร้ดของนอริช ไรอัน กิกส์, อังเดร แคนเชลสกีและเอริก ก็องโตนาช่วยกันยิงคนละลูกในช่วง 20 นาทีแรก ก่อนที่จะเก็บสามแต้มได้แบบสบาย ๆ แม้มาร์ค โรบินส์ อดีตซูเปอร์ซับ ผู้เซฟเก้าอี้ของเฟอร์กูสันบนเส้นทาง โร้ด ทู เวมบลีย์เมื่อ 3 ปีก่อนจะตีไข่แตกให้นอริชได้ก็ตาม ตอนนี้น่าจะเหลือแค่ม้าเพียง 2 ตัวแล้วเท่านั้น! “ปีศาจแดงทำเหมือนกับว่าเล่นในโอลด์ แทร็ฟเฟิร์ดซะงั้น 3 ประตูในช่วง 20 นาทีแรกทำให้พวกเค้าไม่กดดันอะไรเล้ย...” “กิกส์โชว์ความเป็นอัจฉริยะ ฉีกกองหลังนอริชยุ่ย แล้วก็หลอกไบรอัน กันน์ โกล์นอริชอีกหน จากนั้นก็ยิงประตู นี่มันฝีเท้าของเด็กอายุ 19 จริง ๆ เหรอนี่?” “มันยากที่จะบอกว่าใครมีค่าที่สุดในทีมปีศาจแดงเพราะทุกคนสอดประสานกันได้ดีมาก ๆ โดยเฉพาะพอล อินซ์...เค้าคือกัปตันทีมชาติอังกฤษในอนาคตแน่ ๆ” นั่นคือเสียงประสานจากสื่อแขนงต่าง ๆ ถึงแม็ทช์กระชากนอริชหลุดพ้นเส้นทาง ก็องโตนาซัลโวประตูที่ 3 ให้ทีมชนะนอริช จากคุณ : baevi เขียนเมื่อ : 16 พ.ย. 54 23:59:51

ความคิดเห็นที่ 12 หากเสียงนกหวีดหมดเวลายังไม่ดัง คุณก็ยังไม่ชนะแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด...แม้ตอนนั้นคุณจะนำอยู่ก็เหอะ แม็ทช์ที่ปีศาจแดงเปิดบ้านต้อนรับเชฟฟิลด์ เวนส์เดย์ตอกย้ำหลักสัจธรรมข้อนี้ได้อย่างชัดเจน จอห์น เชอริแดน มิดฟิลด์ทีมชาติไอร์แลนด์ยิงให้นกเค้าแมวทีมเยือนนำ 1-0 ในนาทีที่ 65 เวลาผ่านไปแล้ว ผ่านไปอีก 86 นาทีของเกมผ่านไป ใคร ๆ ก็เชื่อว่า 3 แต้มคงเป็นของทีมเยือนแน่นอน “ทุกคนในโอลด์ แทร็ฟเฟิร์ดเริ่มคิดแล้วแหละว่าอาจจะต้องเสียคะแนนสำคัญให้วิลลาได้ฮึดไล่ขึ้นมา...” ใครสักคนให้ความเห็น แต่แล้วก็เป็นกัปตันทีมอย่างสตีฟ บรูซนั่นเองที่ลุยขึ้นมาปลุกความหวังให้ยูไนเต็ดสำเร็จช่วง 4 นาทีสุดท้าย ได้หนึ่งแต้มก็โอเคแล้วแหละ? แต่มันไม่แบบนั้นน่ะสิเพราะในช่วงทดเวลาบาดเจ็บ ปราการหลังหมายเลข 4 คนเดิมยังดอดขึ้นมายิงประตูชัยได้อีก! “พวกเราไม่อาจรอคอยแชมป์ต่อไปได้อีกแล้ว 26 ปีมันนานเกินไปสำหรับแฟน ๆ ผมตั้งใจแค่ว่าจะตีเสมอให้ได้ พอทำได้ก็คิดไปถึงประตูชัย และตอนนี้ผมคิดไปถึงแชมป์พรีเมียร์ ลีกแล้ว!” ฮีโรของปีศาจแดงในแม็ทช์นี้เผยความในใจ “สมควรแล้วที่แมนฯยูฯจะชนะ พวกเค้าแสดงให้เห็นถึงพลังแฝงและความมุ่งมั่นจนวินาทีสุดท้าย” คือความเห็นของเทรเวอร์ ฟรานซิส ผู้จัดการทีมผู้ผิดหวังในนัดนี้ ก่อนจะปิดท้ายว่า “และนี่แหละคุณสมบัติของทีมที่จะก้าวขึ้นมาเป็นแชมป์!” คาร์ลตัน พาลเมอร์พยายามไล่ล่าศิลปินลูกหนังชาวฝรั่งเศส จากคุณ : baevi เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 54 00:01:47

ความคิดเห็นที่ 13 สองวันต่อมา หลังจากชัยชนะที่สุดเหลือเชื่อ แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดต้องบุกไปเยือนรังไฮฟิลด์ โร้ดของโคเวนทรี เจ้าบ้านภายใต้การคุมทัพของบ๊อบบี กูลด์พยายามเปิดเกมโหดและหนักใส่ “จ่าฝูง” ทำให้ยูไนเต็ดพบกับเกมที่ยากลำบากอีกเกมหนึ่ง แม้จะไม่ใช่เกมที่เล่นดีนัก แต่ลูกทีมของเฟอร์กูสันก็สามารถคว้าสามแต้มออกไปได้ โดยเป็นกองหลังอีกแล้วที่ยิงประตูตัดสินเกมได้ คราวนี้ถึงคิวของคนเงียบ ๆ อย่างเดนิส เออร์วินบ้างที่เป็นฮีโร “มันเป็นลูกผ่านที่วิเศษของชาร์ปซึ่งโยนมาในจังหวะและระยะที่เดนิสยิงได้ถนัดถนี่ แม้จะเป็นกองหลัง แต่ผมมองว่าเดนิสเป็นคนที่มีจังหวะการยิงที่ดีทีเดียว พอเห็นลูกเข้าประตูไป ผมรู้สึกสุดยอดจริง ๆ เลย” บิ๊กบอสแห่งถิ่นโอลด์ แทร็ฟเฟิร์ดชื่นชม “ไม่ว่าใครก็ตามที่เล่นได้อย่างนี้หลังผ่านเกมหนักกับเวนส์เดย์เมื่อ 48 ชั่วโมงก่อน ผมต้องยกว่าเป็นยอดมนุษย์แล้วแหละ” ผู้จัดการทีมเจ้าถิ่นยกย่อง เออร์วิน (คนที่ 4 จากซ้าย) ยิงประตูชัยให้ทีมที่ไฮฟิลด์ โร้ด จากคุณ : baevi เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 54 00:03:08

ความคิดเห็นที่ 14 ชนะ 3 นัดรวดยังไม่เพียงพอ ยูไนเต็ดยังเดินหน้าคว้าชัยต่อไป คิวต่อไปเป็นเชลซี ปีศาจแดงถล่มสิงห์โตน้ำเงินครามขาดลอย 3-0 สปาร์กี้ประเดิม ตามมาด้วยความผิดพลาดของสตีฟ คลาร์ก ก่อนจะปิดท้ายด้วยก็องโต “เรามีความสุขมากกับชัยชนะในช่วงแบบนี้ ประตูได้-เสียเราได้เปรียบวิลลาถึง 11 ประตูด้วย แต่ผมก็ไม่ได้ใส่ใจอะไรมากนะ ผมสนใจแค่ว่าเรากำลังไปได้สวยกับผลงานแบบนี้” อเล็กซ์ เฟอร์กูสันเปิดใจหลังเกม คีย์แมนในนัดนี้ไม่ใช่คนยิงประตูได้ แต่เป็นลี ชาร์ป ปีกตัวฉกาจที่โชว์ฟอร์มได้ยอดเยี่ยม จนบิ๊กบอสเจ้าของท่าไม้ตาย “แฮร์ไดร์เออร์” ยังต้องเอ่ยปากชม “ยอดเยี่ยมเลยแหละ ผมได้ยินใคร ๆ ก็บ่นว่าตั้งแต่ลีกลับมาเล่นได้อีกว่าเค้าเพิ่งยิงได้ลูกเดียวเอง แต่อย่าลืมนะว่าเค้ามีส่วนกับตั้ง 18 ลูกที่เราทำได้ วันนี้ลีแย่งลูกมาแล้วก็ทำทางสู่ประตูแรก แถมยังเปิดลูกเป็นประตูที่สองได้อีก เค้าสำคัญกับทีมจริง ๆ” ฟอร์มการเล่นที่ทำท่าว่าจะแรงต่อเนื่อง ไม่มีท่าว่าจะแผ่วเช่นฤดูกาลก่อน ผู้จัดการทีมคนเก่งของปีศาจแดงมองเรื่องนี้ว่า “พวกเค้าฟิตกว่าเดิม ฉลาดกว่าและแข็งแกร่งกว่าฤดูกาลก่อน อีกทั้งยังคุมสถานการณ์ของการเป็นทีมนำได้ดีกว่าเดิม ตอนนี้ผมหวังว่าพวกเค้าจะไม่เจ็บในอีก 3 นัดที่เหลือนะ” “สนุกมาก ๆ กับการเล่นช่วงนี้ ปีที่แล้วเรายิ่งเล่นยิ่งแผ่ว แต่ปีนี้คนละเรื่องเลย แม็ทช์ที่เหลือผมเชื่อว่าเราทำได้ดีต่อเนื่องแน่ ๆ” ฮิวจ์สช่วยเสริม ส่วนเดวิด เว็บบ์ ผู้จัดการทีมเชลซีให้ความเห็นถึงแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดว่า “ถ้าคุณมีทีมที่เล่นเกมบุกได้ขนาดนี้...จะเอาแชมป์ มันก็ไม่ใช่เรื่องยาก!” ฮิวจ์สหวดลูกแรกในชัยชนะเหนือเชลซี จากคุณ : baevi เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 54 00:04:43

ความคิดเห็นที่ 15 สถานการณ์การลุ้นแชมป์พรีเมียร์ ลีกฤดูกาลแรกต้องลุ้นกันแบบนัดต่อนัด ไม่ว่าจะเป็นแอสตัน วิลลาหรือแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดต่างก็ห้ามพลาดทั้งสิ้นในช่วงโค้งสุดท้ายแบบนี้ โปรแกรมที่เหลือแค่เพียง 3 แม็ทช์ทำให้เริ่มบีบหัวใจขึ้นเรื่อย ๆ แต่กับขุนพลปีศาจแดงแล้ว พวกเขาช่างเหมือนเครื่องจักรที่ไม่มีความรู้สึกกดดันใด ๆ เลย มีหน้าที่แค่ชนะ ชนะ และชนะ เช่นเดียวกับการบุกรังเซลเฮิร์ทส์ พาร์คของคริสตัล พาเลซ เกมในครึ่งแรกอาจจะอึดอัดเพราะสกอร์ที่จบลงนั้นยัง 0-0 อยู่ แต่ครึ่งหลังเหล่าพลพรรคปีศาจแดงก็บดขยี้จนได้มาถึง 2 ประตูจากมาร์ค ฮิวจ์สและพอล อินซ์ ข่าวดียิ่งกว่านั้นก็คือแอสตัน วิลลาพลาดท่าต่อแบล็คเบิร์นขาดลอย 0-3 ในวันเดียวกัน “ตอนที่ผมรู้ว่าวิลลาโดนยิงไปสองเม็ด ผมไม่อยากเชื่อเลยนะ นักเตะของเราไม่รู้สกอร์นี้หรอกจนพักครึ่งน่ะ ทำให้พวกเค้าไม่ต้องเกร็งเพราะครึ่งแรกเรายังทำอะไรไม่ได้เลย พอครึ่งหลังเราก็ทำได้ 2 ประตู ผลแบบนี้บางคนอาจจะบอกว่าเราโชคดี...แต่การเป็นแชมป์ลีก บางครั้งคุณต้องมีโชคเล็ก ๆ น้อย ๆ มาช่วยบ้าง” เฟอร์กูสันแสดงทัศนะหลังเกม ในฐานะที่นำทีมแบล็คเบิร์นหยุดแต้มแอสตัน วิลลาเอาไว้ เคนนี ดัลกลิชก็เลยพยากรณ์ทีมแชมป์พรีเมียร์ลีกในฤดูกาลนี้ว่า “ถึงตอนนี้ ผมพูดได้อย่างเต็มปากเลยว่าแชมป์จะอยู่ที่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด...ไม่ใช่ที่แอสตัน วิลลา” คำทำนายนั้นเป็นจริงในอีก 11 วันต่อมา เมื่อแอสตัน วิลลามีโปรแกรมเตะก่อน คู่แข่งคือโอลด์แดม เงื่อนไขของสิงห์ผยองนั้นง่าย ๆ เลย “ถ้าแพ้ก็ยกแชมป์ให้ยูไนเต็ดได้เลย” แล้ววิลลาก็แพ้จริง ๆ สิ้นสุด 26 ปีแห่งการรอคอยของแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดแล้ว! ฮิวจ์สกับอินซ์จัดการคนละลูกให้ทีมชนะคริสตัล พาเลซ จากคุณ : baevi เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 54 00:06:22

ความคิดเห็นที่ 16 ว่ากันว่าเกมที่แอสตัน วิลลาพบกับโอลด์แดมนั้น เหล่าพลพรรคปีศาจแดงแทบจะไม่มีใครได้ดูเกมเลย อย่างอเล็กซ์ เฟอร์กูสันก็ไปออกรอบตีกอล์ฟ คงเป็นเพราะไม่อยากลุ้นเกินเหตุละมั้ง? พอวิลลาแพ้ นั่นก็หมายความว่าเกมเปิดบ้านรับแบล็คเบิร์น มันก็คือปาร์ตี้ฉลองแชมป์กลาย ๆ นั่นแหละ กัลลาเกอร์เกือบจะทำให้ปาร์ตี้นี้กร่อยซะแล้ว เมื่อกระซวกประตูให้กุหลาบไฟนำไปก่อนตั้งแต่นาทีที่ 9 แต่เหล่าขุนพลปีศาจแดงค่อย ๆ รวบรวมสมาธิกลับคืนสู่เกมได้สำเร็จ ไรอัน กิกส์ตีเสมอ 1-1 ได้ในนาทีที่ 22 จากนั้นพอล อินซ์ก็มายิงให้ทีมขึ้นนำได้ในครึ่งหลัง นาทีที่ 61 ปาร์ตี้ฉลองแชมป์กำลังจะเริ่มขึ้น อีกหนึ่งนาทีกำลังหมดเวลา แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดได้ลูกโทษนอกเขต เชื่อเหอะ ทั้งชาติคุณก็ไม่มีวันได้เห็นแกรี พัลลิสเตอร์ขึ้นมายืนจองสิทธิ์การสังหารลูกนิ่งแบบนี้หรอก แต่นาทีนี้ทุกคนเต็มใจ อาจจะเป็นเพราะพัลลีคือคนเดียวในทีมตัวจริงที่ยังยิงไม่ได้เลยในฤดูกาลนี้ก็เป็นได้ ซึ่งเซนเตอร์ฮาล์ฟค่าตัว 2.3 ล้านปอนด์ก็รู้งาน จัดการสังหารเข้าไปตุงตาข่ายได้สำเร็จ ช่วยให้ยูไนเต็ดปิดเกมสวยงามขึ้นอีกนิดด้วยสกอร์ 3-1 “ผมตกตะลึงเอามาก ๆ อัตราต่อรองในการทำประตูของแกรีคือ 33-1 มันจึงเป็นช่วงเวลาที่ยิ่งใหญ่ของเค้า ผมเลยรู้สึกยินดีกะเค้าด้วยเพราะนอกจากชไมเคิลแล้ว ในทีมชุดใหญ่ก็มีพัลลีนี่แหละที่ไม่ค่อยได้ยิงประตูเท่าไหร่” เฟอร์กูสันเอ่ยพร้อมกับรอยยิ้มบานแฉ่ง หลังเกมก็เป็นปาร์ตี้แห่งความชื่นมื่น ไบรอัน ร็อบสันกับสตีฟ บรูซเป็นตัวแทนขึ้นไปชูโทรฟีแชมป์พรีเมียร์ ลีก ประกาศศักดาว่าสิ้นสุดเสียทีการรอคอยที่ยาวนาน 26 ปี! “ก่อนเกมกับแบล็คเบิร์น ผมเรียกสตีฟกับไบรอันเข้ามาคุย แล้วก็บอกว่าผมอยากให้สองคนร่วมกันทำอย่างนั้น ร็อบโบทุ่มเทให้กับยูไนเต็ดมาตลอดและเฝ้ารอมานานแสนนานกับเหรียญชนะเลิศ ดังนั้นเค้าจึงสมควรอย่างยิ่งที่จะเป็นคนรับถ้วยรางวัล แม้ว่าซีซันนี้จะไม่ค่อยได้ลงเล่น ไม่ค่อยได้สวมปลอกแขนอย่างบรูซซีมากนักก็เหอะ” เฟอร์กีให้เหตุผลถึงการใช้สองกัปตันทีมทำหน้าที่แห่งเกียรติยศ “การได้แชมป์ครั้งแรกในรอบ 26 ปีมันเหมือนไขโซ่ที่ผูกกับขามานาน เราเป็นอิสระซะที!” คือคำกล่าวของร็อบโบ “พวกเราผิดหวังกับการพลาดแชมป์เมื่อปีก่อน เราเรียนรู้ว่าจะไม่พลาดอีก ผมอยู่ที่นี่มา 6 ปี แชมป์ลีกคือเป้าหมายสูงสุดแล้วเราก็ทำได้สำเร็จ ตอนนี้ผมขออยู่กับความชื่นชมยินดีนี่ก่อนนะ” บรูซซีเปิดใจ “มันเป็นคืนที่สุดวิเศษเลยทีเดียว คนเราต่อสู้มาตลอดชีวิตก็เพื่อให้ได้มาซึ่งความรู้สึกแบบนี้แหละ” เป็นอีกหนึ่งโค้ตคำพูดของอเล็กซ์ เฟอร์กูสันในคืนหวานชื่นคืนนั้น ชัยชนะที่โอลด์แดมมีเหนือแอสตัน วิลลาอาจจะทำให้ยูไนเต็ดได้แชมป์เร็วขึ้น แต่สำหรับโจ รอยล์ ผู้จัดการทีมโอลด์แดมแล้ว ปีศาจแดงได้แชมป์เพราะความยอดเยี่ยมของพวกเขาเองต่างหาก “พวกเค้าเป็นทีมที่ดีที่สุดในโลกและโดดเด่นที่สุดในเกาะอังกฤษมานานนับปี ใคร ๆ ก็พูดว่าเพราะโอลด์แดมของผมหรอกที่ชนะวิลลา แมนฯยูฯถึงเป็นแชมป์ แต่มันช่างเหลวไหลจริง ๆ เลย พวกเค้าได้แชมป์เพราะตัวเองตะหาก ไม่ต้องให้ใครมาช่วยหรอก” ในค่ำคืนแห่งความชื่นมื่นเช่นนี้ เซอร์ แม็ทท์ บัสบี ตำนานของทีมก็ออกมาเผยความรู้สึกด้วย “ผมเหมือนยืนอยู่บนดวงจันทร์แล้วมองลงมาดูความสำเร็จเบื้องล่าง ฟุตบอลลีกอังกฤษยังคงเป็นลีกที่คว้าแชมป์ยากที่สุด ยูไนเต็ดชุดนี้มีการเล่นที่น่าตื่นเต้นและมีคุณภาพ เราแข็งแกร่งขึ้นเยอะ แชมป์จึงคู่ควรกับเรา ผมจะจดจำค่ำคืนที่ยิ่งใหญ่คืนนี้ตลอดไป...” จากคุณ : baevi เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 54 00:08:30

ความคิดเห็นที่ 17 แม้จะคว้าแชมป์เรียบร้อยแล้ว แต่แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดก็ยังมีคิวปิดฤกาลกับวิมเบิลดันที่เซลเฮิร์ทส์ พาร์คอีกแม็ทช์นึง จะว่าไปแล้ว นอกจากปีเตอร์ ชไมเคิล ผู้เล่นตัวหลัก ๆ ในทีมชุดนี้ยังมีไบรอัน ร็อบสันอีกคนที่ยังยิงประตูไม่ได้เลยในฤดูกาลนี้ วันนี้อเล็กซ์ เฟอร์กูสันส่งกัปตันมาร์เวลลงเล่นเป็นตัวจริง สวมเสื้อหมายเลข 7 หมายเลขโปรด แล้วย้ายเอริก ก็องโตนาไปใส่เบอร์ 11 ดร็อปไรอัน กิกส์ไว้ที่ซุ้มม้านั่งสำรอง พอล อินซ์ยิงให้แชมป์พรีเมียร์ ลีกขึ้นนำไปก่อน 1-0 ในนาทีที่ 63 อีกเก้านาทีต่อมาร็อบโบก็ร้องบอกว่า “หลบหน่อยพระเอกมา” เมื่อจัดการยิงประตู 2-0 ได้สำเร็จ ก่อนที่ดีน โฮลด์สเวิร์ธจะมาตีไข่แตกได้ในนาทีที่ 81 สุดท้ายยูไนเต็ดปิดท้ายฤดูกาลแห่งความทรงจำได้งดงามสมบูรณ์แบบด้วยชัยชนะ 2-1 “ในทีมชุดนี้มีแต่ผมนี่แหละที่อยู่มานานจนเป็นปู่ของทีมแระ หากผมแขวนสตั๊ดโดยไม่มีเหรียญชนะเลิศลีกสักอัน...ผมคงนอนไม่หลับ และวันนี้ผมต้องขอบคุณก็องโตมาก ๆ ที่พยายามเหลือเกินเพื่อจะช่วยให้ผมยิงประตูให้ได้ มันแสดงให้เห็นว่าศิลปินชาวฝรั่งเศสคนี้มีน้ำใจเกินกว่าที่คนอื่น ๆ จะมาตั้งแง่กับเค้า” กัปตันมาร์เวลเปิดใจ “มันเป็นเหมือนความฝัน เหมือนกับความมหัศจรรย์...สมบูรณ์แบบ ผมเชื่อว่าคนที่มีส่วนเกี่ยวข้องกับแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดก็คงรู้สึกแบบนี้เช่นกัน...” ผู้จัดการทีมผู้หยุดการรอคอยให้ชาวเร้ด อาร์มีสรุปความรู้สึกรวมตลอดทั้งฤดูกาล ใช่...ผมในฐานะที่มีมีส่วนเกี่ยวข้องกับยูไนเต็ด คือเชียร์มาแล้ว 6 ปี (ขณะนั้น) ก็รู้สึกแบบเดียวกับที่เฟอร์กีบอกเป๊ะเลย มันช่างเหมือนความฝัน เหมือนความมหัศจรรย์จริง ๆ 6 ปีก่อนที่จะคว้าแชมป์ลีกสูงสุดได้ซึ่งเป็นปีที่ผมเลือกเชียร์ทีมนี้เป็นครั้งแรก ด้วยเหตุผลเพียงเพราะฟังชื่อทีมแล้วมันเท่ห์ดีเท่านั้น ผมไม่เชื่อหรอกว่าจะมีวันนี้ได้ ทุกครั้งที่จบฤดูกาล จะมีคำพูดปลอบใจตัวเองเสมอว่า “เดี๋ยวปีหน้าแมนฯยูฯก็ได้แชมป์เองแหละ” แต่ลึก ๆ แล้ว...ผมไม่ค่อยแน่ใจในคำพูดนั้นนัก จนอเล็กซ์ เฟอร์กูสันทำให้ผมเชื่อนั่นแหละ และในเวลาต่อมาเขาก็ทำให้เห็นว่าไม่ใช่แค่ปีเดียวด้วย แต่เป็นปีแล้ว ปีเล่าที่ทีมคว้าแชมป์แล้ว แชมป์เล่า จนกลายเป็นทีมที่ได้แชมป์ลีกสูงสุดมากครั้งที่สุดที่จำนวน 19 ครั้ง เรื่องราวเหล่านี้ไม่ใช่แค่เทพนิยาย แต่มันเป็นตำนานที่ผมขอปรบมือให้กับมหาบุรุษชาวสก็อตแลนด์ บุคคลที่ก้าวเข้ามาสร้างความสุขให้กับการดูบอลอังกฤษแก่ผมมาตลอด 24 ฤดูกาล ขอบคุณเซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสันครับ แก้ไขเมื่อ 17 พ.ย. 54 06:51:28 แก้ไขเมื่อ 17 พ.ย. 54 00:47:01 จากคุณ : baevi เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 54 00:10:13

ความคิดเห็นที่ 18 เรื่องราว "ไตรภาค" ของผมขอจบลงเพียงเท่านี้ ขอบคุณนะครับที่ติดตามอ่านกันมา ^^ จากคุณ : baevi เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 54 00:10:53

ความคิดเห็นที่ 19 อ่านสนุกมากครับ ขอเสริมคลิปประตูจาก คคห.ที่ 16 นะครับ จากคุณ : Outcast เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 54 00:16:34

ความคิดเห็นที่ 20 จำได้ว่า ดิออน ดับลิน ยิงนาทีสุดท้ายในชัยชนะนัดแรกของฤดูกาล อีกไม่นานต่อมาหายไปยาวเลย นี่คือจุดเริ่มต้นของปาฏิหาริย์ที่เราเห็นกันบ่อยๆ ต่อมา จากคุณ : Paladin111pan เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 54 01:19:37

ความคิดเห็นที่ 21 ยอดเยี่ยม จากคุณ : +Carbocat+ เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 54 01:40:40

ความคิดเห็นที่ 22 สุดยอดครับ น้ำตาจะไหลเพราะผมก็เริ่มเชียร์ก่อน จขกท. นิดๆ จากคุณ : ปีศาจ ไม่มีเกิบ เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 54 06:00:12

ความคิดเห็นที่ 23 ถ้าจะอ่านเพลินขนาดนี้นะครับ จากคุณ : คนรับใช้ในดินแดนมหัศจรรย์ เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 54 06:25:55

ความคิดเห็นที่ 24 ยอดเยี่ยมครับ  บทความในหน้านี้ จบสมบูรณ์ไปแล้ว และตำนานของยูไนเต็ดจะยังยิ่งใหญ่ต่อไป จากคุณ : Noah_1_of_4lnw เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 54 08:54:35

ความคิดเห็นที่ 25 สุดยอด!! จากคุณ : OrangE_KnighT เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 54 10:26:10

ความคิดเห็นที่ 26 เห็นรูปในสตาร์ซอคเกอร์เล่มเก่าๆที่เคยสะสมไว้เช่นกัน แล้วนึกถึงตอนที่ยังเด็กๆ ต้องขอบคุณจขกท.มาก ที่ทำให้นึกถึงวันเก่าๆเหล่านี้ จากคุณ : redmou เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 54 10:45:40

ความคิดเห็นที่ 27 ยอดเยี่ยมจริง ๆ ครับ ขอบคุณสำหรับกระทู้ดี ๆ แบบนี้ครับผม จากคุณ : red_devil เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 54 11:32:18

ความคิดเห็นที่ 28 ไม่อยากให้ตำนานเรื่องนี้จบลงเลย เราจะเป็นแชมป์ไปเรื่อยๆ จากคุณ : Eye of Sauron เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 54 16:16:54

ความคิดเห็นที่ 29 ฤดูกาลถัดไปนี่แหละครับ  ที่ผมจะเริ่มเชียร์เป็นปีแรก จากคุณ : ขุนไกรครับผม เขียนเมื่อ : 17 พ.ย. 54 20:22:42

ความคิดเห็นที่ 30 ขอบคุณมากครับ อ่านไปตื่นเต้นไป ผมเป็นแฟนรุ่นใหม่ มาได้ยินชื่อทีมๆนี้ตอนอนุบาล3-ป.1ได้ แล้วเป็นคนชอบสีแดง บวกกับได้ยินชื่อนักเตะคนนึงแล้วมันติดหู "โอเลร์ กุนนาร์ โซลชาร์" แล้วก็เลยเริ่มเชียร์มาเรื่อยๆ แต่คงจำปีเป๊ะๆไม่ได้ จากคุณ : Kuuga_Freedom เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 54 14:27:16

ความคิดเห็นที่ 31 ขอบอกว่าเกลียดคันโตน่ามาก ตอนอยู่ ลีด แต่ต่อมาดูชื่อล๊อคอิน จากคุณ : คันโตน่าตาตี่ เขียนเมื่อ : 18 พ.ย. 54 22:16:55