Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
+++++ เนวิน vs บังยี ฟุตบอลไทยฉบับ..ไทยไฟท์ +++++ ติดต่อทีมงาน

มวย “ไทยไฟท์” ที่ว่าแน่ๆ ยังต้องหลบให้ฟุตบอลไทยฉบับไทยไฟท์ เพราะนี่คือศึกของสองผู้ยิ่งใหญ่ “บังยี” วรวีร์ มะกูดี vs “เสี่ยเน” เนวิน ชิดชอบ

ไม่ระบุแน่ชัดว่าฝ่ายใดอยู่ “มุมแดง” เป็นมวยต่อเพราะสูสีกันมาก หากดูจากโปรไฟล์และดีกรีแล้วถือว่า “มวยถูกคู่”

“บังยี” คือเบอร์ 1 แห่งวงการฟุตบอลไทยในฐานะ “นายกสมาคมฟุตบอลแห่งประเทศไทย” ที่คร่ำหวอดอยู่ในวงการมาหลายสิบปี จนเติบใหญ่ไปได้ตำแหน่งเป็นถึง “บอร์ดฟีฟ่า” ในองค์กรลูกหนังระดับโลก

เส้นทางบนถนนลูกหนังของ “บังยี” ผ่านมาหลายสมรภูมิ บางศึกทำท่าว่าจะไปไม่รอด แต่ด้วยความ “เก๋า” และ “พันธมิตร” จึงทำให้เอาตัวรอดครองตำแหน่งมาได้เป็นสมัยที่ 3 ติดต่อกัน

ขณะที่ “เนวิน” ยังถือว่าใหม่ต่อวงการฟุตบอล เนื่องจากเพิ่งเข้ามาสู่วงการและรับตำแหน่ง “ประธานสโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ด” เพียงไม่นาน

แต่ “เนวิน” คือนักการเมืองระดับแถวหน้าของเมืองไทยที่เคยพลิกประเทศมาแล้ว และด้วยความเก๋าในวิถีของการเมืองที่เชี่ยวกรากทำให้มีคุณสมบัติในแง่ของการ “ตรวจสอบ” และ “เปิดโปง” ที่ไม่เป็นสองรองใครในประเทศนี้

มหาสงครามฟุตบอลไทยไฟท์ระหว่าง “บังยี” และ “เนวิน” จึงเป็นอะไรที่สั่นสะเทือนวงการฟุตบอลไทยเกินกว่าระดับ 8.5 ริกเตอร์

ถ้าย้อนกลับไปเมื่อ 1 ปีที่แล้วคงไม่มีใครคาดคิดว่าทั้งคู่จะกลายมาเป็น “เพื่อนรักหักเหลี่ยมโหด” เพราะครั้งนั้น “เนวิน” ถือเป็น “แบ็กอัพ” อย่างดีที่ทำให้ “บังยี” ขึ้นครองตำแหน่งประมุขฟุตบอลไทยเป็นสมัยที่ 3

การเลือกตั้งนายกสมาคมฟุตบอลไทยสมัยที่ผ่านมาถือเป็นครั้งที่ “บังยี” ส่อต่อการตกเก้าอี้มากที่สุด เริ่มตั้งแต่ “อดีตนายก” จะกลับมาทวงตำแหน่งคืน แต่สุดท้าย “เคลียร์ได้” เลยรอดตัวไป

แต่พอมาถึงวันเลือกตั้งเกือบโดน “บิ๊กกร๊อง” วิรัช ชาญพานิชย์ โค่นลงบัลลังก์จึงต้องใช้วิธีอัปยศ “ล้มเลือกตั้ง” กลางคัน ก่อนจะแก้เกมเดินแผนในทางลับจนกลับมาเอาชนะเลือกตั้งในที่สุด

ชัยชนะเลือกตั้งครั้งนั้นปฏิเสธไม่ได้เลยว่า “เนวิน” คือผู้อยู่เบื้องหลังจนนำมาซึ่ง 123 เสียง ที่ส่งให้ “บังยี” เป็นนายกสมาคมฟุตบอลสมัยที่ 3 ทั้งที่หลายคนแอบหวังว่า “เนวิน” จะหนุนหลัง “บิ๊กกร๊อง” ในฐานะ “ลูกพี่สวนกุหลาบวิทยาลัย”

วันเวลาผ่านไปแค่ขวบปี “เนวิน” ออกมาพูดถึงการเลือกตั้งอันอื้อฉาวอีกครั้ง แต่เป็นไปในทิศทางต่อกันข้ามแบบหน้ามือเป็นหลังมือพร้อมกับขอโทษต่อแฟนบอลไทยทั้งประเทศ

“แฟนบอลหลายคนด่าว่า 123 เสียงที่เลือก บังยี คือตัวทำลายวงการฟุตบอลไทย ผมต้องขอโทษแฟนบอลที่เป็น 1 ใน 123 เสียงนั้นด้วย แต่คนเรายอมโง่แค่ครั้งเดียวพอ ผมจะไม่ยอมโง่อีกแล้ว”

ทำไมคนที่รักถึงกลายมาเป็นเกลียด นั่นคือคำถามที่คนในวงการฟุตบอลไทยเริ่มเอ่ยถามขึ้น นับตั้งแต่มีหลายเหตุการณ์ที่แสดงให้เห็นว่า “บังยี” กับ “เนวิน” เริ่มไม่เหมือนเดิม

เหตุมันเริ่มครั้งแรกเมื่อทีมงานบุรีรัมย์ที่ดูแลทีม เยาวชนไทยอายุไม่เกิน 16 ปี ไปคว้าแชมป์อาเซียนที่ลาวได้ตัดสินใจถอนตัวออกมาแบบที่สมาคมฟุตบอลไม่คัดค้าน แถมยังดึงเอาเกมชิงแชมป์เอเชียรอบคัดเลือกที่บุรีรัมย์กลับมาเตะที่กทม.

“ทีมไม่ได้รับการสนับสนุนใดๆ เลยทั้งทีเราพร้อมจะจ่ายเงินเองทุกอย่าง กระทั่งไปได้แชมป์มาแล้วมีการพูดคุยกันแต่สมาคมฟุตบอลไม่สนใจที่จะทำให้ดีขึ้น คงคิดว่ามีคนอื่นที่ทีมทำได้ เราเลยถอนตัวออกมาหลังจากทำทีมจนได้แชมป์แล้ว”

นั่นคือเหตุการณ์แรกที่ทำให้คนเริ่มคิดว่ามันต้องมีอะไร ก่อนที่จะมีเหตุการณ์สองต่อเนื่องในการมอบถ้วยแชมป์ไทยพรีเมียร์ลีก ที่ “ทีพีแอล” ไม่ยอมมอบถ้วยให้ บุรีรัมย์ ยูไนเต็ด ในเกมเหย้านัดสุดท้ายที่ไอโมบาย สเตเดี้ยม

“เนวิน” แก้เผ็ดจากกรณีนี้ด้วยการสั่งทีมไม่ขึ้นไปรับถ้วยแชมป์ แม้จะโดนแฟนบอลส่วนใหญ่รุมด่าว่า “ไร้สปิริต” แต่ประธานสโมสรบุรีรัมย์ ยูไนเต็ดไม่ยี่หระ

แต่ที่สุดแล้วเหตุการณ์ต่างๆ มันแสดงให้เห็นอย่างชัดเจนว่า “บังยี” และสมาคมฟุตบอลน่าจะย้ายฝั่งไปอยู่กันคนละข้างกับ “เนวิน” เรียบร้อยแล้ว ทั้งที่เคยรักใคร่กลมเกลียวกันอย่างดี

กระแส “คลื่นใต้น้ำ” มีอย่างต่อเนื่อง กระทั่ง “เนวิน” เดินหมากครั้งสำคัญงัดกลยุทธ์ใหม่ต้อนรับไทยพรีเมียร์ลีก 2012 ด้วยการนัดรับประทานอาหารกับประธานสโมสรทุกทีมเป็นประจำทุกสัปดาห์

“เนวิน” ยืนยันว่าไม่ได้ตั้งก๊วนที่จะโค่นล้มสมาคมฟุตบอลหรือ “บังยี” แต่ต้องการระดมความคิดเห็นจากคนฟุตบอลตัวจริงที่ทำทีมเพื่อพัฒนาวงการฟุตบอลให้ดีขึ้น ทว่าเหตุผลใดๆ ก็เป็นเรื่องที่ฟังไม่ขึ้นสำหรับฝั่งตรงข้าม

ถึงตรงนี้ “เนวิน” ถูกกล่าวหาว่าจ้องโค่นล้มสมาคมฟุตบอลไทย

การนัดรับประทานอาหารของหมู่สโมสร “พันธมิตร” ในครั้งแรกยังไม่มีเหตุการณ์อะไรที่ฮือฮา ถือเป็นการระดมความคิดเห็นปกติ แต่มาถึงครั้งที่สองถือเป็น “จุดเริ่ม” ของความขัดแย้งอย่างหนักในวงการฟุตบอลไทย

“ดร.กล้วยทับ” ดร.วิชิต แย้มบุญเรือง ประธานบจก.ไทยพรีเมียร์ลีก ที่อุตส่าห์เข้าไปร่วมประชุมด้วยถือเป็นตัวละครสำคัญของเหตุการณ์ทั้งหมด เพราะดันตอบคำถามของทีมไม่ได้ แถมยังถามกลับแบบกำกวมจนเรื่องบานปลาย

ทีมสโมสรถามถึงการจัดแข่ง “ลีกสำรอง ลีกเยาวชน” แต่ “ดร.กล้วยทับ” ดันบอกว่าไม่มีเงิน พอทีมถามว่าสิทธิประโยชน์มีตั้งเยอะแยะแล้วเงินหายไปไหนหมด ท่านประธานทีพีแอลดันตอบว่า “คุณก็รู้ว่าต้องไปถามใคร”

เมื่อเบอร์ 1 ของ “ทีพีแอล” ตอบคำถามของทีมสโมสรสมาชิกได้เท่านี้ นั่นจึงเป็นที่มาของคำถามที่ว่า “เงินหายไปไหน” แล้วเกิดเป็นคำถามตามมากมายว่ารายได้ที่เข้ามาสู่ไทยพรีเมียร์ลีกหายไปไหนหมด

พันธมิตรสโมสรและ “เนวิน” ตั้งใจถามคำถามนี้ไปที่สมาคมฟุตบอลไทย และ “ทีพีแอล” ในฐานะที่ต้องทำงานร่วมกัน แต่กลายเป็น บมจ.สยามสปอร์ต ซินดิเคท ในฐานะผู้บริหารสิทธิประโยชน์ฟุตบอลอาชีพที่ต้องมาออกตัวรับแทน

“บังยี” อยู่ในสถานะ “ลอยตัว” ไม่ลงมายุ่งกับเรื่องนี้เลย ปล่อยให้มหามิตรอย่าง ระวิ โหลทอง และ “สยามสปอร์ต” ต้องตกเป็นจำเลยของแฟนบอลไทยออกมาอธิบายเรื่องราวต่างๆ อยู่ฝ่ายเดียว

ความขัดแย้งจึงเหมือนจะเปลี่ยนจาก “เนวิน” กับ “บังยี” และสมาคมฟุตบอลกลายเป็น “เนวิน” กับ “สยามสปอร์ต” จนนายใหญ่อย่าง “เจ้าสัวระวิ” ต้องออกมานั้งโต๊ะคุยกันนักข่าวถึงเรื่องต่างๆ อยู่หลายสิบนาที

เหตุการณ์บานปลายถึงขั้นมี “หนังสือเปิดผนึก” งัดข้อมูลออกมาสาดใส่กัน กระทั่ง “สยามสปอร์ต” ตัดสินใจถอนตัวจากการเป็นผู้บริหารสิทธิประโยชน์เพื่อยุติปัญหาต่างๆ

นี่คือผลจากความขัดแย้งที่ส่งผลกระทบถึงการเปลี่ยนแปลงในวงการฟุตบอลไทยแบบปฏิเสธไม่ได้

เมื่อ “สยามสปอร์ต” ถอนตัวไป “บังยี” จึงไม่มีใครคอยบังให้แล้ว ที่สุดแล้วจึงต้องมาเผชิญหน้ากับ “เนวิน” เป็นครั้งแรกในการประชุมร่วมกับทีมไทยพรีเมียร์ลีกเมื่อวันที่ 20 เมษายน

นี่คือการประชุมครั้งสำคัญที่กองทัพนักข่าวไปร่วมตัวกันน่าจะมากที่สุด เพราะนี่คือการเผชิญหน้ากันของ “บังยี” และ “เนวิน” ที่มาตามนัดกันทั้งคู่

“บังยี” เดินเกมก่อนหลังจาก “สยามสปอร์ต” ชี้แจงว่าจะถอนตัวแน่นอน โดยบอกกับทุกทีมว่าจะทำหนังสือแบบสอบถามถามทุกสโมสรว่ายินดีจะเข้าร่วมการแข่งขันในฤดูกาลถัดไปตามข้อตกลงและกำหนดของสมาคมฟุตบอลไทยหรือไม่

“ปีนี้สมาคมฟุตบอลจะดำเนินการแข่งขันต่อไปจนจบฤดูกาลตามข้อตกลงต่างๆ ทุกอย่าง แต่ฤดูกาลถัดไปจะแจ้งให้ทราบว่าจะได้สิทธิประโยชน์อะไรบ้าง แล้วให้ทีมตอบกลับมาจะเข้าร่วมหรือไม่ หากไม่ก็จะหาทีมจากดิวิชั่น 1 มาแทน”

ถ้าพูดภาษาชาวบ้านให้เข้าใจง่ายๆ คือ “ปีหน้าใครจะเล่นต่อบ้าง ถ้าไม่พอใจตามข้อเสนอที่จะให้ก็ไม่ต้องเล่น”

แม้จะเป็นแนวทางที่ดูไม่เข้าท่า แต่ “เนวิน” ไม่ยอมหลงประเด็น พร้อมกับงัดชั้นเชิงนักการเมืองออกมาเริ่มไล่ซักถามในแต่ละประเด็นต่อ “สยามสปอร์ต” และ “บังยี” โดยเฉพาะเรื่องของสิทธิประโยชน์ที่มีร่วมกัน

“เนวิน” เดินรุกด้วยการขอดู “สัญญา” ต่างๆ ในเรื่องสิทธิประโยชน์ รวมถึงสอบรายละเอียดปลีกย่อยที่สงสัย ทำให้ “บังยี” ต้องแก้เกมด้วยการระบุว่าหากอยากจะดูต้องทำหนังสือเป็นลายลักษณ์อักษรมา

ประเด็นรายได้-รายจ่ายในการถ่ายทอดสดดิวิชั่น 1 และ 2 รวมถึงสิทธิประโยชน์ที่ “สยามสปอร์ต” ดูแลได้มีการถกกันร่วมชั่วโมง โดย “บังยี” อยู่ในลักษณะพิงเชือกปล่อยให้ตัวแทนจาก “สยามสปอร์ต” โต้ตอบซะเป็นส่วนใหญ่

กระทั่งประเด็นแรกที่เกี่ยวกับ “สยามสปอร์ต” จบไป “เนวิน” จึงลุยต่อด้วยหมัดสองแบบต่อเนื่องกับคำถามเรื่อง “ภาษี” ที่ถามว่าทั้ง สมาคมฟุตบอล และ ทีพีแอล เสียภาษีเงินได้ประจำปีในช่วง 5 ปีที่ผ่านมาหรือไม่

“บังยี” ยืนยันว่าทำถูกตรงตามกระบวนการทุกอย่างและ “เนวิน” ที่ขอดูเอกสารการชำระภาษีต้องทำหนังสือเป็นลายลักษณ์อักษรมาเหมือนเดิมถึงจะยอมให้ดู

การเผชิญหน้ากันวันนั้นกินเวลาร่วม 2 ชั่วโมงเต็ม ผู้สันทันกรณีมองว่า “เนวิน” ทำแต้มได้เหนือกว่า การยิงคำถามแต่ละหมดถือว่าจะแจ้งเข้าเป้า แต่ “บังยี” ใช้ความเก๋าดึงวนหนีคำถามเอาตัวรอดได้ดีพอสมควร

แต่สิ่งที่น่าใจคือศึกนี้ยังไม่จบง่ายๆ “เนวิน” ประกาศเสียงดังฟังชัดว่าจะเดินหน้าตรวจสอบความโปร่งใสของสมาคมฟุตบอลไทยต่อไป

“การชี้แจงหลายเรื่องยังไม่เคลียร์ อย่างการถ่ายทอดสดดิวิชั่น 1 และ 2 มีการนำรายจ่ายเข้ามาร่วม แต่พอมีรายได้จากโฆษณากลับไม่เอามาคิดด้วย ผมจะเดินหน้าตรวจสอบต่อไป ไม่ใช่เพื่อบุรีรัมย์แต่เพื่อวงการฟุตบอลไทย”

ไม่มีความคืบหน้าใดๆ จากฝั่งของ “บังยี” หลังจากนั้น แต่ด้านของ “เนวิน” ยังเดินรุกแบบต่อเนื่องในการนัดรับประทานอาหาร่วมกันครั้งที่ 3 ของทีมในไทยพรีเมียร์ลีก ซึ่งเสียงส่วนใหญ่สนับสนุนให้..ลุยต่อ

ที่ประชุมตัดสินใจจัดตั้ง “ภาคีสโมสรไทยพรีเมียร์ลีก” เพื่อทำหนังสือขอสำเนาสัญญาและสอบถามนโยบายการบริหารงานของ “ทีพีแอล” อย่างเป็นทางการ

นอกจากนี้ยังได้ยื่นหนังสือขอให้สมาคมฟุตบอล และ “ทีพีแอล” เปิดเผยสัญญาสิทธิประโยชน์กับ “สยามสปอร์ต” สัญญาซื้อ-ขายลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดโทรทัศน์ และสัญญากับผู้สนับสนุนต่างๆ ตามที่ “บังยี” ตั้งเงื่อนไข

มหาสงครามของสองผู้ยิ่งใหญ่ในวงการลูกหนังไทยไม่จบง่ายๆ แน่นอน น่าสนใจว่าหลังจากนี้จะเกิดอะไรขึ้นบ้างเมื่อสถานการณ์เริ่มเปลี่ยนแปลงและเข้มข้นขึ้นทุกวัน

“บังยี” ตกอยู่ในสถานะที่ขาดมหามิตรอย่าง “สยามสปอร์ต” ให้การหนุนหลังแล้ว ขณะที่ยี่ห้อนักการเมืองดังอย่าง “เนวิน” รับประกันอยู่แล้วว่าเล่นไม่เลิก

ฟุตบอลไทยฉบับ...ไทยไฟท์จึงเป็นอะไรที่ต้องติดตามแบบห้ามกะพริบตา หรือนี่จะเป็นรอยแยกสำคัญที่จะเปลี่ยนแปลงวงการฟุตบอลไทย ?

เครดิต โดย บับเบิ้ล

http://www.oknation.net/blog/bubble/2012/04/30/entry-1

 
 

จากคุณ : Mr.Thirty-one
เขียนเมื่อ : 30 เม.ย. 55 16:39:01




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com