ความคิดเห็นที่ 1 ในวันที่ 25 พฤษภาคม ค.ศ. 2005 ในสนามอตาเติร์ก สเตเดียม มีนักเตะลิเวอร์พูลทั้ง 11 ผู้เล่นตัวจริง และ 7 ผู้เล่นสำรอง ดังนี้ครับ (ขอบคุณข้อมูลทั้งหมดจาก Wikipedia ครับ) จากคุณ : parawarm เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 12:07:36

ความคิดเห็นที่ 2 หมายเลข 1 เจอร์ซีย์ ดูเด็ค ลงเล่นให้ลิเวอร์พูล ระหว่างปี 2001 – 2007 รวม 186 นัด ทำได้ 0 ประตู รางวัลกับลิเวอร์พูล • แชมป์ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก ปี 2005 + รองแชมป์ปี 2007 • แชมป์ยูฟ่า ซูเปอร์คัพ ปี 2005 • แชมป์ เอฟเอคัพ ฤดูกาล 2005-06 • แชมป์ลีกคัพ ฤดูกาล 2002-03 + รองแชมป์ ฤดูกาล 2004 – 05 • แชมป์ คอมมิวนิตี้ ชิลด์ ปี 2006 + รองแชมป์ปี 2002 • รองแชมป์ ฟีฟ่า คลับ แชมเปี้ยนชิพ ปี 2005 เซ็นสัญญามาโดยเฮียโปน เชราร์ อุลลิเยร์ เพื่อนำมาแทน ซานเดอร์ เวสเตอร์เฟลด์ (ซึ่งจริงๆ ตอนนั้นก็หนึบหนับพอสมควรนะ) ขึ้นถึงจุดสูงสุดของชีวิตนักฟุตบอลหลังโชว์เคล็ดวิชา “สปาเกตตี้ เลก” เซฟจุดโทษให้ลิเวอร์พูลเอาชนะ เอซี มิลาน คว้าแชมป์ไปได้ในที่สุด ภายหลังการมาของ เปเป้ เรน่า ดูเด็ค ตัดสินใจย้ายออกจากลิเวอร์พูลไปเป็นตัวสำรองที่ รีล มาดริด โดยมีโอกาสลงสนามเป็นตัวจริงอยู่.... 2 นัดถ้วน แต่ก็ถือว่าเป็นตัวสำรองชั้นดีให้กับ อีเกร์ กาซิยาส ได้ตลอด 4 ปีที่สเปน โดยมีเหรียญแชมป์ลาลีกาหนึ่งเหรียญ บวกกับ แชมป์โกปาเดอเรย์หนึ่งเหรียญ มาประดับบารมีให้กับตัวเอง ก่อนจะแขวนสตั๊ดไปเมื่อปีที่แล้ว ปัจจุบัน ดูเด็คทำหน้าที่เป็นทูตประชาสัมพันธ์ให้กับ ยูโร 2012 ที่กำลังจะจัดขึ้นกลางปีนี้ที่ โปแลนด์-ยูเครนอยู่ครับ จากคุณ : parawarm เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 12:09:52

ความคิดเห็นที่ 3 หมายเลข 3 สตีฟ ฟินแนน ลงเล่นให้ลิเวอร์พูล ระหว่างปี 2003 – 2008 รวม 145 นัด ทำได้ 1 ประตู (ข้อมูลนี้จาก Wiki นะครับ ส่วนเว็บสโมสร กลับหาประวัติฟินแนนไม่เจอเลย ใครเจอช่วยแก้ด้วยนะครับ) รางวัลกับลิเวอร์พูล • แชมป์ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก ปี 2005 + รองแชมป์ปี 2007 • แชมป์ยูฟ่า ซูเปอร์คัพ ปี 2005 • แชมป์ เอฟเอคัพ ฤดูกาล 2005-06 • รองแชมป์ลีกคัพ ฤดูกาล 2004 – 05 • แชมป์ คอมมิวนิตี้ ชิลด์ ปี 2006 • รองแชมป์ ฟีฟ่า คลับ แชมเปี้ยนชิพ ปี 2005 เซ็นสัญญาย้ายมาจาก ฟูแล่ม ในปี 2003 เป็นอีกหนึ่งแบ็คขวาขวัญใจแฟนบอล ด้วยการเล่นที่แน่นอน ทั้งเกมรับและการเติมเกมรุก แต่สุดท้ายก็เสียตำแหน่งตัวจริงให้กับ อัลวาโร่ อาร์เบลัว ในปีสุดท้ายกับลิเวอร์พูล ปีต่อมา ฟินแนนย้ายไปอยู่กับ เอสปันญอล ในสเปน โดยใช้เวลาเป็นตัวสำรองเสียส่วนมาก สุดท้ายก็ย้ายกลับมาอยู่กับ ปอร์ทมัธอีกหนึ่งปีก่อนจะแขวนสตั๊ดไป โดยปีสุดท้ายของฟินแนน เขาลงเล่นไป 21 นัด พาทีมเข้าสู่รอบชิงชนะเลิศเอฟเอคัพได้สำเร็จ แต่ทำได้ดีที่สุดแค่รองแชมป์ แถมทีมยังต้องตกชั้นไปในปีนั้นอย่างน่าเสียดาย ภาพล่าสุดที่เราได้เห็นฟินแนน ก็คือวันที่เขากลับมาสวมชุดลิเวอร์พูล ลงเล่น เทสติโมเนียลแมตช์ให้กับ เจมี่ คาร์ราเกอร์ นั่นเองครับ จากคุณ : parawarm เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 12:10:39

ความคิดเห็นที่ 4 หมายเลข 23 เจมี่ คาร์ราเกอร์ ลงเล่นให้ลิเวอร์พูล ระหว่างปี 1996 ถึงปัจจุบัน รวม 690 นัด ทำประตูทีมอื่นได้ 5 ประตู ทำประตูทีมตัวเองได้ 6 ประตูในลีก + 1 ประตูในเอฟเอคัพ (พับผ่า) รางวัลกับลิเวอร์พูล • แชมป์ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก ปี 2005 + รองแชมป์ปี 2007 • แชมป์ยูฟ่า คัพ ปี 2001 • แชมป์ยูฟ่า ซูเปอร์คัพ ปี 2001, 2005 • แชมป์ เอฟเอคัพ ฤดูกาล 2000 – 01, 2005-06 • แชมป์ลีกคัพ ฤดูกาล 2000 – 01, 2002-03, 2011-12 + รองแชมป์ ฤดูกาล 2004 – 05 • แชมป์ คอมมิวนิตี้ ชิลด์ ปี 2001, 2006 + รองแชมป์ปี 2002 • รองแชมป์ ฟีฟ่า คลับ แชมเปี้ยนชิพ ปี 2005 หนึ่งในตำนานกองหลังของสโมสร ที่ปัจจุบันก็ยังปักหลักเล่นให้ลิเวอร์พูลอยู่  เซ็นสัญญาเป็นนักเตะฝึกหัดตั้งแต่ปี 1990 จนได้เซ็นสัญญาอาชีพในปี 1996  ลงเตะเกมแรกโดยเป็นตัวสำรอง เปลี่ยนลงแทนร็อบ โจนส์ในลีกคัพ พบกับ มิดเดิลสโบรห์ จากนั้นลงเป็นตัวสำรองอีกครั้งในลีก พบเวสต์แฮม และยิงประตูแรกให้กับตัวเองทันทีได้ในนัดต่อมาที่พบกับ แอสตันวิลล่า (เฮ้ย!! นี่มันข้อมูลจากหนังเรื่อง Will ชัดๆ 5555) ผลงานช่วงแรกถือว่ากลางๆ ค่อนไปทางเลวร้าย ลงสนามทีไร เรียกขวัญและกำลังใจให้กับทีมตรงข้ามตลอด จนจุดเปลี่ยนน่าจะเกิดจากตอนที่ อุลลิเยร์ จับคาร์ราเกอร์ไปเล่นแบ็กซ้าย (กองหลังชุดนั้นถือว่าเหนียวแน่นที่สุดชุดหนึ่งตลอดกาลของทีม อันประกอบไปด้วย บับเบิล, ฮูเปีย, อองโชซ์, คาร์ราเกอร์) จากนั้นเมื่อบับเบิลเกิดป่วยต้องพักยาว ก็ได้คาร์ราเกอร์นี่แหละ ที่ตามไปอุดตำแหน่งให้ ปัจจุบันปักหลักเป็นเซนเตอร์ตัวกลาง และเริ่มเข้าสู่บทบาทของกองหลังตัวสำรองเมื่อถูกอายุพรากความแข็งแกร่งไปทีละนิด แต่ก็ยังถือว่าไว้ใจได้อยู่ ป.ล. คาร์ร่าเคยได้รับรางวัล ผู้เล่นยอดเยี่ยมของทีมด้วย ในปี 2006-07 แก้ไขเมื่อ 19 มี.ค. 55 12:56:10 จากคุณ : parawarm เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 12:11:41

ความคิดเห็นที่ 5 หมายเลข 4 ซามี่ ฮูเปีย ลงเล่นให้ลิเวอร์พูล ระหว่างปี 1999 - 2009 รวม 464 นัด ทำได้ 35 ประตู รางวัลกับลิเวอร์พูล • แชมป์ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก ปี 2005 + รองแชมป์ปี 2007 • แชมป์ยูฟ่า คัพ ปี 2001 • แชมป์ยูฟ่า ซูเปอร์คัพ ปี 2001, 2005 • แชมป์ เอฟเอคัพ ฤดูกาล 2000 – 01, 2005-06 • แชมป์ลีกคัพ ฤดูกาล 2000 – 01, 2002-03+ รองแชมป์ ฤดูกาล 2004 – 05 • แชมป์ คอมมิวนิตี้ ชิลด์ ปี 2001, 2006 + รองแชมป์ปี 2002 • รองแชมป์ ฟีฟ่า คลับ แชมเปี้ยนชิพ ปี 2005 เซ็นสัญญามาสู่ทีมในปี 1999 ด้วยค่าตัวเพียง 2.6 ล้านปอนด์ จากนั้นจับคู่กับสเตฟาน อองโชซ์ปักหลักเป็นกำแพงภูผาน้ำแข็งให้กับทีมไปอีก 10 ปีต่อจากนั้น ฮูเปียได้รับแต่งตั้งให้เป็นกัปตันทีมอย่างถาวรต่อจาก เจมี่ เรดแนปป์ในปี 2002 และส่งมอบตำแหน่งต่อให้กับ เจอร์ราร์ดในปีต่อมา จุดเด่นคือฟอร์มการเล่นที่แน่นอน นิ่ง ไม่มีกระโตกกระตาก เรียกได้ว่าแฟนๆ อุ่นใจได้ เมื่อมีฮูเปียลงเป็นตัวจริง ตั้งแต่ปีแรกๆ ยันหน้าที่ตัวสำรองในปีสุดท้ายก่อนหมดสัญญากับลิเวอร์พูล โดยที่นัดสุดท้ายของฮูเปียกับทีม คือการเปลี่ยนลงมาเป็นตัวสำรองนัดเจอกับสเปอร์สแทนสตีเว่น เจอร์ราร์ด โดยที่เจอร์ราร์ดเป็นคนถอดปลอกแขนไปสวมให้ฮูเปียด้วยตัวเอง พร้อมกับเสียงปรบมือกึกก้องไปทั่วสนาม หลังหมดสัญญากับทีม ฮูเปียย้ายไปเล่นในเยอรมันกับ ไบเออร์ เลเวอร์คูเซ่นอีกสองปี ก่อนจะแขวนสตั๊ดในที่สุด โดยปัจจุบันทำหน้าที่เป็นทีมโค้ชให้กับเลเวอร์คูเซ่นและทีมชาติฟินแลนด์ เกียรติยศส่วนตัวของฮูเปีย เรียกได้ว่า ยาวเป็นหางว่าว โดยได้รับรางวัลผู้เล่นยอดเยี่ยมของฟินแลนด์ถึง 9 สมัย ในปี 1999, 2001,02,03,05,06,08,09, และ 2010 จากคุณ : parawarm เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 12:12:56

ความคิดเห็นที่ 6 หมายเลข 21 ฌิมี่ ตราโอเร่ ลงเล่นให้ลิเวอร์พูล ระหว่างปี 1999 - 2006 รวม 141 นัด ทำได้ 1 ประตู + ซีดานเทิร์นอีก 1 ประตู (ตัวเอง) รางวัลกับลิเวอร์พูล • แชมป์ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก ปี 2005 • แชมป์ยูฟ่า คัพ ปี 2001 • แชมป์ยูฟ่า ซูเปอร์คัพ ปี 2001, 2005 • แชมป์ เอฟเอคัพ ฤดูกาล 2000 – 01, 2005-06 • แชมป์ลีกคัพ ฤดูกาล 2000 – 01, 2002-03+ รองแชมป์ ฤดูกาล 2004 – 05 • แชมป์ คอมมิวนิตี้ ชิลด์ ปี 2001, 2006 + รองแชมป์ปี 2002 • รองแชมป์ ฟีฟ่า คลับ แชมเปี้ยนชิพ ปี 2005 เซ็นสัญญาสู่ลิเวอร์พูลด้วยวิสัยทัศน์ระดับเมพขิงๆ ของอุลลิเยร์ ด้วยค่าตัว 500,000 ปอนด์ เป็นกองหลังที่แฟนๆ ไม่เคยเข้าใจว่าดีพอจะเป็น 11 ตัวจริงได้อย่างไร แม้ในช่วงที่ฟอร์มดีที่สุดกับทีม ก็ยังถือว่า ความชั่วไม่มี ความดีไม่ปรากฏ แถมเคยโชว์ทักษะระดับโรนัลดินโญ่เรียกพี่ เมสซี่เรียกพ่อ ด้วยการปล่อยสเต็บ “ซีดานเทิร์น” หน้าประตูตัวเองในเกม เอฟเอคัพ พบกับ เบิร์นลีย์ ผลคือทีมตกรอบแต่หัววัน แป่วๆๆๆ หลังออกจากลิเวอร์พูลไป ตราโอเร่ก็จัดเป็นกองหลังจอมพเนจรคนหนึ่ง โดยสโมสรที่ตราโอเร่ได้ไปชุบตัวนั้น ประกอบไปด้วย ชาร์ลตัน, ปอร์ทมัธ, แรนส์ (ยืมตัว), เบอร์มิงแฮม (ยืมตัว) , โมนาโก และปัจจุบันโลดแล่นอยู่กับ โอลิมปิก มาร์กเซยด้วยสัญญา 1 ปีที่กำลังจะหมดลงในปีนี้ จากคุณ : parawarm เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 12:13:58

ความคิดเห็นที่ 7 หมายเลข 14 ชาบี อลอนโซ ลงเล่นให้ลิเวอร์พูล ระหว่างปี 2004 - 2009 รวม 210 นัด ทำได้ 19 ประตู รางวัลกับลิเวอร์พูล • แชมป์ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก ปี 2005 + รองแชมป์ปี 2007 • แชมป์ยูฟ่า ซูเปอร์คัพ ปี 2005 • แชมป์ เอฟเอคัพ ฤดูกาล 2005-06 • รองแชมป์ ลีกคัพ ฤดูกาล 2004 – 05 • แชมป์ คอมมิวนิตี้ ชิลด์ ปี  2006 • รองแชมป์ ฟีฟ่า คลับ แชมเปี้ยนชิพ ปี 2005 สุดยอดกองกลางขวัญใจแม่ม่าย ที่บรรดา เดอะ ค็อป ยังบ่นเสียดายมาถึงทุกวันนี้ ย้ายมาสู่ลิเวอร์พูลในปีแรกที่ ราฟา เบนิเตซ ย้ายมาคุมทีม พร้อมกับเซ็นสัญญาผู้เล่นชาวสเปนมาเสริมทีมมากมาย โดยอลอนโซ่เป็นผู้ยิงประตูตีเสมอให้กับทีมในนัดชิงที่อิสตันบูล นั่นเอง ตลอดเวลาที่มีอลอนโซ่อยู่ในทีม สามารถพูดได้เลยว่าที่ทีมมีฟอร์มการเล่นที่ดีขึ้นจนสามารถเฉียดเข้าใกล้ถ้วยแชมป์มากที่สุดในฤดูกาล 2008 – 09 ก็เป็นเพราะมีอลอนโซ่คอยคุมจังหวะเกมอยู่ ทั้งการเปิดบอลสั้น บอลยาว ฟรีคิก รวมถึงการยิงไกลเกินครึ่งสนาม ทุกอย่างล้วนเป็นสิ่งที่ผลักดันทีมไปข้างหน้าทั้งนั้น อนิจจา ราฟากลับพยายามจะเอา แกเร็ธ แบร์รี่มาสวมตำแหน่งแทน จนอลอนโซ่น้อยใจ และย้ายไปสู่ รีล มาดริดด้วยค่าตัวกว่า 30 ล้านปอนด์ในปี 2009 ในที่สุด โดยนับจากวันที่อลอนโซ่หายไป เล่นเอาทีมเป๋ไปพักใหญ่ (อาจพูดได้ว่ายาวมาจนถึงปัจจุบัน) ในสีเสื้อ มาดริด อลอนโซ่ปักหลักเป็นตัวจริงให้กับทีม ทั้งในยุคของเปเยกรินี่ ไล่มายังมูรินโญ่ในปัจจุบัน ซึ่งสามารถพูดได้ว่าเป็นนักเตะที่ออกจากทีมไปแล้วประสบความสำเร็จที่สุด ทั้งแชมป์ยูโรก่อนจะออกจากลิเวอร์พูล แชมป์โลกในปี 2010 โคปาเดอเรย์ ปีที่แล้ว และตอนนี้ก็กำลังเข้าใกล้แชมป์ลาลีกาเข้าไปทุกขณะ รวมถึงยังมีลุ้นในเส้นทางแชมปเปียนส์ลีกอยู่ด้วย จากคุณ : parawarm เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 12:14:44

ความคิดเห็นที่ 8 หมายเลข 10 หลุยส์ การ์เซีย ลงเล่นให้ลิเวอร์พูล ระหว่างปี 2004 - 2007 รวม 121 นัด ทำได้ 30 ประตู รางวัลกับลิเวอร์พูล • แชมป์ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก ปี 2005 + รองแชมป์ปี 2007 • แชมป์ยูฟ่า ซูเปอร์คัพ ปี 2005 • แชมป์ เอฟเอคัพ ฤดูกาล 2005-06 • รองแชมป์ ลีกคัพ ฤดูกาล 2004 – 05 • แชมป์ คอมมิวนิตี้ ชิลด์ ปี  2006 • รองแชมป์ ฟีฟ่า คลับ แชมเปี้ยนชิพ ปี 2005 คิงหลุยส์ถูกเซ็นสัญญามาในปีเดียวกับอลอนโซ่ โดยเล่นตำแหน่งปีกบ้าง หน้าต่ำบ้าง โดยเป็นคนที่ยิงประตูที่มูรินโญ่ขนานนามว่า “ประตูที่ไม่เคยมีอยู่จริง” พาลิเวอร์พูลเฉือนเอาชนะเชลซี เปิดเส้นทางสู่อิสตันบูล จนไปคว้าแชมป์ได้ในที่สุด การ์เซียยังจัดเป็นผู้เล่นที่มีฟอร์มหวือหวา แต่ไม่ค่อยแน่นอน ถ้าวันไหนเล่นดีก็ดีใจหาย แต่ถ้าวันไหนเล่นแย่ก็หายเหมือนกัน... หายไปจากเกม (ตึ้ง) ในปี 2007 การ์เซียย้ายไปสู่ แอตเลติโก มาดริดด้วยค่าตัว 4 ล้านปอนด์ สลับกับการนำเฟร์นานโด ตอร์เรส มาสู่ทีมลิเวอร์พูล ที่แอตเลติโก มาดริด การ์เซียสลับเข้าๆ ออกๆ ระหว่างตัวจริงกับตัวสำรอง จากนั้นก็ย้ายไป ราซิ่งซานตานเดร์, พานาธิไนกอส ปัจจุบันเล่นให้กับ ปูเอบลา ทีมระดับกลางตารางของลีกเม็กซิโก จากคุณ : parawarm เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 12:15:25

ความคิดเห็นที่ 9 หมายเลข 8 สตีเวน เจอร์ราร์ด ลงเล่นให้ลิเวอร์พูล ระหว่างปี 1998 ถึงปัจจุบัน รวม 576 นัด ทำประตูทีมได้ 149 ประตู รางวัลกับลิเวอร์พูล • แชมป์ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก ปี 2005 + รองแชมป์ปี 2007 • แชมป์ยูฟ่า คัพ ปี 2001 • แชมป์ยูฟ่า ซูเปอร์คัพ ปี 2001, 2005 • แชมป์ เอฟเอคัพ ฤดูกาล 2000 – 01, 2005-06 • แชมป์ลีกคัพ ฤดูกาล 2000 – 01, 2002-03, 2011-12 + รองแชมป์ ฤดูกาล 2004 – 05 • แชมป์ คอมมิวนิตี้ ชิลด์ ปี 2001, 2006 + รองแชมป์ปี 2002 • รองแชมป์ ฟีฟ่า คลับ แชมเปี้ยนชิพ ปี 2005 ยังจะมีอะไรให้พูดถึงเกี่ยวกับผู้เล่นที่รอวันขึ้นหิ้งเป็นตำนานของสโมสรคนนี้อีก เจอร์ราร์ดเปิดตัวครั้งแรกในปี 1998 นัดเจอกับแบล็คเบิร์น โดยลงสนามมาเป็นตัวสำรอง เปลี่ยนตัวกับ เวการ์ด เฮกเก้ม ติดทีมชาติไปลุยทัวร์นาเมนต์ใหญ่ครั้งแรกในยูโร เป็นกัปตันทีมต่อจาก ซามี ฮูเปียในปี 2003 ก้าวขึ้นสู่ตำแหน่งกัปตันทีมชาติ พาทีมชาติอังกฤษลุยฟุตบอลโลก 2010 ที่แอฟริกาใต้ อีกทั้งยังได้รับเครื่องราชชั้น MBE ในปี 2006 ยิงประตูสำคัญมาเหลือคณานับ ล่าสุดก็เพิ่งลั่นแฮตทริกใส่เอฟเวอร์ตันไปเมื่อกลางสัปดาห์ที่ผ่านมา ในปี 2005 หลังจากพาทีมคว้าแชมป์ที่อิสตันบูล เจอร์ราร์ดเกือบจะย้ายไปเชลซีแล้ว เรียกว่าเกือบมากๆ จริงๆ ภาพที่คุ้นตาในหน้าหนังสือพิมพ์ช่วงนั้นคือภาพที่เจอร์ราร์ดทำหน้าบึ้งตึงเดินออกจากสนามซ้อม พร้อมพาดหัวข่าวว่า ไปเชลซีแน่ๆ แต่สุดท้าย กัปตันก็ตัดสินใจปักหลักอยู่กับทีมต่อไป จนถึงทุกวันนี้ เจอร์ราร์ดประสบความสำเร็จมาแล้วแทบทุกอย่างในระดับสโมสร ขาดก็แต่ถ้วยแชมป์ พรีเมียร์ลีก ที่เดอะค็อปทั่วโลกหวังว่ากัปตันจะได้มาเติมเต็มชีวิตในท้ายที่สุดครับ จากคุณ : parawarm เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 12:16:27

ความคิดเห็นที่ 10 หมายเลข 6 ยอห์น อาร์เน่ รีเซ่ ลงเล่นให้ลิเวอร์พูล ระหว่างปี 2001 - 2008 รวม 348 นัด ทำประตูทีมได้ 31 ประตู รางวัลกับลิเวอร์พูล • แชมป์ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก ปี 2005 + รองแชมป์ปี 2007 • แชมป์ยูฟ่า คัพ ปี 2001 • แชมป์ยูฟ่า ซูเปอร์คัพ ปี 2001, 2005 • แชมป์ เอฟเอคัพ ฤดูกาล 2000 – 01, 2005-06 • แชมป์ลีกคัพ ฤดูกาล 2000 – 01, 2002-03 + รองแชมป์ ฤดูกาล 2004 – 05 • แชมป์ คอมมิวนิตี้ ชิลด์ ปี 2001, 2006 + รองแชมป์ปี 2002 • รองแชมป์ ฟีฟ่า คลับ แชมเปี้ยนชิพ ปี 2005 แบ็กซ้ายตีนระเบิด เซ็นสัญญามาจากโมนาโกด้วยค่าตัว 4 ล้านปอนด์ เปิดตัวครั้งแรกในยูฟ่า ซูเปอร์คัพ เจอกับบาเยิร์น มิวนิค เป็นแบ็คซ้ายที่เติมเกมรุกได้ดีมาก จนถูกดันขึ้นไปเล่นปีกซ้ายอยู่บ่อยครั้ง รีเซ่ยึดตำแหน่งตัวจริงมาได้ตลอด จนช่วงหลังที่ราฟาเซ็น ออเรลิโอ มา รีเซ่ก็เริ่มถูกลดบทบาทเป็นตัวสำรอง จนในที่สุดก็ต้องย้ายไป โรม่า ในปี 2008 ด้วยค่าตัว 5 ล้านปอนด์ ปัจจุบันย้ายกลับมาเล่นในอังกฤษอีกครั้งกับ ฟูแล่ม จากคุณ : parawarm เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 12:17:03

ความคิดเห็นที่ 11 หมายเลข 7 แฮร์รี่ คีเวลล์ ลงเล่นให้ลิเวอร์พูล ระหว่างปี 2003 - 2008 รวม 139 นัด ทำประตูทีมได้ 16 ประตู รางวัลกับลิเวอร์พูล • แชมป์ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก ปี 2005 + รองแชมป์ปี 2007 • แชมป์ยูฟ่า ซูเปอร์คัพ ปี  2005 • แชมป์ เอฟเอคัพ ฤดูกาล 2005-06 • แชมป์ลีกคัพ ฤดูกาล 2002-03 + รองแชมป์ ฤดูกาล 2004 – 05 • แชมป์ คอมมิวนิตี้ ชิลด์ ปี 2006 • รองแชมป์ ฟีฟ่า คลับ แชมเปี้ยนชิพ ปี 2005 ลิเวอร์พูลตัดหน้าแมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ดเซ็นสัญญา คีเวลล์ มาจากลีดส์มาในปี 2003 และได้รับเสื้อหมายเลข 7 โดยทันที (ด้วยความเสียสละจาก วลาดิเมียร์ ชมิเซอร์ ที่ยอมโยกไปใส่เบอร์ 11 แทน) เป็นการเซ็นสัญญาที่ให้ความหวังอันเรืองรองกับทีมเอามากๆ ถ้าเปรียบกับสมัยนี้ก็ต้องเรียกว่า เหมือนตัดหน้าหลายๆ ทีม เซ็น แกเร็ธ เบล เข้าทีมจนได้ แต่แล้วก็เหมือนต้องสาป คีเวลล์ไม่เคยเรียกฟอร์มอันสุดยอดสมัยเล่นให้ลีดส์ให้เกิดขึ้นในสีเสื้อลิเวอร์พูลได้เลย ลงเล่นหนึ่งนัด เจ็บไปสามนัด ออดๆ แอดๆ มาโดยตลอด แม้แต่ในนัดชิงก็เจ็บจนถูกเปลี่ยนตัวออกตั้งแต่เนิ่นๆ หลังหมดสัญญากับลิเวอร์พูล คีเวลล์ย้ายไปเล่นในตุรกีกับทีมกาลาตาซาราย ฟอร์มการเล่นถือว่าทำได้ดีกว่าสมัยอยู่กับลิเวอร์พูล เฉพาะในลีก ลงเล่นไป 61 นัด ทำได้ 23 ประตู ปัจจุบัน คีเวลล์ในวัย 33 สวมเสื้อเบอร์ 22 ลงเล่นให้กับ เมลเบิร์น วิคตอรี่ ในลีกบ้านเกิดที่ออสเตรเลีย จากคุณ : parawarm เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 12:17:36

ความคิดเห็นที่ 12 หมายเลข 5 มิลาน บารอส ลงเล่นให้ลิเวอร์พูล ระหว่างปี 2002 - 2005 รวม 108 นัด ทำประตูทีมได้ 27 ประตู รางวัลกับลิเวอร์พูล • แชมป์ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก ปี 2005 • แชมป์ยูฟ่า ซูเปอร์คัพ ปี  2005 • แชมป์ลีกคัพ ฤดูกาล 2002-03 + รองแชมป์ ฤดูกาล 2004 – 05 บารอสเซ็นสัญญามาอยู่กับลิเวอร์พูลในปี 2002 โดยอุลลิเยร์  โดยจุดสูงสุดของการเป็นกองหน้า น่าจะเป็นตอนที่เป็นดาวยิงสูงสุดของยูโร 2004  แต่ฟอร์มที่เหลือกับลิเวอร์พูลถือว่าพอประมาณ แต่ไม่ดีพอที่จะยึดตำแหน่งกองหน้าตัวหลักของทีมอย่างถาวร จนในที่สุด บารอสก็ต้องย้ายออกไปร่วมทีม แอสตัน วิลล่า ด้วยค่าตัว 6.5 ล้านปอนด์ในที่สุด โดยอยู่ที่นั่น 2 ปี ก่อนจะย้ายไปเล่นให้ลียงหนึ่งปี (เซ็นสัญญาโดยอุลลิเยร์เจ้าเก่า) และได้แชมป์ลีกมาประดับตู้โชว์ 1 สมัยที่นั่น สลับมาเล่นกับปอร์ทมัธในรูปแบบยืมตัวช่วงสั้นๆ ปัจจุบันยังเล่นอยู่กับกาลาตาซาราย โดยยิงไปถึง 47 ประตูจาก 81 เกมลีก จากคุณ : parawarm เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 12:19:18

ความคิดเห็นที่ 13 มาถึงบรรดาตัวสำรองกันบ้างครับ หมายเลข 20 สก็อต คาร์สัน ลงเล่นให้ลิเวอร์พูล ระหว่างปี 2005 - 2008 ลงตัวจริง 9 นัด รางวัลกับลิเวอร์พูล • แชมป์ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก ปี 2005 • แชมป์ยูฟ่า ซูเปอร์คัพ ปี  2005 นายด่านดาวรุ่งชาวอังกฤษ ย้ายจากลีดส์มาเล่นให้ลิเวอร์พูลในปี 2005 รับบทตัวสำรองตั้งแต่แรกๆ แต่ก็ได้รับการคาดหมายว่ามีโอกาสที่จะขึ้นเป็นอนาคตทีมชาติอังกฤษในไม่ช้า ตลอดเวลาในรั้วแอนฟิลด์ คาร์สันรับบทตัวสำรองอดทนมาโดยตลอด ยิ่งพอเบนิเตซเซ็นสัญญาคว้าเรน่ามาจากบียาร์รีล คาร์สันก็หมดที่ว่างในทีมอย่างถาวร จนต้องลี้ภัยไปเล่นให้กับ เชฟฟิลด์ เวนส์เดย์, ชาร์ลตัน, แอสตันวิลล่า อย่างละปี ในรูปแบบยืมตัวทั้งหมด จนในที่สุดก็ไปยึดตำแหน่งตัวจริงได้ที่เวสต์บรอมวิช อัลเบี้ยน โดยเล่นอยู่สามปี ก่อนจะย้ายไปตุรกี เล่นให้กับบูร์ซาสปอร์ในปัจจุบัน จากคุณ : parawarm เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 12:20:17

ความคิดเห็นที่ 14 หมายเลข 17 โฆเซมี ลงเล่นให้ลิเวอร์พูล ระหว่างปี 2004 - 2006 รวม 35 นัด ทำประตูทีมได้ 0 ประตู รางวัลกับลิเวอร์พูล • แชมป์ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก ปี 2005 • แชมป์ยูฟ่า ซูเปอร์คัพ ปี  2005 • แชมป์ เอฟเอคัพ ฤดูกาล 2005-06 • รองแชมป์ ฟีฟ่า คลับ แชมเปี้ยนชิพ ปี 2005 โฆเซมีเป็นนักเตะคนแรกที่เบนิเตซเซ็นสัญญามาร่วมทีมด้วยค่าตัว 2 ล้านปอนด์ โดยยึดตำแหน่งตัวจริงได้แค่ช่วงแรกๆ ก่อนจะโดนฟินแนนทวงคืนไปในที่สุด ตลอดเวลา 2 ปีที่อยู่กับทีม ถือว่าเป็นแบ็กดวงเฮง เพราะมีโอกาสชูถ้วยสองปีซ้อนเลย (โดยเฉพาะแชมเปี้ยนส์ลีกที่ไปเต้นเย้วๆ อยู่ข้างกัปตัน ประหนึ่งเป็นกำลังสำคัญที่ทีมจะขาดไม่ได้) หลังสิ้นบุญที่ลิเวอร์พูล โฆเซมีกลับไปสเปนอีกครั้ง เล่นให้กับบียาร์รีลอยู่สองปี รีลมายอร์ก้าอีกสองปี จากนั้นก็ไปผจญภัยที่กรีซกับทีม อิราคลิส อีกหนึ่งปี ปัจจุบันเล่นให้กับ คาตาเกญ่า ในลีกระดับล่างของสเปน เรียกได้ว่าจุดสูงสุดของอาชีพค้าแข้ง ก็อยู่ที่ลิเวอร์พูลนี่เอง จากคุณ : parawarm เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 12:21:45

ความคิดเห็นที่ 15 หมายเลข 16 ดีทมาร์ ฮามันน์ ลงเล่นให้ลิเวอร์พูล ระหว่างปี 1999 - 2006 รวม 283 นัด ทำประตูทีมได้ 11 ประตู รางวัลกับลิเวอร์พูล • แชมป์ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก ปี 2005 • แชมป์ยูฟ่า คัพ ปี 2001 • แชมป์ยูฟ่า ซูเปอร์คัพ ปี 2001, 2005 • แชมป์ เอฟเอคัพ ฤดูกาล 2000 – 01, 2005 - 06 • แชมป์ลีกคัพ ฤดูกาล 2000 – 01, 2002-03 + รองแชมป์ ฤดูกาล 2004 – 05 • แชมป์ คอมมิวนิตี้ ชิลด์ ปี 2001 + รองแชมป์ปี 2002 • รองแชมป์ ฟีฟ่า คลับ แชมเปี้ยนชิพ ปี 2005 ก่อนที่ลิเวอร์พูลจะมีอลอนโซ่เป็นคนคุมจังหวะการเล่นของทีม ก็มีฮามันน์นี่แหละ ที่รับหน้าที่นั้นอยู่พักใหญ่ๆ ฮามันน์ย้ายมาจากนิวคาสเซิลในปี 1999 โดยปักหลักเป็นตัวจริงในแดนกลางมาโดยตลอด แม้นัดชิงชนะเลิศจะได้ลงเป็นตัวสำรอง แต่ก็สามารถพูดได้ว่าที่ลิเวอร์พูลสามารถกลับมาสู่เกมได้อีกครั้งหลังโดนนำไปสามลูก ส่วนหนึ่งก็เป็นเพราะได้ฮามันน์ลงมาเปลี่ยนเกมตั้งแต่ต้นครึ่งหลัง แม้กระทั่งตอนยิงจุดโทษชี้ชะตาก็เข้าไปง่ายๆ แบบไม่ต้องลุ้น ภายหลังการมาของอลอนโซ่ รวมทั้งการพุ่งขึ้นมาของดาวรุ่งจอมถึกอย่าง โมโม่ ซิสโซโก้ ฮามันน์ก็จำต้องย้ายไปอยู่กับโบลตัน แต่ก็อยู่แค่ช่วงสั้นๆ ไม่ถึงปี ก็ย้ายไปลงเรือใบ แมนเชสเตอร์ ซิตี้ต่อ ฮามันน์อยู่กับซิตี้ถึงปี 2010 ก่อนจะย้ายไปแขวนสตั๊ดกับทีม มิลตัน คีนส์ ดอนส์ โดยหลังจากแขวนสตั๊ดแล้ว ฮามันน์ก็ไปเป็นโค้ชทีมชุดใหญ่ให้กับเลสเตอร์ ซิตี้อยู่ 5 เดือน จนในที่สุดก็ได้เป็น ผจก. ทีมเต็มตัวเป็นครั้งแรกกับทีมสต็อกพอร์ท เคาน์ตี้ ในเดือน กรกฏาคม ปี 2011 แต่ก็ทำทีมชนะแค่ 3 จาก 19 นัด จนต้องลาออกในที่สุด จากคุณ : parawarm เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 12:24:13

ความคิดเห็นที่ 16 หมายเลข 18 อันโตนิโอ นูเนซ ลงเล่นให้ลิเวอร์พูล ระหว่างปี 2004 - 2005 รวม 27 นัด ทำประตูทีมได้ 1 ประตู รางวัลกับลิเวอร์พูล • แชมป์ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก ปี 2005 • รองแชมป์ ลีกคัพ ฤดูกาล 2004 – 05 สำนวน “กำขี้ดีกว่ากำตด” อาจจะใช้ไม่ได้กับกรณีนี้ เพราะสำหรับนูเนซแล้ว เดอะค็อปหลายคนบ่นอุบว่า “ยอมกำตดดีกว่ากำขี้” นูเนซย้ายมาลิเวอร์พูลจากการเป็นหนึ่งในสัญญาซื้อขาย ไมเคิล โอเวน ไป รีล มาดริด ที่ตอนนั้นกองเชียร์ต่างทึ้งผมจิกนิ้วว่า ไอ้หมอนี่มันเป็นใคร นูเนซ เล่นแบบเรื่อยๆ มาเรียงๆ ไปถึง 27 นัด ทำได้ 1 ประตู ก็คือประตูปิดท้ายรอบชิงลีกคัพที่แพ้ให้กับอาร์เซนอล 2-1 นั่นเอง แก้ไขข้อมูลหน่อยครับ รอบชิงลีกคัพ แพ้ให้เชลซี 3-2 ครับ นูเนซยิง น. 118 ขอบคุณคุณ "กระบี่ไร้เลือด" มา ณ ที่นี้ครับ หลังจากเบนิเตซตาสว่าง นูเนซที่มีวาสนาเล่นให้ลิเวอร์พูลเพียงปีเดียวก็ชีพจรลงเท้าไปยึดตำแหน่งตัวจริงอยู่ที่ เซลต้าบีโก้ สามปี, รีล มูร์เซีย หนึ่งปี, แล้วจึงย้ายไปไซปรัส เล่นให้กับทีม อพอลโลน ไลมาซโซล จนได้แชมป์บอลถ้วยในปี 2010 ปัจจุบันเพิ่งย้ายมาเล่นให้กับ อูเอสก้า ทีมระดับล่างของสเปนเมื่อต้นปีที่ผ่านมา โดยใส่เบอร์ 7 เสียด้วยนะ เออ แก้ไขเมื่อ 19 มี.ค. 55 19:16:48 จากคุณ : parawarm เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 12:25:09

ความคิดเห็นที่ 17 หมายเลข 25 อิกอร์ บิสคาน ลงเล่นให้ลิเวอร์พูล ระหว่างปี 2000 - 05 รวม 118 นัด ทำประตูทีมได้ 3 ประตู รางวัลกับลิเวอร์พูล • แชมป์ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก ปี 2005 • แชมป์ยูฟ่า คัพ ปี 2001 • แชมป์ยูฟ่า ซูเปอร์คัพ ปี 2001 • แชมป์ เอฟเอคัพ ฤดูกาล 2000 – 01, 2005-06 • แชมป์ลีกคัพ ฤดูกาล 2000 – 01, 2002-03 + รองแชมป์ ฤดูกาล 2004 – 05 • แชมป์ คอมมิวนิตี้ ชิลด์ ปี 2001 + รองแชมป์ปี 2002 8 ธันวาคม 2000 เชราร์ อุลลิเยร์เจ้าเก่า จัดการปาดหน้ายูเวนตุส, บาร์เซโลนา, อาแจกซ์, เอซีมิลาน คว้าตัว อิกอร์ บิสคานมาจากดินาโมซาเกร็บด้วยค่าตัว 5.5 ล้านปอนด์  บิสคานจัดว่าเป็นลูกรักของอุลลิเยร์ (รองจาก ตราโอเร่) โดยได้ลงสนามค่อนข้างสม่ำเสมอ มีหลุดๆ ไปเป็นตัวสำรองบ้างในบางอารมณ์ อยู่ในทีมตัวจริงชุดคว้า 5 แชมป์ แต่ไม่มีโอกาสลงสนามที่อิสตันบูล บิสคานย้ายไปอยู่กับ พานาธิไนกอสในปี 2005 โดยมือเปล่าอยู่ที่นั่นสองฤดูกาล ก่อนจะย้ายกลับดินาโมซาเกร็บในปี 2007 แล้วช่วยให้ทีมคว้าแชมป์ลีก 4 สมัยติดกันได้ (แถมสามในนั้นเป็น ดับเบิลแชมป์อีกต่างหาก) โดยรับหน้าที่กัปตันทีมหลังจากที่ ลูก้า โมดริช ย้ายไปร่วมทีม ท็อตแน่ม ฮอตสเปอร์ส จากคุณ : parawarm เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 12:25:32

ความคิดเห็นที่ 18 หมายเลข 9 ฌิบริล ซิสเซ่ ลงเล่นให้ลิเวอร์พูล ระหว่างปี 2004 - 2006 รวม 79 นัด ทำประตูทีมได้ 24 ประตู รางวัลกับลิเวอร์พูล • แชมป์ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก ปี 2005 • แชมป์ยูฟ่า ซูเปอร์คัพ ปี, 2005 • แชมป์ เอฟเอคัพ ฤดูกาล 2005 – 06 • รองแชมป์ลีกคัพ ฤดูกาล 2004 – 05 • รองแชมป์ ฟีฟ่า คลับ แชมเปี้ยนชิพ ปี 2005 ด้วยวิสัยทัศน์อันกว้างไกล (อีกครั้ง) ของอุลลิเยร์ ที่ได้เซ็นสัญญากับซิสเซ่ล่วงหน้าก่อน 1 ปีที่จะย้ายมาอยู่กับลิเวอร์พูล แต่อนิจจา คนซื้อไม่ได้ใช้ คนใช้ไม่ได้ซื้อ อุลลิเยร์ตัดสินใจลาออก ก่อนที่ซิสเซ่จะมาร่วมทีมแบบเต็มตัว แถมลงเล่นได้ไม่ทันไร ก็เกิดอุบัติเหตุขาหักสยองจากการเข้าเสียบแบบถอนรากถอนโคนของนักเตะแบล็กเบิร์น โรเวอร์ส กว่าจะกลับมาลงสนามได้อีกครั้งก็ปลายฤดูกาลเสียแล้ว นัดชิงที่อิสตันบูล ซิสเซ่ถูกเปลี่ยนลงไปแทนบารอสในนาทีที่ 85 แม้จะยิงไม่ได้ แต่แฟนๆ ก็ยินดีกับซิสเซ่ด้วยที่อย่างน้อยก็ยังกลับมาลงสนามได้อีกครั้ง แถมได้โชว์เซิ้งรอบถ้วยหูใหญ่อีกต่างหาก ซิสเซ่จัดเป็นดาวเตะดวงกุดคนหนึ่งของวงการ เพราะขาหักถึงสองครั้ง ครั้งที่สองเกิดขึ้นในบอลโลก หลังโดนนักเตะจีนเข้าแท็ก ในที่สุด ซิสเซ่ย้ายออกจากลิเวอร์พูลกลับไปฝรั่งเศสเล่นให้ มาร์กเซย อยู่สามปี จากนั้นกลับมาเล่นที่อังกฤษกับซันเดอร์แลนด์ด้วยสัญญายืมตัว แล้วจึงย้ายไปกรีซ เล่นให้พานาธิไนกอสอีกหนึ่งปี ลาซิโออีกปี ปัจจุบันเพิ่งเซ็นสัญญามาอยู่กับควีนส์ปาร์ค เรนเจอร์ส ภายใต้การนำของ มาร์ค ฮิวจ์ เมื่อช่วงปีใหม่ที่ผ่านมา จากคุณ : parawarm เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 12:26:33

ความคิดเห็นที่ 19 ปาด โหวตๆๆๆๆ จากคุณ : pat152 เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 12:27:00

ความคิดเห็นที่ 20 หมายเลข 11 วลาดิเมียร์ ชมิเซอร์ ลงเล่นให้ลิเวอร์พูล ระหว่างปี 1999 - 2005 รวม 184นัด ทำประตูทีมได้ 19 ประตู รางวัลกับลิเวอร์พูล • แชมป์ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก ปี 2005 • แชมป์ยูฟ่า คัพ ปี 2001 • แชมป์ยูฟ่า ซูเปอร์คัพ ปี 2001, 2005 • แชมป์ เอฟเอคัพ ฤดูกาล 2000 – 01 • แชมป์ลีกคัพ ฤดูกาล 2000 – 01, 2002-03 + รองแชมป์ ฤดูกาล 2004 – 05 • แชมป์ คอมมิวนิตี้ ชิลด์ ปี 2001 + รองแชมป์ปี 2002 • รองแชมป์ ฟีฟ่า คลับ แชมเปี้ยนชิพ ปี 2005 ชมิเซอร์ย้ายมาร่วมทีมลิเวอร์พูลในปี 1999 ด้วยค่าตัว 4.2 ล้านปอนด์ เพื่อแทนที่ สตีฟ แมคมานามานที่หมดสัญญาแล้วไปอยู่กับ รีล มาดริด  ในนัดชิงที่อิสตันบูล ได้รับโอกาสให้ลงสนามอย่างรวดเร็ว โดยเปลี่ยนลงมาแทน แฮร์รี่ คีเวลล์ ที่เจ็บจนเล่นต่อไม่ไหว โดยเป็นคนที่ยิงประตู ที่สอง จุดความหวังให้ลิเวอร์พูลฮึดเต็มที่ หลังตามเอซีมิลานอยู่แค่ลูกเดียว หลังคว้าแชมป์ใบใหญ่กับลิเวอร์พูล ชมิเซอร์ย้ายไปร่วมทีมบอร์กโดซ์ โดยได้กลับมาเยือนถิ่นเก่าอย่างรวดเร็ว หลังทั้งสองทีมจับฉลากเจอกันในรอบแบ่งกลุ่มแชมเปียนส์ลีก โชคไม่ค่อยดีที่ชมิเซอร์เจ็บเข่าอย่างหนักจนพลาดบอลโลก 2006 ไป ในทีสุดก็ย้ายกลับไปร่วมทีมสลาเวีย ปราก อีกสองปี ก่อนจะแขวนสตั๊ดไปในเดือน พ.ย. 2009 ปัจจุบัน ชมิเซอร์เป็นหนึ่งในทีมงานของ ทีมชาติ เช็ก ครับ (ภาษาอังกฤษใชคำว่า team manager ไม่แน่ใจว่าเป็นทีมบริหารจัดการ หรือเป็น ทีมโค้ชนะครับ) จากคุณ : parawarm เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 12:27:11

ความคิดเห็นที่ 21 ครบทั้ง 18 ฮีโร่เรียบร้อยครับ... จริงๆ ยังขาดไปอีก 1 ฮีโร่ คือป๋าหนวด เบนิเตซ ของเรานี่เอง ไว้คืนนี้ว่างๆ กลับมาเติมให้นะครับ :) จากคุณ : parawarm เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 12:28:12

ความคิดเห็นที่ 22 ขอบคุณสำหรับบทความดีๆ ครับ จากคุณ : anfield_07 (Anfield_07) เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 12:31:50

ความคิดเห็นที่ 23 Profile สุดยอดมากเลยคับ เจมี่ คาร์ราเกอร์ ฮาน้ำตาเล็ดเลย จากคุณ : -DiEGo_GaRCiA- เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 12:37:26

ความคิดเห็นที่ 24 โหวต จากคุณ : FH หาดใหญ่ เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 12:38:25

ความคิดเห็นที่ 25 มาโหวต แล้วค่อยตามอ่าน กระทู้คุณภาพอีกกระทู้สำหรับแฟนหงส์ จากคุณ : Baolinyan เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 12:42:38

ความคิดเห็นที่ 26 ขอบคุณครับ ยังไม่เคยลืม นึกถึงตอนที่ปิดทีวี ปิดไฟแล้วผ้าห่มคลุมหัวตอนหมดครึ่งแรก ไม่คิดว่านี่คือนัดชิง  ห่างชั้นกันเกิน  โดนตั้งแต่นาทีแรก อยู่ใต้ผ้าห่มได้ห้านาที    กลับคิดได้ว่า  ไม่รู้เมื่อไหร่จะได้เข้าชิงอีก เราไม่ได้เชียร์แค่ตอนชนะนี่หว่า  ยังไงก็เชียร์กันต่อไป แล้วก็ออกจากผ้าห่ม เปิดไฟและทีวี   โอ้แม่เจ้า  อะไรกันนี่  หัวใจจะวาย  ยิ่งช่วงทดเจ็บ  บีบหัวใจเหลือเกิน ผมนึกถึงเรื่องนี้ทีไร  ก็คงอดเสียใจไม่ได้  ถ้าไม่ได้ดูจนจบ สรุปวันรุ่งขึ้น  ไปได้ไปทำงานครับ  555 แต่คุ้มโคตร ๆ จากคุณ : kawao เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 12:46:38

ความคิดเห็นที่ 27 ยังจำได้เสมอ เหมือนเพิ่งผ่านไปไม่กี่วันนี่เอง จากคุณ : RINI เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 12:47:18

ความคิดเห็นที่ 28 "อันโตนิโอ นูเนซ" เด็กปั้น รีลมาดริด   เป็นของปลอมที่ทำเหมือนมาก ถ้าจะให้ระดับก็คงเป็นของปลอมชนิด AAAA ส่วน"โฆเซมี" ถ้าจะให้ผมนึกถึงเขานะเหรอ ลองไปหาคลิปตอนฉลองแชมป์UCLในปี 2005 ดูสิ จะรู้ว่าเขาเด่นกว่าใครเพื่อน  แย่งซีนทุกคนไปหมด ป.ล.คิดถึงหลุยส์ การ์เซีย กับ “ ประตูที่ไม่เคยเกิดขึ้น” ที่สุดดดดดดดดดดดดดดดดด จากคุณ : ไอ้หนุ่มร้อยแรง เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 12:57:07

ความคิดเห็นที่ 29 เอ่อ..ดู Line Up อีกทีแล้ว ครึ่งแรก 3-0 นี่มันสมควรแล้วครับ ตัวผู้เล่นคนละชั้นกันจริงๆ ถือว่าชีวิตนี้โชคดีที่ได้ดูแมตท์นั้นเนาะ จากคุณ : ด.ช.สมชาย เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 12:57:39

ความคิดเห็นที่ 30 เข้ามาเสริมอีกหน่อยครับ ตอนทดเวลานึกว่าจะจบแล้ว เชฟเชนโก้ได้โหม่งเน้นๆ ดูเด็คปัดจากเส้นแถมข้ามคานไปอย่างไม่น่าเชื่อ สุดๆจริงๆครับ จากคุณ : ไอ้หนุ่มร้อยแรง เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 12:58:45

ความคิดเห็นที่ 31 ในฐานะผมเป็นแฟนลิเวอร์พูลมา ยังจำเหตุการณ์คืนนั้นได้ดีเลยครับ หลังจาก 2-0  กำลังทำใจว่าจะปิดทีวี แล้วนอนต่อเลยดีไหม แต่ปรากฎว่า ไม่ได้ปิดทีวี มิหน่ำซ้ำยัง ต้องโทรหาเพื่อนแล้วคุยกันกับเรื่องที่เกิดขึ้นยันสว่างคาตาเลยครับ จากคุณ : felansear เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 13:00:44

ความคิดเห็นที่ 32 คืนที่ the kop ชาวไทยจำนวนไม่น้อย.... ตัดสินใจปิดไฟนอนตอนตีสองครึ่ง (555) เกือบจะไปนอนแล้วจริงๆ   โดนไป  3 ลูก  จะเอาอะไรไปสู้ ครึ่งหลังไม่โดนอีก 2-3 เหรอเนี่ย   คิดแบบนั้นจริงๆ แต่ก็นั่งดูต่อ  เอาอีกหน่อยว่ะ    ไหนๆก็ไหนๆแล้ว พอยิงได้ลูกแรกเริ่มคึก  มีหวังๆๆๆๆ เป็นแมทซ์อมตะที่ยากจะหาไหนมาเทียบได้จริงๆ .. จากคุณ : samr เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 13:02:26

ความคิดเห็นที่ 33 แฟนผีแต่มาโหวต & กิ๊ฟท์ให้นะครับ นั่งดูนัดนั้นอยู่เหมือนกัน สุดยอดมาก ดูแล้วขนลุกสุดๆ สารภาพตรงๆเผลอเอาใจช่วยลิเวอร์พูลด้วยแหละ บอลตามหลังแล้วกลับมาได้นี่ต้องเชียร์ให้ชนะอย่างเดียว จากคุณ : kodindy เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 13:05:27

ความคิดเห็นที่ 34 ถึงตอนนี้ยังงงอยู่เลย เป็นแชมป์ได้ไงเนี่ย ดูรายชื่อนักเตะ ที่พอฝากผีฝากไข้ได้ มีแค่ 4คน เจอร์ราร์ด(กำลังพีค) อลอนโซ่(ยังไม่พีค) ดูเด็ก (พอไว้ใจได้) คาราเกอร์(ตอนนั้นฟอร์มดีมาก) ที่เหลือพอทน ก็มี ฟินแนน ฮูเปียร์(วัยโรยรา)  รีเซ่  บารอส ส่วนแบ็คซ้าย นั่นไม่ต้องพูดถึง เจอ นักเตะมิลาน ซึ่งตอนนั้นยังไม่แก่เท่าไหร่ แต่ละคน น่ากลัวจริงๆ ตอนเจอ 3-0 เหมือนหมดหวัง แต่ผมยังนั่งรอความหวังนั้นอยู่ จนตี้สมอได้ และยันจนถึงลูกโทษ ผมคิดอยู่ในใจว่าได้แชมป์แน่ๆ เพราะบอลนัดนี้นัดเดียว ทำให้ผมสนับสนุนและเชื่อมั่น ราฟา ตลอด มา จากคุณ : empaza เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 13:12:19

ความคิดเห็นที่ 35 คืนนั้นก่อนที่ผมตัดสินใจจะปิดทีวีนอน แต่ช่วงพักครึ่งผมได้ยินเสียงเพลงของเหล่าเดอะคอป ทำให้ผมคิดได้ว่าไม่เป็นไรหรอกถึงจะแพ้แต่เราก็ต้องเชียร์ และดูจนจบเป็นค่ำคืนที่สุดคืนนึงในชีวิต จากคุณ : เด็กขงเบ้ง เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 13:17:47

ความคิดเห็นที่ 36 ดูตัวผู้เล่นแหละ เกียรติประวัติทีทำไว้กับลิเวอร์พูล ไม่น่าเชื่อจะกลับมายิง 3 ประตูครึ่งหลังและคว้าแชมป์ได้เลย แต่ก็นั้นแหละมันคือเสน่ห์ของลิเวอร์พูล จากคุณ : Get only me เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 13:20:10

ความคิดเห็นที่ 37 ความเห็นที่ 4การาเกอร์ ขำมากๆเลย ทำประตูทีมอื่นได้5 ทำประตูทีมตัวเองได้ 6 จากคุณ : devada เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 13:26:04

ความคิดเห็นที่ 38 ขอบคุณ จขกท.มากครับ ลองดูรายชื่อของมิลานแล้ว ถ้ายกเว้นดีด้าซะคน ที่เหลือนี่ระดับโลกทุกคนเลยนะครับ อาจจะเรียกว่าเป็นมิลานชุดที่ดีที่สุดก็ว่าได้ จนทุกวันนี้  บางวันผมยังเอา vcd แมทช์นี้มานั่งดูอยู่เลยครับ (แต่ดูเฉพาะครึ่งหลังไปแล้วนะ55+) เป็นแมทช์ที่จะจดจำไปตลอดชีวิตละครับ จากคุณ : paper punch เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 13:29:15

ความคิดเห็นที่ 39 ฤดูกาลนั้นผมเห็นการ์เซียแล้วหงุดหงิดเป็นที่สุด ลงมาก็ไม่เห็นจะมีส่วนร่วมอะไรต่อเกมส์ รอแต่จังหวะเล่นแบบเหนือชั้นอย่างเดียว แต่ในหลาย ๆ ครั้งทีมก็จำเป็นต้องพึ่งพาความเหนือชั้นของเค้าเพื่อเก็บชัยชนะ จากคุณ : อิติคุง เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 13:35:50

ความคิดเห็นที่ 40 ไม่ใช่แฟนลิเวอพูลแต่ยังจำนัดนั้นได้ติดตาอยู่เลย จากคุณ : sungiko เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 13:35:50

ความคิดเห็นที่ 41 คิดถึงโมเมนต์นั้นจริงๆ ดีใจที่ได้อยู่ดูนัดประวัติศาสตร์นัดนึงของสโมสร จะเสียดายก็แค่ไม่ได้ไปอยู่ในสนามจริงๆ คิดถึงนักเตะชุดนั้นทุกคนโดยเฉพาะ - อลอนโซ่ เป็นการย้ายออกที่ผมเสียดายมากที่สุดคนนึงตั้งแต่ดูหงส์มาเกือบ20ปี - เฮีบปู หวังว่าคงจะกลับมาเป้นโค้ชให้สโมสรในสักวันนึง จากคุณ : Bluranus เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 13:48:38

ความคิดเห็นที่ 42 ผมร้องไห้ ตอน ดูเด็ก เซฟ ลูก เชวาจากเส้น  แล้ว บ่นในใจว่า  ถ้วยเป็นของกรูแน่ จากคุณ : HARU_PAN เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 13:49:50

ความคิดเห็นที่ 44 เออ line up มิลาน -0- ยังกับเล่น PES ซื้อตัวตามใจชอบ จากคุณ : เขาหาว่าผมหน้าเด็ก เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 14:08:22

ความคิดเห็นที่ 45 บารอสหรือนั่น นึกว่าพี่ซัวเรส จากคุณ : XabiRider เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 14:12:44

ความคิดเห็นที่ 46 43 อย่าไปเกรียนอะไรกับเขาเลยครับ... คุณก็คงไม่ชอบ ถ้าจะมีแฟนหงส์มาเกรียนในกระทู้ "ฮีโร่ ยูไนเต็ด ที่ คัมป์นู" หรอกนะครับ... ป.ล. ผมแฟนผี จากคุณ : ไทเอโกะแมน เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 14:14:57

ความคิดเห็นที่ 47 เห็นรายชื่อนักเตะมิลาน ผมยังแอบแทงข้างมิลานเลย 555+ แต่สายเลือดหงส์มันเข้มกว่า ไงก็ต้องเชียร์อยู่แล้ว ปล. ขอบคุณจขกทครับ สำหรับบทความดี ๆ จากคุณ : โย่ _เชียงใหม่ เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 14:21:44

ความคิดเห็นที่ 48 ดู squad line up แล้ว ลิเวอร์หน้าตาขี้เหร่มาก ชุดนั้นมิลานเพอร์เฟคเลยก็ว่าได้ จากคุณ : บุรี เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 14:21:54

ความคิดเห็นที่ 49 ตอนโดน 3-0 นี่ มันแพ้ทั้งสกอร์ ทั้งรูปเกมเลย ที่ปิดไปเพราะไม่กล้าดูครึ่งหลัง กลัวจะเละกว่านี้ ที่ไหนได้ พ่อมาบอกว่า 3-2 แล้ว เลยลงมาดู แล้วก็นอนไม่หลับเลยคืนนั้น จากคุณ : Niceguy_C3 เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 14:23:20

ความคิดเห็นที่ 50 ขอบคุณสำหรับกระทู้ดีๆ ดีนะที่คืนนั้นดูจนจบ แบบว่าลุ้นถึงแม้ว่าจะตามแต่ก็ไม่ถอดใจเชียร์^^ จากคุณ : แก้มลัก เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 14:24:31

ความคิดเห็นที่ 51 จำได้ว่านั่งทำงานส่งลูกค้าไปด้วย หมดครึ่งแรกโดนไปสามดอก พักครึ่งออกไปซื้อเบียร์ดื่มย้อมใจ เจิดกดลูกแรก...ดีใจเบียร์หก เพราะดันกระดกตอนยิงเข้าพอดี จากคุณ : archparty เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 14:30:07

ความคิดเห็นที่ 52 ตอนนั้นเป็นปีที่พึ่งเรียนจบ นั่งดุกับเพื่อนที่บ้าน 4 คนนั่งหน้าจอทีวี หงส์ 3 ผี 1 ลูกแรกยังเฉย ๆ ลูกสองเริ่มเซ็ง ลูกสาม เพื่อนกับผมรวม 3 คน ถอดเสื้อหงส์ ออกมาวาง เสียใจ ไม่ใส่เสื้อเลย 555 ใครบางคนเอาเสื้อหงส์ไปเช็ดเบียร์ที่หกบนพื้นด้วย เปิดมาครึ่งหลัง ตอนยิงได้ลูกแรก หันไปดูภาพช้า เพราะว่าสารภาพว่าไม่ได้ดูจอแล้ว นั่งคุยเล่นกันอยู่ พอยิงได้ลูกสอง ทุกคนคว้าเสื้อหงส์มาใส่กันหมด ไม่เว้นแม้แต่ไอ้คนที่เอาเสื้อไปเช็ดเบียร์ที่พื้น พอดีเสมอได้ บ้านแทบแตก วิ่งไปตะโกนนอกบ้านเสียงดังโวยวายมาก แต่เกมส์ยังไม่จบครับ มาลุ้นกันต่อจนยิงจุดโทษ ไม่ต้องบอกนะครับว่า พอชนะแล้ว พวกเรารู้สึกกันยังไง วันนี้กินเบียร์ไป 2 ลัง ไม่ได้นอน แถมพอบอลจบต้องอาบน้ำ ไปทำงานอีก เป็นนัดที่ผมจะไม่มีวันลืมบรรยากาศคืนนั้น ไว้ลูกโตก่อน จะเล่าให้ลูกฟังครับ ว่าป๊าอยู่ในเหตุการณ์ด้วย อิอิ จากคุณ : ตอนคุณมองตะวัน ผมมองเจอแต่จัน เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 14:36:05

ความคิดเห็นที่ 53 ตอนนั้นอยู่ดีเพราะแฟน(เก่า)อ่านหนังสือสอบ เราดูบ้างหลับบ้าง พอครึ่งหลังแฟนปลุกบอกให้ลุกมาดูเร็ว เค้าเลิกอ่านหนังสือมาเชียร์เป็นเพื่อนแล้ว จากนั้นก็สว่างคาตาคะ (บอลจบ ฉลองแชมป์ๆ แฟนกลับไปอ่านหนังสือต่อ ) จากคุณ : บ่าบี๋ เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 14:36:35

ความคิดเห็นที่ 54 หมายเลข 12 เมาฟรีออริจินั่ล เริ่ม เชียร์ลิเวอร์พูล ฤดูกาลแรก 1994/95 ตอนที่ทีมลิเวอร์พูลคว้าแชมป์โคค่โคลา ลีกคัพ มาครอง รางวัลของลิเวอร์พูลตั้งแต่เชียร์ • แชมป์ยูฟ่า แชมเปียนส์ลีก ปี 2005 • แชมป์ยูฟ่า คัพ ปี 2001 • แชมป์ยูฟ่า ซูเปอร์คัพ ปี 2001, 2005 • แชมป์ เอฟเอคัพ ฤดูกาล 2000 – 01, 2005-06 • แชมป์ลีกคัพ ฤดูกาล 1994-1995,2000–01,2002-03 และ 2011-2012 • แชมป์ คอมมิวนิตี้ ชิลด์ ปี 2001,2006 • รองแชมป์ ฟีฟ่า คลับ แชมเปี้ยนชิพ ปี 2005 ประกาศตนเป็นสาวกลิเวอร์พูลเต็มขึ้น โดยเริ่มจากการที่ชอบนักเตะดาวรุ่งคนหนึ่ง ในทีมลิเวอร์พูล ชื่อว่า ร๊อบบี้ ฟาวเลอร์ และเฝ้าติดตามการเล่นของลิเวอร์พูลมาตลอด ผ่านทางหนังสือพิมพ์กีฬารายวัน และนิตยสารกีฬารายเดือนของค่ายยักษ์ใหญ่(ปัจจุบันเลิกซื้อแล้ว) ่ ปัจจุบันทำงาน มีอาชีพที่มั่นคงอยู่ในหน่วยงานหนึ่งในต่างจังหวัด จากคุณ : เมาฟรีออริจินั่ล เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 14:37:51

ความคิดเห็นที่ 55 จำได้ว่าไปดูบ้านเพื่อน แล้วพอโดนไป 3-0 ตัดสินใจเรียกแท็กซี่กลับบ้าน แม่เจ้า ระหว่างทางเพื่อนโทรหาเปนระยะบอก ตีไข่แตกแล้ว ไล่มา 3-2 แล้ว วินาทีนั้นบอกพี่โชเฟอร์ให้ยูเทิร์นกลับไปบ้านเพื่อนเลย ปอลิง ผ่านไป 7 ปีแล้วสินะ ไวจังนิ จากคุณ : เขียนบน iPhone (Cherry-Lipz) เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 14:38:25

ความคิดเห็นที่ 56 3-0ปิดทีวีนอนแล้ว  ลูกร้องกวน ดูเวลา อ้าวบอลยังไม่จบเปิดดูซักหน่อย เห็น3-3นึกว่าทีวีลงผิด พอแน่ใจว่า3-3จริงๆตาสว่างยันเช้าเลย 555 จากคุณ : Dr.โอ เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 14:42:05

ความคิดเห็นที่ 57 ขาดคลิปได้ไง ทีมที่ยิ่งใหญ่เท่านั้น ที่จะสร้างประวัติศาสตร์และสิ่งมหัศจรรย์ในวงการลูกหนังได้ คลิปนี้คนทำโคดดดดดดดด เจ๋ง ดูกี่ทีผมน้ำตาจะไหล ( เพราะคืนนั้น 3-0 แล้วนอนเหมือนกัน) จากคุณ : นายอร่อย เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 14:44:20

ความคิดเห็นที่ 58 #43 ย้อนกลับไปดู #33 นะ อ้อ match นี้ไม่ใช่ว่าชื่นชมกันเองนะ ไปถามดูคนอื่นก็ได้ ปากสุนัขแบบนี้ ถึงเวลาก็อย่าไปว่าคนอื่นเล้ย ถึง #33 ขอบคุณครับที่เชียร์ เอาไป 1 กิ๊ฟ แต่ถ้าเป็นผีโดนแบบนั้นนี่ ผมไม่เชียร์ให้ตามมาคืนหรอกนะครับ เชียร์ให้โดนอีกซัก 3 ลูก แซวเล่นๆนะครับ จากคุณ : amscmu เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 14:45:48

ความคิดเห็นที่ 59 ช่วยกันกดลบ #43 เถอะ กระทู้ดีๆๆจะได้ไม่เบี่ยงประเด็น จากคุณ : Get only me เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 14:52:25

ความคิดเห็นที่ 60 หงส์แดงชุดนั้นดีที่สุดทุกตำแหน่งในรอบ20ปีเลย   ผมแฟนผีแดงยังยอมรับ.. จากคุณ : nokun เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 14:57:05

ความคิดเห็นที่ 61 ไม่เคยลืมครับ ผมแฟนมิลานและเครสโปเป็นไอดอล ทีมคุณมากระชากฝันไป ถึงตอนนี้ยังเกลียดลิเวอร์ไม่ลืมครับ 555 หลังจากนั้น 1 เดือน ผมไม่ได้ดูข่าวเรื่องบอลเลย ทำใจไม่ได้ T_T จากคุณ : by iPhone (บ้าแพะ) เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 14:58:01

ความคิดเห็นที่ 62 อยากเห็นคลิป ฌิมี่ ตราโอเร่ ทำ “ซีดานเทิร์น” หน้าประตูตัวเอง จากคุณ : jango577 เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 15:00:52

ความคิดเห็นที่ 63 #60 ดีสุดในรอบ 20 ปี ทำไมไม่ได้แชมป์พรีเมียร์ชิพละ จะได้ที่ 3 ที่ 4ทำไม งง จากคุณ : หวานแซบ เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 15:07:55

ความคิดเห็นที่ 64 สารภาพว่า ปิดทีวีนอนเหมือนกันครับ ตอนเช้ามาแอบปลอบใจว่าถ้าตอนนั้ดูต่ออาจจะหัวใจวายตายคาทีวีก็ได้ T T จากคุณ : Xzip เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 15:12:55

ความคิดเห็นที่ 65 พอนึกย้อนกลับไป ก็เหมือนยังได้ยินเสียงโห่ดีใจตอนตีเสมอของหอข้างๆ ตอนนั้นเรามองออกไป ไม่รู้ว่าคนที่หอนั้นเป็นใคร รู้เพียงแต่ว่าเค้าคงดีใจสุดๆเหมือนเรา และเค้าคงน้ำตาไหลด้วยความดีใจเหมือนเราตอนที่เห็นกัปตันชูถ้วย... มันเป็นความรู้สึกที่คงมีแต่พวกเราที่เข้าใจ ว่าทำไมเราถึงยังยิ้มน้ำตาคลอเมื่อนึกถึงค่ำคืนนั้น จากคุณ : r_kingdom เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 15:19:14

ความคิดเห็นที่ 66 #62 จัดให้เลยครับ จากคุณ : Anfield_07 เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 15:20:03

ความคิดเห็นที่ 67 ขอบคุณจขกท.มากค่ะ อ่านไปก็นึกถึงคืนนั้น น้ำตายังคลอๆ เลย จากคุณ : S77 เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 15:22:05

ความคิดเห็นที่ 68 พอจบครึ่งแรก3-0 ผมตัดสินใจปิดทีวีข้างล่างขึ้นไปนอนขอกำลังใจจากลูกชาย(ชื่อThe Kopวัย2ขวบ)ที่นอนไม่รู้เรื่องในห้องนอน เปิดทีวีโดยเอากระดาษบังจอแสงกลัวแสงแยงตาลูก นอนลุ้นเกร็งเห็นทีวีอยู่ครึ่งจอ ภาวนาว่าช่วยพ่อเชียร์หน่อยลูกเพราะไม่รู้อีกนานแค่ไหนทีมรักของเราจะมีโอกาสชิงอีก และแล้วปาฏิหารย์ก็มีจริง มันเป็นความเชื่อของพ่อที่บ้าบอลและทุกวันนี้ลูกชายก็รับรู้เรื่องราวนั้นแล้วและคงจะพูดถึงเรื่องนี้อีกนานแสนนาน ปล.นัดชิงFA Cup กับคาร์ดิฟฟ์ ผมก็ทำแบบนี้อีกแล้ว จากคุณ : Tatokop เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 15:22:40

ความคิดเห็นที่ 69 คุณเมาฟรี เริ่มเชียร์หงส์ปีเดียวกับผมเลย ตอนนั้น  passing ของอีแวนส์ก็ดูเพลินมาก  แต่ไม่มีถ้วย555 จากคุณ : picassoinhell เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 15:24:49

ความคิดเห็นที่ 70 #63 ทีมชุดนั้นไม่ใช่ชุดที่ดีที่สุดในรอบ 20 ปีหรอกครับ ผู้เล่นทีมนั้นที่พีคในตำแหน่งของตัวเองจริงๆ น่ะ มีแค่เจอร์ราร์ด, คาร์ราเกอร์, อลอนโซ่ เท่านั้นเองครับ เป็นบอลรองแบบเต็มรูปแบบเลย เมื่อเทียบกับ เอซี มิลาน ที่เป็นนักเตะระัดับโลกในทุกตำแหน่งที่ลงสนามวันนั้น ทีมชุดที่ดีที่สุดในรอบหลายๆ ปี ที่ผ่านมา ผมยกให้ชุดที่ได้ที่ 2 เมื่อ 3 ปีก่อนนะ ผมว่าชุดนั้นลงตัวมากๆ แล้วในทุกตำแหน่ง โดยเฉพาะแผงกลาง มาสเคราโน่-อลอนโซ่-เจอร์ราร์ด-เคาท์-ริเอร่า ตอนนั้นเป็นแผงกลางที่ดีทีสุดที่เคยดูมาเลยครับ บวกกับกองหน้าลูกน้ำเค็มในปัจจุบันอย่างตอร์เรส ที่ตอนนั้นยังไม่ออกเรือไปไกลนัก นาทีนั้นเจอใครก็ไม่กลัวเลยครับ แต่ก็ยังไม่ดีพอจะได้แชมป์อยู่ดี เพราะแมนยูฟอร์มแน่นอนและสม่ำเสมอกว่า พลาดไป แป่วๆๆๆ จากคุณ : parawarm เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 15:26:33

ความคิดเห็นที่ 71 จำได้ว่าพอ 3-0 ก็ซัดเหล้าอย่างหมดหวัง เมามาก เพื่อนโทรมาปลุกตอนใกล้หมดเวลา เฮ้ย...เป็นไปได้ไงเนี่ย สุดยอด โดยเฉพาะเจอร์ราดที่ปลุกสาวกให้เชียร์ต่อ แมทช์หยุดโลกจริงๆ อัฒจรรย์แทบถล่ม แต่ก็ยังงงถึงตอนนี้ หลังจากแมทช์นี้ ดูเด็ก ก็ลงไปนั่งม้านั่งสำรองจนออกจากทีมไปเลย แก้ไขเมื่อ 19 มี.ค. 55 15:36:22 จากคุณ : LedZepp เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 15:28:00

ความคิดเห็นที่ 72 ชุด 2005 เป็นชุดทีขี้เหร่ เนะ มากกับการเป็นแชมป์ อย่าว่าเป็นแชมป์เลยแค่เข้ารอบแต่ละรอบก็ยังดู หักปากกาเซียนตลอด จากคุณ : Get only me เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 15:29:35

ความคิดเห็นที่ 73 ผมเป็นทั้งแฟนแมนยู และแฟนปีศาจแดงดำ เอซี มิลาน แต่ก็ร่วมแสดงความยินดีกับแมทช์ปาฏิหารย์ของลิเวอร์พูลในนัดนี้ เป็นนัดที่ได้ใจแฟน ๆ ทั่วโลกครับ จากคุณ : mayerboss เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 15:31:34

ความคิดเห็นที่ 74 เป็นแฟนผีครับจําได้ว่าดูอยู่แค่ครึ่งแรกแล้วก็ไปนอน ยังนึกอยู่เลยว่าพรุ่งนี้เช้าเพื่อนจะทําหน้ายังไง (เพื่อนเปนแฟนลิเวอร์พูล) พอตื่นเช้ามาดูข่าว งงเลยครับ..สุดยอดจริงๆ ปล 1.เหนกระทู้นี้แล้วก็อยากให้มีกระทู้ปาฏิหารย์ที่คัมป์นูมั่ง ปล 2.ล้อคอินที่มาเกรียนๆก็อยากให้เพลาๆมั่งครับ คุณคงไม่ชอบเหมือนกันถ้ามีคนมาเกรียนในกระทู้ดีๆแบบนี้ จากคุณ : If you're 555 I'm 666 เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 15:32:17

ความคิดเห็นที่ 76 แฟนมิลานครับ ขอเล่าบ้าง 555*/* ก่อนแข่ง- ชิวๆ ทีมเราเหนือกว่าเยอะ เดินลงสนาม-หวั่นไหวนิดๆ ลูกแรก- มาแล้วๆๆ ลูกสอง- โคตรมั่นใจ ลูกสาม-เมสเซจ ข่มขวัญเพื่อนหงส์โดยพลัน จบครึ่งแรก- หุบยิ้มไม่ลง เริ่มครึ่งหลัง-ยังชิวๆ ทีมยังเล่นได้เหนือกว่า มีโอกาสได้ลูกสี่- พอๆอย่ายิงเยอะ สงสารเขา 1-3  แล้วไง.. 2-3 ชิ..หายละ ภาพวันโดนเด ปอ มันกลับมาหลอน เสียลูกโทษ- นั่งช็อค จบ 90 นาที 3-3 นั่งมึน ต่อเวลา - บุกเข้าไปๆๆ เชว่า โหม่ง ดูเด็กปัด เชี่ยเอ๊ย จ่อๆ เอาให้ไส้แตก - ไม่เข้า จบเกม - แพ้แน่ คนแรก แซจินโญ่ ยิงนกตาย- จบ หมดหวัง คนสุดท้าย-เห็นหน้าเชว่า รุ้เลย ไม่เข้าแน่ๆ จบเกม -จุก พูดไม่ออก นอนไม่หลับ เจ็บปวด รวดร้าว ทรมาน ... ตื่นเช้า ดูสรยุทธ ......ทุกวามเจ็บปวด + ไปอีก 30 เท่า 2 ปีเต็มๆ กว่าอาการเจ็บลึก ค้างใน มันจะหาย ในค่ำคืนที่ เอเธนส์ จากคุณ : Kill11by1pass เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 15:38:54

ความคิดเห็นที่ 78 อีกหนึ่งสุดยอดแห่งการรีเทิร์น จำได้ไม่ลืม ไม่ค่อยได้ดูหรอก ตอนกลางคืนไปส่งแฟนคลอดลูกที่ ร.พ. ผลครึ่งแรก มิลานนำ 3-0 นึกว่าจะปิดกล่องไปแล้ว พอลูกคลอดตอนเช้า ไปถามผลบอลถึงกับตกใจ หา! หา! หา! อะไรนะ เสียดายที่เป็นหงส์ได้แชมป์ ถ้าเป็นผีได้แชมป์จะดีใจเพิ่มขึ้นอีก ได้แชมป์ธรรมดามันไม่น่าจดจำเหมือนได้แบบนี้ ยินดีกับแฟนหงส์ด้วยครับ 5 5 5 5 5 จากคุณ : เอริค กองตรงหน้า เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 15:42:44

ความคิดเห็นที่ 79 #75 พวกคุณผิดแล้ว แก้ไขเมื่อ 20 มี.ค. 55 07:38:22 จากคุณ : Hannah (Imari) เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 15:51:13

ความคิดเห็นที่ 80 อยากได้คลิป full match ไม่รู้ยังจะมีไหมครับ จากคุณ : HolySix เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 15:52:57

ความคิดเห็นที่ 81 เพิ่งดูเรื่อง Will ไปเมื่อคืนเหมือนกันครับ พี่เจิดโคตรเท่ 555 ผมว่าพล็อตหนังโอเคนะ ถึงจะมีหลวมๆไปบ้าง แต่ผมว่าเป็นหนังที่เกี่ยวกับฟุตบอลที่สนุกกว่าเรื่อง Goal ในความเห็นของผม และดำเนินได้น่าติดตามเลยทีเดียว พอมาคิดอีกที เจ้าหนูวิลล์เกรียนโคตรทุกสิ่งอย่าง 5555 จากคุณ : DujZ เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 15:56:50

ความคิดเห็นที่ 82 #43 #77 กระทู้มันดี อยู่แล้ว อยาทำเสืยเรื่องเลยครับ ปล เพิ่ม #75 อีก แก้ไขเมื่อ 19 มี.ค. 55 15:59:49 จากคุณ : หนุ่ม2002 เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 15:59:07

ความคิดเห็นที่ 83 เข้ามาสารภาพว่าปิดไฟนอนตอนจบครึ่งแรกจริง ๆ ตื่นมาอาบน้ำตอนตีห้า เพื้อทำงาน แฟนผีมาแซวว่า ได้แชมป์แบบฟลุ๊ค ๆ ผมยังงเลย จากคุณ : หงส์สยายปีก เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 15:59:17

ความคิดเห็นที่ 84 แฟนทีมหอยทะเลหลงเข้ามาได้ไงเนี่ย เฮ้อ !!!!!!!!!!! แก้ไขเมื่อ 19 มี.ค. 55 16:01:26 จากคุณ : ไอ้หนุ่มร้อยแรง เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 16:00:32

ความคิดเห็นที่ 85 ยังไม่ได้ดูหนังเรื่อง Will เลยครับ แต่นึกถึงคืนนั้นมากมาย ขับรถไปเที่ยวบ้านเพื่อนที่ชุมพร นอนดูที่บ้านเพื่อน หมดครึ่งแรกนี่นอนเอาผ้าห่มคลุมหน้าเลย แต่พอจบเกม ผ้าห่มคลุมหน้าเหมือนเดิม แต่น้ำตาไหลมาด้วย สุดยอดมากครับ ไม่เสียแรงที่เชียร์มาถึงปีนั้น 15 ปีพอดี เป็นอีกหนึ่งในความทรงจำที่ดีที่สุดในชีวิตเลยล่ะครับ T.T แก้คำผิด แก้ไขเมื่อ 19 มี.ค. 55 16:06:00 จากคุณ : ยกกระดก เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 16:02:59

ความคิดเห็นที่ 86 อ่านแล้วต้องลอกอินเข้ามา เพราะเกมนัดนี้จึงรักหงส์ ดูแมทที่ใหญ่ๆทีไรหัวใจเต้นแรง ขนลุก เขย่าแขนพ่อ(พ่อก้ออีกคนเป่าหุให้ ลุกรัหงส์) ดี ที่ไม่เปนโรคหัวใจ จากทีติดตามมาตั้งแต่ม4ถึงปัจจุบันเสน่าของหงส์อยุ่ที่ ต้องดูจนนาทีสุดท้าย ต้องหัวใจเต้นแรง ขนลุก ชอบให้ลุ้นอ่ะ แต่รักหงส์น่ะ จุ๊บุ*-* ^_^ จากคุณ : เสียงเล็กๆของเด็กน้อย เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 16:05:35

ความคิดเห็นที่ 87 เง้อออ กิ๊ฟมาหมดเอาตอนตัวสำรองพอดีเลยอ่า ขอบคุณ จขกท. มากค่ะ อ่านไปยิ้มไป คิดถึงคืนนั้นแล้วมันตื่นเต้นขึ้นมาทุกที เรานั่งดูอยู่คนเดียวเลยค่ะ ทั้งบ้านเค้านอนกันหมดแล้ว ดูคนเดียว กัดเล็บคนเดียว และเกือบปิดทีวีแล้วเหมือนกัน ตอนจบครึ่งแรก แต่ก็คิดว่า ไหนๆก็แหกขี้ตาตื่นขนาดนี้แล้ว ปีนึงนัดชิงก็มีแค่ครั้งเดียว (ไม่ได้คิดถึงหงส์เท่าไหร่เลย 555+) ดูๆไปเถอะ เผื่อจะยิงคืนได้ (ยังแอบหวัง แม้จะน้อยนิด) อีกอย่างที่คิดในใจตอนนั้นคือ โชคที่มี คงใช้ไปหมดแล้วสินะ และวันนี้ต้องลงมาเจอความจริง ว่าปาฏิหาริย์คงไม่มีจริง ที่ไหนได้ 15 นาที 3 ลูก เราหยิกเนื้อตัวเองจนเจ็บเลย ให้รู้ว่าไม่ได้ฝันไป แล้วก็ลุ้นระทึกกับช่วงเวลาที่เหลือ พอเชฟเชงโก้ยิงจ่อๆไปเข้า โหยยยยย มันรู้เลยว่า ชนะแน่ๆ แต่ถึงอย่างนั้น ตอนยิงลูกโทษก็ยังแทบบ้าอยู่ดี เสียดายที่พี่เจิดไม่ได้ยิง แต่ก็ดีใจที่พี่เจิดไม่ต้องยิงเหมือนกัน นาทีที่พี่เจิดชูถ้วย น้ำตาซึมเล็กๆ ดีใจไปกับความพยายามของเขามากๆค่ะ นัดนี้เป็นนัดที่สองที่เราพูดได้เต็มปากว่าเชียร์ลิเวอร์พูลอย่างแท้จริง ดังนั้น ตอนนั้น เราไม่ได้รู้จักลิเวอร์พูลมากไปกว่าทีมทีมหนึ่งที่ด้อยกว่าคู่แข่งมาแทบจะทุกรอบ (ฟังข่าวมาด้วยซ้ำ) เลยตัดสินใจดูในนัดที่แข่งกับเชลซี นัดที่สอง ซึ่งมันก็เห้นได้ชัดว่าด้อยกว่าเขาจริงๆ แต่ทั้งนักเตะและแฟนบอลทำให้เรารู้ว่า หัวใจที่ยิ่งใหญ่กว่ามันเป็นยังไง เจ้าหูโตในปี 2005 ของเรา ได้มาด้วยหัวใจล้วนๆ อ่อ บวกเทคติกสะท้านโลกของราฟาด้วย อิอิ จากคุณ : howk_ky เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 16:13:58

ความคิดเห็นที่ 88 อ่าวแล้วมรึ ง มีสิทธิอะไรมาเรียกทีมอื่นเค้าหอยทะเล หาาาาาา *84 ขอร้องอย่าบ่อนทำลายเลยครับ จากคุณ : อยู่เฉยๆ (ninky555) เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 16:19:14

ความคิดเห็นที่ 89 เป็ดแด ชุดที่สุดคือ ชุดอันดับ 2 พรีเมียร์ชิพ ในยุค ราฟา ต่างหาก จากคุณ : หวานแซบ เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 16:24:37

ความคิดเห็นที่ 90 น่าจะแถมอายุปัจจุบัน จะได้นึกออกเลยตอนนั้นพวกเค้าอายุเท่าไร จากคุณ : กองเชียร์คริสเตียน[เอฟ.ซี.] เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 16:28:53

ความคิดเห็นที่ 91 #75 แล้วใครใช้ให้กองหลังมิลานรั่วไม่ทราบ แถวบ้านเรา เรียกว่า "ประมาท" และถ้าถามว่า ทำไมถึงประมาท ก็เพราะ เค้าอาจชิวๆแล้ว 3-0 ใครมันก็ต้องคิดว่าชนะแน่ แต่ขอโทษ มันเป้นการดูถูกคู่แข่งอย่างไม่อาจให้อภัยได้ต่างหาก และมิลานได้แก้ตัวแล้วในปี 2007 พวกเขาเรียนรู้จากความผิดพลาดในปี 2005 และถ้าใครได้ดู ปี 2007 เราก็กล้าพูดว่าลิเวอร์พูลเล่นดีกว่ามิลาน เราไม่เห็นต้องคิดเลยว่า ถ้ากองหลังลิเวอร์พูลไม่รั่ว มิลานจะยิงได้มั้ย เพราะเราเห็นเกียรติและไม่เคยประมาทคู่แข่ง แม้แต่แข่งกับสโต๊ค เมื่อคืน เราก็กลัว แข่งนัดชิงคาร์ลิ้งคัพกับคาร์ดีฟ เราก็ยังหวั่น ไม่ได้หวั่นเพาะกลัวลิเวอร์พูลสู้ไม่ได้ แต่เพราะเราเคารพพวกเขาว่า พวกเขาก็มี 11 สมอง 22 เท้าเหมือนกัน คุณคงไม่เคยให้เกียรติคนที่ด้อยกว่าคนเลยสินะ ถึงได้คิดแบบนี้ จากคุณ : howk_ky เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 16:30:02

ความคิดเห็นที่ 92 พอเถอะ หยุด กันได้แล้ว กระทู้ดีๆๆ เสียหมด มันจะเป็นกระทู้บลัฟแหลก กันอยู่แล้ว ถ้าคุณหวานแซบทนไม่ได้ เชิญไปตั้งกระทู้ใหม่เพื่อพูดคุยโดยเฉพาะเลย ไม่อยากให้กระทู้นี้เบี่ยงประเด็นไปมากกว่านี้ ขอความกรุณาเพื่อนรวมเวปบอร์ด ทำได้ไหมคะ จากคุณ : Get only me เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 16:37:20

ความคิดเห็นที่ 93 ใครอยากตี ใครอยากบลัฟ ใครอยากป่วน เอาให้เต็มที่เลยนะครับ ผมเจ้าของกระทู้ไม่สนเนื้อความของพวกคุณเลย ผมเลือกอ่านแต่ความเห็นที่สร้างสรรค์ครับ จากคุณ : parawarm เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 17:06:52

ความคิดเห็นที่ 94 กระทู้ดีๆ เสียหมด จะป่วนก็ไปกระทู้ที่เขาเกรียนๆกันสิครับ จากคุณ : พลังคลื่นเต่าสะท้านฟ้า เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 17:11:03

ความคิดเห็นที่ 95 ทู้นี้ เสียกิ๊ฟท์เยอะมาก ยอมรับ กดไปที่ ดีดี้ กับ สมิเซอร์  แรงๆ  ชื่นชอบเป็นการส่วนตัว จากคุณ : koptyne_1 เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 17:17:32

ความคิดเห็นที่ 96 เข้ามาอ่านอีกที บางคนก็นะ กระทู้นี้พวกเราอยู่กันดีๆ ไม่ได้ไประรานอะไรใคร ก็ยังอุตส่าห์เข้ามาแขวะอีก เป็นกระทู้อื่นเข้าใจ เกรียนบ้าง บลัฟบ้าง แขวะบ้าง มันเป็นเรื่องธรรมดา แต่กระทู้แบบนี้ยังจะเข้ามากวนอีก เพลาๆบ้างเห๊อะ กระทู้ไหนบลัฟ อันไหนไม่ควรคิดว่าน่าจะแยกออกนะ จากคุณ : ยกกระดก เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 17:18:41

ความคิดเห็นที่ 97 เนื้อหากระทู้อ่านแล้วรู้สึกมีกำลังใจ มีความอบอุ่น นี่คือสังคมลิเวอร์พูลครับ พวกคุณที่เข้ามาในพื้นที่นี้ ควรรักษามารยาทหน่อยนะครับ สิ่งดีๆในกระทู้นี้มีเยอะ เข้ามาควรเก็บเกี่ยวไป หรือเสริมเพิ่ม ถ้าคิดแต่จ้องทำลายด้วยความเกลียดชัง คุณมันเป็นคนถ่อยจริงๆครับ จากคุณ : สปิริท เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 17:20:02

ความคิดเห็นที่ 98 จำได้ ลูกตีเสมอ 3 -3 แหกปากลั่นบ้านเลย จากคุณ : liverjim เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 17:20:37

ความคิดเห็นที่ 99 ฮา คาราเกอร์ ยิงประตูทีมตัวเอง มากกว่ายิงเข้าประตูทีมอื่น แก้ไขเมื่อ 20 มี.ค. 55 11:12:32 จากคุณ : อันตัวข้านามไพเราะเสนาะหู เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 17:20:40

ความคิดเห็นที่ 100 เกือบจะปิดทีวีนอนแล้วเหมือนกัน แต่ส่วนลึกๆ ยังคิดเสมอว่าเอาน่า ได้สักลูกก็ยังดี นั่งดูกับน้องชาย กระโดดกอดกันกลมเลย ช่วงตีเสมอ ยิ่งช่วงได้แชมป์ เราร้องลั่นบ้าน น้ำตาซึมเลยทีเดียว คิดแล้วก็ขำตัวเองเหมือนกันนะ 55 จากคุณ : Kopscout เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 17:33:19

ความคิดเห็นที่ 101 อย่าไปสนใจเกรียนครับ เกรียนห้องศุภฯสมัยก่อน ถึงจะเกรียนขนาดไหน ก็ไม่มาป่วนกระทู้ดีๆนะ เดี๋ยวนี้เป็นอะไรไปหมดเนี่ย จากคุณ : PanywT เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 17:33:21

ความคิดเห็นที่ 102 ง่ายๆครับ ใครเกรียนก็ไม่ต้องไปสนใจ ปล่อยมันไป อย่าไปตอบโต้ Don't feed the Troll.. จากคุณ : Kill11by1pass เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 17:35:28

ความคิดเห็นที่ 103 มันเริ่มเป๋เพราะหวานแซบ แฟนเชลซี (ตานี่--หรือเธอคนนี้หว่า---ไม่ใช่เด็กผีนะ อย่าแขวะผิดทีม) จากคุณ : Symposium เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 17:57:33

ความคิดเห็นที่ 104 ฮา #99 เขียนผิดเขียนใหม่ได้นะ แถมมีคนให้กิฟอี๊ก อะก่อนตอบทิ้งช่วงนานความเห็นมาแทรกเลยต้องแก้นิดนึง แก้ไขเมื่อ 19 มี.ค. 55 18:08:50 จากคุณ : โอ๊ยเจ็บ เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 18:07:26

ความคิดเห็นที่ 105 กระทู้ดีๆ อย่าเกรียนใส่กันเลยครับ ถ้าใครเจอเกรียนก็อย่าไปยุ่งเลย ถ้าเป็นกระทู้รบพุ่งกันอันนั้นจะไม่ว่าเลย ใครจะอะไรก็จัดไป แต่กระทู้แบบนี้ขอโฟกัสที่เรื่องมีสาระๆ หน่อยดีกว่า ว่าแล้ววันนั้นผมก็เชียร์หงส์นะ คือถ้าเป็นฝรั่งเค้าคงงง ไม่เข้าใจ อะไรของพวกเมิงวะ 555 แต่ผมไม่ได้คิดอะไรมากเลย เปรียบไป ก็เหมือนทีมบอลคู่แข่งในจังหวัดตัวเอง เวลาเตะในจังหวัดเราเป็นคู่แข่งกัน แต่ถ้าได้หลุดเป็นตัวแทนจังหวัดเข้าไปแข่งระดับประเทศ เราก็เอาใจช่วย ไม่ได้ขนาดต้องตายกันไปข้างอะไรขนาดนั้น จริงๆ ก็เคยพูดกันหลายรอบแล้วครับ แฟนผีจริงๆ วันนั้นก็ลอกคราบไปช่วยเชียร์หงส์กันหลายคนอยู่ ก็มีหลายเหตุผล ไม่ว่าจะเพราะความคุ้นเคย ทีมจากอังกฤษด้วยกัน หรือเพราะรูปเกมที่มันชวนให้คนไทยเทใจเชียร์มวยรองฮึดกลับมาสู้ อะไรแบบนั้น ว่าแล้วนึกภาพการเซฟของดูเด็กทีไรผมอดตลกท่าแกไม่ได้จริงๆ นะ 5555 จากคุณ : art_sarawut เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 18:11:36

ความคิดเห็นที่ 106 อลองโซ่  เสียดายแทน the kop จากคุณ : FFK-KZ@Fiesta เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 18:19:05

ความคิดเห็นที่ 107 วิธีจัดการคนป่วนกระทู้  ขำๆนะ http://www.kasetporpeang.com/forums/index.php?topic=10571.0 จากคุณ : Kopscout เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 18:27:58

ความคิดเห็นที่ 108 ผมว่าบอลคลาสสิกแบบนี้ แฟนแต่ละทีมไม่ค่อยแบ่งแยกกันนะครับ ว่าผมเกลียดทีมที่เข้าชิง ผมแช่งชักหักกระดูกทีมคุณ โอเค ก่อนแข่งอาจจะใช่ แต่หลังแข่งจบมันก็เหลือแต่เรื่องเล่าที่น่าประ่ทับใจนะครับ ผมแฟนลิเวอร์พูล ผมยังประัทับใจนัดที่แมนยูไล่ยิงบาเยิร์นรวดสองลูกในปีทริปเปิลแชมป์เลยนะ จากคุณ : parawarm เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 18:31:57

ความคิดเห็นที่ 109 ทั้งเกมชอบจังหวะนี้มากที่สุด เช้ดดดดดดดดดดดดดดดดด.... ทำได้ไงวะ เซฟประวัติศาสตร์ ชื่อของดูเด็กจะถูกนำมากล่าวขานในเกมแชมเปี้ยนส์ ลีก ไปอีกหลายสิบปี จากคุณ : waanjorjae เขียนเมื่อ : 19 มี.ค. 55 18:40:54