10 เกมชิงถ้วยบิ๊กเอียร์ที่น่าจดจำ
|
 |
ในที่สุดเวลาที่คอบอลรอคอยก็ใกล้จะมาถึง เพราะตอนนี้ได้คู่ชิงชนะเลิศ ศึกยูฟ่า แชมเปี้ยนส์ ลีก แล้ว โดยเป็นการพบกันระหว่าง เชลซี กับ บาเยิร์น มิวนิค งานนี้ "สิงโตน้ำเงินคราม" อาจจะเสียเปรียบตรงที่สนามนัดชิงฯ ได้แก่ อัลลิอันซ์ อารีน่า ซึ่งเป็นของ "เสือใต้" สำหรับเกมนัดชี้ขาดนี้ หลายคนคงคาดหวังถึงเรื่องความสนุกเร้าใจ ฉะนั้นเพื่อเเป็นการอุ่นเครื่องก่อนแมตช์ที่ยิ่งใหญ่ มาลองดูกันซิว่าเกมไหนที่ทุกๆ คนยังคงติดตาตรึงใจมาจนถึงวันนี้
10. 2008 : แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 1 เชลซี 1 (ยูไนเต็ด ชนะจุดโทษ 5-4)
กว่า 55 ปีจากเหตุการณ์ที่ มิวนิค และกว่า 30 ปี หลังจากที่พวกเขาผงาดคว้าแชมป์ยูโรเปี้ยน คัพ ครั้งแรก ยูไนเต็ด เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน มีโอกาสเขียนประวัติศาสตร์ให้กับ ยูไนเต็ด อีกครั้ง เมื่อ คริสเตียโน่ โรนัลโด้ โหม่งประตูให้ทีมขึ้นนำหลังจากผ่านไปแค่ 26 นาที แต่ แฟร้งค์ แลมพาร์ด ตามตีเสมอได้
ในช่วงระหว่างยิงจุดโทษ จอห์น เทอร์รี่ มีโอกาสที่จะเขียนประวัติศาสตร์ให้ เชลซี เมื่อเขายิงเป็นคนสุดท้าย และหากบอลเข้าไปซุกตาข่ายแชมป์ก็จะอยู่ในถิ่นสแตมฟอร์ด บริดจ์ แต่สวรรค์ไม่ต้องการแบบนั้น เมื่อ "เจที" ดันลื่นและยิงบอลชนเสาออกไป จากนั้น เอ็ดวิน ฟาน เดอร์ ซาร์ ก็เซฟลูกยิงของ นิโกล่าส์ อเนลก้า บทสรุป "ผีแดง" เป็นแชมป์แบบหืดจับ
9.1982 : แอสตัน วิลล่า 1 บาเยิร์น มิวนิค 0
รอน แซนเดอร์ส อำลาเก้าอี้กุนซือ "สิงห์ผงาด" ในช่วงที่ทีมผ่านเข้ารอบก่อนรองชนะเลิศ ศึกยูโรเปี้ยน คัพ และเป็น โทนี่ บาร์ตัน ผู้ช่วยโค้ช ที่เข้ามาทำหน้าที่แทน ก่อนจะนำ วิลล่า หักปากกาเซียนคว้าแชมป์ถ้วยใบโตยุโรปหน้าตาเฉย
แมตช์ดังกล่าว วิลล่า ต้องเผชิญหน้ากับ บาเยิร์น มิวนิค โดยพวกเขาต้องเจอเรื่องแย่ๆ เมื่อ จิมมี่ รีมเมอร์ นายทวารตัวเองได้รับบาดเจ็บคอหลังจากเกมเริ่มไปได้แค่ 8 นาทีทำให้จำเป็นต้องเปลี่ยนตัวออก ที่ "สิงห์ผงาด" มีหัวหอกอย่าง ปีเตอร์ วิธ ที่สวมบทฮีโร่ ซัดประตูชัย นำถ้วยยูโรเปี้ยน คัพไปประดับถิ่นวิลล่า พาร์ค ได้อย่างยิ่งใหญ่
8. 1979 : น็อตติ้งแฮม ฟอเรสต์ 1 มัลโม่ 0
มันเกิดขึ้นจริงเหรอ ? ฟอเรสต์ ซึ่งเล่นในดิวิชั่น 2 (แชมเปี้ยนชิพ ในปัจจุบัน) เมื่อ 2 ปีก่อน จะคว้าแชมป์ ยูโรเปี้ยน คัพ ได้ ?
คำตอบเดียวก็คือ ใช่ ส่วนเหตุผลที่ทำได้มีแค่ 2 คำนั่นก็คือ ไบรอัน คลัฟ กุนซือฝีปากกล้า ผู้สร้างแรงบันดาลใจให้กับนักเตะ "เจ้าป่า" ให้มีความฮึกเหิมและทะเยอทะยาน นอกจากนี้ คลัฟ ยังเป็นพวกกล้าได้กล้าเสียเมื่อลงทุนดึง เทรเวอร์ ฟรานซิส มาร่วมทีมด้วยค่าตัว 1 ล้านปอนด์ (ราว 50 ล้านบาท) และกลายเป็นผู้เล่นที่มีค่าตัวเกิน 1ล้านปอนด์คนแรกของเมืองผู้ดี
อย่างไรก็ตาม ตามกฎของ ยูฟ่า ฟรานซิส ไม่สิทธิ์ลงเล่นในถ้วย "บิ๊กเอียร์" 3 เดือน หลังเซ็นสัญญาจาก เบอร์มิงแฮม ซิตี้ เมื่อเดือนกุมภาพันธ์ 1979 ดังนั้น ฟรานซิส มีโอกาสลงเล่นเกมยูโรเปี้ยน คัพ แมตช์แรกในรอบชิงชนะเลิศ และการเสี่ยงทุ่มเงินมหาศาลก็ไม่ผิดหวังเพราะเจ้าตัวโหม่งประตูชัยให้ทีม คว้าแชมป์ได้สำเร็จ
7. 1977: ลิเวอร์พูล 3 โบรุสเซีย มึนเช่นกลัดบัค 1
บ็อบ เพสลี่ย์ มหาบุรุษแห่งถิ่นแอนฟิลด์ นำ "หงส์แดง" บุกกรุงโรมเพื่อสร้างประวัติศาสตร์ให้กับ ลิเวอร์พูล โดยยอดทีมเมืองผู้ดีได้ 3 ประตูจาก เทอร์รี่ แม็คเดอร์ม็อตต์, ทอมมี่ สมิธ และจุดโทษของ ฟิล นีล ซึ่งมีโอกาสลงสนามให้ทีมครบ 600 แมตช์ ในขณะที่ เควิน คีแกน ได้ฉลองความสำเร็จครั้งสุดท้ายก่อนย้ายไปเล่นให้ ฮัมบูร์ก นี่ไม่ใช่ความสำเร็จแค่เฉพาะ ลิเวอร์พูล เท่านั้น แต่พวกเขาคือสัญลักษณ์แห่งวงการลูกหนังอังกฤษ ที่ยิ่งใหญ่คับโลกในยุคปลาย 70 ไปจนถึงยุค 80 เลยทีเดียว
6. 1994 : เอซี มิลาน 4 บาร์เซโลน่า 0
ศึกครั้งนี้ถือว่าเป็นการต่อสู้ระหว่างสโมสรที่มีเกมรุกสุดเฉียบคม กับทีมที่มีเกมรับแน่นปึ้ก โดยแมตช์นี้ได้รับการยกย่องว่าเป็น "ดรีมไฟนั่ล" หรือแมตช์ชิงในฝันเลยทีเดียว ที่สำคัญหลายๆ ฝ่ายต่างยกให้ "เจ้าบุญทุ่ม"มีสิทธิ์คว้าแชมป์ เนื่องจากสถิติซัด 104 ประตูทั้งในลีก และยูโรเปี้ยน คัพ แต่ลูกทีมของ ฟาบิโอ คาเปลโล่ เล่นได้ผิดหูผิดตา แถมจัดการกระซวกประตู บาร์ซ่า กระจุยชนิดที่หักปากกาเซียนกันเลยทีเดียว
5. 1960 : เรอัล มาดริด 7 ไอน์ทรัค แฟร้งค์เฟิร์ต 3
เรอัล ชุดนี้จัดการคว้าแชมป์ ยูโรเปี้ยน คัพ 5 สมัยติดต่อกัน โดยความยิ่งใหญ่ของทีมได้มาจาก เฟเรนซ์ ปุสกัส ที่ซัดไป 4 ประตู และ อัลเฟรโด้ ดิ สเตฟาโน่ ซัดแฮตทริก ซึ่งผลงานขั้นเทพมีแฟนบอลกว่า 127,261 คนได้เห็นกันเต็มสนามเฮมป์เดน พาร์ค ฉะนั้นคำว่า "ราชันชุดขาว" จึงเหมาะสมและคู่ควรกับ เรอัล มาดริด อย่างแท้จริง
4. 1999 : แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 2 บาเยิร์น มิวนิค 1
แฟนบอล บาเยิร์น มิวนิค เตรียมแหกปากฉลองความสำเร็จ แต่ติดปัญหาอยู่นิดเดียวก็คือเสียงนกหวีดหมดเวลามันยังไม่ดังขึ้นเท่านั้น ! จำได้เลยว่าเมื่อเวลาผ่านไป 90 นาที 36 วินาที เท็ดดี้ เชอริงแฮม ยิงประตูตีเสมอให้กับ แมนฯ ยูไนเต็ด ซึ่งประตูดังกล่าวทำเอาสาวก "เสือใต้" เสียงเงียบกริบ
อย่างไรก็ตาม มีเหตุการณ์ที่ช็อกกว่านั้น เมื่อ โอเล่ กุนนาร์ โซลชา ซูเปอร์ซับระดับตำนานของ"ผีแดง" จัดการซัดประตูชัยให้ ยอดทีมแห่งถิ่นโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด ไม่ต้องเสียเหงื่อในช่วงต่อเวลาพิเศษ และประตูนี้เองส่งให้ แมนฯ ยูฯ เป็นตำนานลูกหนังที่สามารถคว้าทริปเบิ้ลแชมป์ได้สำเร็จ
3. 2009 : บาร์เซโลน่า 2 แมนเชสเตอร์ ยูไนเต็ด 0
นี่เป็นอีก 1 แมตช์ที่หลายๆ คนตั้งตาคอย เพราะเป็นเกมที่เน้นเกมบุกทั้งสองสโมสร เพียงแค่ว่าเกมรุกของ บาร์เซโลน่า เหนือชั้นกว่าหลายขุม และเป็นอีกแมตช์ที่ เซอร์ อเล็กซ์ เฟอร์กูสัน ได้รู้แจ้งเห็นชาติว่าการเล่นเกมรุกสุดใจกับทีมไหนก็ได้ แต่อย่าเล่นกับ "เจ้าบุญทุ่ม" เพราะที่คัมป์ นู มียอดนักเตะระดับจักรวาลอย่าง ลิโอเนล เมสซี่ และพ้องเพื่อน
2. 2004 : เอฟซี ปอร์โต้ 3 โมนาโก 0
หลายคนบอกว่านี่เป็นหนึ่งในเกมนัดชิงชนะเลิศ ที่นอกจากไม่น่าสนใจแล้ว ยังมีแววว่าจะน่าเบื่อด้วย แน่นอนตอนนั้นไม่มีใครสนใจ ปอร์โต้ ที่มีกุนซือ โชเซ่ มูรินโญ่ กุมบังเหียน เพราะหลังจากที่นำยอดทีมแดนฝอยทองผงาดคว้าแชมป์ถ้วยใบโตยุโรป นั่นคือก้าวแรกที่นำความยิ่งใหญ่มาสู่ชายชื่อ "เฮียมู" เพราะหลังจากที่เจ้าตัวสละเก้าอี้โค้ช ปอร์โต้ แล้ว มูรินโญ่ ก็ไปสร้างชื่อกับ เชลซี ก่อนจะมาสู่จุดสูงสุดอีกครั้งกับ อินเตอร์ มิลาน ที่คว้าทริปเบิ้ลแชมป์ ได้อย่างยิ่งใหญ่
1. 2005 : ลิเวอร์พูล 3 เอซี มิลาน 3 (ลิเวอร์พูล ชนะจุดโทษ 3-2)
ถ้ายกให้เกมลูกหนังเหมือนเทพนิยายที่พระเจ้าขีดเส้นตั้งแต่เริ่มต้นแล้วว่า ทีมไหนจะเป็นแชมป์ แมตช์ระหว่าง ลิเวอร์พูล กับ เอซี มิลาน คือหนึ่งในแมตช์แห่งตำนานที่ทุกๆ คนไม่คาดคิดว่ามันจะเกิดขึ้น เพราะใครจะไปคิดว่าทีมที่นำ 3 ประตูตั้งแต่ยังไม่หมดครึ่งแรก จะไม่ได้แชมป์มาครอบครอง
อย่างไรก็ตาม พระเจ้ากำหนดให้ "หงส์แดง" เป็นแชมป์ยังไงก็ต้องเป็นแชมป์ เพราะพวกเขาใช้เวลาเพียงแค่ 6 นาทีจัดการซัด 3 ประตูรวด กอปรกับความเหนียวผิดมนุษย์ของ เจอร์ซี่ ดูเด็ด ช่วยให้ยอดทีมแห่งถิ่นเมอร์ซี่ย์ไซด์ สามารถยื้อชีวิตไปดวลจุดโทษ และบทสรุปสุดท้าย สตีเว่น เจอร์ราร์ด กลายเป็นคนที่ชูถ้วยหูกาง
ดูคลิปไฮไลท์10เกมส์ที่น่าจดจำ ขอบคุณแหล่งที่มา www.teededfootball.net
| จากคุณ |
:
จอมโจรใจดี  
|
| เขียนเมื่อ |
:
8 พ.ค. 55 15:25:14
|
|
|
|
)