PANTIP.COM : S11884078 *~*~*~*~*~*~*MANCHESTER CITY CLUB*~*~*~*~*~*~* เป็นแชมป์*ก็หรู* เป็นรอง*ก็เท่* [ฟุตบอลต่างประเทศ]

ความคิดเห็นที่ 5

รวมกฎ กติการและพื้นฐานการเล่นฟุตบอล ของหนังสือ สกายบุ๊ก ในกติการข้อที่ 12 ฟาวล์และการระเมิดกติกา ดังนี้(คัดตาม นส.ทุกคำ)โทษโดยตรง การลงโทษด้วยการให้ฟรีคิกโดยตรงจะเกิดขึ้นในการที่ทำฟาวล์ตามกติการทั้ง 6 รายการที่ ผู้ตัดสินพิจารณาแล้วเห็นว่าใช้ความรุนแรง ทำด้วยความตั้งใจ และขาดความยั้งคิด

1. เตะหรือพยายามเตะร่ายกายคู่แข่งขัน
2. ดึงหรือพยายามดึงคู่แข่งขัน
3. กระโดดเข้าใส่คู่แข่งขัน
4. ชาร์จคู่แข่งขัน
5. ผลักคู่แข่งขัน
6. ยิงบอลอัดคู่แข่งขัน
การลงโทษโดยตรงจะเกิดขึ้นได้อีกถ้ามีการฟาวล์ใน 4 ลักษณะดังต่อไปนี้
7. ปะทะคู่แข่งขันเพื่อให้ได้บอลมาครอบครอง โดยเข้าปะทะก่อนที่จะได้บอล
8. กอดคู่แข่งขัน
9. ถ่มน้ำลายใส่คู่แข่งขัน
10. เจตนา ใช้แขนเล่นบอล
การตั้งบอลเพื่อเตะโทษทั้งโดยตรงและโดยอ้อมจะเกิดขึ้น ณ บริเวณจุดที่มีการฟาวล์เกิดขึ้น

การเตะโทษ การเตะโทษเกิดขึ้นหลังจากมีการฟาวล์ใน 10 ลักษณะที่กล่าวมาข้างต้น ในเขตโทษของตัวเอง

โทษโดยอ้อม เกิดขึ้นเมื่อผู้เล่นและผู้รักษาประตูทำฟาวล์ในเขตประตู โดยมีลักษณะการฟาวล์ดังต่อไปนี้
1. ผู้รักษาประตูสัมผัสบอลครั้งที่สองหลังจากปล่อยลูกฟุตบอลจากมือไปแล้ว
2. สัมผัสบอลอีกครั้งหนึ่งหลังจากปล่อยบอลให้เพื่อนร่วมทีมแล้วเพื่อนส่งคืนกลับมา
3. สัมผัสบอลจาการทุมคืนโดยเพื่อนร่วมทีม
4. ถ่วงเวลา
5. ผู้เล่น แสดงท่าทางอันตราย ในการเล่น
6. ขวางการเล่นของคู่แข่งขัน
7. ขวางผู้รักษาประตูไม่ให้ปล่อยบอลหรือเริ่มเกม
8. ทำฟาวล์(ตามข้ออื่นๆ)หลังผู้ตัดสินเป่าหยุดเกม

การคาดโทษ การคาดโทษในเกมฟุตบอลมี 2 วิธี คือ
1. การตักเตือน ซึ่งผู้ตัดสินอาจจะคาดโทษด้วยใบเหลืองก็ได้
2. ถ้าผู้เล่นยังไม่ยอมปรับปรุงวิธีการเล่นอาจจะโดนใบเหลืองที่สอง ซึ่งเป็นใบแดงให้ออกจากการแข่งขัน หรืออาจจะโดนคาดโทษด้วยใบแดงให้ออกจากการแข่งขันเลย

การคาดโทษด้วยใบเหลือง มี 7 รูปแบบดังนี้
1. ไม่มีน้ำใจเป็นนักกีฬา
2. ไม่ยอมรับคำตัดสินทั้งวาจาและท่าทาง
3. พยายามละเมิดกติกาการแข่งขัน
4. หน่วงเหนี่ยวการเล่นเกมใหม่
5. อยู่ในระยะที่ต่ำกว่า 10 หลา เมื่อมีการเตะมุมและเตะกินปล่าว
6. เข้าสนามแข่งโดยไม่ได้รับอนุญาต
7. พยายามออกจากสนามโดยไม่ได้รับอนุญาต

การคาดโทษด้วยใบแดง มี 7 รูปแบบดังนี้
1. ทำฟาวล์อย่างรุนแรง
2. ผิดระเบียบวินัยนักเตะอย่างรุนแรง
3. ถ่มน้ำลายใส่ร่างกายคู่แข่งขันหรือว่าคนอื่นๆ
4. เจตนาใช้แขนปัดบอล กรณีที่คู่แข่งขันส่งบอลข้ามเส้นประตู เช่นเดียวกับผู้รักษาประตูที่ใช้แขนปัดบอลนอกเขตประตูของตัวเอง
5. ขัดขวางการเข้าไปทำประตูของคู่แข่งขัน หรือในจังหวะที่มีการยิงจุดโทษ
6. ใช้ภาษาที่หยาบคาย ด่าคู่แข่งขัน เพื่อนร่วมทีมหรือผู้ตัดสิน
7. ถูกคาดโทษด้วยใบเหลืองมาก่อนแล้ว 1 ใบ

กติกาการล้ำหน้า

ตำแหน่งล้ำหน้า เกิดขึ้นเมื่อ
1. ผู้เล่นอยู่ใกล้กับเขตประตูคู่แข่งขัน มากกว่าบอลที่กำลังเล่นและกองหลังตัวสุดท้าย
2. ผู้เล่นอยู่ในตำแหน่งล้ำหน้า เกี่ยวข้องกับเกม
3. ผู่เล่นอยู่ในตำแหน่งล้ำหน้า เกี่ยวข้องกับคู่แข่งขัน
4. ได้เปรียบจากการยืนในตำแหน่งล้ำหน้า
ข้อ 2, 3 และ 4 ขึ้นอยู่กับดุลพินิจของผู้ตัดสินตำแหน่งไม่ล้ำหน้า เกิดขึ้นเมื่อ
1. ผู้เล่นอยู่ในแดนตัวเอง
2. ผู่เล่นอยู่ในระดับเดียวกันกับกองหลังตัวสุดท้าย
3. ผู่เล่นอยู่ในระดับเดียวกันกับกองหลังสองคนสุดท้าย
4. รับบอลจากการแตะจากเส้นประตูตัวเอง
5. การทุ่ม

จากคุณ : ทุ่งเกวียน

เขียนเมื่อ : 26 มี.ค. 55 18:32:31

ความคิดเห็นที่ 15

จิบกาแฟหลังเลิกงาน 05 ~ ทางบ้านให้อภัย !!
ประเภทบทความ:
ทั่วไป
จิบกาแฟหลังเลิกงาน 05 ~ ทางบ้านให้อภัย !!

“ทางบ้านให้อภัย” คำพูดของแฟนบอลแมนเชสเตอร์ซิตี้ในประเทศไทย บอกตรงๆได้ยินคำนี้ขำกลิ้งแทบตกเตียง (ฮา) กับผลงานเกมล่าสุดที่ไล่บดและแซงชนะเชลซีที่นาทีนี้ฟอร์มแรงจริงๆ แต่ทางด้านเรือใบใช้โอกาสในบ้านด้วยสถิติชนะรวดข่มจิตใจให้ทั้งขุนพลนักเตะและผู้จัดการทีมเชลซีได้แต่ทำงานกันแบบกล้าๆกลัวๆ อันเป็นผลให้แมนเชสเตอร์ซิตี้ได้รับผลดีในการครอบครองบอลตามสไตล์ถนัด ผมเคยย้ำแล้วว่าเกมใดที่ซิตี้โดนโจมตีเร็วจนตั้งหลักครองบอลไม่ได้นั่นคือหายนะ เพราะชื่อชั้นที่เหนือกว่าแต่ระบบไม่ได้เหนือโลกแบบยอดทีมกระทิงดุ “บาเซโลน่า”

การครองบอลถ่ายโอนช้าๆของซิตี้และบาซ่าอาจมองว่ามีรูปลักษณ์ละม้ายคล้ายกันได้ ทว่าทางด้านซิตี้มีหมัดเด็ดเป็นการแทงทะลุช่องโดยเป็นกองหน้าและกองกลางวิ่งหาช่องกันไปมา แต่หากวันใดเจอคู่แข่งที่เข้าใจเกมและทำการบ้านมาดี ช่องที่ควรจะเกิดจากการวิ่งสลับไปมาของกองหน้าและกองกลางทีมเรือใบก็จะไม่เกิดขึ้น ดั่งที่เห็นในเกมกับ เอฟเวอร์ตัน ซันเดอร์แลนด์ ลิสบอร์น นาโปลี ฯลฯ ซึ่งแผนที่สองสำรองของซิตี้ก็ไม่ได้มีอะไรพิเศษเกินกว่าจะออกทางด้านข้างให้กองหลังกราบขวาและซ้ายโอเวอร์แล็บ (Overlap) มาเปิดบอลหรือมุดๆเข้าไปเส้นหลัง ซึ่งก็มองได้ง่ายๆจากตัวและคุณสมบัตินักเตะที่ทางฝั่งขวานั้นอันตรายสุดหนีไม่พ้น “ไมกา ริชาร์ด” ที่มีการมุดสอดแทรกได้น่ากลัวเหลือเกินและมักจะหักล๊อกเข้าในซึ่งจะทำให้อันตรายยิ่ง ในขณะที่หากเป็น “พาโบล ซาบาเรต้า” แม้ความเร็วอาจเป็นรองกว่ากองหลังผิวหมึกแต่ทางชดเชยด้วยทักษะและเชิงบอลที่สูงกว่า รวมไปถึงการเปิดบอลที่ดียิ่งกว่า หันมามองฝั่งซ้าย “อเล็กซ์ ซานดรา โครารอฟ” กองหลังชาวเซริบน่าจะเป็นคนที่มีการเปิดบอลแม่นยำที่สุดในบรรดากองหลัง แต่ก็แลกมาด้วยความเร็วที่น้อยที่สุด จึงมักไม่ค่อยเห็นเขาได้ควบแข่งกับคู่ต่อสู้เท่าไหร่นัก ในขณะที่อีกด้าน “กาแอล กิลชี่” กองหลังฝรั่งเศสรายนี้ต้องบอลว่ามีความเร็วจัดจ้านทีเดียวอาจเป็นรองเพียงแค่ริชาร์ดเท่านั้น ทว่าการเปิดบอลของเขาก็ไม่ได้ดีเท่าไหร่นักแต่ด้วยพรีเมียร์ลีคเป็นลีคที่มีผู้เล่นริมเส้นความเร็วสูงเยอะทำให้เขามีความสำคัญยามที่เปลี่ยนจังหวะจากรุกเป็นรับ

มองกันง่ายๆหากหาช่องไม่เจอก็เปิดจากด้านข้างเข้าไปสิ ทว่าหากมองสถิติแล้วการที่ซิตี้จะได้ประตูจากลูกเปิดจากริมเส้นไม่นับลูกตั้งเตะนั้นน้อยมากจนน่าตกใจ อาจด้วยแผนที่ซิตี้มักไม่ใช้กองหน้าเป้าที่ทำเป็นแต่ยืนรอบอลแถวกรอบเขตโทษ แต่นิยมให้กองหน้าถอยลงมาเพื่อเล่นบอลประสานกับแดนกลางนั่นเอง ตัวอย่างสำคัญง่ายๆก็คือไม่ว่าจะเป็น “เอดิน เซโก้” หรือ “มาริโอ บาโลเตลี่” ที่มีร่างกายสูงใหญ่แต่กลับมักจะเห็นเขาลงมาพักบอลหรือช่วยต่อเกมกับนักเตะอย่าง “ยาย่า ตูเร่” และ “ดาบิด ซิลบา” อาจรวมไปถึง “ซาเมียร์ นาสรี่” นั่นเป็นคำตอบสไตล์บอลที่เน้นการครอบครองบอลและสร้างพื้นที่ระหว่างผู้รักษาประตูและกองหลังให้เกิดขึ้น ทว่าหากเปิดบอลออกไปด้านข้างจริงๆแล้วแมนเชสเตอร์ซิตี้มันจะแสดงให้เห็นถึงความอ่อนซ้อมให้การครอสบอลและความเข้าใจของกองหน้าในการชาร์จบอลกลางอากาศให้เพื่อเปลี่ยนให้เป็นประตู

ในจุดเหล่านี้แตกต่างกับบาเซโลน่าที่จะเน้นไปในการเพิ่มความเร็วในการเข้าทำแทน แม้ว่าแดนกลางจะเล่นบอลคล้ายกันกับซิตี้แต่จังหวะที่คิดจะเข้าทำแล้วนักเตะของบาซ่าเลือกที่จะดันขึ้นเป็นแผงและใช้ความเร็วในการโอนถ่ายที่แม่นยำเจาะเข้าไป ต่างกับซิตี้ที่เน้นไปทางด้านการออกริมเส้นแล้วโยนไปวัดกันเอา นี่เป็นจุดที่ว่าทำไมที่ผ่านมาซิตี้ถึงได้กระ:-)กระสนขนาดนั้น เพราะดูที่รายชื่อนักเตะแล้วคนที่จะเล่นลูกกลางอากาศได้ดีมีเพียงแค่ “เอดิน เซโก้” ในตำแหน่งกองหน้า “ยาย่า ตูเร่” กับแดนกลางที่พอจะหวังได้บ้างยามสอดขึ้นมาเติมเกม มีเพียงแค่สองคนเท่านั้นที่จะทำให้ได้ลุ้นจากการเปิดบอลในจังหวะโอเพ่นเพล์ (Open play) นั่นทำให้เกมของซิตี้ในช่วงหลังๆมักจะได้เห็นแต่จำนวนเข้าทำที่มหาศาลแต่ประตูกระจุ๋มกระจิ๋มเหลือเกิน

เกมนัดนี้น่าจะจุดประกายรูปแบบการเล่นให้บรรดานักเตะของซิตี้ได้ เพราะการเข้าทำในจังหวะสุดท้ายนั้นน่าจะเป็นรูปแบบที่คู่แข่งไม่อยากเจอะเจอ กับการที่โดนชิ่งกันแถวหน้าเขตโทษ ก้ำกึ่งล้ำหน้า และหากสะกิดหนักเกินไปก็ยังโดนจุดโทษอีก และสิ่งที่ว่ามาก็คือไม้ตายอีกอย่างของบาเซโลน่านั่นเอง การหลีกเลี่ยงการโดนปะทะหนักจะได้ผลสูงสุดก็ยามได้พาบอลไปอยู่ในกรอบเขตโทษของคู่แข่ง และสิ่งที่น่าปวดหัวที่สุดคือการชิ่งบอลไปมาหรือให้บอลแล้ววิ่งเติมเกมเพื่อจะรอการทำชิ่ง การทำเช่นนี้หลีกเลี่ยงไม่ได้เลยสำหรับแนวรับที่ต้องเสียคนคนของตัวเองวิ่งไล่ตามประกบนักเตะที่จะวิ่งแทรกขึ้นไป ทำให้เกิดช่องว่างเล็กขึ้นมาได้ทันที ไม่จำเป็นต้องอาศัยทักษะระดับ “ลิโอเนล เมสซี่” ในการลากเลี้ยงยากเกมตันเพราะเพียงแค่ร่างกายของ “ยาย่า ตูเร่” ก็เบียดและพาบอลขึ้นไปข้างหน้าได้ไม่แพ้เมสซี่แล้วนั่นเอง รวมไปถึงการครองบอลของ “ดาบิด ซิลบา” ที่คู่แข่งแย่งยากเสียเหลือเกินหากเจ้าตัวไม่จ่ายบอลพลาดเสียเอง ทว่าในรายของ “ซาเมียร์ นาสรี่” อาจยังต้องไปปรับปรุงในส่วนของการรันวิทเดอะบอล เพราะในหลายจังหวะมักมีการทำบอลหลุดจากการครอบครองบ่อยๆ ลูกยิงไกลเป็นอีกสิ่งที่หาได้ยากยิ่งกับแมนเชสเตอร์ซิตี้ชุดนี้ แม้ว่าจะมีนักเตะที่ขึ้นชื่อว่าเท้าหนักและยิงไกลได้ดีทั้ง “มาลิโอ บาโลเตลี่” และ “เอดิน เซโก้” อาจรวมไปถึง “คราดิโอ ปิซาโร่” ที่โดนยืมตัวมาก็เท้าหนักไม่ใช่ย่อย ทว่ากลับไม่มีลูกยิงไกลให้เราได้เห็นกันเท่าไหร่นัก และหนักไปทางยิงนกเสียมากกว่า (ฮ่าๆ)

กลับมาพูดถึงเกมวันนี้ ก่อนจะพูดถึงคนที่สปอร์ตไลท์ส่องแสงไป “คารลอส เตเวส” ขอข้ามไปที่พระรองตัวจริงที่วันนี้จำแลงกายให้เป็นพระเอกในยามที่พระเอกตัวจริงเล่นไม่ออก “ซาเมียร์ นาสรี่” วันนี้เป็นอีกหนึ่งในไม่กี่วันที่เราจะเห็นเจ้าหนุ่มจากฝรั่งเศสคนนี้แผลงฤทธิ์ซะแนวรับเชลซีปวดหัวกันเลยทีเดียว ทั้งยิงไกล จ่ายบอล และยิงประตูชัย แม้จะมีหลายๆช๊อตที่พลาดและน่าขันแต่พอเจอประตูชัยในช่วงห้านาทีก่อนทดเวลาบาดเจ็บก็ต้องบอกว่า “ทางบ้านให้อภัย” แล้วเช่นกัน ในเกมนี้ด้วยความที่เชลซีนั้นจ้องจับและเล่นงานประกบหนึบ “ดาบิด ซิลบา” มากเสียจนลืมที่จะคิดถึงเด็กหนุ่มฝรั่งเศสรายนี้ ทำให้เขามีพื้นที่ในการสร้างสรรค์เกมและในที่สุดทำให้เขากลายเป็นผู้ที่มีบทบาทเด่น ขับเคลื่อนเกมรุกให้ซิตี้ยามที่เพื่อนสเปนิชเล่นไม่ออก สำหรับแฟนซิตี้แล้วคงไม่มีอะไรดีไปกว่าการได้เห็นทั้งคู่ท๊อปฟอร์มพร้อมๆกัน ทว่าหากจะเป็นการทดแทนในกรณีที่คนหนึ่งเด่นคนหนึ่งดับเป็นนัดๆไปก็โอเคซิกาแล็ตกันไป~

แสงจากสปอร์ตไลท์และกล้องทีวีทุกตัวคงจับไปที่เขาคนนี้ “คาร์ลอส เตเวส” อดีตกองหน้ากบฎกลับใจที่ได้กลับมาลงสนามเป็นนัดแรกกับทีมชุดใหญ่ มีทั้งเสียงปรบมือ และใบหน้าที่กลืนไม่เข้าคายไม่ออกปะปนกันไปยามที่นาทีหกสิบห้าและเขาได้ย่างก้าวเท้าลงไปบนผืนหญ้าในสนาม ในช๊อตแรกที่เขาลงไปเล่นและสัมผัสกับลูกบอลก็การันตรีความทุ่มเทเมื่อพลีกายตามสไตล์เมื่อยอมเอาตัวเข้าแลกในจังหวะที่ผู้เล่นเชลซีง้างเท้าจะสกัดบอล ด้วยลีลาการเล่นเช่นนี้ที่เคยครองใจแฟนบอลมานักต่อนักทำให้เกมรุกของซิตี้มีตัวช่วยในการโอนถ่ายและลำเลียงบอลเพิ่มขึ้นอีกคน จนกระทั่ง “เอดิน เซโก้” ได้ลงมาประสานกันกลายเป็นหน้าสามคนที่ทำให้กองหลังของเชลซีเจองานหนักยิ่งขึ้น เมื่อเกมโดนพับสนามบุกอยู่ฝ่ายเดียว และกองหน้าทั้งสามของซิตี้นั้นก็ล้วนแต่น่ากลัวทั้งสิ้นจึงเป็นเหตุให้แดนกลางของซิตตี้อาศัยจังหวะที่แดนกลางต้องถอยลงมาช่วยกองหลังค่อยๆวิ่งสลับและกดดันไปเรื่อยๆ ท้ายที่สุดเป็นฉากดั่งละครที่อดีตกบฎกลายเป็นผู้ปั้นแต่งประตูสุดท้ายเมื่ออาศัยลูกเล่นส่วนตัวในการพักบอลอันแข็งแกร่งยื้อเวลารอให้กองกลางชาวฝรั่งเศสวิ่งเติมเกมแทรกเข้ามาระหว่างช่องของกองหลัง กองหน้าอาเจนไตอาศัยจังหวะเพียงเล็กน้อยแทงบอลให้จนกลายเป็นประตูที่นำชัยชนะให้กับแมนเชสเตอร์ซิตี้ แน่นอนแม้สกอร์บอร์ดจะแสดงชื่อผู้ทำประตูเป็น “ซาเมียร์ นาสรี่” ทว่าผู้อยู่เบื้องหลังคงจะเป็นใครอื่นมิได้นอกจาก “คาร์ลอส เตเวส” มันเป็นการกลับมาที่สมบรูณ์แบบ แม้อาจเป็นช่วงเวลาดีๆครั้งสุดท้ายกับแมนเชสเตอร์ซิตี้ก่อนที่จะเก็บข้าวของย้ายไปยังสโมสรในลีคอื่นๆ ทว่าการที่จะกลับมาและจากไปแบบฮีโร่ของสีฟ้าแห่งแมนเชสเตอร์มันก็ไม่เลวเลย ใช่ไหม ?

******************************************************************

ขอขอบคุณภาพจาก Soccersuck และ Google Image

******************************************************************

Credit http://www.bluemoon-mcfc.in.th

จากคุณ : ทุ่งเกวียน

เขียนเมื่อ : 26 มี.ค. 55 19:10:28