PANTIP.COM : S11554317 < < < + + This is Anfield [09 January 2012] + + Liverpool draw Manchester United in FA Cup 4th round > > >{แตกประเด็นจาก S11550747} [ฟุตบอลต่างประเทศ]

ความคิดเห็นที่ 24

++ Tomkins : หากซัวเรสเหยียดผิวทุกคนที่พูดสเปนก็เหยียดผิว ++

ที่มา: TomkinsTimes
บทความโดย: Paul Tomkins
แปล: Amanda_Kop

ชาวสเปนทั้งหมดเป็นพวกเหยียดผิวและชาวอเมริกาใต้ทั้งหมดที่พูดภาษาสเปนก็เป็นพวกเหยียดผิวเช่นกัน เหตุก็เพราะทุกครั้งที่พวกเขาใช้คำศัพท์ที่มันหมายถึงอะไรที่เป็นสีดำ ชัดเจนพวกเขาจะพูดว่า “a negro”

พวกเหยียดผิว (ในเคสนี้ผมจำเป็นต้องอธิบาย เรื่องนี้มันเกี่ยวพันถึงข้อเท็จริงที่ว่าผู้คนไม่สามารถชี้ถึงความแตกต่างระหว่างคำศัพท์คำหนึ่งที่สะกดเหมือนกันแต่มันหมายถึงสิ่งที่แตกต่างกันออกไปในภาษาที่แตกต่างกันออกไป) เรื่องนี้เป็นเรื่องราวในภาพรวมของการที่ผู้คนพยายามที่จะตั้งมาตรฐานทางศีลธรรมในสิ่งที่มันไม่มีอยู่จริง เรื่องราวที่ไม่มีพยายานที่น่าเชื่อถือและเรื่องราวที่ผู้คนต้องการให้มันเกิดขึ้นเพื่อใช้ประโยชน์จากมัน มันเป็นเรื่องความหมายของคำต่างๆ และสามารถหาข้อผิดพลาดในรายงานต่างๆ ได้อย่างง่ายดาย มันเป็นเรื่องราวของสองสโมสรที่ยิ่งใหญ่ที่มีการปะทะคารมกันอย่างถึงพริกถึงขิมโดยมีหลักฐานในการพิสูจน์ความจริงเพียงน้อยนิดหรือไม่สามารถพิสูจน์ทราบข้อกล่าวหาได้ก็น้อยนิดเช่นกัน แต่การตัดสินให้มีความผิดเป็นเรื่องที่ต้องการจากผู้เกี่ยวข้องที่อยู่ภายนอก คุณอาจจะเบื่อกับเรื่องราวนี้แต่ชายคนหนึ่งที่ถูกกล่าวหาคือ Luis Suarez ที่ตอนนี้ยังคงถูกประนามว่าเป็นพวกเหยียดผิว ในขณะที่คณะกรรมการตัดสินที่ลงโทษเขากล่าวว่าเขาไม่ใช่พวกเหยียดผิวแต่อย่างใด

การคิดแบบมีตรรกะล่าสุดที่เกิดขึ้นจากหนึ่งนักเขียนอาวุโสเกี่ยวกับฟุตบอลผ่านทาง Twitter ก็คือ [you] ‘black cunt’ may not be racist (“don’t know” เป็นคำกล่าวอ้างของ Ollie Holt จากทาง The Mirror หลังข้อความของเขา) แต่เขาก็ยังคงระบุด้วยว่าสิ่งที่ Luis Suarez พูดคือการเหยียดผิวและสมควรได้รับโทษแบนหนัก ส่วนตัวผมเห็นด้วยกับ Holt ในเรื่องของคำกล่าวคุกคามที่มีความรุนแรงอย่าง ‘coon’ และ ‘nigger’ และคำกล่าวเหล่านั้นดูเหมือนจะมีความรุนแรงของการเหยียดผิวมากกว่าการระบุถึงเรื่องสีผิวของคนบวกรวมกับคำสบถที่เกี่ยวกับเรื่องเพศประกอบกัน แต่ไม่ว่าอย่างไรก็ตาม ‘you black cunt’ คือบางสิ่งที่ผมคาดว่าไม่ว่าคนผิวดำคนใดก็คิดว่ามันเป็นคำกล่าวที่คุกคาม บางทีมันอาจจะเป็นอะไรที่คุกคามมากหากบวกรวมคำที่มันจะถูกนำมาประกอบ 2 คำที่ว่ามานั้น แต่สิ่งที่ทำให้ผมประสบปัญหาก็คือ Holt ออกมาตำหนิ Suarez ทันทีในสิ่งที่เขารู้สึกว่ามันเป็นอะไรที่เลวร้ายกว่าการกล่าวว่า “you black cunt” ในช่วงที่ Suarez กล่าวจริงๆ แค่เพียงคำที่หมายถึงแค่เพียง ‘black’ ในลักษณะที่สอดคล้องกับวัฒนธรรมและภาษาที่เขาใช้ หากบอกว่ามันเป็นการการขาดคำแนะนำที่ดี? ผมขอตอบว่าใช่ แต่หากบอกว่าเขาเป็นพวกเหยียดผิว? ผมขอบอกว่ามันไม่ใช่อย่างแน่นอน

พวกคุณจำกันได้หรือไม่ว่าการปะทะคารมกันเริ่มต้นจากคู่กรณีที่เปิดเกมส์ในภาษาสเปน และกองหน้าอุรุกวัยกล่าวคำในภาษาสเปนที่เกี่ยวพันกับคำว่า “black” หรือเขากล่าวคำว่า “negro” ในภาษาสเปน อย่าลืมมันไม่ใช่คำในภาษาอังกฤษที่สะกดเหมือนกัน (แต่ออกเสียงต่างกันอย่างมาก) และมันง่ายต่อการทำให้เกิดความสับสนอย่างมาก (หากคุณประสบความยากลำบากในการหาความแตกต่าง) ใครก็ตามที่แค่เพียงอ่านคำศัพท์คำนั้นอาจจะเกิดความสับสน และมันคงไม่อาจช่วยอะไรได้ รวมถึงกลุ่มคนที่ BBC ด้วยที่ถึงกับใส่ “a” นำหน้าคำนั้น แน่นอนว่า Suarez ไม่ได้ถูกเขียนประวัติขึ้นมาจาก Mr Holt ส่วน John Terry ถูกกล่าวหาว่าเรียก Anton Ferdinand ว่า “black cunt” บางทีนั่นอาจเป็นแรงบันดาลใจให้เขาลบการ Tweet ในสิ่งนี้ไป แต่เรื่องนี้ก็เป็นเพียงการคาดเดาของผมเท่านั้นเอง เขากล่าววิจารณ์แฟนบอล Liverpool ในการหนุนหลังนักเตะของตัวเองแต่ Holt กลับหนุนหลังนักเตะของเขาอย่าง Terry ส่วนตัวแล้วผมไม่คิดว่าผมกำลังปกป้อง Suarez หากเขาเป็นคนเรียก Evra ว่า ‘a black cunt’ ในภาษาบ้านเกิดของเขา หากไม่มีเรื่องความแตกต่างทางด้านวัฒนธรรมเข้ามาเกี่ยวข้องแต่ด้วยการที่เรื่องนั้นมันไม่เกิดขึ้น มันก็เป็นแค่จุดที่ทำให้เกิดความสับสนมากขึ้น ผมก็เพียงแค่ต้องขอโทษต่อ Mr Holt หากว่าแฟนบอล Liverpool ได้ส่งข้อความ Tweet ที่ถือเป็นข้อความคุกคามไปหาเขา แต่ ณ สภาพการณ์อย่างนี้มันดูเหมือนเขาไม่ได้ปฏิบัติอย่างยุติธรรมเลย

การให้การสนับสนุนของผมแน่นอนว่าเป็นอันรู้กันดีและมันชัดเจนมากจากพาดหัวของเวบไซด์แห่งนี้ แต่ผมก็ยังคงหวังว่าประเด็นต่างๆ ของผมมันยุติธรรมดี แม้ว่ามันจะมาจากมุมมองของแฟนบอล Liverpool มุมหนึ่ง อะไรจะเกิดขึ้นหากว่าคำศัพท์ในอังกฤษสำหรับเรียกอะไรที่เป็นสีดำว่า “negro” เหมือนกัน (อ่านออกเสียงว่า neh-gro แทนที่จะเป็น knee-grow?) หรือหากว่าในภาษาสเปนคำศัพท์ว่า “Black” หมายความว่า “dated, often offensive” สำหรับผู้คนที่มีพื้นเพมาจากอัฟริกา และหากมีนักเตะอังกฤษใช้คำดังกล่าวอย่างผิดพลาดไป? ในขณะที่ Suarez ถูกตัดสินว่ามีความผิดอย่างชัดแจ้งภายใต้กฎเกณฑ์ของเราที่ใช้คำที่บ่งชี้ไปถึงเรื่องสีผิว (ไม่ว่าอย่างไรในประเด็นไหนก็ถือว่าไม่ใช่เรื่องผิดสำหรับชาวอุรุกวัยโดยกำเนิด) การกล่าวพาดพิงแค่เพียงถึงเรื่องสีผิวไม่ได้หมายความว่าคุณเป็นพวกเหยีดผิว รายงานก็ระบุอย่างชัดเจนแล้วว่า Suarez ไม่ใช่พวกเหยียดผิว

ตรรกะการ Tweet ของ Holt มันเหมือนกับความเชื่อของ Martin Samuel เมื่อสองเดือนที่ผ่านมาว่า Suarez มีความผิดเพราะเขาไม่ถูกภาพจากกล้องทีวีจับได้ (คุณก็เห็นได้ว่าเขาขี้โกง) และ Terry อาจไม่มีความผิดเพราะคำพูดของเขาถูกกล้องจับภาพได้ (ไม่มีใครโง่เง่าขนาดที่ใช้ข้อแย้งอย่างนั้นหรอก) งั้นมันก็คงเหมือนกับบรรดาโจรปล้นแบงค์ทั้งหมดที่ถูกภาพจากกล้อง CCTV จับได้:-)บริสุทธิ์หมดอะดิ และคงไม่มีใครโง่เง่าพอที่จะปล้นแบงค์ที่มีเครื่องมือไฮเทคขนาดนั้นหรอก แต่ใครก็ตามที่ไม่ได้ถูกภาพจากกล้อง CCTV ไม่ว่าจะเป็นคุณ ผม คุณยายนั่งรถเข็นที่ไหนก็อาจเป็นผู้ที่มีความผิดได้อย่างนั้นหรือ มันทำให้ผมหวนนึกถึงการพิจารณาคดีของ Salem ที่มีการตั้งธงกันเอาไว้ก่อนแล้ว คุณจะทำห่าอะไรได้ในการเอาชนะกระบวนการคิดแบบนั้น? หากคุณกล้าที่จะออกมาปกป้อง Suarez คุณก็มีความเสี่ยงที่จะถูกตราหน้าว่าเป็นพวกเหยียดผิวหรืออย่างน้อยก็เป็นพวกที่ยอมรับในเรื่องเหยียดผิว กองหน้าของ Liverpool ที่ผ่านมาถูกนำมาเปรียบเทียบผ่านสื่อมากมายกับฆาตรกรที่จริยธรรมบกพร่องอย่าง Stephen Lawrence ที่ถูกตัดสินด้วยหลักฐานที่แน่นหนาในศาลสถิตย์ยุติธรรมอย่างปราศจากข้อสงสัยที่สมเหตุสมผล (beyond all reasonable doubt)

การเหยียดผิวแน่ชัดว่ามันเป็นเรื่องผิด แต่คุณหากคุณต้องการเปรียบเทียบระหว่างชายคนหนึ่งที่ถูกกระตุ้นให้กล่าวคำว่า ‘black’ ต่อชายผิวดำคนหนึ่งโดยปราศจากคำคุณศัพท์หรือนามขยายคำว่า “black” อันนั้น และเยาวชนมากมายที่ฉกฉวยทำลายผู้ชายคนหนึ่งเพียงเพราะสีผิวของชายคนนั้น แล้วขบขันและมีความสุขกับสิ่งนั้น คุณก็คงบ้าบอไปกันใหญ่แล้วล่ะ ในสังคมเราเราดูเหมือนจะเกลียดผู้ถูกกล่าวหาหรือผู้ปกป้องและดูเหมือนจะชื่นชอบผู้กล่าวหา การปกป้องเกียรติศักดิ์ของชายคนหนึ่งนั้นมันก็เหมือนกับการที่เขาถูกกล่าวหามันเป็นเรื่องผิดนั่นแหละ มันเป็นเรื่องเศร้าของสังคมเราทำอย่างเหมือนกับว่าทุกคนที่ถูกนำเข้าสู่กระบวนการพิจารณาดูเหมือนจะผิดและเพื่อทำให้มันเรียบร้อยไปซะ แต่เราต้องการผู้ปกป้องฝ่ายจำเลยที่เข็มแข้งและมีความสามารถซึ่งเป็นส่วนหนึ่งตามสิทธิตามรัฐธรรมนูญเพื่อ 2 เหตุผล เหตุผลแรกคือหากบางคนที่ถูกตัดสินว่ามีความผิดคือผู้ที่มีการปกป้องได้ย่ำแย่ มันก็มีความเสี่ยงที่จะก่อให้เกิดการรื้อการพิจารณาคดีใหม่ซึ่งเป็นเรื่องที่เสียทั้งเวลาและเงินทอง มันไม่ดีต่อกระบวนการยุติธรรม มนุษย์ทุกผู้ทุกนามมีสิทธิในการได้รับการพิจารณาคดีอย่างยุติธรรมและการปกป้องตัวเองอย่างเต็มที่ก็เป็นส่วนหนึ่งในสิทธิอันนั้น แต่สิ่งที่สำคัญกว่านั้นก็คือเราต้องการฝ่ายจำเลยฝ่ายป้องกันเพื่อปกป้องความบริสุธิ์และการเข้าใจผิด เราต้องการพวกเขาในการตั้งคำถามที่มีความถูกต้องเหมาะสมและมีการตั้งคำถามตอบโต้กับฝ่ายกล่าวหา (ที่บางทีอาจมีประเด็นซ่อนเร็นของตัวเองอยู่) อย่างนั้นแล้วความยุติธรรมถึงจะเกิด

เราต้องการพวกเขาในการตั้งคำถามเกี่ยวกับหลักฐาน ตอบประเด็นด้วยพยานที่เป็นผู้เชี่ยวชาญ มองหาจุดผิดพลาดในประเด็นที่ฝ่ายกล่าวหากล่าว (เพราะงานของฝ่านกล่าวหาคือต้องเอาชนะคดีในเคสนั้น แทนที่จะเป็นการการันตีว่าเรื่องความถูกต้องมันมีชัยเหนือกว่าเรื่องความไม่ถูกต้อง) มันเป็นงานของฝ่ายจำเลยที่จะระบุว่าประเด็นนี้ยังไม่ได้ถูกนำมาพิจารณาด้วยนะ (หากฝ่ายจำเลยไม่สามารถทำอย่างนั้นได้ โดยปกติแล้วคุณจะได้รับอนุญาตให้อุธรณ์ได้ ไม่ใช่แค่เพียงปรากฎอยู่คำตัดสินเหมือนอย่างที่ Suarez โดน หากว่าเขาพยายามทำอย่างนั้นเขาจะยิ่งตกอยู่ในภาวะอันตรายมากยิ่งขึ้น แต่ต้องเป็นในประเด็นของคำตัดสินที่ว่าเขาผิดหรือไม่มีความผิดด้วย ต้องสามารถอุธรณ์ได้) ในตอนที่มันมีหลักฐานทางวิทยาศาสตร์จำนวนมาก มีพยายานที่เป็นกลางมีความน่าเชื่อถือจำนวนมากมาย มีกล้อง CCTV ที่จับภาพได้ว่ามีคดีฆาตกรรมเกิดขึ้น มีการบันทึกการยอมรับต่อฝ่ายกล่าวหา หลังจากนั้นฝ่ายปกป้องใครบางคนถึงอาจถูกมองว่ามีความผิด หากความผิดของฝ่ายจำเลยชัดเจน มันง่ายที่จะพิสูจน์ให้เห็นได้

แต่หากว่ามันไม่มีหลักฐานที่เหมาะสมจะต้องมีการดำเนินการอย่างไร? จำเรื่องราวของ Colin Stagg ชายที่ทำการข่มขืนและฆ่า Rachel Nickell บนถนน Wimbledon Common ในปี 1992 ได้หรือไม่? เขาถูกกล่าวหาอย่างนั้นจากบรรดาหนังสือพิมพ์แทบลอยด์มากมาย และถูกนำเข้าสู่กระบวนการพิจารณาคดีโดยทางตำรวจโดยเชื่อมั่นว่าเขามีความผิด ด้วยการที่เขาดูน่าสงสัยและอยู่ในพื้นที่เกิดเหตุ ไม่สนว่ามันไม่ได้มีหลักฐานอะไรที่แน่ชัด เขาเพียงแค่เป็นเหยื่อที่ดูเหมาะสมเท่านั้นก็เพียงพอแล้ว มันมีการนำคดีเข้าสู่กระบวนการไต่สวนแต่คดีได้ถูกยกฟ้องไป เหตุผลก็เพราะการขาดซึ่งหลักฐาน แต่แน่นอนนั่นเป็นศาลยุติธรรมไม่ใช่คณะกรรมการที่ถูกจัดตั้งขึ้น ผลพวงจากเรื่องของ Stagg ยังคงมีต่อเนื่องจากนั้น มันทำให้เขาเหมือนคนที่กระทำผิด ชีวิตของ Stagg ถูกทำลายย่อยยับ เขาใช้เวลา 16 ปีอยู่กับรอยด่างพร้อยอันนั้นจนกระทั่งถึงปี 2008 ด้วยเทคโนโลยีทางวิทยาศาสตร์ที่ทันสมัยในการแยก DNA ของเขาออกมา กลายเป็นว่านาย Robert Napper เป็นผู้ที่ถูกตัดสินให้มีความผิดในการข่มขืนและฆ่า Nickell โดยปราศจากการลดหย่อนโทษ

จากคุณ : Deerhunter

เขียนเมื่อ : 9 ม.ค. 55 07:57:46

ความคิดเห็นที่ 25

ลองพิจารณาดูเรื่องราวของชายคนนี้เช่นกัน ลองดูว่าเขาดูแปลกใช่มั๊ยล่ะ? แน่นอนเขาดูเหมือนเป็นคนประเภทที่อาจถูกตัดสินว่ามีความผิดในการใส่ความกันของชายคนหนึ่งต่ออีกคนหนึ่ง อะไรจะเกิดขึ้นหากการตัดสินเพื่อลงโทษเกิดขึ้นจากคณะกรรมการที่แต่งตั้งขึ้นแทนที่จะเป็นการตัดสินโดยศาลยุติธรรม เรื่องอย่างนี้มันเป็นความจำเป็น เขาอาจจะถูกตัดสินลงโทษในความผิดฆาตกรรม Jo Yeates ในช่วงคริสมาสต์ปี 2010 เพราะอะไรนะหรือ? เรื่องของเรื่องก็คือมันมีเด็กหนุ่มชาวดัทช์ที่ดูหน้าเชื่อถือชื่อ Vincent Tabak ได้บอกกับเจ้าหน้าที่ตำรวจว่าเขามีความสงสัยว่า Christopher Jefferies จะกระทำความผิดและเจ้าของห้องพักซึ่งเหยื่อไปพักได้ปรากฎตัวและมีพฤติกรรมที่ดูแปลกๆ ในช่วงเวลาที่หญิงคนนั้นถูกฆาตกรรม เรื่องนี้มันเป็นเรื่องการใส่ความกันระหว่างอีกคนต่อชายอีกคน และด้วยการเข้ามาพัวพันของสื่อคุณยากที่หาใครสักคนที่ไม่คิดว่า Jefferies อยู่เบื้องหลังเรื่องนี้ Jefferies ไม่มีพยานบุคคลยืนยันใดๆ แต่อย่างไรก็ตามการที่ขาดพยานบุคคลก็ไม่ได้หมายถึงว่าเขาจะเป็นคนผิด ในท้ายที่สุดแล้วคนที่ดูน่าเชื่อถืออย่าง Tabak ยอมรับเองว่าเป็นฆาตกร แต่ก็หลังจากคนที่ดูท่าทางแปลกๆ อย่าง Jeffries ถูกปรักปรำใส่ความต้องเจ็บปวดไปมากมายแล้ว Jeffries ไม่เคยมีประวัติในเรื่องการฆาตกรรม และก็เป็นเหมือน Suarez ที่ไม่เคยมีประวัติในเรื่องการเหยียดผิวเช่นเดียวกัน

ณ ตอนนี้ไม่ใช่ว่าการเทียบเคียงกันอย่างนี้มันจะพิสูจน์ให้เห็นว่า Patrice Evra เป็นคนปั้นเรื่องเกี่ยวกับ Suarez ขึ้นมาหรือมันไม่มีความเป็นไปได้เลยที่ Suarez จะใช้คำในภาษาสเปนที่เขายอมรับว่าได้กล่าวคำนั้นหนึ่งครั้งมากครั้งกว่านั้น เรื่องราวที่เล่ามามันเป็นแค่ตัวอย่างของสิ่งที่เกิดขึ้นที่ปราศจากหลักฐาน ขาดการพิสูจน์ เรื่องราวที่แสดงให้เห็นว่าอะไรเกิดขึ้นเมื่อสื่อมีช่องให้เล่นข่าวและไม่มีอะไรเปลี่ยนแปลงเรื่องนี้ได้ แล้วอย่าง Stagg หรือ Jefferies จำเป็นต้องมีความผิดบนพื้นฐานการตัดสินโดยใช้การพิจารณาความเป็นไปได้ของเหตุการณ์ (The Balance of Probabilities) บนพื้นฐานของคำพูดคนแทนที่จะเป็นการพิสูจน์ข้อเท็จจริงผ่านทางคณะกรรมการที่ไม่ได้ปราศจากเรื่องที่ต้องการให้เกิดสิ่งนี้ขึ้นเพื่อใช้ประโยชน์จากเหตุการณ์นี้อย่างสิ้นเชิง ทั้ง Stagg หรือ Jefferies อาจถูกจำคุกไปตลอดชีวิตก็เป็นไปได้

Rob Guttmann แห่ง The Anfield Wrap กล่าวว่า: “มันชัดเจนแม้ว่าผู้กล่าวหา Luis Suarez อย่าง Patrice Evra อาจแสดงให้เห็นถึงการเป็นคนโกหกหน้าตาย แต่มันอาจเป็นอะไรที่เลวร้ายยิ่งกว่าซึ่งเกิดขึ้นซ้ำซากในวงการกีฬาและ FA หากกระบวนการยุติธรรมล้มเหลวในการดำเนินการต่อ Evra แทนที่จะเป็น Suarez” เป็นเป็นอะไรที่ตรงประเด็นลูกต้องอย่างที่สุด Suarez จำเป็นต้องพิสูจน์ความบริสุทธิ์ของเขาให้อยู่นอกเหนือความสงสัยที่สมเหตุสมผล (Beyond a Reasonable Doubt) ในสถานการณ์ที่ไม่มีฝ่ายหนึ่งฝ่ายใดเลยที่สามารถพิสูจน์อะไรได้จริง ในกระบวนการที่ไม่สามารถทำการอุธรณ์คำตัดสินได้และในวิธีการพิจารณาที่หนักหนาซึ่งการอุธรณ์อาจทำให้การตัดสินโทษหนักหนาขึ้นไปอีก เขายอมรับว่าได้กล่าวบางอย่างออกมาจริงหนึ่งครั้ง (ซึ่งมีความเป็นไปได้ว่าจะมีการแปลตีความผิด) เขาถูกตัดสินบนข้อกล่าวหาว่าเขากล่าวออกมา 7 ครั้งโดยปราศจากหลักฐานที่เหมาะสม Suarez จะผิดหรือไม่ผิดไม่ว่ายังไงเขาก็กลายเป็นคนที่ถูกตราหน้าว่าผิดในประเด็นที่ใหญ่กว่าอยู่แล้ว ทาง FA มีข้อขัดแย้งกับทาง FIFA ในประเด็นเรื่องการเหยียดผิว มันทำให้ Suarez ตกอยู่ในสถานการณ์ที่ต้องถูกเชือด ทำเรื่องธรรมดาให้มันเป็นประเด็นใหญ่โตขึ้นมา

ในเดือน พ.ย. Lord Ouseley ออกมาขู่ว่าเขาจะลาออกจากตำแหน่งเว้นเสียแต่ว่าเคสนี้จะได้รับการสะสางในแนวทางที่น่าพอใจ เราทั้งหมดสามารถหาอ่านในเรื่องนี้ได้ ไม่ต้องไปคิดถึงเรื่องกระบวนการสอบสวน เราต้องการคำตัดสินที่มันเป็นการส่งข้อความออกไป คุณอาจเรียกเคสนี้ได้ว่าการค้นหา “แพะรับบาป” นั่นเอง Lord Ouseley ก็เป็นบอร์ดของทาง Manchester United Foundation ด้วย ซึ่งบางคนอาจมองว่ามันเป็นความขัดแย้งทางผลประโยชน์ได้แล้ว ซึ่งก็เหมือนกับที่ทาง Piara Powar ที่ออกมาวิพากษ์วิจารณ์ Liverpool FC ซึ่งก็เป็นบอร์ดของทาง Chelsea FC Foundation เช่นกัน ดั้งนั้นมันไม่มีความกดดันต่อการตัดสินของทางคณะกรรมการเลยหรือ? ในเคสของการให้การของคนที่ไม่มีความน่าเชื่อถือต่อคนอีกหนึ่งคน ก่อนอื่นก่อนที่จะเริ่มต้นเหตุการณ์ที่น่าหดหู่นี้ Evra เป็นฝ่ายกล่าวหา Suarez ว่าเรียกเขาว่า ‘a nigger’ ในเวลาต่อมาเขายอมรับว่าเขาผิดพลาดในเรื่องนี้ เขายอมรับว่าเขาผิด!!!! มันดูเหมือนกับว่าเขาได้รับอนุญาตให้ผิดได้ในเรื่องนี้รวมถึงเรื่องอื่นๆ ด้วย เขาได้รับอนุญาตให้ผิดได้ในเรื่องจำนวนครั้งที่ Suarez กล่าวคำว่า Negro (ในภาษาสเปนหมายถึง Black ไม่ใช่ ‘a negro’ อย่าหลงประเด็น) ด้วยจำนวนที่เขาเคยกล่าวหาว่า 5 ครั้ง 7 ครั้งและ 10 ครั้ง นอกจากนี้เขายังสับสนกับคำที่ถูกนำมาใช้ด้วย ณ ตอนนี้ยอมรับว่ามันไม่ง่ายเลยที่จะจดจำการปะทะคารมที่เกิดขึ้นอย่างดุเดือดนั้น แต่ Suarez ถูกประนามเพราะเขาไม่สามารถจดจำเหตุการณ์ที่เกิดขึ้นในรายละเอียดทุกอย่างได้เช่นเดียวกัน

ใน Paragraph 271 ของรายงานการตัดสิน Patrice Evra กล่าวว่าเขารังเกียจที่แม้กระทั่งจะออกเสียงคำว่า “nigger” อย่าว่าแต่อยากได้ยินมันเลย และเมื่อหลายปีที่ผ่านมาเขาแฮปปี้ที่จะใช้คำนี้กับคู่แข่งอย่าง Jimmy Floyd Hasselbaink ของทีม Chelsea เรื่องนี้อ้างอิงจากวิดีโอจากทาง Youtube ที่มีการเผยแพร่ผ่านทาง Sky Sports News ด้วย http://www.youtube.com/watch?v=l4_fQXwIV4E#t=0h35m20s บางที Evra อาจเติบใหญ่ขึ้นนับตั้งแต่ปี 2004 ตอนนั้นเขาอายุ 23 ปี แม้ตอนนั้นมันไม่ได้เหมือนเขาเป็นเด็กก็ตามที (แม้ว่าอะไรที่เป็นอดีตของ Suarez อาจถูกค้นพบ พนันกันได้เลยว่าเรื่องนั้นมันจะถูกนำมาแสวงประโยชน์ แม้ว่าตอนนี้เขาจะอายุเพียง 24 ปีเท่านั้น) ผมได้รับการบอกกล่าวด้วยว่ามันมีวิดีโอที่ทาง Evra พูดอะไรทำนองนี้ในฟุตบอลโลกปี 2010 ด้วย แต่ก็แน่นอนมันอาจเป็นเรื่องผิดที่พูดไปโดยปราศจากหลักฐานพิสูจน์ได้ ดังนั้นประเด็นนี้ผมจะถอนคำพูดไป มันไม่ได้กวนใจอะไรผมมากมายนักว่าทาง Evra จะใช้คำที่เกี่ยวพันกับสีผิวของเขาหรือไม่ เพราะมันเป็นสิทธิของเขาและมันเป็นประเด็นระหว่างเขากับคนอื่นที่มีสีผิวเดียวกัน แต่การที่เขากล่าวอ้างว่าเขารังเกียจที่จะใช้คำนี้มันดูกลายเป็นศูนย์ไปเลย หากว่าวิดีโอนี้มันเป็นอะไรที่ถูกต้องตามกฎหมาย แม้ว่ามันจะเป็นการดีสเครดิตของคำให้การ Evra ใน Paragraph 271 มันยังเป็นการก่อให้เกิดความสงสัยต่อความน่าเชื่อถือของชายคนหนึ่งที่ในอดีตเคยถูกเรียกว่าเป็นพยานที่ไม่มีความน่าเชื่อถือจากการสอบสวนของทาง FA ในครั้งที่ผ่านมา (เหตุการณ์ที่เกี่ยวข้องกับ Chelsea) เหมือนที่ผมได้เคยกล่าวไว้ในบทความล่าสุดของผมแล้วว่า หากคุณถูกระบุจากศาลว่าเป็นคนที่ไม่มีความน่าเชื่อถือแล้ว ครั้งต่อไปคำให้การของคุณก็จะถูกพิจารณาว่าเป็นอย่างนั้นด้วย

แต่โดยปกติแล้วเรามีแนวโน้มที่จะเชื่อทางผู้กล่าวหา เพราะเขาคือเหยื่อ? และดูเหมือนมันจะเป็นอย่างนั้น มันชัดเจนว่าคำให้การของ Suarez ไม่มีความสอดคล้องคนเส้นคงวา แต่ของทาง Evra ก็ไม่สอดคล้องเช่นกัน ในเคสอย่างนี้มันน่าจะมีการยกฟ้องกันไป แน่นอนว่าคณะกรรมการทั้ง 3 คนก็ใช่ว่าจะเป็นพวกไม่มีอคติไปเสียทั้งหมด Paul Goulding QC คือแฟนบอล Spurs เข้าไส้ เขาแต่งงานกับภรรยาที่เป็นแฟนบอล Manchester United บางทีความขัดแย้งเรื่องผลประโยชน์อาจเข้ามาเกี่ยวข้อง อย่างไรก็ตามมันไม่ได้เหมือนกับว่าตำแหน่งในตารางของ Spurs ใกล้เคียงกับทาง Liverpool ในการแย่งพื้นที่ Champions League ในช่วงที่รายงานฉบับนี้ถูกร่างขึ้นมา อย่างไรก็ตามสิ่งที่น่าเป็นกังวลมากกว่าก็คือ Denis Smith ชายคนที่ทำให้ Darren Ferguson (อดีตผู้เล่นของทีม United และลูกชายของ Sir Alex) กลายเป็นกัปตันที่สโมสร Wrexham นาย Smith มีความใกล้ชิดกับทาง Darren อย่างมากจนถึงขนาดไปร่วมงานแต่งงานของ Darren ด้วย เขายืมตัวนักเตะมากมายจากทีม Manchester United ในแนวทางเดียวกันกับที่ Darren ไปเป็นบอสของทีม Preston แต่สิ่งที่น่าช็อคที่สุดก็คือในหนังสือประวัติของ Smith เขากล่าวอ้างว่าเขาเป็นคนช่วยชีวิตการเป็นผู้จัดการทีมของ Sir Alex Ferguson คุณคิดว่าเรื่องอย่างนี้ความสัมพันธ์ส่วนตัวมันไม่มีส่วนเกี่ยวข้องหรืออย่างไร? (เรื่องนี้อาจไม่มีอะไรแต่คุณลองจินตนาการดูว่าหากมีเพื่อนของ Kenny Dalglish ไปอยู่ในคณะกรรมการพิจารณาบ้างมันจะเป็นอย่างไร?) ประเด็นต่อมาคือ David Gill “David Alan Gill เกิด 5 ต.ค.1957 เป็นผู้บริหารฟุตบอลของอังกฤษ ปัจจุบันรับตำแหน่งเป็น Chief Executive of Manchester United F.C. และเป็นหนึ่งในบอร์ดของ Football Association” คุณคิดว่ามันไม่มีประเด็นเรื่องผลประโยชน์มาเกี่ยวข้องหรือ? อีกครั้ง มันอาจไม่มีอะไรก็ได้แต่ลองคิดดูว่าแฟนบอลทีม United จะรู้สึกอย่างไรหากว่า Ian Ayre เป็นบอร์ดของ FA แทนที่จะเป็น Gill หรือแฟนบอลของทีม Portsmouth จะคิดอย่างไรหากคนของ Southampton ไปอยู่ในตำแหน่งนั้น เรื่องเหล่านี้มันไม่ได้ช่วยให้คิดถึงเรื่องความเป็นกลางได้เลย ซึ่งสิ่งนี้เป็นอะไรที่คุณคาดหวังในกระบวนการทางกฎหมายนะ

จุดบกพร่อง: จำได้มั๊ยครับว่า FA ถูกมองว่าเป็นหน่วยงานบริหารที่ย่ำแย่ เรื่องนี้ดูได้จากจดหมายเปิดผนึก ซึ่งสิ่งต่อไปนี้ได้ถูกเปิดเผยออกมาว่า: “รัฐบาลอังกฤษให้เวลาวงการฟุตบอลอังกฤษจนกระทั่งถึงเดือน ก.พ. นี้ในการจัดทำแผนงานเพื่อยกเครื่องการบริหารเกมส์ฟุตบอล รวมถึบงระบบใหม่ในการให้ License สโมสร และการรื้อฟื้นฟูบอร์ดของ FA ครั้งใหญ่หรือไม่เช่นนั้นแล้ววงการฟุตบอลอังกฤษจะต้องเจอกับการใช้ข้อบังคับทางกฎหมายให้ทำอย่างนั้น” เพื่อเป็นการตอบสนองต่อรายงานของคณะกรรมาธิการที่เกิดจากการเลือกสรรของรัฐสภาเมื่อเร็วๆ นี้ ทางรัฐบาลอังกฤษเรียกร้องให้มีการรื้อระบบบอร์ดบริหารของ FA ในทันทีเพื่อทำให้บอร์ดดังกล่าวเป็นแบบ “modern, accountable and representative” [ทันสมัย โปร่งใสเชื่อถือได้และเป็นตัวแทนของวงการฟุตบอล] ข้อตกลงในระบบการให้ License ใหม่จะถูกบริหารจัดการโดยทาง FA และโครงสร้างกระบวนการตัดสินใจแบบเดิมที่ล้าสมัยจะถูกยกเครื่องทั้งหมด

คำแนะนำ:

- ฟื้นฟูระบบบริหารของ FA เพื่อทำให้มีขนาดเล็กลง มีความเป็นตัวแทนของวงการฟุตบอลมากขึ้น มีการตอบแทนผลประโยชน์เพื่อทำให้เกิดผลของเหตุการณ์ตามที่ต้องการให้น้อยลง และมีผู้เชี่ยวชาญอิสระให้มากยิ่งขึ้น

- แยกกระบวนการพิจารณาทางวินัยให้เป็นรูปแบบใหม่และเป็นองค์การอิสระ

ต่อไปนี้เป็นงานเขียนของ John Sinnot ผ่านทางเวบไซด์ BBC ซึ่งมีสถิติที่น่าสนใจปรากฎอยู่หลายอย่าง http://news.bbc.co.uk/sport1/hi/football/16430580.stm นาย Stuart Gilhooly นักกฎหมายฟุตบอลชั้นนำบอกว่า “อัตรา 99.5% ของคำตัดสินที่ประสบความสำเร็จของทาง FA นั้นเป็นอะไรที่ “น่าเหลือเชื่อมาก” (เหมือนอย่างที่สมาชิกเวบไซด์แห่งนี้ได้ให้ความเห็นไว้พวกเผด็จการอาจจะพอใจกับผลสำเร็จของการตัดสินความผิด) และจากจำนวน 471 เคสที่เกิดขึ้นไม่มีเคสใดเลยที่มีการพลิกคำตัดสินในการอุธรณ์ เขาบอกว่าระบบของ FA จำเป็นต้องมีการทบทวนอย่างเร่งด่วนแล้วล่ะ” นักกฎหมายกีฬาอีกคนซึ่งไม่ต้องการออกนามให้คำจำกัดความของ FA ว่า “เป็นทั้งตำรวจ ผู้พิพากษา และคณะลูกขุนในเวลาเดียวกันในองค์กรเดียวกัน” ไอเดียที่เกิดจากงานเขียนที่บอกว่า FA ไม่ส่งใครเข้าห้องขังนั้นมันเป็นอะไรที่ถูกต้องอย่างแน่นอน แม้ว่าพวกเขาจะประนาม Luis Suarez ให้เข้าสู่กระบวนการถูกประนามระดับโลก เรื่องอย่างนี้มันเหนือกว่าประเด็นความมีน้ำใจความมีศีลธรรมทางการกีฬาหรือไม่ ผมจำเป็นต้องส่งอีเมล์ถึง Mr Gilhooly ในประเด็นของ Suarez และนี่คือสิ่งที่เขาบอกกับผมหลังจากเขาเจอข้อผิดพลาดล่าสุดในรายงานฉบับนั้น:

“Rob Johnson ทวีตถึงผมเมื่อก่อนหน้านี้บอกว่าเขาไม่สามารถหาจุดอ้างอิงในข้อกล่าวหาเรื่องที่มีการพูดคำว่า Negro ถึง 7 ครั้งได้เลยก่อน Paragraph 388(4) ซึ่งเป็นคำตัดสินแล้ว มันมีการระบุว่า ‘เมื่อผู้ตัดสินเป่านกหวีดเพื่อหยุดการเตะมุม Mr Suarez ใช้คำพูดว่า “Negro” ต่อ Mr Evra’ นี่เป็นจุดอ้างอิงจุดแรกที่เราแต่ละคนสามารถหาได้ในเหตุการณ์นี้ จุดอ้างอิงเดียวก่อนหน้านี้ก็คือเหตุการณ์เริ่มต้นว่ามีการใช้คำนี้ 5 ครั้งบริเวณหน้าปากประตู (รวมทั้ง 3 ครั้งติดต่อกันด้วย) และอีกจุดต่อมาก็คือจุดที่ Suarez ยอมรับว่ากล่าวคำนั้นหนึ่งครั้ง มันดูเหมือนกับว่าการกล่าวคำนั้นถึง 7 ครั้งมันมาจากไหนก็ไม่รู้ และเมื่อพิจารณาจากข้อเท็จจริงทั้งหมดทั้งหลายสำหรับผมแล้วมันดูเหมือนว่ามันจะเป็นอะไรที่ถูกละเลยไปอย่างไม่น่าเชื่อเลย คุณอาจจะลองเช็คดูด้วยตัวเองก็ได้แต่ทั้งตัวผม Rob หรือเพื่อนนักกฎหมาย Daniel Geey ไม่สามารถหาจุดอ้างอิงการใช้คำนั้น 7 ครั้งได้ก่อนหน้านั้นเลย” ในเวลาต่อมา Gilhooly ส่งอีเมล์หาผมเพิ่มเติมว่า: “Paul จุดเริ่มต้นจริงแล้วเริ่มต้นใน Paragraph 365 คณะกรรมการเห็น Evra มีปฏิกิริยาตอบสนองที่ดูเลวร้ายต่อสิ่งที่ Suarez และหลังจากนั้นเดินเข้าไปหาผู้ตัดสิน หลังจากนั้นพวกเขาพิจารณาเรื่องนี้โดยปราศจากการกล่าวหาจากทาง Evra หรือนักเตะคนใดว่าเขาได้พูดคำว่า Negro ณ จุดนั้น ไม่มีใครเลยรวมทั้ง Evra ด้วยที่มีการกล่าวหาในเรื่องนี้ มันอาจดูเหมือนกับว่าจริงแล้วพวกเขาพยายามรวบรวมเอาจุดอ้างอิงตรงนี้จุดนี้แล้วพุ่งประเด็นไปที่ Suarez แน่นอนว่าเคสนี้เป็นเคสที่เกิดจากการคาดเดาและสิ่งที่พิสูจน์ทราบไม่ได้ที่เลวร้ายที่สุด มีหลายอย่างมากมายที่ไม่มียังห่างชั้นจากมาตรฐานการพิสูจน์ข้อเท็จริง ไม่ว่าจะเป็นการพิจารณาแบบ Civil หรืออะไรก็ตาม” บางทีมันอาจดูเหมือนเป็นเรื่องทางเทคนิค แต่มันเป็นอีกหนึ่งตัวอย่างที่แสดงให้เห็นถึงความไม่สอดคล้องของรายงานฉบับนี้รวมถึงคำให้การทั้งหลายด้วย

ข้อมูลเพิ่มเติม: Dalglish ถูกประนามจากทางบอสของทีม Manchester United ในการออกมาปกป้อง Suarez แต่คนอย่าง Alex Ferguson ตลอดช่วงหลายปีที่ผ่านมาหลังจาก Peter Schmeichel ถูกกล่าวหาว่าใช้คำพูดคุกคามเรื่องสีผิวต่อ Ian Wright เป็นครั้งที่สอง? กองหน้าของทีม Arsenal นาย Wright ตั้งข้อกล่าวหาให้มวลชนได้รับทราบผ่านทางหน้าหนังสือพิมพ์ฉบับหนึ่ง http://www.independent.co.uk/sport/ferguson-stands-up-for-schmeichel-1280049.html บอสของทีมผีแดงกล่าวว่า: “เมื่อสองปีที่ผ่านมาเราเคยไปอบรมโคชตามเมืองต่างใน South Africa และ Peter เป็นส่วนหนึ่งในนั้นด้วย เรามีแฟนบอลจากทุกมุมโลก เรามีชื่อเสียงมาก ดังนั้นเรื่องนี้เป็นการกล่าวหาการให้ความคิดเห็นที่ไม่ยุติธรรมต่อพวกเราเลย” ไม่ต้องคิดถึงเรื่องที่ Suarez เติบใหญ่ขึ้นมาจากสังคมที่เต็มไปด้วยคนมากมายหลายชาติพันธุ์ เขามีปู่เป็นคนผิวดำ Schmeichel เป็นคนขาวจั๊ว มาจากสังคมที่เต็มไปด้วยคนขาวอย่างมาก ในทันทีที่ไปเยือน South Africa คนอย่าง Ferguson ก็เริ่มต้นในการปกป้องนักเตะของเขาทันที เขาลืมเรื่องนี้ไปแล้วหรือ? ทีมอย่าง Liverpool มีแฟนบอลอยู่ทั่วโลกเช่นกัน แล้วมันสามารถใช้เป็นส่วนหนึ่งในการปกป้อง Suarez ได้มั๊ย? Ferguson มีสิทธิ์ในการออกความคิดเห็นของเขาแต่เขาก็ควรมีศีลธรรมจรรยาเช่นกันเพราะมีชายคนหนึ่งกำลังถูกกล่าวหาว่าเป็นพวกเหยียดผิว?

บทสรุป: บางประเด็นที่ผมได้กล่าวไปอาจถูกต้องน้อยกว่าของคนอื่น อย่างไรก็ตามมันเป็นงานของผู้ปกป้องที่ดีที่ต้องมองหาจุดที่มันไม่สอดคล้องไม่เป็นเหตุเป็นผล จุดที่ก่อให้เกิดความขัดแย้งทางผลประโยชน์ พยานที่ขาดความน่าเชื่อถือและเรื่องอื่นๆ ผมไม่ใช่นักกฎหมายแต่คุณไม่จำเป็นต้องมองถึงจุดบกพร่องทุกอย่าง ซึ่งก็เหมือนกับการที่คุณเป็นผู้รักษาประตูหรือเป็นผู้จัดการทีมที่ไม่จำเป็นต้องจดจำในตอนที่ผู้รักษาประตูของคุณทำบอลเข้าประตูตัวเอง นักกฎหมายกีฬาสองคนที่ผมได้พูดคุยด้วยทั้งสองคนกล่าวเหมือนกันว่าจุดบกพร่องในรายงานฉบับนี้ใหญ่หลวงนัก และอาจเป็นไปได้ว่าเกิดจากความมีอคติของผู้เกี่ยวข้อง และด้วยข้อเท็จจริงทีว่าคำตัดสินของทาง FA เกือบทุกคนถูกตัดสินว่ามีความผิด บวกรวมกับไม่เปิดโอกาสให้มีการอุธรณ์เพื่อพลิกคำตัดสิน มันทำให้ผมเห็นว่าประเด็นที่ถือเป็นประเด็นที่ซีเรียสมากประเด็นหนึ่งถูกพิจารณาตัดสินจากศาลนอกรีตที่พิจารณาความผิดคนอย่างไม่ยุติธรรม

สุดท้ายผมขอปิดท้ายด้วยคำถามหรือประเด็นที่สมาชิกในเวบไซด์แห่งนี้หยิบยกขึ้นมาดังนี้

1. การปฏิเสธไม่ให้ทาง Suarez ได้ดูหลักฐานวิดีโอและการยืนยันให้ Suarez ให้หลักฐานเป็นคำพูดด้วยตัวเอง (ในขณะที่อนุญาตให้ Evra ให้การด้วยวิดีโอ เพื่อใช้ประโยชน์จากการที่ Suarez ขาดทักษะในการใช้ภาษาอังกฤษ

2. เงื่อนไขที่ส่งผลต่อกระบวนการอุธรณ์ ชัดเจนว่ามีการกำจัดจุดสำคัญทุกจุดในการอุธรณ์ไป นำไปสู่สมติฐานที่ว่ามีการกระทำผิดเกิดขึ้น

3. การประกาศผลการตัดสินโดยปราศจากหลักฐาน

4. ช่วงเวลาในการเผยแพร่รายงานฉบับนี้ออกมาในตอนเย็นของ New Year’s Eve

5. การปฏิเสธที่จะยอมรับหลักฐานจากทาง Liverpool FC

6. การตัดสินตั้งอยู่บนพื้นฐานของการพิจารณาความเป็นไปได้ของเหตุการณ์ (The Balance of Probabilities) แทนที่จะเป็นการพิสูจน์ทราบโดยปราศจากข้อสงสัยที่สมเหตุสมผล (Beyond a Reasonable Doubt) ในเคสที่ชัดเจนว่ามันซีเรียสและเป็นประเด็นที่ประทุขึ้นมาได้อย่างรวดเร็ว

7. การยอมรับการให้การให้การซึ่งเกื้อหนุนจากทาง Manchester United บนพื้นฐานที่ไม่มีอะไรมากไปกว่าการกล่าวอ้างคำพูดว่า “นี่คือสิ่งที่ Patrice บอกกับเรา”

8. การปฏิเสธที่จะยอมรับความแตกต่างทางด้านภาษาในการใช้คำว่า ‘negro’ ในภาษาสเปนและคำในภาษาอังกฤษ (a) negro

9. การประนามหลักฐานของทาง Suarez ว่าไม่สามารถเชื่อถือได้ในขณะที่หลักฐานทางฝั่งของ Evra ก็ขาดความสอดคล้องเช่นกัน รวมทั้งการเพิกเฉยอดีตที่ทาง Evra เคยเป็นพยานที่เชื่อถือไม่ได้จากทาง FA

10. การไม่ดำเนินการลงโทษใดๆ ต่อ Evra แม้ว่ามันมีการะบุไว้ว่าทำได้อย่างชัดเจน บนพื้นฐานของสิ่งที่ทาง Evra ได้ยอมรับว่าได้พูดกับทาง Suarez จริง ซึ่งเป็นอะไรที่ผิดกฎของทาง FA ชัดเจน และสิ่งที่กระตุ้นก่อนหน้านั้นเพื่อนำไปสู่คำกล่าวของ Suarez (และสุดท้ายมันหมายถึงความไม่เกี่ยวพันระหว่างการกระทำที่ตอบโต้การถูกกระทำก่อน ซึ่งอาจถูกมองว่ามันน่าจะเป็นอะไรที่สมเหตุสมผล) ทาง FA ยังคงยืนกรานว่า “concha de tu hermana” มันก็แค่คำพูดที่กล่าวออกไป ทั้งที่มันมีความหมายว่า “your sister’s cunt” แต่ความเห็นของทาง Suarez มีการแปลแบบคำต่อคำหรือมีการแปลผิดเพี้ยนอย่างร้ายกาจ

Based entirely on the article “All Spanish Speakers are Racist” by Paul Tomkins

http://hongmarnz.com/modules.php?name=Forums&file=viewtopic&t=57064#741656

จากคุณ : Deerhunter

เขียนเมื่อ : 9 ม.ค. 55 07:58:21