ความคิดเห็นที่ 1 อาร์เจนตินา เท่าที่เป็นอยู่ในตอนนั้น สโมสรส่วนใหญ่ในอาร์เจนตินาจะเล่นในระบบ 4-3-3 โดยแผงหลังจะใช้ระบบคุมโซน มีมิดฟิลด์ 3 ตัว ส่วนกองหน้า 3 ตัวจะเป็นการประสานงานกันของดาวซัลโวและปีกคลาสสิกทั้ง 2 ข้างเพื่อทะลวงคู่แข่ง บิลาร์โดไม่ชอบระบบแบบนั้ นเขามองว่า "ล้าสมัย" เกินไป และด้วยการที่บินไปยุโรปบ่อย ๆ เพื่อศึกษาแนวทางเล่นสไตล์ยุโรป บิลาร์โดเลยนำมาประยุกต์ใช้กับทีมฟ้า-ขาว ภายใต้การคุมทัพของเขา โดยสร้างแผงรับขึ้นมาใหม่โดยใช้สไตล์การเล่นของพวก "เลี่ยน" อิตาลีเป็นแนวทาง แท็กติกในเกมรับของบิลาร์โดจะสร้างสวีปเปอร์ขึ้นมา 1 คน โดยวางตัว (6) ดาเนียล ปาสซาเรญาไว้ แต่ก็ดันมาเจ็บซะก่อน จนไม่ได้ลงโชว์ฝีเท้าในทัวร์นาเมนท์นี้เลย เฮดโค้ชทีมฟ้า-ขาวจึงต้องเปลี่ยนใจมามอบหมายความรับผิดชอบนี้แก่ (5) โฮเซ หลุยส์ บราวน์แทน ซึ่งบิลาร์โดคุ้นเคยอยู่แล้วเพราะเคยร่วมงานกันในทีมเอสตูเดียนเตส จากนั้นก็มอบหมายหน้าที่การล่ามกุญแจขาของกองหน้าคู่แข่งให้กองหลังอีก 2 คน ซึ่งได้แก่ (9) โฮเซ หลุยส์ กูเซียฟโฟและ (19) ออสการ์ รุกเครี โดยในนัดเปิดสนามนั้นเป็น (8) โรลันโด เกลาเซนที่ลงมาทำหน้าที่แทนกูเซียฟโฟ (กองหลังบ้าอะไรใส่เบอร์ 9) จากคุณ : baevi เขียนเมื่อ : 30 ธ.ค. 54 20:13:53

ความคิดเห็นที่ 2 เกมรับทางฝั่งซ้ายบิลาร์โดใช้ฟูลแบ็กที่สามารถเติมเกมรุกได้ทุกเมื่อซึ่งให้ (13) ออสการ์ การ์เรเล่นตั้งแต่รอบแรกมาจนถึงรอบสอง แล้วก็ดันมาถูกแบนในนัดต่อไป (กับอังกฤษ) เนื่องจากได้ใบเหลืองเป็นใบที่สองของทัวร์นาเมนท์ (16) ฮูลิโอ โอลาร์ติโกเชียจึงต้องมารับหน้าที่นี้แทน แล้วก็ยึดตำแหน่งไปจนถึงนัดชิงเพราะเล่นได้โดดเด่นมาก ในขณะที่แผงหลังทางด้านขวานั้น เฮดโค้ชของทีมฟ้า-ขาวยกให้มันเป็นภาระของมิดฟิลด์ตัวนึง ซึ่งมิดฟิลด์ตัวนี้จะต้องรับบทบาทแบ็กขวาในบางสถานการณ์ (14) ริคาร์โด คิอุสตีคือคนที่ต้องรับผิดชอบตรงจุดนี้ ซึ่งเขาก็โชว์ลีลาการพาลูกหนังเลียบไปทางเส้นข้างได้ดีมาก มิดฟิลด์อีก 3 ตัวที่เหลือ บิลาร์โดหมายตานักเตะที่มีโดดเด่นทั้งเกมรับและเกมรุก ซึ่ง 3 ดาวเตะที่ว่านี้ (2) เซร์คิโอ บาติสตาและ (7) ฮอร์เค บูร์รูชากายึดตำแหน่ง 2 ใน 3 นั้นไว้ได้ตลอด ส่วนอีกคนนึง (17) เปโดร ปาสกูญีกับ (4) เกลาดิโอ บอร์คีแย่งตำแหน่งกันใน 4 แม็ทช์แรก ก่อนที่ (12) เอคเตอร์ เอนริเกจะมาแรงยึดตำแหน่งนี้ใน 3 แม็ทช์สุดท้ายของทัวร์นาเมนท์ได้สำเร็จ ในแดนหน้านั้น บิลาร์โดจะไม่ใช้ปีกเลย เขาปล่อยตัวรุกไว้ประสานงานกัน 2 คนและขุนพลเอก 2 คนนี้ก็ประสานงานกันแบบรู้ใจและมีเทคนิคที่พราวพรายมาก ไม่ใช่ใครที่ไหน (10) ดีเอโก มาราโดนาและ (11) ฮอร์เค วัลดาโนนั่นเอง จากคุณ : baevi เขียนเมื่อ : 30 ธ.ค. 54 20:14:31

ความคิดเห็นที่ 3 เยอรมันตะวันตก "ทีมอินทรีเหล็ก" มาในระบบลิเบอโร ปราการหลังของพวกเขาผสมผสานการเล่นแบบมาร์คตัวปะปนไปกับการคุมโซน โดยมี (1) โทนี ชูมัคเกอร์ยืนเป็นด่านสุดท้ายที่เพื่อน ๆ ล้วนไว้ใจ ในขณะที่ลิเบอโรนั้น (15) เคลาส์ เอาเกนทาเลอร์รับหน้าที่นี้ใน 2 นัดแรก ก่อนจะถูกเปลี่ยนให้ (17) ดีทมาร์ ยาคอปส์รับหน้าที่ต่อตั้งแต่นัดที่ 3 จนเป็นรองแชมป์โลก ถัดขึ้นไปข้างหน้าอีก 2 คนคือสตอปเปอร์ ซึ่งฟรานซ์ เบคเคนบาวเออร์ใช้บริการของ (4) คาร์ลไฮน์ซ เฟิร์สเตอร์และ (6) นอร์แบร์ต เอเดอร์ แต่เมื่อไหร่ที่คู่แข่งมาแบบศูนย์หน้าตัวเดียว เอเดอร์จะผันตัวเองมาเป็นมิดฟิลด์ทันที แต่ความสามารถในเชิงรุกของเขาจะว่าไปก็ยังไม่ถึงกับโดดเด่นมาก แบ็กขวาเป็นหน้าที่ของ (14) โธมัส แบร์โธลด์ซึ่งชอบเติมเกมรุกเป็นชีวิตจิตใจ หลาย ๆ ครั้งจะพาลูกทะลุทะลวงไปถึงเขตโทษของคู่แข่ง ในขณะที่ฝั่งซ้ายนั้นเป็นหน้าที่ของ (2) ฮานส์ ปีเตอร์ บรีเกล จากคุณ : baevi เขียนเมื่อ : 30 ธ.ค. 54 20:15:09

ความคิดเห็นที่ 4 (3) อันเดรียส์ เบรห์เมได้รับมอบหมายให้เป็นมิดฟิลด์ตัวรับซึ่งคอยคุ้มกันจังหวะรุกของคู่แบ็กที่เติมขึ้นสูงได้อย่างมีประสิทธิภาพ ในขณะที่ (8) โลธาร์ มัทเธอุสก็ใช่ย่อย เขาทำให้เกมรุกของ "อินทรีเหล็ก" ดูหนักหน่วงและรวดเร็วยิ่งขึ้น โดยมีจอมทัพอย่าง (10) เฟลิกซ์ มากัธ คอยสร้างสรรค์เกม สร้างโอกาสสวย ๆ ให้กับคู่ศูนย์หน้า แผงกองหน้าของเยอรมันตะวันตกจะเปลี่ยนไปตามแต่สถานการณ์ โดยมี (19) เคลาส์ อัลลอฟส์ที่ได้รับโอกาสมากกว่าเพื่อน โดยอีกคนนึงนั้น (11) คาร์ลไฮน์ซ รุมเมนิเก, (9) รูดี เฟิลเลอร์และ (7) ปิแอร์ ลิทท์บาร์สกีจะสลับ ๆ กันลงมา โดยคนสุดท้ายมักจะได้รับโอกาสแค่เป็นตัว "โจ๊กเกอร์" เท่านั้น การเล่นของเยอรมันตะวันตกจะมีการปรับเปลี่ยนไปในแต่ละนัด ตัวผู้เล่นจึงถูกเปลี่ยนแปลงไปด้วย แทกติกการเล่นก็มีการปรับเปลี่ยนไปตามแต่คู่แข่ง หลาย ๆ ครั้งเบคเคนบาวเออร์สั่งให้แผงกลางของตนเองประกบคู่แข่งแบบตัวต่อตัว เช่น เอเดอร์ที่ต้องตามล่ามโซ่ "เจ้าชายลูกหนัง" เอนโซ ฟรานเชสโกลีของอุรุกวัยจนเล่นไม่ออก, โวล์ฟกัง โรล์ฟที่ต้องตามเป็นเงาของมิเชล ปลาตินีแห่งฝรั่งเศสและภาพที่ทุกคนจำได้ มัทเธอุสตามติดมาราโดนาในนัดชิง จากคุณ : baevi เขียนเมื่อ : 30 ธ.ค. 54 20:15:31

ความคิดเห็นที่ 5 ฝรั่งเศส หลังจากแข่งแม็ทช์แรกกับแคนาดา (ชนะ 1-0) อองรี มิเชล เฮดโค้ชทีมตราไก่จัดการรื้อแผงหลังแล้วมาปรับใหม่เพราะออกอาการไม่มั่นใจการยืนในรูปแบบไลน์ดีเฟนซ์ (4) ปาตริก บาติสตงถูกขยับลงไปเล่นเป็นสวีปเปอร์ โดยมี (6) มักซิม บอสซิสเป็นตัวชนให้ นอกจากนี้ในบางครั้งยังต้องทำหน้าที่ประกบผู้เล่นอันตรายของคู่แข่งด้วย ส่วนแบ็กทั้งสองข้างนั้น (2) มานูเอล อาโมรอสถูกขยับจากด้านขวามายืนทางด้านซ้ายทำให้ (8) เธียร์รี ทุสโซต้องหลุดออกไปจากโผ ส่วนแบ็กขวานั้น (3) วิลเลียม อายาเชไดรับโอกาสลงเล่นเป็น 11 ตัวแรก แก้ไขเมื่อ 30 ธ.ค. 54 20:44:44 แก้ไขเมื่อ 30 ธ.ค. 54 20:20:07 จากคุณ : baevi เขียนเมื่อ : 30 ธ.ค. 54 20:15:53

ความคิดเห็นที่ 6 แผงมิดฟิลด์ต้องบอกว่านี่คือแผงกลางที่ดีที่สุดในโลกทีมหนึ่งเลยทีเดียว เป็นสี่ทหารเสือที่ประสานงานกันได้อย่างสุดยอด (9) หลุยส์ แฟร์น็องเดซและ (14) ฌอง ติกานาทำหน้าที่ดูแลหลัง ปล่อยให้ (12) อแล็ง ชิแรสและ (10) มิเชล ปลาตินีมีอิสระในการเปิดเกมรุกเต็มที่ คู่กองหน้านั้น ทีมสตาร์ทด้วยการจับคู่ระหว่าง (17) ฌอง ปิแอร์ ปาแปงกับ (18) โดมินิก รอชโต แต่พอนัดที่สองกับสหภาพโซเวียต (เสมอ 1-1) ลองให้โอกาส (19) ยันนิก สโตปีราลงทำหน้าที่บ้าง ซึ่งเขาไม่ทำให้มิเชลผิดหวังเลย กลายเป็นเพชรเม็ดใหม่ที่ถูกค้นพบในการแข่งขันครั้งนั้น และแม็ทช์ต่อ ๆ มา สโตปีราก็กลายเป็นตัวยืนโดยอัตโนมัติ ส่วนปาแปงกับรอชโตต้องแย่งกันเพื่อลงเป็น 11 ตัวแรก กลยุทธในเกมรุกของทีมตราไก่มีความโดดเด่นมาก แต่ละคนพร้อมที่จะผ่านบอลให้กับเพื่อนโดยไม่มีการหวงบอล ที่น่าสังเกตคือผู้เล่น 10 คน (ไม่รวมผู้รักษาประตู) ต่างมีความสามารถเฉพาะตัวยอดเยี่ยมที่จะเปิดเกมรุกทั้งสิ้น จะมีด้อยกว่าคนอื่นเล็กน้อยก็แค่บาติสตงเท่านั้นเอง เกมรุกของฝรั่งเศสจึงแพรวพราวมาก จากคุณ : baevi เขียนเมื่อ : 30 ธ.ค. 54 20:16:18

ความคิดเห็นที่ 7 เบลเยียม เบลเยียมใช้ระบบการเล่นแบบ 4-4-2 ร่วมกับการคุมโซน แผงหลัง 4 ตัวนั้นกว่าจะลงตัวก็ต้องผ่านไปแล้ว 2 แม็ทช์ จะเห็นได้ว่า 3 ใน 4 ตำแหน่งมีการปรับเปลี่ยนในนัดที่ 3 ซึ่งเสมอปารากวัย 2-2 แล้วใช้ชุดนั้นไปจนถึงนัดชิงที่ 3 ตัวสวีปเปอร์ เริ่มแรกกีย์ ไธส์มอบความไว้วางใจให้แก่ (3) ฟรังกี ฟาน แดร์ เอลท์สก่อนที่จะเปลี่ยนมาเป็น (5) มิเชล ร็องแก็งแทน ส่วน (19) อูโก บรอสซึ่งมีประสบการณ์ช่ำชองมากรับหน้าที่เป็นตัวชนในแผงหลัง ก่อนที่จะต้องหลีกทางให้ (13) จอร์จ กรุนรับหน้าที่แทน ทางด้านแบ็กซ้ายนั้น ทีมเริ่มต้นด้วยการใช้ (4) มิเชล เด วูล์ฟ ก่อนที่จะเปลี่ยนมาเป็นปาตริก แวร์วอร์ทแทน คงมีเพียงแบ็กขวาเท่านั้นที่เอริก เกเรตส์รับหน้าที่เพียงคนเดียว (หายไปแค่เพียงนัดสุดท้ายของรอบแรกเท่านั้น) แผงรับของ "ปีศาจแดงแห่งยุโรป" พยายามเปิดช่องว่างให้น้อยที่สุด สวีปเปอร์อย่างร็องแก็งจึงชอบดันขึ้นมายืนในระดับเดียวกับแผงหลังคนอื่น ๆ นอกจากนี้ "กับดักเช็คออฟไซด์" ที่ลือชื่อของพวกเขาก็ยังคงเป็นจุดเด่นในทัวร์นาเมนท์นี้เช่นกัน จากคุณ : baevi เขียนเมื่อ : 30 ธ.ค. 54 20:16:54

ความคิดเห็นที่ 8 แผงมิดฟิลด์ของเบลเยียม ไธส์ไว้วางใจในตัว (11) ยาน คูเลม็องส์เอามาก ๆ เขาเป็นนักเตะคลับ บรูกคนเดียวในแผงกลาง ในขณะที่อีก 3 คนนั้นล้วนยกทัพมาจากอันเดอเลคช์ทั้งสิ้น ไม่ว่าจะเป็น (8) เอนโซ ชีโฟที่จะอยู่ทางด้านขวา ซึ่งเจ้าหนุ่มคนนี้สามารถวิ่งฉีกขึ้นมาในตำแหน่งปีกได้อย่างว่องไว, (6) ฟรังค์ แวร์โคเทเรนรับผิดชอบทางด้านซ้ายและ (7) เรเน ฟานแดร์ไอค์เคนเป็นมิดฟิลด์ตัวรับ ซึ่งต่อมาถูกแทนที่ด้วย (21) สเตฟาน เด โมล สิ่งที่โดดเด่นของมิดฟิลด์ของดินแดนแห่งช็อกโกแลตอร่อยก็คือทั้งคูเลม็องส์, ชีโฟและแวร์โคเทเรนต่างก็สามารถสรรค์สร้างเกมรุกได้ยอดเยี่ยมชนิดที่ต้องให้คะแนนเต็ม 10 กันเลย แต่กับเกมรับแล้ว พวกเขากลับทำกันได้ย่ำแย่ ขึ้นเร็ว แต่ลงกันช้า จึงขาดความเหนียวแน่นไปในเกมรับเมื่อผสมผสานกับความผิดพลาดในแผงหลัง ไม่แปลกที่เบลเยียมจะเสียประตูในทัวร์นาเมนท์นี้ถึง 15 ประตู ทั้ง ๆ ที่ด่านสุดท้ายของพวกเขามีฌอง มารี พัพฟ์ยืนตระหง่านอยู่ด้วยซ้ำ คู่หน้าของเบลเยียมดูเหมือนไธส์จะหาคนที่ดีที่สุดไม่ค่อยได้ สุดท้ายก็เลือก (16) นิโก คลาเซนจับคู่กับ (18) ดาเนียล เวย์ท แต่กว่าจะได้เล่นคู่กันก็แทบจะจบรอบแรกไปแล้ว โดยตัวเลือกก่อนหน้านั้นก็คือ (10) ฟิลิป เดสเมท์และ (9) เออร์วิน ฟาน เดน เบิร์ก คู่หูจากลิลล์ จากคุณ : baevi เขียนเมื่อ : 30 ธ.ค. 54 20:17:17

ความคิดเห็นที่ 9 บราซิล บราซิลใช้ระบบการเล่น 4-4-2 ร่วมกับการคุมโซนในแผงหลัง คู่เซนเตอร์ฮาล์ฟเป็นการจับคู่กันระหว่าง (4) ชูลิโอ เซซาร์กับ (4) เอดินโญ ส่วนวิงแบ็กซ้ายนั้นเป็นหน้าที่ของ (17) บลังโก ในขณะที่ด้านขวาเทเล ซานตานาใช้บริการของ (2) เอดซอนใน 2 แม็ทช์แรก ก่อนที่จะเปลี่ยนมาใช้ (13) โชซิมาร์จนดวลจุดโทษพ่ายฝรั่งเศส ตกรอบควอเตอร์ ไฟนัล ผู้เล่นกองกลางของ "เซเลเซา" จะยืนเป็นรูปสี่เหลี่ยมข้าวหลามตัดโดยมี (19) เอลโซยืนปักหลักอยู่หน้าปราการหลัง ในขณะที่ (18) โซคราเตสเล่นเป็นตัวฟรี ทำเกมอยู่ข้างหลังคู่กองหน้า ตำแหน่งนี้เดิมทีน่าจะเป็นของ (10) ซิโก (ที่ไม่ใช่เสนาเมือง) แต่เพราะสภาพร่างกายของ "เปเลขาว" ไม่สมบูรณ์เท่าไหร่ ตลอดทัวร์นาเมนท์เขาจึงได้ลงเป็นตัวสำรองเท่านั้น รวมเวลาที่ได้เล่นก็แค่ 91 นาทีเอง โดยได้ลงโชว์ลีลาเยอะที่สุดก็วันที่ดวลกับทีมตราไก่ ฝรั่งเศส มิดฟิลด์อีก 2 คนทำหน้าที่รับผิดชอบพื้นที่ด้านข้าง (15) อเลเมาอยู่ทางขวาและ (6) จูเนียร์อยู่ทางซ้าย จากคุณ : baevi เขียนเมื่อ : 30 ธ.ค. 54 20:17:34

ความคิดเห็นที่ 10 มิดฟิลด์ของบราซิลมีบทบาทสำคัญมาก เป็นคนบัญชาเกมให้แก่ทีมเซเลเซาตลอด ลีลาการเลี้ยงบอลทำได้แบบเหลือเชื่อ ส่วนลีลาการผ่านบอลก็ทำได้แบบเหนือชั้น นอกจากนี้ยังต้องชื่นชมความขยันไม่รู้จักเหน็ดเหนื่อยของเอลโซซึ่งเป็นตัวตัดเกมในแดนกลางด้วย คู่สังหารของบราซิล ดาวยิงหมายเลข 1 ของชาติอย่าง (9) กาเรกาเป็นตัวยืน ส่วนคู่ขาของเขานั้น เริ่มต้นทัวร์นาเมนท์ด้วย (8) วอลเตอร์ กาซากรานเด โดยมี (7) มุลเลอร์ที่ถูกเปลี่ยนตัวลงมาเล่นแทนทุกนัดของรอบแรก พอถึงรอบสองปุ๊บ มุลเลอร์ก็มายึดตำแหน่งตัวจริงแทนจนทีมตกรอบ เหตุที่เป็นอย่างนั้นก็เพราะกาเรกาดูจะเล่นไม่ค่อยเข้าขากับกาซากรานเดนัก เลยทำประตูไม่ได้มากนักทั้ง ๆ ที่ได้รับลูกเปิดสวย ๆ จากแผงกลางตลอดเวลา แต่พอเปลี่ยนมุลเลอร์ลงมา ทีมกลับมีมิติเกมรุกที่หลากหลายขึ้นเพราะมุลเลอร์เป็นกองหน้าที่เร็ว ทะยานไปทางปีกขวาได้อย่างน่ากลัว จากคุณ : baevi เขียนเมื่อ : 30 ธ.ค. 54 20:17:59

ความคิดเห็นที่ 11 อังกฤษ บ๊อบบี ร็อบสันใช้ระบบ 4-3-3 ในสองนัดแรกที่อังกฤษไม่ชนะใครเลย (แพ้โปรตุเกส 0-1 เสมอโมรอกโก 0-0) ก่อนจะปรับเปลี่ยนมาใช้ระบบ 4-4-2 ในนัดที่เหลือ แผงหลังสุดคลาสสิกของสิงโตคำรามจะเล่นแบบคุมโซน โดยมี (14) เทอร์รี เฟนนิกและ (6) เทอร์รี บุทเชอร์จับคู่กันเป็นเซนเตอร์ฮาล์ฟ ส่วนทางด้านข้างนั้น (2) แกรี สตีเวนส์ดูแลทางด้านขวา และ (3) เคนนี แซมซันอยู่ทางซ้าย แผงมิดฟิลด์ของอังกฤษล้วนแต่เป็นนักเตะที่มีลีลาการเล่นเป็นเลิศ (8) เรย์ วิลกินส์เป็นตัวรับ (4) เกลน ฮอดเดิลยืนเยื้องออกไปทางขวา และ (7) ไบรอัน ร็อบสันเป็นหัวใจในแดนกลาง มี (11) คริส วอดเดิลเล่นเป็นกองหน้าทางด้านซ้ายคอยป้อนบอลให้ (10) แกรี ลินิเกอร์และ (9) มาร์ค เฮทลีย์คอยสังหารประตู แก้ไขเมื่อ 31 ธ.ค. 54 01:50:03 จากคุณ : baevi เขียนเมื่อ : 30 ธ.ค. 54 20:18:21

ความคิดเห็นที่ 12 แต่ในนัดชี้ชะตาเข้ารอบกับโปแลนด์นั้น บ๊อบบี ร็อบสันไม่สามารถจัดตัวแบบเดิมได้ ไบรอัน ร็อบสันและคริส วอดเดิลบาดเจ็บ วิลกินส์ถูกแบนเพราะโทษใบแดง ทำให้ต้องส่ง (16) ปีเตอร์ รีดรับหน้าที่แทน จากนั้นก็เติมปีกลงทั้งสองข้าง ส่ง (17) เทรเวอร์ สตีเวนลงเล่นด้านขวาและ (18) สตีฟ ฮอดจ์กระชากทางด้านซ้าย นั่นทำให้เกลน ฮอดเดิลได้ขยับมาเล่นจอมทัพในแดนกลางเต็มตัวทำให้โชว์ความสามารถของตนเองออกมาอย่างเต็มที่ ส่วนอีกหนึ่งตำแหน่งที่มีการปรับเปลี่ยนและก็กลายเป็น 11 ตัวจริงจนถึงวันพ่ายอาร์เจนตินานั่นเลย (20) ปีเตอร์ เบียร์ดสลีย์ซึ่งว่องไว ปราดเปรียวได้รับโอกาสลงเล่นแทน "เจ้าคิงคอง" มาร์ค เฮทลีย์ การปรับเปลี่ยนเช่นนี้ทำให้สไตล์การเล่นของสิงโตคำรามเปลี่ยนไปจาก 2 นัดแรกด้วย เกมการเล่นดูมีลีลาแพรวพราวมากขึ้น ผู้เล่นทุกคนมีช่องว่างในการรับ การจ่ายบอลมากกว่าเดิม เกมของอังกฤษมีการเล่นสั้น ต่อบอลหลอกคู่แข่งมากขึ้น ส่วนคู่กองหน้าก็ขยันวิ่งอย่างไม่รู้เหน็ดเหนื่อยเลยด้วย จากคุณ : baevi เขียนเมื่อ : 30 ธ.ค. 54 20:18:39

ความคิดเห็นที่ 13 เดนมาร์ก เพราะการที่มีเซปป์ พิออนเทคคุมทัพ เดนมาร์กจึงลงเล่นในระบบลิเบอโร โดยในการแข่งขัน 2 นัดแรก (1) โทรเอลส์ ราสมุสเซนได้รับหน้าที่เป็นผู้รักษาประตู แต่หลังจากนั้นตำแหน่งนี้กลับตกเป็นของ (22) ลาร์ส โฮก ผู้รักษาประตูมือสาม ตำแหน่งลิเบอโรนั้นไม่มีใครรับผิดชอบหน้าที่นี้ได้ดีกว่ากัปตันทีมอย่าง (4) มอร์เตน โอลเซน จอมเก๋าซึ่งปีนั้นอายุ 36 ปีไปอีกแล้ว โดยมี (3) โซเรน บุสค์และ (5) อีวาน นีลเซนเป็นคู่เซนเตอร์ฮาล์ฟที่คอยจับกองหน้าของฝ่ายตรงข้ามที่มาตรงกลาง ส่วนทางด้านข้างนั้น (21) เฮนริก อันเดอเซนซึ่งเป็นแบ็กซ้ายจะคอยสกัดกั้นคู่ต่อสู้ที่มาทางด้านนี้ แต่บ่อยครั้งที่เขาเป็นฝ่ายพาบอลไปตามเส้นข้างด้านซ้ายเพื่อเปิดเกมรุกซะเอง มิดฟิลด์ตัวรับทางด้านขวานั้นเป็นหน้าที่ของ (9) เคลาส์ แบร์กเกรน โดยจะเล่นอยู่หลัง (15) ฟรังก์ อาร์เนเซน คอยป้อนลูกให้ แต่หลายครั้งก็เป็นฝ่ายเปิดเกมรุกซะเองด้วยฝีเท้าที่เร็วจัดจ้านของเขา อาร์เนเซนจะรับผิดชอบอยู่ทางด้านขวาของสนาม เขาเป็นมิดฟิลด์ที่คอนโทรลลูกได้อย่างยอดเยี่ยม มีลีลาการหลอกล่อที่พราวแพรวชนิดคู่แข่งคาดไม่ถึง ในนัดสุดท้ายของทีมซึ่งพ่ายให้แก่สเปนในรอบสองนั้น (8) เยสเปอร์ โอลเซน ปีกจอมพลิ้วจากแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดได้ลงทำหน้าที่แทน ความจริงแล้วเขาโดดเด่นทั้งทางด้านขวาและด้านซ้ายตามแต่พิออนเทคจะจับลง ลีลาการเลี้ยงบอลของเขาสง่างามมาก ทำให้คู่แข่งหัวปั่นครั้งแล้วครั้งเล่า จากคุณ : baevi เขียนเมื่อ : 30 ธ.ค. 54 20:18:59

ความคิดเห็นที่ 14 (12) เยนส์ ยอห์น เบอร์เทลเซนจะจำกัดหน้าที่ของตนเองแค่มิดฟิลด์ตัวรับเท่านั้น มีหน้าที่สกัดลูกในแดนกลางและคอยคุมเชิงอยู่หน้าแผงหลังในขณะที่เพื่อนร่วมทีมเปิดฉากบุกขึ้นไปในแดนของคู่ต่อสู้ นักเตะที่มีบทบาทมากที่สุดในแดนกลางจะเป็นใครไปไม่ได้เลย นอกจาก (6) โซเรน เลอร์บี เขาเป็นนักเตะที่อ่านเกมทะลุ รู้จักฉวยโอกาสรุกตอบโต้ทันที่สบจังหวะอันเหมาะเหม็ง ลีลาของเขาเรียกเสียงฮือฮาจากแฟนบอลทั่วโลกได้ในทุก ๆ แม็ทช์ คู่หน้าของ "แดนิช ไดนาไมท์" เป็นการประสานงานกันของ "พี่บึ้ก" (10) พรีเบน เอลชา ลาร์เซนที่ยืนสูงเป็นตัวเป้าคอยสังหารประตู โดยมี (11) ไมเคิล เลาดรูปยืนห้อยต่ำอยู่กึ่ง ๆ เป็นมิดฟิลด์ แต่หากได้ลูกเมื่อไหร่ ฝีเท้าอันจัดจ้านของเขาก็จะสปีด พาบอลทะลวงเข้าไปในเขตโทษได้ราวกับสายฟ้าแลบ คอยสร้างโอกาสให้กับพี่บึ้ก ศูนย์หน้าแห่งเฮลลาส เวโรนาคนนั้น เดนมาร์กเป็นทีมที่เล่นได้สวยงามทั้งในเกมรุกและเกมรับ เป็นทีมที่มีกลยุทธในการโจมตีคู่แข่งที่หลากหลาย ไม่ว่าจะเป็นการส่งบอลยาวของเลอร์บี, การเล่นชิ่งสั้นในแดนกลาง, ลูกฉีกทางปีกของอาร์เนเซนหรือโอลเซนซึ่งสร้างปัญหาให้คู่แข่งพอ ๆ กับลูกเลี้ยงเดี่ยวของเลาดรูปและเอลชา จากคุณ : baevi เขียนเมื่อ : 30 ธ.ค. 54 20:19:21

ความคิดเห็นที่ 15 ขอนอกเรื่องและกันฮะ...25 ปีที่แล้ว ได้เงินไปโรงเรียนวันละ 20 บาท ถือว่าเยอะมากเลยนะครับนั่น ของผมแค่ประมาณ 5-10 บาทเอง จากคุณ : CleatZaHolics เขียนเมื่อ : 30 ธ.ค. 54 23:21:33

ความคิดเห็นที่ 16 15 ปีที่แล้วผมยังได้วันละ 10 เอง อุอุ ออกทะเลแล้ว จากคุณ : ซิงเกิ้ลเพลย์ (ซิงเกิ้ลเพลย์) เขียนเมื่อ : 30 ธ.ค. 54 23:24:41

ความคิดเห็นที่ 17 25 ปีที่แล้ว ปี 86 ผมได้วันละ 10 บาทครับ แต่ปี 90 (ซึ่งหนังสือที่ผมบอกพิมพ์ออกขาย) ผมได้เป็น 20 บาทแล้วครับ เพราะอยู่มัธยมแล้ว ^^ (ไหน ๆ จะออกทะเลแล้ว ก็ชวนกันออกไปเลย) จากคุณ : baevi เขียนเมื่อ : 30 ธ.ค. 54 23:30:59

ความคิดเห็นที่ 18 #11 ใช้แผน 4-2-2 คงแพ้แหงละครับ ต่อให้ชาวบ้านสองตัว ส่วนปี 86 ยังไม่เกิดครับ จากคุณ : Redondo16 เขียนเมื่อ : วันสิ้นปี 54 00:51:32

ความคิดเห็นที่ 19 ขอบคุณที่นำมาให้รื้อฟื้นความทรงจำอีกครั้งครับ    มีเกือบครบทุกเล่มแล้วหายเพราะย้ายที่อยู่ Y_Y เสื้อผ้าปีนึงซื้อไม่กี่ตัว ใช้ซื้อหนังสือจนท่วมห้อง  ขนาดนั้นก็ยังยืนอ่านที่แผงจนคนขายด่า เด็กรุ่นนี้โชคดี เดี๋ยวนี้คนขายไม่ด่านั่งอ่านได้เลย ถึงบางเล่มถูกหุ้มพลาสติกก็ยังดี เราจะแก่กันไปไหนครับ  555 จากคุณ : ฝนตกอะเจ๊าะอะแจ๊ะ เขียนเมื่อ : วันสิ้นปี 54 00:56:36

ความคิดเห็นที่ 20 ผมมีเป็นบางเล่มครับ ตอนนั้นร้านขายของชำในหมู่บ้านสัมมากร (ก่อนถึงโครงการสอง ทางซ้ายจะเป็นทะเลสาปหนึ่ง ร้านอยู่ขวามือ เลยสนามเทนนิสมาหน่อย ตอนนี้ก็ยังมีอยู่นะเคยเห็น) มีหนังสือฟุตบอลเก่าๆสมัยต้นทศวรรษที่ 90s เยอะมากๆโดยเฉพาะของเวิร์ลด์ ซอคเกอร์ มีของอุรุกวัยไหมครับ ทีมนี้เป็นทีมเดียวที่ต่อกรกับอาร์เจนติน่าได้อย่างสูสี และกดหัวแชมป์โลกได้กว่า 20 นาที เสียดายอย่างเดียว ฮอร์เก้ บอสซิโอ้ (มั้ง) ดันให้แนวรับเตะตัดฟาวล์คู่แข่ง อุรุกวัยจึงล้มเหลวไม่เป็นท่า จากคุณ : MoMo says เขียนเมื่อ : วันสิ้นปี 54 01:08:26

ความคิดเห็นที่ 21 ปี 86 หนูเพิ่งขวบเดียวเองฮะ ขอปี 94 บ้างสิฮับหนูทันดูแล้ว จากคุณ : natureza เขียนเมื่อ : วันสิ้นปี 54 01:49:36

ความคิดเห็นที่ 22 #18 ขอบคุณครับ ไปแก้ให้แล้ว ป.ล.เพิ่งสังเกตชื่อ Log in นี่เป็นนักบอลขวัญใจของผมเลยนะครับ 16 ท่าทางจะเป็นหมายเลขเสื้อสมัยอยู่มิลาน แก้ไขเมื่อ 31 ธ.ค. 54 01:59:31 จากคุณ : baevi เขียนเมื่อ : วันสิ้นปี 54 01:51:57

ความคิดเห็นที่ 23 #17  ตอนนั้นผมเรียนประถมได้วันละสามบาทเองครับ T T จากคุณ : CC.mand เขียนเมื่อ : วันสิ้นปี 54 06:50:47

ความคิดเห็นที่ 24 ตกลงเป็นหนังสือปีไหนครับ ถ้ามีพลาตินี่ ปี 86 แต่เห็นพูดนัดชิงปี 90 เลยชักสับสน แต่ขอบคุณมากๆสำหรับกระทู้ดีๆ จากคุณ : มีดบินไร้เงา เขียนเมื่อ : วันสิ้นปี 54 09:16:21

ความคิดเห็นที่ 25 สรุปง่าย ๆ ก่อนที่จะงงเพราะตัวหนังสือซะก่อน (ความจริงผมว่าผมเขียนค่อนข้างชัดนะ) หนังสือออกเพื่อต้อนรับบอลโลก 90 แต่เนื้อหา เค้าย้อนไปเอาข้อมูลของทีมที่ลงแข่งในปี 86 มานำเสนอ แก้ไขเมื่อ 31 ธ.ค. 54 09:44:58 แก้ไขเมื่อ 31 ธ.ค. 54 09:38:42 จากคุณ : baevi เขียนเมื่อ : วันสิ้นปี 54 09:36:08

ความคิดเห็นที่ 26 ผมมีทุกเล่มคร๊าบบบบบบบ...แต่ว่าแม่แอบเอาไปทิ้งบ้าง ย้ายบ้านด้วย อ๊ากกก เสียดายสุดๆ ยังจำหนังสือที่เครือสยามฯ ชอบใช้คำว่าเป็นหนังสือ"เฉพาะกิจ" ได้ มักจะออกมาก่อนทัวร์นาเม้นท์ใหญ่ จะเริ่มประมาณปีครึ่ง รู้สึกช่วงแรกจะออกเป็นรายเดือนนะครับ จำได้ว่าจะกะเงินค่าขนมให้พอซื้อได้ในหนึ่งเดือน ผมเริ่มซื้อคือ ยูโร'88 กัดฟันซื้อเช่นกันครับ ตอนนั้นได้ค่าขนมประมาณ 15 บาท จำได้ว่าซื้อทุกเล่ม พอผ่านแผงขายหนังสือเก่าแถวอู่รถ สาย 36 ท่าน้ำสี่พระยา ต้องไปรื้อดูอาจเจอ เฉพาะกิจ เม็กซิโก'86 ถ้าเจอปุ๊บซื้อปั๊บ ไม่มีตังค์ก็บอกคนขายให้เก็บไห้ก่อน หนังสือที่พี่เบะว่ามา บอลโลก'90 จำได้ว่าเล่มแรก หน้าปกขาวๆ มีมาสคอตฟุตบอลโลก "เชา" อยู่ที่หน้าปก ตื่นเต้นมากกับบอลโลกที่จะดูเต็มๆ ครั้งแรกในชีวิต คนที่อายุต่ำกว่าสัก 25 คงไม่เข้าใจว่า ทำไมต้องตื่นเต้นกับหนังสือ extra ฟุตบอลโลก เพราะปัจจุบันในวันที่ข้อมูลข่าวสารท่วมทะลัก รายงานผลการแข่งขันวินาทีต่อวินาทีเช่นนี้ อยากรู้อะไรแค่สัมผัสปลายนิ้ว คุณก็คลิกหาข้อมูลทั้งเก่าทั้งใหม่ได้แป๊บเดียว แต่กับโลกเมื่อสักยี่สิบกว่าปีก่อน กว่าข่าวฟุตบอลจะมา กว่าจะแปลเนี่ยร่วมอาทิตย์เลย เด็กรุ่นใหม่คงไม่เข้าใจถึงการรอหนังสือวางแผน วินาทีที่แกะหนังสือจากห่อพลาสติกว่าตื่นเต้นยังไง เอาแค่เห็นหนังสือวางแผงก็รู้สึกว่ายิ่งใหญ่แล้วครับ โดยเฉพาะอะไรที่เป็นฟุตบอลโลกเนี่ย จากคุณ : sexy Boy of London เขียนเมื่อ : วันสิ้นปี 54 12:32:15

ความคิดเห็นที่ 27 เห็นแล้วนํ้าตาซึม ......... หนังสือฟุตบอลโลกเฉพาะกิจของสยามสปอร์ตนี่ ผมมี " ครบทุกเล่ม " ตั้งแต่ที่ สยามสปอร์ต ร่วมมือกับ หนังสือ Don baron ของสเปนทำออกมา 52 เล่ม รับฟุตบอลโลก 1982 แล้วก็ไล่เก็บมาเรื่อยทั้ง ยูโร 84 ฟุตบอลโลก 1986 ....88 .....90.......94......96.....98....ฯลฯ ตอนนั้นเงินไปโรงเรียนเกลี้ยงกับหนังสือเหล่านี้หมด เป็นเรื่องแปลกแต่จริงเหมือนกัน ทั้งๆที่เมื่อก่อนความเจริญเรื่องข้อมูลยังมีน้อย แต่สยามสปอร์ตกลับทำหนังสือพวกนี้ออกมาได้ " ดีมาก " มีครบทั้ง " ความสวยงาม " และ " ข้อมูลที่มีประโยชน์ " อย่างหนังสือฟุตบอลโลก สเปน 1982 ทั้ง 52 เล่ม มีประวัติตำนานฟุตบอลโลก ตั้งแต่ ครั้งแรกที่อุรุกวัย 1930 มายัน อาร์เจนติน่า 1978 ที่สมบรูณ์แบบ ทั้ง ภาพ และ เรื่องราว แบบละเอียดยิบ .... ผมยังจำได้เลยว่า หนังสือเอ็กตร้าอิตาเลีย 90 นี่ มีภาพหน้าปกที่สวยงามมาก เพราะเอารูปงานศิลปะชิ้นเยี่ยมของอิตาลี่ มาประกอบกับลูกฟุตบอล มาทำเป็นภาพปก แล้วด้านในยังเป็นภาพสีล้วนๆทั้งเล่มด้วย สวยงามสุดยอดมากในสมัยนั้น ภาพหน้าหนังสือที่ท่าน baevi เอามาลงในนี้ ผ่านตาผมมาหมด เพราะก่อนฟุตบอลโลกทุกๆครั้ง ผมจะงัดเอาหนังสือพวกนี้กลับมานั่งอ่านอยู่เรื่อยๆ หนังสือพวกนี้ผมหวงมากกกกกกกกกก อ่านเสร็จ เก็บใส่ซองพลาสติคเดิมของมัน แล้ว หากล่องพลาสติคกันลม กันปลวก กันคน มาใส่เอาไว้อย่างดี แต่น่าเสียดายที่ มีอยู่ช่วงนึงผมไม่ได้อยู่บ้านซะ 2 ปี ที่บ้านมีคนเข้ามาขอใช้พื้นที่ทำออฟฟิช แล้วดันยกเอาลังหนังสือของผมทิ้งหายไปเกลี้ยงหมด พอผมกลับมาหาลังหนังสือไม่เจอ ถึงกับทรุด นอนไม่หลับเป็นเดือนๆ ใครจะว่าเว่อร์ก็ยอม เพราะ ความทรงจำ ความสวยงาม ของวันวานในอดีตของผม หายวับไปกับหนังสือพวกนั้นจนหมดสิ้น... ทำให้ผม " หมดอารมณ์ " ที่จะเก็บหนังสืออะไรอีกเลย มาจนทุกวันนี้ ยิ่งหนังสือเอ็กตร้าฟุตบอลทัวนาเม๊นต์ต่างๆ ช่วงหลังมานี่ของสยามสปอร์ต ที่ทำออกมาโดยคอลัมนิสต์ " รุ่นใหม่ " ที่มือไม่ถึง มีคุณภาพสวนทาง ขาลง กับ หนังสือในอดีต พวกนี้ แบบเทียบกันไม่ติดอีกด้วย ทำเอาผมขาดกับหนังสือของสำนักพิมพ์นี้ไปเลย... ว่าไปแล้ว จริงๆถ้า " อีโก้ " ของพวกคอลัมนิสต์สยามสปอร์ตรุ่นใหม่นี้ไม่สูงส่งจนเกินไปนัก น่าจะหาเวลาว่าง ขอรุ่นพี่ รุ่นพ่อ ในสำนักพิมพ์ตัวเอง ให้เอาหนังสือเอ็กตร้าบอลโลก บอลยูโร เก่าๆพวกนี้ มานั่งดูเป็นตัวอย่าง ช่วยเปิดสมอง ขยายไอเดีย ของตัวเอง ให้ทำงานออกมาดีกว่า หรือ ใกล้เคียงกับคนรุ่นก่อนๆบ้าง แล้ว " ความศรัทธา " ของแฟนๆรุ่นเก่าๆอาจจะกลับมาตามซื้อ ตามอ่าน เพิ่มขึ้นก็เป็นได้ ขออภัยท่าน baevi และ เพื่อนๆ ท่านอื่นๆ ที่ลากออกนอกเรื่องมาไกล แต่เห็นหนังสือพวกนี้ แล้ว " ความทรงจำเก่าๆ " ม้นกลับมา " กระจ่าง "อยู่ตรงหน้าทุกที แก้ไม่เคยหายจริงๆ..........                                                                                                             > Shine on you crazy diamond < แก้ไขเมื่อ 31 ธ.ค. 54 19:23:06 จากคุณ : Romancini เขียนเมื่อ : วันสิ้นปี 54 19:12:25

ความคิดเห็นที่ 28 ปี 86 เพิ่งขวบเดียวเอง ดูๆแล้วมิดฟิลด์ฝรั่งเศสจัดอยู่ในหมวดคลาสสิกสุดยอดเลยนะนั่น แล้วไปตกรอบอีท่าไหนอ่ะครับ เล่าให้ฟังที จากคุณ : FireLion เขียนเมื่อ : วันสิ้นปี 54 20:43:54

ความคิดเห็นที่ 29 ฝรั่งเศสแพ้เยอรมันรอบรองฯครับ รายละเอียด ผมก็ไม่ทันเหมือนกัน แหะ ๆ แม้จะไม่ทัน แต่สำหรับผม นี่คือบอลโลกที่ผมชื่นชอบที่สุด สถิตอยู่ในความทรงจำตลอดมา อาจจะเป็นเพราะสารคดี Hero World Cup ที่ได้ดูทางช่อง 7 สี ตอนเด็ก ๆ นั่นก็ได้ครับ แก้ไขเมื่อ 31 ธ.ค. 54 21:03:44 แก้ไขเมื่อ 31 ธ.ค. 54 21:02:05 จากคุณ : baevi เขียนเมื่อ : วันสิ้นปี 54 21:01:24

ความคิดเห็นที่ 30 เอาตัวอย่างสารคดีนั่นมาให้ดูครับ จากคุณ : baevi เขียนเมื่อ : วันสิ้นปี 54 21:08:04

ความคิดเห็นที่ 31 ปี 86 เป็นปีที่ผมตามเชียร์ฟุตบอลโลกอย่างจริงจังเพราะอายุ 13-14 ปีแล้ว เชียร์เดนมาร์คตามเชียร์ เจสเปอร์ โอเซ่น ของ แมน ยู ดันเจอสเปนอัดตกรอบ พญาแร้งชัดไปซะ 5-1 แต่ลงท้ายรักลีลาที่สวยงามของมาราโดน่าครับ แต่เมื่อก่อนเขาก็ไม่ได้ถ่ายทอดสดทุกนัดนา จากคุณ : ทนายเนติบัณฑิตคนหนึ่ง เขียนเมื่อ : วันปีใหม่ 55 00:20:56

ความคิดเห็นที่ 32 เรื่องเบอร์เสื้ออาร์เจนปีนั้น ถ้าจำไม่ผิดเค้าจะเรียงเบอร์ตามตัวอักษรนามสกุลใช่มั้ยครับ ยกเว้นอยู่คนนึงซึ่งไม่ต้องเดาเลยว่าเป็นใคร น้าเตี้ย มาราโดน่า พ่อทุกสถาบัน คนนี้นี่เอง บอลโลกหนนี้ทำให้โลกรู้ว่าคนๆเดียวสามารถบันดาลแชมป์ได้ น่าเสียดายที่โรบี้ บาจโจ้กับซีเนดีน ซีดานทำไม่สำเร็จในกาลครั้งต่อมา จากคุณ : FireLion เขียนเมื่อ : วันปีใหม่ 55 01:39:43

ความคิดเห็นที่ 33 คุณ FireLion ครับ... ฝรั่งเศส ยุคนั้น สุดยอดมากกกกกกกกก เพราะรวมตัว พัฒนาการเล่นร่วมกันมาตั้งแต่ตกรอบแรกฟุตบอลโลก 1978 และ ในฟุตบอลโลกที่สเปน ปี 1982 หลังจากเกมนัดแรกที่แพ้อังกฤษ 1 ประตูต่อ 3 ฝรั่งเศส ก็ระเบิดฟอร์มดาวรุ่ง ฟันฝ่าเข้าไปจนถึงรอบรองชนะเลิศ ในรอบรองนั้น ฝรั่งเศส โชว์ฟอร์มเหนือกว่า เยอรมันตะวันตกตลอดทั้งเกม แต่ดันขาดดวงหนุนนำ ไม่สามารถปิดบัญชีได้ หลังจากที่เสมอกันใน 90 นาที 1 ประตูต่อ 1 ในช่วงต่อเวลาพิเศษ ฝรั่งเศสขึ้นนำเยอรมันไปถึง 1 ประตูต่อ 3 แต่ดันปล่อยให้ทีมอินทรีเหล็กกลับมาตีเสมอได้ 3 - 3 อย่างน่าเขกกระโหลกตัวเอง แล้วในช่วงของการยิงลูกโทษที่จุดโทษ ฝรั่งเศสก็เสร็จเยอรมันไปตามระเบียบ ฟุตบอลโลกที่เม็กซิโก ปี 1986 นั้น ฝรั่งเศสเดินทางไปแบบเป็นตัวเต็งทีมหนึ่งเลยทีเดียว เพราะตัวผู้เล่นเดิมๆอย่าง มิเชล พลาตินี่ , ณอง ติกาน่า , อแลง จีเรซ , โดมินิค โรเชสตู กำลังอยู่ในช่วงพีค ไหนยังจะมีผู้เล่นดาวรุ่งดวงใหม่มาเสริมความคมเพิ่มขึ้นอีก อย่าง ... ณอง ปิแอร์ ปาแปง , หลุยส์ เฟอร์นองเดซ , ยังค์นิค สตอร์ปิล่าร์ แถมพวกเขายังมีดีกรีเป็นถึงแชมป์ยุโรป ทีมล่าสุดมาหมาดๆจากปี 1984 และพวกเขาก็โชว์ฟอร์มสะเด่าสมกับที่บรรดาเกจิคาดการณ์เอาไว้ 3 นัดในรอบแรกนั้น ทีมตราไก่มีเสมอกับสหภาพโซเวียต 1 - 1 ทีมเดียว นอกจากนั้น พวกเขาเก็บชัยเรียบวุด ทั้ง แคนนาดา , ฮังการี และ มาระเบิดฟอร์ม ดับแชมป์เก่าอย่างอิตาลี แบบสบายๆ ก่อนที่จะมาล้ม " เต็ง 1 " บราซิล รอบ 8 ทีมสุดท้ายในเกมที่ถูกกล่าวขวัญกันว่าเป็น " เกมแห่งทศวรรษ " แต่ในรอบรองชนะเลิศ ทีมตราไก่ ต้องโคจรมาจ๊ะเอ๋กับคู่ปรับเก่าอย่าง เยอรมันตะวันตก เกมก็เป็นไปในรูปแบบเดิมๆ ฝรั่งเศสเป็นฝ่ายที่ครองเกมได้เหนือกว่าตลอด แต่ดันโดนเยอรมันออกนำไปก่อนจากลูกฟรีคื๊กนอกเขตของ อันเดียร์ เบรเม่ห์ จากนั้น ฝรั่งเศสก็ตั้งหน้าตั้งตา ดาหน้าพาลูกขึ้นไปป้วนเปี้ยนที่หน้าประตูของทีมเยอรมันตลอด แต่ยิงไม่ดีบ้าง หรือ ยิงดีแล้วแต่ไปเข้ามือของ ฮาราลด์ ชูมัคเกอร์ ยอดนายทวารอินทรีเหล็กซะหมด ฝรั่งเศสบุกแบบวันเวย์อย่างนี้อยู่ตลอดทั้งเกม จนมาโดนลูกโต้กลับของเยอรมันในนาทีที่ 89 ที่ รูดี้ โฟลเลอร์ หลุดเข้าไปดวลเดี่ยวกับ โจเอล บาสต์ นายทวารฝรั่งเศส และไอ้เป็ดน้อยก็โชว์ลูกเหนือชิ๊พบอลกระดกข้ามหัวบาสต์ แล้วเแปโล่งๆ เข้าไป เป็นสกอร์ 2 - 0 ให้เยอรมันตอกยํ้าความชํ้าใจซั็าสองแก่แฟนๆทีมตราไก่อีกครา.......                                                                                                             > Shine on you crazy diamond < จากคุณ : Romancini เขียนเมื่อ : วันปีใหม่ 55 04:16:27

ความคิดเห็นที่ 34 โอ้วว ขอบคุณครับ ผมเพิ่งรู้เหมือนกันว่าฝรั่งเศสเสร็จเยอรมันตต. สองครั้งซ้อนเหมือนบอลแพ้ทางยังไงยังงั้น อีกนิดนะครับคุณ Romancini สมมุติเล่นๆว่า ถ้าทีมตราไก่ชุดนี้(ปี86)หลุดเข้าชิงกับอาร์เจนของมาราโดน่าคิดว่าจะเป็นยังไงครับ แก้ไขเมื่อ 01 ม.ค. 55 11:32:32 จากคุณ : FireLion เขียนเมื่อ : วันปีใหม่ 55 11:30:47

ความคิดเห็นที่ 35 ^ ^ ^ เอาจริงๆนะครับ ผมว่าเกมที่ดีที่สุดที่ฝรั่งเศสจะเล่นได้ในทัวนาเม๊นต์นั้น มันผ่านพ้นไปแล้วตั้งแต่ในเกมรอบ 8 ทีมสุดท้าย ที่พลิกเอาชนะบราซิลมาได้ในการดวลลูกโทษที่จุดโทษ ดังนั้น จากการที่ฝรั่งเศศรีดฟอร์มที่ดีที่สุดออกมาในเกม 120 นาทีกลางแดดเปรี้ยงๆของเม็กชิโก จึงส่งผลให้เหล่าผู้เล่นในทีมฝรั่งเศสเกิดอาการล้าเป็นอย่างมาก ซึ่งจะเห็นได้ชัดเลยในเกมที่แพ้เยอรมันตะวันตกในรอบรองชนะเลิศ ที่ฝรั่งเศสเร่งเกมไม่ขึ้นในช่วงท้าย ผมจึงเห็นว่า ถ้าฝรั่งเศสต้องโคจรไปเจอกับอาร์เจนติน่าจริงๆในนัดชิงชนะเลิศ ผลการแข่งขัน ก็คงออกมาไม่ต่างไปจากเยอรมันตะวันตกที่พ่ายแพ้ให้กับความสด และ มหัศจรรย์ ของ ดิเอโก้ มาราโดน่า และ พลพรรคฟ้าขาว ชุดนั้นอยู่ดี แต่เกมคงออกมาแบบสนุกคู่คี่กันตลอด 90 นาทีล่ะครับ เพราะแดนกลางของฝรั่งเศส ก็ไม่มีอะไรเป็นรองอาร์เจนติน่าเหมือนกัน แต่เตะๆกันไป อาการล้า และ สภาพอากาศตอนเที่ยงที่สุดโหดของเม็กชิโก คงจะค่อยๆทำลายพละกำลังของเหล่าผู้เล่นฝรั่งเศสไปทีล่ะนิด จนสุดท้ายก็เสร็จอาร์เจนติน่าเหมือนเดิม ล่ะครับผม....                                                                                                             > Shine on you crazy diamond < จากคุณ : Romancini เขียนเมื่อ : 2 ม.ค. 55 07:49:49