ขอบคุณจขกท.สำหรับภาพสวยๆ
จริงๆ การขึ้นมาของ บุรีรัมย์ มันก็ไม่แปลกที่จะถูกจับจ้อง ตั้งข้อสังเกต เพราะตัว เนวิน ชิดชอบ หลายๆ ปีที่ผ่านมาเป็นที่จดจำในฐานะนักการเมืองมาตลอด ก็ต้องทำใจครับ
ที่แน่ๆ ใครจะด่าเนวินในฐานะนักการเมืองในห้องฟุตบอล คงจะไม่ถูกต้อง
แต่ถ้าจะมีใครติอะไรในเรื่องการทำทีม บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด อันนี้คงเป็นอีกเรื่อง
ส่วนตัวผมชอบการขึ้นมาของ บุรีรัมย์ นะ เพราะมองในภาพกว้าง มองภาพทั้งหมดของฟุตบอลไทย ที่ต้องยอมรับว่าการก้าวขึ้นมาของบุรีรัมย์สร้างปรากฏการณ์ต่างๆ มากมาย
มีการแข่งขัน ขับเคี่ยว อย่างหนักหน่วง กระตุ้นสารพัดทีมใหญ่ทีมเล็กให้ต้องเอาตัวรอด ขับเคี่ยวกับพลังบิ๊กเนให้ได้
มีการอัดฉีดเม็ดเงิน สร้างพัฒนาการระยะยาวให้วงการฟุตบอลไทยได้อย่างทันตาเห็น
ใจผม ถ้าให้มีทีมที่จะขึ้นมาแบบก้าวกระโดดแบบบุรีรัมย์อีก ผมก็เอา มันอาจจะดูผิดหลักการไปบ้าง แต่ส่วนตัวผมเป็นพวกใจร้อน ขอแบบพรวดพราดแบบนี้แหละ ทันใจดี 5555
แต่ก็ต้องยอมรับครับว่าโอกาสจะเกิด "ปรากฏการบุรีรัมย์ 2" ขึ้นมาได้คงจะยาก เพราะมันประกอบไปด้วยปัจจัยระดับ super rare หลายๆ ปัจจัย อย่างแรกและที่สำคัญที่สุด ก็คือตัว เนวิน จะหาคนที่มี connections ระดับนี้ มีพาวเวอร์ระดับนี้ ก็ว่ายาก และยิ่งจะหาคนที่มาร่วมหัวจมท้ายขนาดนี้ ก็ยิ่งต้องบอกว่า ยากส์ เข้าไปใหญ่
คงปฏิเสธไม่ได้เลยว่า แทบจะทั้งหมดของการเป็น บุรีรัมย์ เกิดผ่านชายที่ชื่อ เนวิน ชิดชอบ ไม่ว่าเรื่องปกติอย่างเม็ดเงิน ไปยันเพื่อนฝูง มิตรทางการเมือง มิตรทางธุรกิจ อย่างกลุ่ม King Power เป็นอาทิ
ถ้าไม่มีพลังระดับนี้ การจะปลุกกระแสคน กระแสแฟนบอล ที่ต้องแลกด้วยเม็ดเงินมหาศาลนั้นมักต้องใช้เวลานาน ไหนจะการปลุกเสกความแข็งแกร่งในสนาม ที่ขึ้นมาท้าชิงเมืองทองและชลบุรีได้อย่างรวดเร็ว ไหนจะการเนรมิตรสิ่งอำนวยความสะดวกให้สมกับการเป็นสโมสรอันดับหนึ่งในไทย
นั่นล่ะครับ พลังของ เนวิน
มองในฐานะคนกีฬา ถ้าเชียร์บุรีรัมย์ ก็คงแทบจะกราบเช้ากราบเย็นกันได้เลย ถ้ามองในภาพรวมแบบผม ก็ยังชอบ เพราะมันส่งผลด้านบวกแบบแรงๆ เร็วๆ กันเลย
เพียงแต่ถ้าไม่ชอบบิ๊กเนเป็นการเดิม ก็คงอดหมั่นไส้ไม่ได้ เป็นธรรมดา เพราะแกไม่ได้เป็นที่รู้จักในฐานะคนกีฬา แต่คนการเมืองขั้นเข้มข้น
แต่ถ้ามองในมุมมองของคนกีฬา ก็ใช่ว่าจะยังไม่มีอะไรให้ติบิ๊กเน อันนี้ต้องแยกแยะให้ออกว่าติในฐานะอะไร คนกีฬา หรือคนหมั่นไส้ทางการเมือง ต้องกล้าเปิดใจกันหน่อย
ต้องยอมรับก่อนว่า ส่วนใหญ่ถ้าจะมีอะไรให้ติให้ติง ให้ทักให้ท้วง ก็ยังเป็นข่าวลือ เสียงเล่าอ้าง แต่เราก็ถือว่าคุยกันก็แล้วกัน
อย่างแรก ซึ่งผมไม่รู้แล้วว่าปัจจุบันมีอยู่ไหม เพียงแต่ก็ถือว่าเป็นบทเรียนให้ ถ้าเกิดว่ามี สโมสรไหนในอนาคตคิดจะทำ ก็ขอให้อ่านก่อน
การปลุกกระแสนิยม โดยการลดแลกแจกแถม แจกข้าว-น้ำ มีรถรับส่ง
ต้องยอมรับว่าเป็นข้อครหาอันดับแรกๆ และได้ยินมานานแล้วกับ บุรีรัมย์ ถามว่าจริงไหม ถ้าจริง ก็ต้องคิดต่อ ทำได้ไหม จริงๆ ก็ได้ เพียงแต่ต้องไม่ให้มันผิดโครงสร้าง ผิดระบบทางธุรกิจ เพราะอย่างที่รู้กันว่าตามโครงสร้างทางธุรกิจของสโมสรนั้น แฟนบอล คือฐานกำลังเปล่า ที่นำมาซึ่งรายได้ของสโมสร ผ่านค่าตั๋ว-ของที่ระลึก ไปจนถึง สปอนเซอร์ (ที่จะสนใจสโมสรที่มีแฟนบอลเยอะ)
ดังนั้น หากสโมสรยังต้องเสียเงินเพื่อเรียกแฟนบอลเสียเอง มันก็เท่ากับผิดหลักการ คล้ายๆ อัฐยายซื้อขนมยาย
ซึ่งแน่นอนว่าถ้าเป็นแบบนั้น สโมสร ย่อมไม่สามารถอยู่ได้ อย่าว่าแต่กำไร หรือเงินไปสร้างสนาม, ซื้อนักเตะ ลำพัง running cost ค่าจ้าง, ค่าบำรุง ก็ไม่รู้จะมีไหม
เพียงแต่ถ้าจะทำได้ คิดว่าก็น่าจะเป็นแบบในรูปคล้ายๆ แผนกระตุ้นจำนวนแฟนบอลระยะสั้น อะไรแบบนั้น คือหมายความว่ามันอยู่ในแผนการทำธุรกิจของสโมสรอยู่แล้ว เช่นว่า ยอมควักเนื้อ เก็บค่าตั๋ว มาซื้อข้าว-น้ำ ค่ารถรับส่ง ให้แฟนบอลในช่วง 3 ปีแรก เพื่อกระตุ้นกระแส แล้วค่อยทยอยเลิกนโยบายลดแลกแจกแถมเหล่านี้เพื่อเรียกเงินคืนเข้าคลังสโมสรในช่วงหลัง ที่กระแสอยู่ตัวแล้ว อันนี้น่าจะทำได้
แต่สโมสรนั้นๆ ก็ต้องมีฐานะการเงินที่เข้มแข็ง ถึงจะทำได้
ต่อมา บทบาทของ เนวิน ในสโมสร
ตรงนี้ผมได้ยินมาว่า เนวิน ชิดชอบ เคยให้สัมภาษณ์ว่าตัวเองเป็นประธานสโมสร ย่อมมีสิทธิ์ในการจัดการทุกเรื่องในสโมสร รวมทั้งการจัดตัวผู้เล่น แผนการเล่น การซื้อ-ขาย นักเตะ
อันนี้ไม่ทราบว่าจริงไหม ถ้าลือมั่วก็ขออภัย
แต่ถ้าจริง ก็คงชัดเจนว่าเป็นอะไรที่ผิดหลักการเต็มๆ ซึ่งว่าไปแล้วก็เหมือนเคยได้ยินอีกเหมือนกันว่า บิ๊กเน เคยให้สัมภาษณ์ว่าตัวเองเป็น "Super head coach" จริงเท็จแค่ไหนใครทราบก็รบกวนเล่าให้ฟังก็ดีครับ
ได้แต่หวังว่าขอให้ไม่จริง เพราะไม่ต้องบอกก็รู้ว่าหน้าที่ของประธานสโมสรกับโค้ชหรือผู้จัดการทีมนั้นต่างกันคนละเรื่อง และหากมีการแทรกแซงภายในสโมสร (ที่ซึ่งน้อยคนคงจะกล้าออกมาโวยบิ๊กเน, ถ้ามีจริง) ก็ต้องถือว่า เสี่ยเน ต้องคิดใหม่ทำใหม่อย่างด่วนเลยล่ะครับ
สุดท้าย สงครามระหว่าง บุรีรัมย์ (บิ๊กเน) กับ สมาคมฯ (วรวีย์)
สมาคมฯ ภายใต้การดูแลของ วรวีย์ ที่ผ่านมาอยู่ในฐานะหนึ่งในองค์กรณ์ที่มีคนเกลียดมากที่สุด ส่วนบุรีรัมย์ของบิ๊กเน แม้จะมีคนชังในตัวประธานอยู่มาก แต่คนกลางๆ ไปถึงคนรักก็ยังพอมี
อดสงสัยไม่ได้ว่า สุดท้ายแล้ว การที่ บุรีรัมย์ ของเนวิน ตัดสินใจหักหน้า ส่งสต๊าฟไปรับถ้วยแชมป์ลีก ในขณะที่ทีมชุดใหญ่กับประธานไม่ให้ความสนใจเลยนั้น เป็นการกระทำที่สมควรแล้วหรือไม่?
"สะใจ" กับ "ทำตัวเป็นเด็กๆ" เส้นกั้นมันบาง
หากตัดความชิงชังที่มีต่อสมาคมฯ ออกไปแล้วดูตามเหตผลที่ให้มา ที่สมาคมฯ อ้างว่าไม่สามารถไปมอบถ้วยให้บุรีรัมย์ในบ้านในวันที่ 31 ธ.ค. ซึ่งเป็นวันสิ้นปีได้ เพราะเป็นวันหยุด ผู้ใหญ่ที่เชิญไว้ไม่ว่าง
จริง ตรงที่เป็นวันสิ้นปี และนั่นก็ทำให้จริงอีกข้อ ที่ไม่ว่าจะผู้ใหญ่หรือไม่ผู้ใหญ่ หรือแม้แต่ "อั้ม" ก็คงไม่ว่างทั้งนั้น
และก็ไม่น่าเกี่ยวกับ เซอร์ เดวิด ริชาร์ด เพราะในวันสิ้นปีนั้นถึงไม่ได้เป็นเซอร์จากอังกฤษ ก็คงไม่ว่างเหมือนกัน? ยิ่งไม่ต้องลามไปถึงการเชิญเชื้อพระวงศ์ไทย ที่นอกจากไม่เคยมีมาก่อน ไม่ใช่ถ้วยพระราชทาน แล้วพระองค์ท่านก็คงไม่ว่างเช่นกัน
ดังนั้น หากจะนำไปเทียบกับกรณี เมืองทอง ที่ได้ฉลองแชมป์ในบ้าน ที่โปรแกรมไม่ได้ต้องเลื่อนยาวเพราะน้ำท่วม และไม่ได้ต้องเตะในบ้านในวันสิ้นปี ก็คงจะเปรียบเทียบกันได้ไม่ตรงเสียทีเดียวนัก?
ส่วนการมี เซอร์ เดวิด ริชาร์ดส์ มานั้นก็ไม่ส่งผลอะไรต่อภาพลักษณ์หรือภาพรวมของฟุตบอลไทยอยู่แล้ว ยิ่งมองในแง่ที่ว่า เรา (และหลายๆ ประเทศ) ที่ฟุตบอลยังล้าหลัง ก็ยกย่องให้เกียรติบุคลากรและนักกีฬาจากประเทศที่วงการฟุตบอลพัฒนาไปมากกว่าเรา ไม่ใช่เรื่องแปลกเลย ตั้งแต่ในระดับรากหญ้า แฟนบอลก็ยกย่องพระเจ้าจากอาเจนติน่า, บราซิล, ยุโรป หรือในระดับชาติ ระดับสโมสร ที่ให้ความสำคัญกับโค้ชจากต่างประเทศ, นักเตะจากต่างประเทศ ซึ่งนั่นก็ไม่ได้ทำให้เกียรติยศมันน้อยลงไป ที่สำคัญ ตัว เซอร์ เดวิด มาในฐานะผู้มอบ ไม่ใช่ผู้รับ คงไม่ได้ขโมยซีนหรืออะไร
อย่างที่เราก็พูดกันว่า ตัวแชมป์ ความเป็นแชมป์ มันสำคัญที่สุด (จนคนมอบยังไม่สำคัญ มิใช่หรือ?)
ครั้นหากจะเหวี่ยงว่า ไม่จำเป็นต้องมีผู้ใหญ่ (เลย) ในพิธีรับมอบถ้วย นั่นก็คงเหมือนการทำตัวเหมือนเด็กๆ ที่พอเห็นของเล่นแล้วบอกว่าจะยอมเป็นเด็กดีเพื่อจะเอาของเล่นให้ได้
เพราะประเด็นคือ หากจะไม่ให้มีการเอาผู้ใหญ่มาเชิญถ้วยแชมป์ ก็ควรต้องตกลงกันแต่แรก ตั้งแต่ต้นฤดูกาล ครั้นมาพูดเอาตอนที่ได้แชมป์ไปแล้ว เสียงมันก็เลยอ่อย และหากจริงใจจริง ก็ควรต้องทำหนังสือหรือคุยกับสมาคมฯ ว่าปีหน้า-ต่อไปนี้ ขอให้ไม่ต้องมีผู้ใหญ่ในพิธีรับมอบถ้วยอีกเลย
เกรงแต่ว่า ถ้าสลับเหตุการณ์กันแล้วทำได้จริงๆ ก็ไม่แคล้วจะมีเสียงครหาอีกว่า ไม่มีผู้ใหญ่มา แปลว่าไม่ให้เกียรติทีมแชมป์
จริงๆ เรื่องความสำคัญของ "ผู้ใหญ่" ในงานพิธีการสำคัญ ตัว เนวิน ที่เป็นผู้ใหญ่ระดับโคตรบิ๊กก็น่าจะรู้ดีเหมือนกัน
หากสมาคมจะมีส่วนรับผิดชอบ ก็คงเป็นเรื่องการวางโปรแกรม ที่แม้จะฉุกละหุกเพราะต้องเลื่อนด้วยเหตุการณ์ไม่คาดฝัน แต่ก็ต้องบอกว่าวางโปรแกรมได้แย่มาก (จากปกติที่ก็มั่วอยู่แล้ว)
(แต่ก็คงไม่ขนาดว่า จงใจวางโปรแกรมให้บุรีรัมย์เตะปีใหม่ เพื่อมอบถ้วยแชมป์ไม่ได้ อันนั้นก็เกินไป)
ส่วน บุรีรัมย์ และบิ๊กเน ถึงอย่างไร ผมคงต้องขอสวนกระแส เพราะมองว่าการ "เอาคืน" แบบนี้มันไม่ค่อยงามสมเป็น "ผู้หลักผู้ใหญ่" เท่าไหร่เลย
สุดท้ายจริงๆ ติ่งเล็กๆ
ล่าสุด เรื่องการส่งตัวนักเตะเข้าแคมป์ทีมชาติ
โชคดี ที่มี เมืองทอง ยูไนเต็ด ที่ทำตัวอย่างระดับแย่มาก สังคมเลยจับจ้องไปที่นั่น เมืองทองที่ไม่มีโปรแกรมอะไรเลย และการชี้แจงผ่านวีดีโอสโมสร ก็ไร้เหตุผลที่ดี ไร้น้ำหนัก ไร้ทิศทาง
แต่ฝั่ง บุรีรัมย์ เองก็ไม่ถึงกับ "ขาว" เสียทีเดียว อาจจะมีสีเทาปนๆ อยู่ เพราะเหตุผลในการเก็บตัวนักเตะของบุรีรัมย์คือ "เกมอุ่นเครื่อง" ซึ่งที่มันกล้อมแกล้มมาได้ น่าจะเพราะชื่อเสียงของทีมเยือนอย่าง เวกัลตะ เซนได ภายใต้ชื่อถ้วยเท่ๆ อย่าง โตโยต้า พรีเมียร์คัพ
แต่ในทางปฏิบัติ โตโยต้า พรีเมียร์คัพ ก็มีสถานะไม่ได้มากไปกว่าเกมอุ่นเครื่องระดับถ้วย community shield ก่อนเปิดฤดูกาลของอังกฤษ ดังนั้นการเก็บตัวทีมชาติไว้เพื่อเกมแบบนี้ มันก็แปร่งๆ เหมือนกัน
มิเช่นนั้นแล้ว ต่อไป เกมอุ่นเครื่องของสโมสร ก็อาจมีความสำคัญมากกว่าเกมอย่างเป็นทางการของ ทีมชาติไทย เสียอีก?
หรือครั้นจะอลุ่มอล่วยให้เกมอุ่นเครื่องที่มีคู่แข่งเก่งๆ หรือเกมที่มีสปอนเซอร์ ก็คงพิลึกอยู่ดี แต่อย่างที่บอกครับ โชคดี ที่เมืองทองทำตัวอย่างขั้น "หนักกว่า" และรับก้อนหินไปแทนแล้ว
ก็นั่นล่ะครับ ภาพรวม หลายเรื่องหลายราวที่ผมนึกถึง บุรีรัมย์ ของ เนวิน ชิดชอบ ก็พยายามมองด้วยเหตและผล จริงบ้างเท็จบ้าง ก็คงต้องขึ้นอยู่กับข้อเท็จจริง ข่าวสาร ที่อาจผิดบ้าง ลือบ้าง อะไรบ้าง ฯลฯ
ทีแรกก็กะจะแสดงความยินดีกับ เจ้าของปรากฏกาณ์แห่งวงการฟุตบอลไทย 2554 อย่าง บุรีรัมย์ เฉยๆ แต่เห็นไหนๆ จขกท.ก็คุยแล้ว ก็คุยบ้าง อีกอย่าง เป็นช่วงอารมณ์ของการปิดฤดูกาล เหมาะพอดี