PANTIP.COM : S11430939 อยากทราบรายละเอียดเรื่องการปฏิวัติวงการฟุตบอลเยอรมัน ยุค 2000 ว่าเกิดขึ้นได้อย่างไร [ฟุตบอลต่างประเทศ]

ความคิดเห็นที่ 5

ย้อนระลึกภาพตอนนั้นเลยแฮะ

เหตุการณ์มันเริ่มจากตอนบอลโลก 98 เยอรมันตกรอบแพ้โครแอตเละเทะ 3-0 ในรอบแปดทีม ซึ่งทีมชุดนั้นก็เริมมีเสียงวิจารณ์แล้วว่ายังใช้คนแก่เยอะเกินไป มัทเธอุสสมัยนั้นอายุจะ 38 แต่กลับได้ลงตัวจริง กองหน้ายุคนั้นก็ไม่มีหนุ่มๆเลย แต่ละคนที่มึฝีเท้าระดับชาติก็อายุเข้าเลขสามหมด ไม่ว่าจะคลิ้นซี่ เบียรโฮฟ เคียร์สเท่น มาร์แชล

พอเข้ายูโร 2000 เยอรมันก็เริ่มตื่นตัวเล็กน้อย แต่พอตกรอบแรก ก็มีเสียงวิจารณ์หนัก กระทั่งสมัยนั้น โฟลเลอร์รับหน้าที่เข้ามากู้วิกฤติทีม แล้วดันพาเยอรมันชุดที่ไม่ได้มีสตาร์เด่นอะไรนอกจากบัลลัค คาห์น ชไนเดอร์ เข้ารอบชิงได้ หลายเสียงแค่นว่าเข้าได้เพราะดวงดีที่อิตาลี กับสเปนตกรอบเพราะพิษจากเกาหลีใต้ด้วย

จำได้่ว่าช่วงที่เลเวอร์คูเซ่นกำลังเริ่มผงาดในยุโรป ทำให้ชื่อของท็อปโมลเลอรหอมมาก เลยมีการประชุมและเสนอในสหพันธ์บอลเยอรมันวาจะดันเขามารับตำแหน่งทีมเชฟ แต่เจ้าตัวดันมีเรื่องอื้อฉาวกะยาเสพติด บวกกับแรงต้านจากเฮอเนส ทำให้ยังเป็นโฟลเลอรที่คุมทีมชาติ แต่สุดท้ายฟางเส้นสุดท้ายก็ขาดผึงเมื่อโฟลเลอร์ที่แสดงให้เห็นแล้วว่าเขาไม่เก่งพอจะคุมทีม ไม่อาจพาเยอรมันผ่านรอบแรกยูโร 2004 ได้

และนี่หละคือจุดเปลี่ยนสำคัญ เพราะช่วงก่อนหน้านั้น 2-3 ปี เยอรมันเริ่มมีการรื้อระบบอะคาเดมี่ของสโมสรต่างๆ แต่เป็นแบบค่อยๆ ไม่ได้พรวดพราด และมาตื่นตัวสุดขีดเอาตอนที่ตกรอบยูโร 2004 ทำห้เดเอฟแบเปลี่ยนนโยบายใหม่ ดันคลิ้นซี่ที่ไม่มีประสบการณ์ในการคุมทีมใดๆ แต่เป็นคนหนุ่มที่มีไฟเข้ามาคุมทีม โดยให้เลิฟเป็นผู้ช่วยด้านแท็คติค และที่สำคัญคือ การเข้ามาของคลิ้นซี่ คือการ "โละ" กลุ่มสตาฟและอิทธิเก่าๆในทีมชาติออก ทำให้สิทธิและโอกาสในการเลือกนักเตะหน้าใหม่ๆจากสโมสรกระดับกลางและเล็กๆของเยอรมันเปิดกว้างขึ้น เช่นแต่เดิมตำแหน่งมือโกลทีมชาติ ผูกขาดอยู่กับคาห์น แม้ว่าจะฟอรมดรอปขนาดไหน แต่คลิ้นซี่ไม่ชอบที่อิทธิพลของบาเยิร์นส่งผลถึงทีมชาติ จึงให้โอกาสเลห์มันที่ฟอร์มแรงมากๆในตอนนั้นให้มีโอกาสเป็นมือหนึ่งทีมชาติ ซึ่งการที่คาห์นเสียตำแหน่งนี้ ส่งผลแรงมากทำให้โค้ชประตูอย่างไมเยอร์ ซึ่งควบโค้ชประตูของเสือใต้ที่หนุนคาห์นมาตลอดประกาศลาออก แม้จะดูรุนแรง แต่ในทางกลับกันมันเป็นการสลายขั้วอำนาจเก่าๆในทีมชาติออกไปและยังส่งให้แกนนกอื่นๆที่ไม่มีเอีี่ยวกับเสือใต้อย่างเบียรโฮฟเขามาเป็นสตาฟทีมชาติด้วย

ประกอบกับคลิ้นซี่กล้าเรียกใช้นักเตะดาวรุ่งในยุคนั้นมากขึ้น และพยายามผลักดันให้เลนเน้เกมรุก แผนการเล่นแบบลิเบอโร่ที่เยอรมันใช้มายาวนานหลายทศวรรษ ก็มาจบสิ้นลงใยุคของคลิ้นซี่ เพราะเขาเล็งเห็นว่าแผนการนี้มันล้าสมัย หลายๆชาติแก้ทางได้แล้ว และลิเบอร่พันธ์แท้ที่เล่นได้สมบูรณ์แบบนั้น หมดสิ้นไปแล้วตั้งต่การเลิกเล่นของซามเมอร์ ทำให้คลิ้นซี่ปรับการเล่นเป็นแบบ 4-4-2 ตามที่สโมสรในบุนเดสช่วงนั้นเองก็เริ่มใช้มากขึ้น เมื่อแผนการเล่นถูปรับเปลียนให้เน้นเกมเร็วและนักเตะที่ถูกเลือกก็เข้ากับแผนการท่ถูกปรับมากขึ้น เยอรมันจากที่เคยเล่นเน้นปลอดภัย ในยุคคลิ้นซี่ที่ีมีเลิซึ่งก็ชอบเกมรุกอยู่แล้ว ช่วยเสริม ทำให้เริ่มเล่นได้มีสีสันขึ้นมาก

และสุดท้าย เมื่อคลิ้นซ๊่ลาออกไป เลิฟที่รับไม้ต่อนั้นก็รู้จักทุกอย่างของทีมชาติรุ่นใหม่นี้หมดแล้ว เพราะเขาร่วมสร้างมากับมือ บวกกับดาวรุ่งที่ถูกเพาะสร้างมาในช่วงต้นปี 2000 เริ่มสุกงอมพอดีในช่วงนั้นหลายคนพร้อมๆกัน และบรรดาทีมในบุนเดสเริ่มเน้นนโยบายดันดาวรุ่งเพื่อให้สอดคล้องกับทีมชาติ จากแต่เดิมจะเน้นซื้อตัวราคาถูกจากชาติเล้กๆในยุโรป แอฟริกา และละติน ก็หันมาใช้นักเตะท้องถิ่นมากขึ้น เมื่อทุกอย่างพอเหมาะ ก็ระเบิดเอาพอดี เกิดเป็นทีมชาติเยอรมันชุดปี 2010 ที่เล่นเกมรุกได้สนุกสะใจเอามากๆ และต่อยอดมาถึงตอนนี้

แต่กว่าจะเกิดเรื่องนี้ ก็ไม่ง่าย เพราะพวกเยอรมันก็เป็นหัวเก่ามากพอควร กว่าจะเรียนรู้และยอมรับ เพื่อเปลี่ยนแปลงนั้น ช่วงต้นถึงกลางยุค 2000 เป็นอะไรที่วงการบอลเยอรมันสร้างความขายหน้าให้ตัวเองไม่น้อยจากการที่บรรดาคนดังๆในวงการออกมาสาดโคลนกันเอง เช่น มัทเธอุส เฮอเนส พวกนี้ตัวดีเลย

จากคุณ : eagle1000

เขียนเมื่อ : 8 ธ.ค. 54 04:31:01