ความคิดเห็นที่ 1 Raphael Honigstein นักข่าวฟุตบอลเยอรมันชาวบาวาเรีย ของ เดอะ การ์เดียน ได้เล่าให้เราฟังดังนี้ ในปี 1997 วงการฟุตบอลเยอรมันอยู่บนจุดสูงสุดของโลก ดอร์ทมุนด์ และชาลเก้ ได้คว้าแชมป์เปี้ยนลีก และยูฟ่าคัพตามลำดับ และทีมชาติเยอรมันของแบร์ตี้ โฟลค์ คว้าแชมป์ยุโรปปี 1996 หลังจากชนะเช็กได้ ตามทิศทางที่เป็นอยู่นี้มีความผิดปกติอยู่ และไม่มีใครคาดคิดว่าจะเกิดขึ้น เยอรมันขาดแคลนผู้เล่นที่เหมาะสม การแจ้งเกิดของผู้เล่นที่ผ่านระบบฝึกสอนของ GDR ได้สร้าง “ทีมชาติเยอรมันที่ไร้เทียมทาน” (หมายถึงยุคฟราน เบ็คเค่นบราวเออร์) ได้หมดสิ้นไปพร้อมกับการกำเนิดของโรงเรียนกีฬาเฉพาะทางที่ซึ่งให้การฝึกสอนแก่เด็กทุกรุ่น ในบุนเดสลีกาสโมสรที่ร่ำรวยจากค่าลิขสิทธิ์การถ่ายทอดสดได้ใช้เงินในการซื้อผู้เล่นต่างชาติมากขึ้นเรื่อยๆ จากจำนวน 17% ตอนปี 1992 เป็น 34%  เมื่อถึงปี 1997 ในช่วง 5 ปีผ่านมา จากคุณ : สารานุกรมกัลโช่ เขียนเมื่อ : 12 ธ.ค. 54 07:47:17

ความคิดเห็นที่ 2 นับเป็นความสิ้นหวังในตำแหน่งกองหน้าที่ผู้จัดการทีมชาติแบร์ตี้ โฟลก์  ได้ตั้งใจจะให้ “ณอน ดันดี”ของไกเซอร์ฯ ผู้ที่เกิดในแอฟริกาใต้  และไม่มีความเกี่ยวข้องกับเยอรมันเลย แต่ได้รับสัญชาติเยอรมันในเดือนมกราคม 1997 ถึงกระนั้นดันดีได้รับบาดเจ็บก่อนที่เขาจะได้ลงอุ่นเครื่องให้เยอรมันนัดเจอไอซ์แลนด์ และเขาก็กลับมาเล่นในฟอร์มที่ดีไม่ได้อีก ต่อมาเอริค ริคเบ็คผู้รับตำแหน่งต่อจากโฟลค์  ได้เรียก “เปาโล ริงค์” กองหน้าสัญชาติสัญชาติบราซิลของเลเวอร์คูเซ่นติดทีมชาติเยอรมัน  ริงค์มีปู่เป็นชาวเยอรมัน  เขาติดทีมชาติ 13 นัด ในปี 1998-2000   ในกรณีของริงค์และดันดีเป็นเรื่องที่ไม่มีใครคาดคิดของวงการฟุตบอลเยอรมันหลังจากจบสงครามโลก  นี้คือสิ่งที่พิสูจน์ให้เห็นว่ามีความผิดพลาดมากๆเกิดขึ้น  ความผิดหวังในฟุตบอลโลกรอบ 8 ทีมสุดท้ายที่แพ้โครเอเชียได้พิสูจน์ให้เห็นว่า เราไม่มีผู้เล่นที่มีพรสวรรค์เพียงพอ  และจำนวนผู้เล่นต่างชาติได้เพิ่มสูงขึ้นเรื่อยๆจนถึง 50% ในปี 2000 จากคุณ : สารานุกรมกัลโช่ เขียนเมื่อ : 12 ธ.ค. 54 07:50:27

ความคิดเห็นที่ 3 สมาคมฟุตบอลเยอรมันได้ตระหนักว่าพวกเขาต้องทำอะไรซักอย่าง  พวกเขาหันไปมองวงการฟุตบอลฝรั่งเศส  และตัดสินใจจะเอามาเป็นแบบอย่าง พฤษภาคม 1999 ประธานเดเอฟเบ เบ็คเค่นบาวเออร์, ผู้จัดการทีมชาติชุดใหญ่ ริคเบ็ค, ผู้จัดการทั่วไปเลเวอร์คูเซ่น ไรเนอร์ คาลมุมด์ และผู้อำนวยการฝ่ายพัฒนาเยาวชน  Dietrich Weise ได้เสนอรูปแบบพัฒนาเยาวชนแบบใหม่ดังนี้ สมาคมฟุตบอลเยอรมันจะสร้างศูนย์ฝึกฟุตบอลแห่งชาติ 121 แห่งทั่วประเทศสำหรับเยาวชน 10-17 ปี  โดยเน้นเรื่องความสามารถเฉพาะตัวด้วยผู้ฝึกสอนมืออาชีพ  โดยมีค่าใช้จ่าย 15.6 ล้านเหรียญยูเอสตลอด 5 ปี ในขณะเดียวกันได้บังคับให้สโมสรฟุตบอลอาชีพในบุนเดสลีกา และบุนเดสลีกา 2 สร้างศูนย์ฝึกเยาวชนร่วมกับสมาคมฟุตบอลเยอรมัน “ถ้าทำสำเร็จอีกไม่กี่ปีเราจะได้เห็นดาวรุ่งมากมายขึ้นมาเล่นในบุนเดสลีกา” Weise กล่าว สิ่งสำคัญมากที่สุดคือ เดเอฟเบ ได้ให้อิสระในด้านเชื้อชาตินักเตะที่จะมาเล่นให้ทีมชาติเยอรมัน  โดยผู้ที่อพยพมาอาศัยอยู่ในเยอรมันสามารถเล่นให้ทีมชาติเยอรมันได้ ในเดือนกรกฎาคม 2000 เมื่อเยอรมันได้สิทธิเป็นเจ้าภาพฟุตบอลโลก 2006 สโมสรและสมาคมได้เพิ่มความพยายามที่จะร่วมมือกันลงทุนในระบบเยาวชน จากคุณ : สารานุกรมกัลโช่ เขียนเมื่อ : 12 ธ.ค. 54 07:51:56

ความคิดเห็นที่ 4 ระหว่างที่แบบแผนกำลังถูกร่างขึ้นมา  ปัญหาเยอรมันขาดแคลนนักเตะพรสวรรค์สูงได้เด่นชัดยิ่งขึ้น   ฤดูกาล 2002-2003  จำนวนนักเตะต่างชาติเพิ่มขั้นเป็น 60%  แต่จากการล้มละลายของเศรฐกิจเยอรมันได้ส่งผลให้มีการทบทวนความคิดอีกครั้ง กล่ม Kirch TV ซึ่งเป็นแหล่งเงินทุนของทีมในบุนเดสลีกาได้ล้มสลายในปี 2002 ทำให้หลายสโมสรประสบปัญหาทางการเงิน ปัญหาหนักขึ้นเรื่อยๆ ทีมต่างๆไม่สามารถจ่ายค่าเหนื่อยนักเตะต่างชาติได้ วิธีแก้ปัญหาที่ง่ายที่สุด คือ ปล่อยผู้เล่นต่างชาติออกไป และใช้นักเตะดาวรุ่งแทน ฤดูกาล 2003-2004 เฟลิกซ์ มากัธเป็นผู้บุกเบิกการใช้ผู้เล่นเป็นเด็กท้องถิ่น  โดยพวกเขาล้มแมนเชสเตอร์ยูไนเต็ดในแชมเปี้ยนลีกได้ด้วย Timo Hildebrandt, Kevin Kuranyi และ Andreas Hinkel. “พวกเด็กเหล่านั้นได้ประโยชน์จากการล้มละลายของ กลุ่ม Kirch “ โธมัส อัลเบ็ค หัวหน้าฝ่ายทีมเยาวชนสตุ๊ดการ์ทได้เล่าให้ฟัง  “สโมสรไม่สามารถซื้อผู้เล่นมาเพิ่มได้ 18 เดือนนับจากฤดูกาล 2001-2002 และนั้นก็เป็นโอกาสของ Hildebrandt,  Kuranyi และ  Hinkel ทันที” “2 ปีต่อมมาเราไปเล่นแชมเปี้ยนลีกด้วยพวกเขา คุณดูดอร์ทมุนด์ กับ แฮร์ธาซิ  พวกเขาทั้งคู่มีปัญหาทางด้านการเงิน จนต้องใช้ผู้เล่นเยาวชนของตัวเอง  สุดท้ายมันก็เป็นผลดีกับพวกเขา และสโมสรอื่นๆก็รู้สึกตัวว่ามันคุมค่ามากที่จะลงทุนในกลุ่มผู้เล่นเยาวชน” จากคุณ : สารานุกรมกัลโช่ เขียนเมื่อ : 12 ธ.ค. 54 07:53:10

ความคิดเห็นที่ 5 บุนเดสลีกาพบว่าการให้ความสำคัญกับทีมเยาวชนไม่เพียงมีผลดีต่อบัญชีของพวกเขา  แต่ยังได้สร้างภาพลักษณ์ที่ดีด้วย  แฟนบอลหลั่งไหลเข้าไปในสนามเพื่อดูผู้เล่นที่เป็นคนบ้านเดียวกันกับพวกเขา” ณ เวลานั้น ทีมสตุ๊ดการ์ทที่มีกลุ่มดาวรุ่งที่ยอดเยี่ยมได้สร้างปรากฏการณ์ในเยอรมัน และยุโรป  โดยที่ทีมชาติได้มีการเปลี่ยนแปลงครั้งใหญ่  หลังจากความผิดหวังในยูโร 2004 ที่เยอรมันตกรอบแบ่งกลุ่มเป็นครั้งที่สองติดต่อกัน ผู้จัดการทีมรูดี้ โฟลเลอร์ลาออก เจอร์เก็น คลินส์มันน์มารับหน้าที่แทนด้วยความคิด “ปฏิรูปใหม่หมด” เขานำวิทยาศาสตร์การกีฬามาใช้สร้างความฟิตแก่นักเตะ และล้มแท็กติกการเล่นแบบดังเดิมของทีมชาติ  ภายใต้การคุมทีมของโฟร์เลอร์  และริคเบ็ค พวกเขาขาดแคลนผู้เล่นสร้างสรรค์เกมที่จะสร้างแรกผลักดันไปข้างหน้า  และฝากความหวังไว้กับกองกลางอย่างมิชาเอล บัคลัค และผู้รักษาประตู โอลิเวอร์ คาห์น จากคุณ : สารานุกรมกัลโช่ เขียนเมื่อ : 12 ธ.ค. 54 07:54:08

ความคิดเห็นที่ 6 คลินส์มันน์มีความคิดที่ต่างออกไป   เขาต้องการให้เยอรมันเล่นแบบแผนการเล่นรูปแบบที่ทีมในพรีเมียร์ลีกใช้คือ 4-4-2 ซึ่งระบบนี้จะเน้นโจมตีจากด้านข้าง  มีฟูลแบ็กคอยเติมเกมรุก  และมีกองกลางคอยโฮลบอลหนึ่งคนอยู่หลังกองกลางบ็อก-ทู-บ็อกมือใหม่ที่ชื่อ บัลลัค  คู่แข่งจะถูกกดดันและคุกคามด้วยการเล่นเป็นทีม ถึงแม้ผู้คนจะคิดว่าเป็นเรื่องเพ้อฝัน  แต่แค่ปรับเปลี่ยนเล็กน้อยก็ได้ผลแล้ว บัลลัคผู้ไม่เห็นแก่ตัวยอมถอยลงต่ำคู่กับทอร์สเท็น ฟริงค์ เพื่อเล่นเกมรับมากขึ้นก่อนบอลโลก 2006 จะเริ่ม โยอาคิม เลิฟ ผู้ช่วยของเขารับหน้าที่ต่อในยูโร 2008 เลิฟต้องเปลี่ยนความคิดในแผนการเล่นเมื่อ่แพ้โครเอเซีย 1-2 ในยูโร 2008 4-4-2 ของเขามีปัญหาเมื่อเจอกับ Deep lying playmaker หรือทีมที่มีหน้าต่ำที่เล่นอยู่ในช่องว่างระหว่างกองกลางกับกองหลังหรือกองหน้ากับกองกลาง และการถูกเล่นงานจากการถูกอ่านเกมออก ผู้เล่นด้านกว้าง 2 คน ถูกสกัดทำให้ส่งบอลไปข้างหน้าไม่ได้ และยังถูกลดโอกาสในการยิงไกล เลิฟปรับแผนการเล่นเป็น 4-2-3-1 ให้บัลลัคสนับสนุนอยู่ข้างหลังโคลเซ่  จนสามารถผ่านไปรอบชิงได้ ในปีต่อมาโอซิลจากเบรเมนก็แจ้งเกิดกับตำแหน่งนี้ที่วัย 21 ปีในเกมอุ่นเครื่องกับแอฟริกาใต้  โดยเขาเพิ่มมิติการเล่นให้กับทีม  เลิฟยังได้ประโยชน์จากหลุยส์ ฟาล กัล ในการที่เปลี่ยนให้บาเยิร์นเน้นการครองบอล  โดยถอยบาสเตียน ชไวนสไตรเกอร์ไปเป็นตัวโฮลบอล  และดันให้โธมัส มุลเลอร์แจ้งเกิดในฐานะนักเตะเกมรุกที่ครบเครื่อง จากคุณ : สารานุกรมกัลโช่ เขียนเมื่อ : 12 ธ.ค. 54 07:54:41

ความคิดเห็นที่ 7 นี้ไม่ใช้เรื่องบังเอิญที่ผู้เล่นเยอรมันจะมีค่าเฉลี่ยอายุน้อยที่สุดตั้งแต่ปี 1934 เลิฟเป็นโค้ชที่มีผู้เล่นเยาวชนให้เลือกมากที่สุดในรอบ 20 ปี  การเปลี่ยนแปลงครั้งนี้เกิดจากความเจ็บปวดเมื่อ 10 ปีก่อน ใน 2 ปีล่าสุด เยอรมันประสบความสำเร็จในการคว้าแชมป์ยุโรปรุ่นอายุตำกว่า 17 ปี, 19 ปี และ 21 ปี “เราไม่ต้องสงสัยเลยกว่าเรามีผู้เล่นที่มีพรสวรรค์มากกว่า 10 ปีก่อน” อัลเบ็คกล่าวไว้ เขาเป็นผู้จัดหางบประมาณ 5 ล้านเหรียญยูเอสต่อปีในการสร้างเยาวชน ฤดูกาลก่อน 36 ทีมในบุนเดสลีกาใช้เงิน 100 ล้านเหรียญยูเอส  เพื่อพัฒนาเยาวชนและได้ผลตอบแทนมากที่สุดเมื่อเทียบกับลีกอื่นๆ ปรัชญาในฟุตบอลของเยอรมันเปลี่ยนไป  โค้ชทีมเยาวชนสมัยก่อนเน้นความอึดและความอดทน  แต่โค้ชที่ได้สร้างขึ้นมาในยุคนี้เน้นเทคนิคความสามารถของผู้เล่น” “เราเริ่มจากชุดอายุต่ำว่า 9 ขวบ  ให้พวกเขาแบ่งเป็น 4ทีม  เล่นกันบนสนามเล็กเพื่อส่งเสริมเทคนิคเฉพาะตัว” อัลเบ็คกล่าว  “เราเพิ่มผู้เล่นขึ้นทุกปี  และเมื่อถึงชุดอายุ 13 ปี เราถึงจะให้เล่นแบบครบ 11 คน” นวัตกรรมที่เน้นรากฐานผสมผสานกับสภาพเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งและความคิดที่จะเสียสละของผู้ที่อยู่บนสุด(ทั้งสโมสรและสมาคม)ได้ทำให้วงการฟุตบอลเยอรมันมองไปยังอนาคตที่สดใส  ผลลัพธ์ที่ไม่คาดคิดกับอาร์เจนติน่า เมื่อ10 ปีก่อนมีการถกเถียงกันถึงการจะกลับไปเหมือนอดีต  ที่ชาวเยอรมันคิดว่าไม่มีวันหวนกลับ  แต่ตอนนี้พวกเขากลับมาที่เดิมแล้ว แก้ไขเมื่อ 12 ธ.ค. 54 08:00:07 จากคุณ : สารานุกรมกัลโช่ เขียนเมื่อ : 12 ธ.ค. 54 07:55:30

ความคิดเห็นที่ 8 เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยจากบทความเจมี่ แจ็คสัน นักข่าวของ เดอะ การ์เดียนอีกคน ตรงส่วนนี้ขออนุญาตแปลแค่บางส่วน เพราะเนื้อหาหลักเป็นการวิจารณ์การทำงานของพรีเมียร์ลีกและสโมสรในอังกฤษ บุนเดสลีกาไม่อนุญาตให้ผู้ใดถือหุ้นในสโมสรเกิน 49% เพราะฉะนั้นสโมสรในบุนเดสลีกาจึงถูกเทคโอเวอร์ไม่ได้ ผู้เล่น 23 คนของเยอรมันในฟุตบอลโลก 2010 มาจากสถาบันฝึกสอนของทีมในบุนเดสลีกา 19 คน และอีก 4 คน มาจากสถาบันฝึกสอนของทีมในบุนเดสลีกา 2 ค่าใช้จ่ายในการดำเนินงานสถาบันฝึกสอนฟุตบอลของเยอรมันเป็นเงิน 80 ล้านยูโร จากเงินหมุนเวียน 200  ยูโรล้านในบุนเดสลีกา  โดยนำเด็กอายุ 12 ปี จำนวน 5,000 คน เข้าสู่ระบบพร้อมกันในครั้งเดียว ส่วนในอังกฤษใช้เงินมากกว่าที่ 95 ล้านยูโรต่อฤดูกาล  โดยนำเด็ก 10,000 คนในช่วงอายุ 9-16 ปี ผ่านระบบประเมินของ “โฮเวิร์ด วิลกินสัน” ที่ออกแบบไว้ในปี 1997 ซึ่งมีเพียงแค่ 1% จากเด็ก 9 ขวบทั้งหมดที่เข้าสู่สถาบันฝึกสอนที่ได้เป็นนักเตะอาชีพ จากคุณ : สารานุกรมกัลโช่ เขียนเมื่อ : 12 ธ.ค. 54 07:56:52

ความคิดเห็นที่ 9 จบแค่นี้ ขอให้อ่านแล้วคิดตามไปด้วยนะครับ   ความสำเร็จของทีมชาติไม่ได้สร้างได้ภายในหนึ่งปี   และก็ไม่ได้สร้างได้ด้วยเพียงองค์กรองค์กรเดียวทุกส่วนต้องช่วยกันนะครับ แฟนบอลเยอรมันเพิ่มเติมได้นะครับ จากคุณ : สารานุกรมกัลโช่ เขียนเมื่อ : 12 ธ.ค. 54 07:57:50

ความคิดเห็นที่ 10 เห็นด้วยจริงๆ ครับ ... ใกล้เข้าสู่คำว่า แชมป์ แล้วครับ จากคุณ : idseiya เขียนเมื่อ : 12 ธ.ค. 54 08:25:12

ความคิดเห็นที่ 11 รากฐานระบบเยาวชนของเยอรมันนี่สุดยอดจริง ๆอ่ะครับ ยอมรับคนที่วางแผนเลย อังกฤษน่าจะเอาอย่างบ้าง ตอนช่วง ยูโร 2000 ที่ตกรอบแรก(พร้อมอังกฤษ) ทีมมีแต่นักเตะแก่ ๆ ตัวเลือกดี ๆในทีมชาติก็น้อย แบบตอนนั้นนี่เยอรมันเน่าสุด ๆ ตอนนั้นทีมชาติมีดาวรุ่งคนเดียวจริง ๆ เลย คือ เซบาสเตียน ไดส์เลอร์ นอกนั้นคลาสไม่ถึงซักคน ลองดูตอนนี้ แย่งกันขึ้นมาให้พรึ่บเลย แถมแต่ละคนเจ๋ง ๆ ทั้งนั้น จากคุณ : โหม่งเห็ด เขียนเมื่อ : 12 ธ.ค. 54 08:39:00

ความคิดเห็นที่ 12 เยี่ยมครับ มองการไกลจริงๆ เหลือแค่ทำยังไงให้ลีก ดึงดูดผู้ชมมากกว่านี้หรือเปล่า? จากคุณ : เขยสันป่าตอง เขียนเมื่อ : 12 ธ.ค. 54 08:45:42

ความคิดเห็นที่ 13 ...คห. 12 ถ้าดูถ่ายทอดสดบ่อย ๆ ทุกสนามนี่คนเต็มความจุ ทุกนัดนะครับ เรื่องดึงดูดผู้คน ผมว่า ลีกเยอรมัน ค่าเฉลี่ยในสนามดีกว่าหลายลีคเลย แต่ถ้าพูดถึงนอกประเทศ ในบ้านเราอาจสู้ฟรีเมียร์ลีกไม่ได้ แต่ผมคนหนึ่งที่ตามดูดอร์ทมุนตลอด ชอบทีมพลังหนุ่ม จากคุณ : แสบสันต์ หมายเลข 8 เขียนเมื่อ : 12 ธ.ค. 54 09:27:32

ความคิดเห็นที่ 14 #12 คนเยอรมันไม่เคยสนใจเรื่องการตลาดแบบชั่วข้ามคืนครับ สิ่งที่คนเยอรมันทำคือ การเอาชนะด้วยคุณภาพที่ดีที่สุด ทำให้อะไรก็ตามที่มาจากเยอรมัน หมายถึงงานที่มีมาตรฐานระดับโลก ถึงสเปนจะเป็นแชมป์โลกและแชมป์ยุโรป แต่พอมองลงรายละเอียด จะเห็นว่า ทีมชาติสเปนทั้งทีม มีแกนหลักแค่ บาร์ซา กับมาดริด เทียบกับเยอรมันที่ประกอบด้วยนักเตะหลากหลายสโมสรมากกว่า และดาวเด่นไม่ได้กระจุกอยู่แค่ทีมสองทีม ผมเชื่อว่านี่แหละมาตรฐาน ที่ประเทศอื่นเลียนแบบได้ยากครับ ไอ้เรื่องการตลาดแบบ ขายของได้เยอะๆ แห่มาดูกันเยอะๆ ไม่ใช่เรื่องที่คนเยอรมันสนใจอยู่แล้ว เพราะทุกวันนี้ ค่าเฉลี่ยคนดูในสนามฟุตบอล ลีกเยอรมันคือลีกอันดับหนึ่งของโลก จากคุณ : Ace striker เขียนเมื่อ : 12 ธ.ค. 54 09:28:04

ความคิดเห็นที่ 15 ผมว่า #12 อาจหมายถึงตลาดต่างประเทศนะ เพราะตอนนี้คนดูบุนเดสลีก้าน้อยอยู่ เอาแค่ true ยังถ่ายแค่ไม่ดี่นัดเอง แต่ในสนามเนี่ยเต็มทึกนัดอยู่แล้วครับ จากคุณ : เขียนบน iPhone (ความจำสั้นสันหลังยาว) เขียนเมื่อ : 12 ธ.ค. 54 09:45:23

ความคิดเห็นที่ 16 "นวัตกรรมที่เน้นรากฐานผสมผสานกับสภาพเศรษฐกิจที่แข็งแกร่งและความคิดที่จะเสียสละของผู้ที่อยู่บนสุด(ทั้งสโมสรและสมาคม)"  เห็นประโยคนี้แล้ว จี๊ด.........หันกลับมามองชาติตัวเองยังอีกนานเลยถ้าระดับบนไม่เสียสละบ้าง จากคุณ : BoysBee 2nd Season เขียนเมื่อ : 12 ธ.ค. 54 09:58:14

ความคิดเห็นที่ 17 เป็นบทความที่ดีมากๆครับ ไม่ว่าชาติไหนก็ควรเอาเป็นแบบอย่าง จะมีวันไหนที่ไทยจะเป็นแบบนี้กับเค้าบ้างมั้ยน้อ จากคุณ : เขียนบน iPhone (PanywT) เขียนเมื่อ : 12 ธ.ค. 54 11:51:48

ความคิดเห็นที่ 18 ที่เยอรมันมีวันนี้ได้  ต้องยอมรับว่า  อานิกร  มีส่วนอย่างมาก เพราะอานิกร  เป็นแกนนำในการปั้นนักเตะท้องถิ่น  อย่าง อันเดรียส ฮิงเคล  ติโม ฮิลเดบรัน ปล..จากรูป #4  หน้าเหมือนฮะ จากคุณ : ชาวบางนา เขียนเมื่อ : 12 ธ.ค. 54 12:24:15

ความคิดเห็นที่ 19 เข้ามาให้กีบค่ะ ชื่นชมเยอรมันตรงที่ทำทุกอย่างเป็นระบบ มีระเบียบ และทุกฝ่ายร่วมมือกันอย่างจริงจังนี่ล่ะค่ะ เค้าล้มแล้วไม่มามัวหาคนผิด แต่เค้าแก้ไขด้วยความมุ่งมั่นและอดทน เมื่อไรคนบ้านเราจะได้อย่างนี้บ้างน้ออออ จากคุณ : takiendeutsch เขียนเมื่อ : 12 ธ.ค. 54 12:43:49

ความคิดเห็นที่ 20 ลีกเยอรมันน่าดูมากนะครับ บรรยากาศสนามสุดยอด ยิงไกลกันกระจาย ถ้าอยากให้คนนอกประเทศหันมาดูลีกเยอรมันมากขึ้น ก็ต้องประสบความสำเร็จในบอลยุโรป จากคุณ : ต้อมติ้ว เขียนเมื่อ : 12 ธ.ค. 54 13:01:58

ความคิดเห็นที่ 21 เคยทำงานร่วมกับคนเยอรมัน พบว่าเป็นคนนิสัยน่ารักและจริงใจ ในขณะเดียวกันเมื่อทำงานก็ตั้งใจและเนี๊ยบมาก โดยทุกครั้งเป้าหมายของเขาคือ ต้องดีที่สุด เล่นเอาคนไทยที่ทำงานด้วยเหนื่อยไปตามๆกันเพราะคุ้นเคยแต่คำว่าค่อยๆไป เดี๋ยวก้ได้ จากคุณ : numbar เขียนเมื่อ : 12 ธ.ค. 54 13:32:03

ความคิดเห็นที่ 22 ในช่วงท้ายของแบร์ตี้ โฟกส์ แกยึดมั่นกับทีมชุดเดิมมากเกินไป ส่วนหนึ่งน่าจะเป็นเพราะกดดันทำทีมมานานแต่ยังไม่ได้แชมป์รายการใหญ่ เลยเข็นแต่นักเตะชุดเดิมๆๆๆ ลงอยู่อย่างนั้น เมื่อสมหวังจากยูโร 1996 ก็กลายเป็นแกนของทีมก็เป็นนักเตะหน้าเดิมจากเบคเค่นบราวน์ สุดท้ายก็ปั่น นักเตะใหม่ตามไม่ทัน เยอรมันยุค ริบเบ็ค จึงถือเป็นยุคตกต่ำเป็นอย่างมาก จำได้ว่าตอนพ่ายโครเอเชีย 3 -0 ใหม่ๆ (ฟุตบอลโลก) เริ่มมีกระแสตื่นตัวเรื่องการปั้นดาวรุ่ง แต่ที่มีการดำเนินการอย่างจริงจังถ้าจำไม่ผิด น่าจะเป็นตอนที่ตกรอบแรกยูโรนี่แหละ ตอนนั้นผมตามข่าวเรื่องนี้อยู่ พอรู้ว่าเดเอฟเบ เอาโมเดลฝรั่งเศสมาใช้ บวกกับรู้ถึงการทำงานอย่างจริงจังของเยอรมัน ในตอนนั้นยอมรับว่าตั้งความหวังไว้ว่าอนาคตจะได้เห็นเยอรมันกลับมายิ่งใหญ่ได้แน่ แต่ไม่คิดว่ามันจะผลิตดอกออกผลเร็วขนาดนี้ แปลกใจอยู่อย่างที่ฝรั่งเศสเป็นต้นแบบในการพัฒนาเยาวชนให้เยอรมัน แต่สุดท้ายฝรั่งเศสเองก็เดินแนวทางเดียวกับเยอรมันในอดีต คือยึดติดกับทีมชุดซีดาน พอหมดยุคซีดาน ก็หาทีมชุดใหม่ที่มีศักยภาพมา ทดแทนชุดเดิมไม่ทัน เหมือนที่เห็นอยู่อย่างในตอนนี้ แก้ไขเมื่อ 12 ธ.ค. 54 13:41:27 จากคุณ : เวลาในขวดเหล้า เขียนเมื่อ : 12 ธ.ค. 54 13:37:09

ความคิดเห็นที่ 23 ตอนดึงเปาโร ริงก์ร่วมทีม ตอนนั้นยังตะลึงไม่น้อย แต่แอบคิดบวกในใจว่า เปาโร ริงก์กับริบเบ็คเคยร่วมงานกัน ในเลเวอร์คูเซ่น อาจเห็นแวว หรืออาจเห็นคุณสมบัติที่เหมาะสมของริงก์ ที่เยอรมันขาดแคลน  อีกอย่างผลงานในลีคของริงก์ช่วงนั้นก็พอใช้ได้ ไม่ถึงกับดี แต่ก็ไม่แย่ (แต่ทำไม่ไม่เรียกมาร์ติน มักซ์ มาติดทีมก้ไม่รู้) แต่พอเล่นทีมชาติเท่านั้นแหละ ริงก์แย่ยิ่งกว่ากองหน้าเยอรมันที่มีในตอนนั้นเสียอีก จากคุณ : เวลาในขวดเหล้า เขียนเมื่อ : 12 ธ.ค. 54 13:39:50

ความคิดเห็นที่ 24 ทีมชาติแถวๆนี้ ควรนำไปเป็นแบบอย่าง โดยเริ่มจากเปลี่ยนผู้บริหารเป็นอันดับแรก จากคุณ : Eye of Sauron เขียนเมื่อ : 12 ธ.ค. 54 13:50:52

ความคิดเห็นที่ 25 ตามสถิติล่าสุด ทีมดอร์ทมุนด์มีคนดูมากที่สุดในโลก นัดละกว่าแปดหมื่นกว่าคน เบียดบาซ่าลงไปอยู่อันดับสอง จากคุณ : บอนเนอร์ เขียนเมื่อ : 12 ธ.ค. 54 14:16:24

ความคิดเห็นที่ 26 โหวตให้ทันที กระทู้ดีมีสาระ จะว่าไปเห็นนอยเออร์ทุกวันนี้ก็อดคิดถึงโอลิเวอร์ คาห์น เมื่อ10ปีที่แล้วไม่ได้ ถ้าน้อยพัฒนาฝีมือเรื่อยๆมีสิทธิ์เทียบชั้น คาห์น ได้แน่นอน จากคุณ : ชื่อผมอยู่ไหน เขียนเมื่อ : 12 ธ.ค. 54 14:49:27

ความคิดเห็นที่ 27 ขอบคุณสำหรับเทียบเชิญของ จขกท.นะคับ เป็นแฟนอินทรีเหล็กติดตามกันมาตั้งแต่ เริ่มสนใจฟุตบอลต่างประเทศ(ปี 84)  และนักฟุตบอลที่เป็นไอดอลจะเป็นใครไปไม่ได้ นอกจาก รุมเมนิกเก้ "ไอ้หนูแก้มแดง" ปธ.เสือใต้ตอนนี้นี่เอง ถึงเวลาเตะบอลกับ เพื่อนๆทีไร ต้องคิดว่าตัวเองสวมบทของ รุมเมนิกเก้ ทุกที ในมุมมองผม เยอรมันเริ่มส่อแววจะตกต่ำน่าจะช่วงบอลโลก 94 นะ เพราะช่วงนั้น ไม่มีดาวรุ่งพุ่งขึ้นมาเลย ทั้งที่การรวมประเทศน่าจะเป็นผลดีเพราะทางฝั่งตะวันออก ก็มีทรัพยากรดีๆ อย่าง ซามเมอร์,โธมัส โดล,อูลฟ์ เคลียสเท่น แต่โฟกส์ก็ไม่เคย ให้โอกาสแบบเต็มที่ มีเพียงซามเมอร์เท่านั้นที่ไปได้ไกล พอช่วงที่ได้แชมป์ยูโร 96 ผมมองว่ามันคือจุดเริ่มหายนะครั้งยิ่งใหญ่เพราะทำให้โฟกส์ได้ทำงานต่อ แถมแกยัง ยึดมั่นกับนักเตะเก่าๆโดยไม่ยอมถ่ายเลือด จนโดนถีบตกรอบ 8 ทีม และพอDFB เลือกเอริค ริบเบ็ค มากุมบังเหียนทีมแทนโฟกส์ แม่เจ้ามันเลวร้ายลงไปอีก ช่วงนั้น ผมลุ้นท่านนายพล ฮิตท์เฟลด์ แต่ก็ไม่เป็นดังหวัง เดี๋ยวมาต่อคับ จากคุณ : King Kalle เขียนเมื่อ : 12 ธ.ค. 54 15:17:41

ความคิดเห็นที่ 28 นายกสมาคมฟุตบอลประเทศแถวๆนี้ น่าจะยกโขยงสมาชิค 123 คนของท่านไปศึกษาการวางรากฐานเยาวชนของ DFB นะ เผื่อว่ากลับมาจะได้มี " จิตสำนึก " แล้วเกิดความอับอายใจ ลาออกไปบวชกันทั้งคณะ โทษฐานที่ " ทำตรงข้าม " กับเค้าทุกรูปแบบของการพัฒนา !!!                                                                                                                  > Shine on you crazy diamond < จากคุณ : Romancini เขียนเมื่อ : 12 ธ.ค. 54 15:27:26

ความคิดเห็นที่ 29 การบริหารจัดการล้วนๆเลย ระบบของเยอรมัน มองดูบ้านเราแล้ว............ ไปดูงานต่างประเทศ สงสัยว่าไปดูอะไรกันมา ได้อะไรติดสมองกลับมามั่งไหมเนี่ย จากคุณ : buddybulldog เขียนเมื่อ : 12 ธ.ค. 54 15:45:33

ความคิดเห็นที่ 30 ^ ^ บ้านเราคำว่า ดูงาน ความหมายเดียวกันกับ ไปเที่ยว จากคุณ : บ่ซ้ำแล้วเน้อ เขียนเมื่อ : 12 ธ.ค. 54 16:33:54

ความคิดเห็นที่ 31 ขอแก้ คคห 25 ทีมดอร์ทมุนมีคนดูมากที่สุดในโลกนั้นผิด ที่ถูกต้องคือในยุโรป ขออภัยที่พิมพ์ผิด จากคุณ : บอนเนอร์ เขียนเมื่อ : 12 ธ.ค. 54 17:25:38

ความคิดเห็นที่ 32 อ่านแล้วปลงกับวิสั้นของนายกบอลแถวๆ นี้ จะไปบอลโลก ไม่ใช่แค่เปลี่ยนโค้ช กับ อัดฉีด นะคร้าบ จากคุณ : nisas เขียนเมื่อ : 12 ธ.ค. 54 19:43:13

ความคิดเห็นที่ 33 หวังว่าจะล้มกระทิงได้ที่บราซิล จากคุณ : พรายพลาย เขียนเมื่อ : 12 ธ.ค. 54 20:36:11

ความคิดเห็นที่ 35 วิถี ของชนชาติที่เจริญ คือ ชาตินิยม ครับ ยิ่งคนเยอรมัน เป็นคน มีวินัย เคร่งครัด ระเบียบ เวลาที่มุ่งเน้นการพัฒนาสิ่งใดสิ่งหนึ่ง เขาจะร่วมกันทำอย่างจริงจัง เขาไม่ได้มองถึงผลประโยชน์ เขามองถึงลูกหลานเขาที่จะได้เล่นฟุตบอล ที่สำคัญ พวกเขาคิดแล้วทำเลย แค่ชั่วกระพริบตาเดียว 10 ปี ผลผลิตเขา ออกมาอย่างเป็นรูปธรรมที่เห็นได้ชัดเจนมาก   ตอนนี้ Young Blood ของ เยอรมัน จึงน่ากลัวมาก จากคุณ : turnontable เขียนเมื่อ : 12 ธ.ค. 54 21:08:37

ความคิดเห็นที่ 36 มองทีมชาติแถวนี้แล้ว ละเหี่ยใจนะ อยากจะร้องไห้จริงๆ จากคุณ : เดอะหลอน เขียนเมื่อ : 12 ธ.ค. 54 22:09:54

ความคิดเห็นที่ 37 *14 ก่อนอื่นผมไม่ได้แขวะนะครับ แต่แอบสงสัย ปกตินักบอลเยอรมันที่เก่งเมื่อไหร่ มักจะถูกทีมที่ชื่อ บาเยิร์น มิวนิคดูดไปเกื่อบหมดทุกทีนิครับ  มีช่วงนึงที่ทีมชาติเยอะรมันแกนหลักมาจากบาเยิร์นหมดเลย  เพิ่งจะมายุคนี้ที่มีดอร์ทมุน เลเวอร์มาบ้าง หรือผมตกข่าวอะไรไปหรือเปล่า -- แต่ก็เห็นพี่เสือหากินแค่ทีมในลีกส์ตัวเองอยุดี ที่ว่ามาหลากหลายทีมมันยุด U-21 ไรงี้มากกว่าหรือเปล่าครับ จากคุณ : อยากจีบลูกสาวเจ้าของร้านขายปืน เขียนเมื่อ : 12 ธ.ค. 54 22:14:01

ความคิดเห็นที่ 38 ขอบคุณมากมายเลยค่ะ ที่อุตส่าห์แปลมาให้อ่าน ^^ จากคุณ : ตั๊กจัง เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 54 00:07:27

ความคิดเห็นที่ 39 ละเอียดยิบเลยครับ อ่านแล้วเพลินเลย จากคุณ : ชายหลอน เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 54 00:33:08

ความคิดเห็นที่ 40 ไม่นับว่าเชียร์อิตาลี เป้นหลักในบอลโลกบอลยูโร ก็มีเยอรมันนี้ละ  ที่ผมชอบใน แนวคิด ทัศนคติของคนประเทศเขามากเลย จากคุณ : chelsit เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 54 00:43:58

ความคิดเห็นที่ 41 #37 ผมไม่ได้ว่าคุณแขวะหรอกครับ แต่ผมให้ความเห็นในฐานะที่เคยทำงานกับคนเยอรมันมาก่อนครับ โดยส่วนใหญ่คนเยอรมันรู้จุดอ่อนตัวเองครับ เขาจะค่อยๆ แก้ ไม่รีบร้อน ทำให้ดีขึ้นเรื่อยๆ และไม่มีข้อแก้ตัวในความล้มเหลวของตัวเอง การที่บาร์เยิร์น ซื้อตัวนักเตะสตาร์จากทีมอื่น อีกมุมหนึ่งมันก็คือการปล่อยเม็ดเงิน ที่ตัวเองหาได้ส่งให้ทีมเล็กๆ บ้างครับ เพราะจริงๆ แล้วถ้าทีมเหล่านั้นสภาพการเงินดี ก็แทบไม่มีใครคิดจะขายนักเตะตัวเองให้บาร์เยิร์นเหมือนกัน ดูช่วงปัจจุบันได้ครับ แล้วจริงๆ นักเตะที่เลิฟดึงมาเล่นทีมชาติ ตอนนี้ปาเข้าไปหลายสิบคนแล้วครับ เทียบกับอังกฤษ ที่นักเตะแทบไม่ได้เปลี่ยนแปลงอะไรชัดเจน สเปนเรียกว่าบล็อกบาร์ซาทั้งชุด อิตาลีที่ยังลูกผีลูกคน ผมว่าเยอรมันนี่แหละที่มีนักเตะทีมชาติมาจากหลากหลายสโมสรมากที่สุดแล้ว จากคุณ : Ace striker เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 54 03:14:37

ความคิดเห็นที่ 42 ขอบคุณมากครับ  ส่วนตัวผมแอบชอบอคาเดมีฮอลแลนด์มากกว่านิดนึง ยอมรับครับว่าเยอรมันเจ๋งจริง ต่อก่อนผมติดตามดอร์ทมุนช่วงต้นๆปี 2000 ได้ครับ แล้วมายุคปลาใหญ่กินปลาเล็ก ที่บาเยิร์นแทบจะเหมาซื้อแข้งดอร์ทมุนชุดแชมป์ในตอนนั้นเลย จนดอร์ทมุนเกื่อบตกชั้น และงมหลายปีแหน่ะกว่าจะฟื้นขึ้นมา (ตอนนี้กลัวเกิร์ตเธ่ กับรอยส์จะโดนบาเยิร์นจ้องดูด ซึ่งก็เป็นไปตามคาด 555) ตอนนี้วงการดาวรุ่งดัตซ์ดูเงียบลงไป ก็มีเยอรมันเนี่ยแหละครับที่พุ่งแรงขึ้นมา PS. ของบาเซโลน่าของเค้าดีจริงครับ วางระบบกัน10 20 ปี เด็กแต่ละคนแทบจะเป็นแพตเทิลเดียวกันเลย ปรัชญาในการเล่นฟุตบอล จากคุณ : อยากจีบลูกสาวเจ้าของร้านขายปืน เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 54 04:06:09

ความคิดเห็นที่ 43 จากฮอลแลนด์ สู่  ฝรั่งเศส ตามด้วย เยอรมัน ถึง ญี่ปุ่น แผนปั้นเยาวชนด้วยศูนย์ฝึกทั่วประเทศ  แค่สิบปีก็เห็นผล มีประเทศนึง  ยังคงตั้งหน้าตั้งตาใช้แผนเงินอัดฉีดลูกละล้านอยู่เลย จากคุณ : picassoinhell เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 54 09:39:03

ความคิดเห็นที่ 44 #42 ตอนนั้นดอร์ตมุนด์แทบล้มละลายเลย  ต้องขายนักเตะลดรายจ่ายลงอย่างมากเลยครับ จากคุณ : 123 ปลาฉลามขึ้นบก เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 54 10:55:15

ความคิดเห็นที่ 45 อิจฉาเด็กเยอรมัน เมื่อไหร่เด็กเลี่ยนเราจะได้โอกาสแบบนี้บ้างหนอ FIGC ทำไรอยู่ฮะเนี่ย ก็ได้แต่หวังว่าการมาของบาจโจ้ และป๋าปรันจะทำให้ทุกอย่างดีขึ้นนะ แต่ถ้าสโมสรไม่เอาเด็กๆลงซะอย่าง ชาติไหนมันจะได้ลืมตาอ้าปากวะนั่น -_- จากคุณ : ha-meow เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 54 11:24:08

ความคิดเห็นที่ 46 ก่อนอื่นขอขอบคุณครับที่แปลบทความดีๆมาให้อ่าน ผมว่าในตอนนี้ลีกเยอรมันมีฐานที่ค่อนข้างมั่นคงที่สุดแล้วนะครับ หลังจากดอร์ทมุนกับแฮร์ธ่าแล้วก็แทบไม่มีสโมสรใดที่ใช้เงินเกินตัวเลย ในขณะที่ลีกอื่นๆทีมใหญ่บางทีมยังต้องพึ่งเงินอัดฉีดจากประธานสโมสรอยู่เลย (เอาแค่อินเตอร์ มิลานที่ผมเชียรอยู่ก็พอครับ ท่านประธานไม่รู้ว่าต้องลงทุนไปเท่าไร -*-) เรื่องปัญหาการใช้เงินเกินตัวและการสร้างนักเตะเยาวชนนี่ผมว่าลีกอิตาลี่นี่เป็นตัวอย่างที่ดีเลยครับ ซึ่งตอนนี้ผมรู้สึกเหมือนลีกอังกฤษกำลังเดินตามรอยลีกอิตาลี่สมัยก่อนเลยครับ (ตามรอยเกือบทุกอย่างแม้แต่การอวยดาวรุ่งตัวเองจนเกินจริง อย่างเช่น มัตเธโอ เฟอรารี่, โรเบอร์โต้ บารอนิโอ้ หรือ นิโกล่า เวนโตล่า ในสมัยนั้น) แต่ที่แตกต่างกันคือลีกอิตาลี่ตกต่ำเพราะว่ามีเรื่องของ Calciopoli มาเป็นส่วนประกอบด้วย ผมมีข้อข้องใจเล็กน้อยในบทความนี้ครับ ตรง คห ที 8 ที่กล่าวว่า "บุนเดสลีกาไม่อนุญาตให้ผู้ใดถือหุ้นในสโมสรเกิน 49% เพราะฉะนั้นสโมสรในบุนเดสลีกาจึงถูกเทคโอเวอร์ไม่ได้" อย่างนี้ถ้าผมลงทุนสร้างสโมสรเองในเยอรมันแล้วไปเล่นในลีกของเค้า ผมจะไม่สามารถส่งมอบสโมสรให้กับคนอื่นได้ถ้าผมเสียชีวิตไปโดยไม่มีทายาท ไม่ทราบผมเข้าใจถูกต้องรึเปล่าครับ แล้วถ้าเกิดเหตุการณ์อย่างที่ผมว่าจริงๆ หุ้นอีก 51% ผมจะไปตกอยู่ที่ใครครับ จากคุณ : มีหลายใจแต่ไร้แฟน เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 54 11:43:52

ความคิดเห็นที่ 47 คุณ มีหลายใจแต่ไร้แฟน ในการที่จะตั้งสโมสรฟุตบอลขึ้นมา  ก็ต้องจดทะเบียนเป็นบริษัทครับ มีขั้นตอนดังนี้   1. ก่อนอื่นก็ต้องไปหาคนร่วมหุ้นให้ได้ครบตามจำนวนที่กฏหมายกำหนด อย่างไทยตอนนี้ 3 คน 2. แบ่งหุ้นให้ผู้ที่ร่วมกันจัดตั้งให้ครบ 100% โดยถือหุ้นได้สูงสุดได้ไม่เกิน 49% เช่น นาย ก 40% นาย ข 30% และ นาย ค 30% (แบบไทย) 3. หุ้นนี้จะเป็นมรดกตามกฏหมายสากลครับ 4. ถ้าเจ้าของหุ้นตายไป จะตกไปยังบุคคลที่ระบุในพินัยกรรม  แต่ถ้าไม่ได้ทำพินันกรรม จะมีการแต่งตั้งผู้จัดการมรดก เพื่อจัดการกับหุ้นจำนวนนั้นอย่างเหมาะสมครับ เอาเป็นว่าเขาล็อกไว้ตั้งแต่ดำหนดให้สโมสรฟุตบอลจดทะเบียนเป็นบริษัทแล้วครับ ว่าเป็นของคนใดคนหนึ่งไม่ได้ และต้องแสดงงบการเงินต่อรัฐเพื่อควบคุมการใช้เงินของสโมสร คนเยอรมันนี้ละเอียดจริงๆครับ จากคุณ : สารานุกรมกัลโช่ เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 54 12:02:51

ความคิดเห็นที่ 48 ขอบคุณคุณสารานุกรมกัลโช่มากๆ เลยค่ะที่แปลบทความดีๆ มาให้อ่าน : ) ทีมชาติเยอรมันชุดล่าสุดมาจากหลากหลายทีมจริงๆ  มีหลายคนที่เราไม่ค่อยได้ดูตอนเล่นให้สโมสร เพราะไม่ใช่ทีมประจำที่เชียร์ใน Bundesliga แต่พอมีชื่อติดทีมชาติ ก็มีโอกาสได้ตามดูในลีกด้วย นี่เป็นรายชื่อจากแมตช์ล่าสุดล่ะ  ส่วนตัวจริงตัวหลักใน Euro 2012 ของน้าเลิฟยังคงต้องติดตามกันต่อไป (นอกเหนือไปจากตัวหลักๆ จาก WC2010) http://www.dfb.de/index.php?id=128 จากคุณ : Hermy เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 54 12:17:07

ความคิดเห็นที่ 49 ลีกเยอรมันถึงไม่น่าตื่นเต้น แต่ก็ยังมีเสน่ห์อยู่เปี่ยมล้นครับ จากคุณ : Bierhoff เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 54 12:25:15

ความคิดเห็นที่ 50 เคยไปดูโคโลญแข่งกะไมน์ เมื่อฤดูกาลที่แล้วคนเยอะดีจริงๆ ไม่ชอบแต่ตรงยังสูบบุหรี่ได้ กะ ไอ้พวกเดินเข้าเดินออกซื้อเบียร์มากินนี่แหล่ะ จากคุณ : vitta skywalker เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 54 13:51:14

ความคิดเห็นที่ 51 เคยดู ทีวี เรื่องฟุตบอลอคาเดมี่ของทีมบาเยิร์น มิวนิค ลักษณะคล้ายโรงเรียนประจำ มีแม่บ้านคอยดูแลเรื่องอาหารการกิน กลับจากโรงเรียนกินอาหารกลางวันเสร็จ ทำการบ้าน มีครูช่วยสอนการบ้าน หลังจากนั้นลงสนามฝึกซ้อม จากคุณ : บอนเนอร์ เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 54 14:05:56

ความคิดเห็นที่ 52 ก็เขาคิดว่าเป็นเรื่องของประเ่ทศ ไม่ได้เป็นธุรกิจครอบครัว.....เยอรมันและญี่ปุ่นเลยก้าวไปไกล...แทบทุกเรื่อง... ปล.ความฝันของผม คือแชมป์ซีเกมส์ครับ...อย่างน้อยผ่านรอบแรกก็ยังดี..ขอแค่นั้นครับ.. จากคุณ : เอ่ยรัก เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 54 14:46:48

ความคิดเห็นที่ 53 ขอบคุณบทความดีๆครับ จากคุณ : Raycer_X เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 54 16:58:42

ความคิดเห็นที่ 54 ขอบคุณครับ จากคุณ : 0000 เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 54 17:36:05

ความคิดเห็นที่ 56 ขอบคุณท่านสารานุกรมกัลโช่มากครับสำหรับบทความแปลดีๆ แก้ไขเมื่อ 13 ธ.ค. 54 22:51:57 แก้ไขเมื่อ 13 ธ.ค. 54 22:46:15 แก้ไขเมื่อ 13 ธ.ค. 54 17:51:32 จากคุณ : วิถี..ทาง.... เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 54 17:50:37

ความคิดเห็นที่ 57 //////แล้วมายุคปลาใหญ่กินปลาเล็ก ที่บาเยิร์นแทบจะเหมาซื้อแข้งดอร์ทมุนชุดแชมป์ในตอนนั้นเลย ***///// ระบุชื่อด้วยครับ ผมเกิดไม่ทัน   เท่าที่จำได้ สิบปีหลังบาเยิรน์ไม่ได้ซื้อนักเตะจาก ดอร์ทมุนด์เลยครับ มีแต่ แมท ฮุมเมลล์ที่เป็นเด็กเยาวชนบาเยิรน์เก่า แต่ดอร์ทมุนด์เอาไปปั้นต่อ ไม่ได้กวนน่ะครับ แต่จำไม่ได้จริงๆ ถ้าผมตกหล่นใครไปก็บอกด้วยครับ สถิติ 10 ปีย้อนหลัง ในลีก อังกฤษ เสปน อิตาลี แชมป์มาจาก สามทีมน่ะครับ ส่วนเยอรมัน ปาเข้าไป 5 ทีม นี่ขนาดบาเยิรน์ซื้อหนักน่ะครับ ยังยืนหยัดลากยาวไม่ค่อยได้ ( ไม่ต้องพูดถึง สเปนที่สภาพใกล้จะเป็นลีก สก๊อตเข้าไปทุกที ) บาเยิรน์กลายเป็นทีมอารมณ์ป๋า แบบปากต่อปาก จนเข้าโหมดจำไปแล้ว ทั้งๆที่เด้กปั้นในสโมสรขึ้นมาเต็มไปหมด เอาแค่ชุดปัจจุบัน ลาห์ม ชไวนี่ โครส อลาบา มุลเลอร์ บาสตูเบอร์ คอนเตนโต้ นี่ก็เด็กสโมสรทั้งนั้นน่ะครับ ผมไม่เถียงครับ ว่าบาเยิรน์มีตังค์แต่ทีมอื่นๆดังๆ ก็ซื้อกันทั้งน่ะครับ อย่าทำเหมือนพี่เสือใช้เงินอยู่ทีมเดียวเลย แล้วถ้าเทียบกับทีมยักษ์ใหญ่ในยุโรปโ พี่เสือ ใช้เงินซื้อ น้อยกว่าทีมอย่าง มาดริด บาร์ซ่า แมนยู เชลซี  มากครับ ที่เห็นซื้อแต่นักเตะเยอรมัน เพราะเขาไม่อยากจ่ายแพงเวอร์ครับ ถ้าไม่อยากได้จริง ไม่กัดฟันซื้อแน่ จากคุณ : นายอร่อย เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 54 17:51:42

ความคิดเห็นที่ 58 แหล่มเลย จากคุณ : WiseChocolate เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 54 20:29:49

ความคิดเห็นที่ 59 แล้วมายุคปลาใหญ่กินปลาเล็ก ที่บาเยิร์นแทบจะเหมาซื้อแข้งดอร์ทมุนชุดแชมป์ในตอนนั้นเลย<--------ไปจำมาจากไหนครับ ตอนนั้นบาเยิร์นซื้อทอร์สเท่น ฟริงส์ไปแค่คนเดียวเอง เพราะดอร์ทมุนด์กำลังจะล้มละลาย เลยต้องขายนักเตะหาเงินมาโปะหนี้ แม้นจะขายไปให้คู่อริก็ตาม ซึ่งในปัจจุบัน ไม่มีทางหรอกครับที่เกิตเซ่จะย้ายไปบาเยิร์น เพราะบอร์ดดอร์ทมุนด์ชุดปัจจุบันเก่งในเรื่องการทำธุรกิจเหมือนกัน ถ้ารอยซ์อ่ะ ไม่แน่ เพราะกลัดบัคเพิ่งมาพุ่งเอาในฤดูกาลนี้ อย่างที่ผมเคยบอกไปหลายครั้งแล้วว่าบาเยิร์นพอซื้อใครในลีก กลายเป็นดูดไปหมด ทั้งที่บางทีนักเตะที่ซื้อไม่ได้มาจากทีมยักษ์ใหญ่เลย ที่ซื้อมาจากคู่แข่งแย่งแชมป์โดยตรงนี่แทบจะนับหัวได้ จากคุณ : มิโรสลาฟ ดุ๊กดิ๊ก เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 54 20:35:22

ความคิดเห็นที่ 60 ขอบคุณคุณดุ๊กครับ เท่าที่ผมจำได้ พี่เสือดูดขั้นอุกอาจนี่ตอนเซ้ง สามเทพจากเลเวอร์ บัลลัค กับ เซ โรแบร์โต้มาก่อน ปีถัดมาอดใจไม่ไหว ไปเอาลูซิโอมาอีก อันนี้ยอมรับดูดขั้นเทพจริงครับ ( ฮา) จากคุณ : นายอร่อย เขียนเมื่อ : 13 ธ.ค. 54 21:08:05

ความคิดเห็นที่ 61 “เราเริ่มจากชุดอายุต่ำว่า 9 ขวบ  ให้พวกเขาแบ่งเป็น 4ทีม  เล่นกันบนสนามเล็กเพื่อส่งเสริมเทคนิคเฉพาะตัว” อัลเบ็คกล่าว  “เราเพิ่มผู้เล่นขึ้นทุกปี  และเมื่อถึงชุดอายุ 13 ปี เราถึงจะให้เล่นแบบครบ 11 คน” ควรเอาเป็ยเยี่ยง จากคุณ : dabodabo55 เขียนเมื่อ : 14 ธ.ค. 54 12:13:46

ความคิดเห็นที่ 62 ขอบคุณครับท่าน จขกท. สำหรับบทความดีๆ จากคุณ : Lonely White Tiger เขียนเมื่อ : 14 ธ.ค. 54 14:01:25

ความคิดเห็นที่ 63 ผมคนนึงเชียร์ทีมชาติเยอรมัน หลังๆรู้สึกไม่รุ้จักนักเตะเลย มีแต่เด็กๆขึ้นมา แต่ก็ดีใจที่ทีมชาติเยอรมันทำได้แบบนี้ ปั้นเด็กมาไม่ขาด จากคุณ : Tiscula เขียนเมื่อ : 15 ธ.ค. 54 13:31:04

ความคิดเห็นที่ 64 วางแผนได้ดีสมเป็นจ้าวยุโรป จากคุณ : Godgate เขียนเมื่อ : 15 ธ.ค. 54 14:16:37

ความคิดเห็นที่ 65 MADE IN GERMANY  ไว้ใจได้เสมอ จากคุณ : GOTIGER เขียนเมื่อ : 15 ธ.ค. 54 15:29:02

ความคิดเห็นที่ 66 อินทรีเหล็กเรียนรู้จากประสบการณ์ที่แสนเจ็บปวดในยุคตกต่ำ เปลี่ยนวิสัยทัศน์ และค่อยๆ สร้างทีมอย่างต่อเนื่อง ตอนนี้อินทรีน้อยกลายเป็น อินทรีหนุ่ม และเป้าหมายก็มองเห็นกระจ่างแล้ว เหลือเพียงแค่......พุ่งชน ขอบคุณ คุณสารานุกรมกัลโช่ สำหรับการแปลบทความที่น่าสนใจครับ จากคุณ : เชียงคำ เขียนเมื่อ : 15 ธ.ค. 54 17:47:36

ความคิดเห็นที่ 67 เรื่องนึงที่น่ายกย่องของคนชาตินี้คือ แม้พวกเขาจะชาตินิยม และอีโก้สูงสุดโต่ง หัวแข็งมากๆ แต่ถ้าพวกเขายอมรับคตวามจริงในสิ่งทีเ่กิดขึ้นอย่างมีเหตุผลแล้ว พวกเขาพร้อมยอมเปลี่ยนแปลง พัฒนาตัวเองสู่เส้นทางที่ดีกว่าครับ ตอนที่บาเยิร์นแพ้แมนยูในนัดชิงยุโรปปี 99 จริงอยู่ว่าจากนั้นทั้งสองทีมนี้เริ่มกลายเป้นคู่อริกันในสนาม แต่ในเชิงการบริหารและในฐานะคนของวงการเดียวกันแล้ว ไกเซอร์ฟรานซ์กลับยกย่องระบบการบริหารทีมและสร้างเยาวชนของแมนยูมาก จนถึงขั้นส่งคนไปดูงานกับแมนยูว่าทำอย่างไรในการพัฒนาระบบเยาวชน และหลังจากนั้นตอนที่เดเอฟแบเริ่มส่งคนติดต่อไปทางพรีเมียร์ลีคเพื่อขอศึกษาระบบการบริหารที่ทำให้ลีคนี้กำลังกลายเป้นที่นิยิมที่สุดในโลกโดยไม่ได้กลัวว่าจะเป้นการลอกเลียนแนวทางพรีเมียรลีคแต่อย่างใด ขณะเดียวกัน เยอรมันกลับเอาแนวทางที่เห็นว่าดีของอังกฤษมาปรับประยุกต์จนในที่สุดก็สำเร็จกลายเป็นแบบฉบับของการบริหารบุนเดสทุกวันนี้ แล้วระบบเยาวชนของเยอรมันที่เคยล้าหลังมากเมื่อปลายยุค 90 ถึงยุค 2000 มาบัดนี้ก็ได้ส่งผลและแซงหน้าชาติอืนๆในยุโรปไปมาก แต่เดิมฮอลแลนด์และฝรั่งเศสเคยยอดเยี่ยมในเรื่องนี้แต่เพราะไม่พัฒนาเลยเริ่มตกต่ำลง จากคุณ : eagle1000 เขียนเมื่อ : 16 ธ.ค. 54 02:24:45

ความคิดเห็นที่ 68 ^ ^ บุนเดสลิก้า สมัยเมื่อก่อน ชนะ ได้ 2 แต้ม เสมอได้ 1 แต้ม แต่ตอนหลัง(จำไม่ได้ว่าปีไหน) ก็มาปรับให้เป็นแบบอังกฤษครับ ชนะ 3 แต้ม เสมอ 1 แต้ม จากคุณ : PEDestrain เขียนเมื่อ : 16 ธ.ค. 54 13:49:17

ความคิดเห็นที่ 69 ขอบคุณสำหรับบทความดีๆ ค่ะ จากคุณ : ด้วยรักและหัวใจ เขียนเมื่อ : 16 ธ.ค. 54 15:10:27

ความคิดเห็นที่ 70 วกเข้าเรื่อง Bayern จนได้ 55 เอาจริงๆ Bayern ซื้อนักเตะจาก Dortmund ในรอบ 10 ปีเลยแค่คนเดียวนะครับ คือ Torsten Frings ทีมที่โดน Bayern ทุ่มทุนสร้างจริงๆคือ Leverkusen นะครับ ลองเข้าไปดูกระทู้ที่ผมเคยรวบรวมข้อมูลนี้ได้เลย http://www.pantip.com/cafe/supachalasai/topic/S11411130/S11411130.html ปีๆนึง Bayern ไม่ได้ทุ่มทุนกว้านซื้อนักเตะคู่แข่งหมดหรอก บางปีก็ไม่มี บางปีก็เยอะ แต่ที่ซื้อๆมา นี่คือ ฟอร์มโดดเด่นจริง ส่วนทีมชาติ ผมว่าการที่ทีมใหญ่ๆ ไม่ทุ่มซื้อนักเตะต่างลีก นี่ช่วยทีมชาติได้เยอะเลย เพราะแต่ละทีม จะเน้นใช้ดาวรุ่งของตัวเองมากขึ้น กล้าใช้ดาวรุ่งมากขึ้น เห็นได้จาก Stuttgart และ Dortmund ที่คว้าแชมป์ Bundesliga โดยใช้ดาวรุ่งของตัวเองเป็นแกนหลัก ทำให้ทีมอื่นๆเห็นตัวอย่าง ว่าทีมสามารถประสบความสำเร็จได้ และเริ่มทำตามมากขึ้น แก้ไขเมื่อ 16 ธ.ค. 54 20:56:26 แก้ไขเมื่อ 16 ธ.ค. 54 20:51:03 จากคุณ : ชายหลอน เขียนเมื่อ : 16 ธ.ค. 54 20:49:31

ความคิดเห็นที่ 71 นึกถึงคนนี้แฮะ Gerald Asamoah จากคุณ : nisas เขียนเมื่อ : 17 ธ.ค. 54 22:49:03

ความคิดเห็นที่ 72 ขอโทษจริงๆครับ  จำสลับกันระหว่างดอร์ทมุน กับเลเวอร์ T_T จากคุณ : อยากจีบลูกสาวเจ้าของร้านขายปืน เขียนเมื่อ : 18 ธ.ค. 54 18:24:52

ความคิดเห็นที่ 73 ขอบคุณครับ จากคุณ : bank2511 เขียนเมื่อ : 18 ธ.ค. 54 19:05:50