ความคิดเห็นที่ 1 แปลกตรงไหนอ่ะครับ ก็เค้ารวยอ่ะ ถึงจะใช้มากกว่าแมนยูซักพันล้านก็ปรกติธรรมดาของคนรวย ไอ่ที่เค้าบอกๆกันมันหมายถึงว่าไม่มีสโมสรไหนไม่ใช้เงินหรอก เพราะแฟนแมนยูชอบบอกว่า สามล้อถูกหวยมั่ง ใช้เงินซื้อความสำเร็จมั้ง เค้าก็ยกตัวเลขขึ้นมาซึ่งอาจไม่ได้รู้รายละเอียดปลีกย่อยพวกนี้ จากคุณ : Devilot เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 13:09:05

ความคิดเห็นที่ 2 คห.1 แต่แมนยูใช้เงินแบบแมนซิตี้ไม่ได้นี่ครับ ตระกูลเกลเซอร์เอาเงิน 500 ล้านปอนด์ออกจากโอลด์ แทร็ฟฟอร์ด เพื่อชำระหนี้ก้อนใหญ่ที่กู้มา 526 ล้านปอนด์ (เงินต้น) เพื่อมาซื้อกิจการแมนยู เมื่อปี 2000 (และจะเอาไปชำระเงินต้นคงเหลือ พร้อมดอก ติดต่อกันอีกหลายปี) ปล.แถมแมนซิตี้ยังขายชื่อสนามให้สายการบินเอดิฮัดถึง 150 ล้านปอนด์ ที่ฤดูกาลหน้าที่มีกฏไฟแนนเชียลแฟร์เพลย์มาใช้ ก็อาจถูกยูฟ่าสอบสวนก็ได้ จากคุณ : จขกท (เลขาลิขิต) เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 13:14:13

ความคิดเห็นที่ 3 จะซื้อเยอะหรือน้อยแค่ไหน ผมก้อไม่สนใจหรอกครับ ขอแค่ให้ได้ดูบอลสนุกๆ ทุกๆปีต่อไป ได้ติดตามนักเตะที่เราชื่นชอบ  แค่นี้พอ ..ขอบคุณสำหรับข้อมูล.. จากคุณ : ซูซี่คิว เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 13:19:53

ความคิดเห็นที่ 4 ประเด้น ทีมนู้นใช้เงิน ทีมนี้ใช้เงิน ผมว่ามันไม่น่าเกี่ยวครับ เพราะนักเตะ 1 คนก็มี 2เท้า 2ขา 2แขน 1หัว เหมือนกัน ใช้เงินเยอะเงินน้อย ก็ลงได้ 11 ตัว เท่ากันหมดอ่ะครับ ประเด้นเรื่องเงินนี่ มันเป็นคำแถของอีกฝ่ายซะมากกว่า จากคุณ : Jetfire เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 13:22:09

ความคิดเห็นที่ 5 ถ้าผมมีเงินแล้วผมซื้อ bmw มาขับไปสวนแล้วมันหนักหัวใคร จากคุณ : P.Tsubasa เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 13:25:31

ความคิดเห็นที่ 6 คห.4 เกี่ยวซิครับ นักเตะมีเท้าขาแขนหัวเท่ากัน แต่ความสามารถไม่เท่ากัน   เงินแพงก็ซื้อนักเตะที่มีความสามารถสูงได้มากกว่าอยู่แล้ว ตรรกะธรรมดาๆ -------------------------------------------------------------------------------- คห.5 ในกรณีคุณซื้อ BMW มาขับเล่น มันไม่ได้หนักหัวใคร   แต่ถ้าคุณซื้อรถแพงๆ มาแข่งขันฟอร์มูล่าวัน ก็เป็นอีกเรื่องนึง แก้ไขเมื่อ 16 พ.ค. 55 13:27:04 จากคุณ : จขกท (เลขาลิขิต) เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 13:25:43

ความคิดเห็นที่ 7 พันล้านปอนด์ -0- ผมขอซัก หมื่นปอนด์ก็พอ จากคุณ : เขาหาว่าผมหน้าเด็ก เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 13:25:53

ความคิดเห็นที่ 8 เมื่อก่อนแมนยูก็ใช้เงินซื้อความสำเร็จเหมือนกัน ยี่สิบล้าน สามสิบล้าน จากคุณ : s[l]aY เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 13:27:06

ความคิดเห็นที่ 9 ดีครับ  นักเตะจะได้มีรายได้สูงขึ้น  สูงขึ้น  สูงขึ้น จากคุณ : Orangeswag เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 13:30:34

ความคิดเห็นที่ 10 สงสัย อบาโมวิชได้แชมป์ลีกในฤดูกาลที่สองที่ซื้อทีม แต่แมนซิตี้ได้ในฤดูกาลที่ 4 ทำไมบอกว่าแมนซิตี้เร็วกว่าละครับ ฤดูกาล 2008/2009 และ 2009/2010 อย่าไปนับครับ นั้นเป็นการเสียเงินโดยเปล่าประโยชน์จากการซื้อของมาร์ค ฮิวส์   ต้องโทษผู้บริหารไว้ใจคนผิดมากกว่า  เงินที่ใช้ไปแบบนั้นเรียกว่าใช้ซื้อแชมป์ไม่ได้ ค่าหนื่อยสูงส่วนหนึ่งก็มาจากนักเตะที่มาร์ค ฮิวส์ซื้อแล้วใช้ไม่ได้   ต้องปล่อยให้ทีมอื่นยืมตัวไปอีก พร้อมช่วยจ่ายค่าเหนื่อยให้ด้วย รายละเอียดเรื่องการใช้เงิน ข้อปลีกย่อยมันเยอะ ใช้ว่าทุ่มไปแล้วจะได้ผลซะเมื่อไหร่ เงินสุทธิที่ใช้ไปแล้วได้แชมป์ มีสูตรดังนี้   เงินที่ใช้ไปทั้งหมด - (พวกนักเตะที่ซื้อแพงแล้วไม่ได้ใช้ + ค่าเหนื่อยที่จ่ายแทนทีมอื่นอีก + ค่าใช้จ่ายอื่นๆ) แล้วเอามาเทียบกับของแมนยูด้วยสูตรเดียวกันจะได้ข้อเปรียบเทียบที่ยุติธรรม แบบที่เจ้าของกระทู้เสนอมันไม่ยุติธรรมครับ   จากคุณ : สารานุกรมกัลโช่ เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 13:32:13

ความคิดเห็นที่ 11 คิดแบบนี้แมนยู ก็จงอยู่ใต้ ลูกกะแป๋งของแมนซิตี้ ตลอดไปเทอญ เพราะชีค เค้าจะจัดหนักแบบนี้ไปจนกว่าแมนซิตี้จะก้าวสู่เบอร์1 ของโลก ตามแผนการณ์ตอนเทคโอเวอร์ของเค้า จากคุณ : ผู้ชายธาตุลม เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 13:32:47

ความคิดเห็นที่ 12 คห.8 ใช่ครับแมนยูก็ใช้เงินซื้อความสำเร็จ  แต่ก็มาจากทุน มาจากกำไร ไม่ได้มาจากการกู้หนี้ยืมสิน หรือ ใช้เงินของเจ้าของมาซื้อนี่ครับ อีกอย่าง แมนยูฯ ก็ใช้นักเตะที่ตัวเองปั้นขึ้นมาไม่น้อยด้วย เช่น สโคลส์, เบ็คแฮม, แกรี่, ฟิล เนวิลล์, โอเชีย, บราวน์ ฯลฯ -------------------------------------------------------------------------------------- คห.9 ไม่ดีนี่ครับ เพราะนักเตะที่มีรายได้สูงขึ้น แต่สโมสรเป็นหนี้มากขึ้นๆ  ต้องขึ้นค่าตั๋วเข้าชม ทำใหคนเชียร์ หรือ supporter จนลงๆ แถมนักเตะที่ได้รายได้สูงขึ้นมากๆ ก็มีไม่กี่คน  อีกมากมายมากกว่า 90% ก็ได้รายได้เท่าเดิม -------------------------------------------------------------------------------------- คห.10 ผมแค่เปรียบเทียบให้ฟังว่า แมนซิตี้ใช้เงินราว 4 ปี เทียบเท่ากับ เชลซีใช้เงินราว 8 ปี เท่านั้น แต่ก็ต้องยอมรับว่า เชลซีประสพความสำเร็จเร็วกว่า ส่วนหนึ่งเป็นเพราะ การทุ่มซื้อผู้จัดการทีมฝีมือดี (กว่า) ด้วย ส่วนสูตร เงินที่ใช้ไปทั้งหมด - (พวกนักเตะที่ซื้อแพงแล้วไม่ได้ใช้ + ค่าเหนื่อยที่จ่ายแทนทีมอื่นอีก + ค่าใช้จ่ายอื่นๆ) นั้น ผมไม่มีข้อมูลครับ  แต่จะว่าสูตรของผมไม่ยุติธรรมโดยสิ้นเชิงก็คงไม่ได้   อย่างน้อยก็บอกได้ว่า ใครทุ่มเงินมากกว่าใคร --------------------------------------------------------------------------------------- คห. 11 ผมแค่เปรียบเทียบการใช้เงิน  แต่แมนยูเคยเจอสถานการณ์แบบนี้กับเชลซีมาแล้ว และพวกเราก็กลับมายิ่งใหญ่สำเร็จ  ในครั้งนี้ผมก็เชื่อเช่นนั้น เอ้อ่ ... อย่าใช้คำหยาบซิครับ  มันส่อ .... แก้ไขเมื่อ 16 พ.ค. 55 13:41:50 จากคุณ : เลขาลิขิต เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 13:39:29

ความคิดเห็นที่ 13 คิดมากกันจังคนในนี้ เจ้าของสโมสรจะออกเงินกี่ บาทเราก็ได้แค่นั่งดู กำไรของคนดูฟุตบอล ได้เห็นนักฟุตบอลเก่งมาเล่น    ลึกๆในใจใครก็ อยากได้เจ้าของแบบ ชีค แมน ซิตี้ เข้ามาทั้งนั้น เพราะเรา แค่กองเชียร์ไม่ได้ ออกตังไปกับเขาสักบาท ครับ จากคุณ : วิตามิน เค เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 13:43:57

ความคิดเห็นที่ 14 เถียงกันก็ไม่ได้อะไรครับ ผมยอมขับสามล้อนะถ้ารู้ว่าถูกหวย ฮ่าๆ จากคุณ ความคิดเห็นที่ 27 รบกวนช่วยทำของแมนยูด้วยได้ไหมครับ อยากมาเอาเปรียบเทียบกันหน่อย จากคุณ : mr.yoshiki เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 14:17:26

ความคิดเห็นที่ 28 ครับ รู้ไปก็เท่านั้น แล้วทำไงต่อดีครับ จากคุณ : เกิดมาเพื่อrock เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 14:17:35

ความคิดเห็นที่ 29 ไม่เห็นมีของแมนยูฯ เลย เปรียบเทียบกับ อะไร จากคุณ : empaza เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 14:22:08

ความคิดเห็นที่ 30 แมนยูใช้เงิน เงินที่ใช้ก้เป็นเงินที่ได้จากการบริหารทีมฟุตบอลครับ แมดริด บาซ่า หรือทีมอื่นทั่วไปส่วนใหญ่ก็เช่นกัน ทำดีก็มีให้ใช้มาก ทีมอื่นถ้าบริหารดีก็มีได้ แต่กับแมนซิตี้ หรือ เชลซี และเริ่มมีเพิ่มขึ้นในลีกอื่นๆ มันเป็นยอดการจ่ายเงินในระดับที่เงินจากการบริหารทีมฟุตบอลไม่มีทางอยู่รอดได้ แต่ใช้เงินที่ได้จากธุรกิจอื่นของเจ้าของทีมมาถม financial fair play ของยูฟ่าจึงเกิดขึ้น เพราะยูฟ่ามองว่าจะเกิดปัญหากับวงการฟุตบอลโดยรวมในระยะยาว ผมแฟนแมนยู ถ้าทีมมีเจ้าของรวยก็ว่าดีครับ ไม่มีก็หาทางอื่นสู้กันไปอย่างที่เฟอร์กูสันทำอยู่ทุกวันนี้ ผมว่าก็ไม่ได้อยากหรอกครับ แต่ไม่มีทางที่ทีมจะมีเงินทุ่มซื้อนักเตะทุ่มจ่ายค่าเหนื่อยแบบทีมเหล่านี้ ก็ต้องหาทางสร้างทีมแบบอื่นกันไป และผมก็เห็นด้วยกับกฏของยู่ฟ่าครับ ปล. คห.11 ชีคน่าจะได้ใช้เงินแบบนี้อีกไม่นานหรอกครับ เพราะยูฟ่ามองว่ากรณีแบบนี้(ไม่ใช่แค่แมนซิตี้ทีมเดียว)เป็นปัญหา จากคุณ : arctan45 เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 14:23:52

ความคิดเห็นที่ 31 +++++++++++++++++++++++++++++++++++ จขกท.แค่อยากบอกว่า แมนซิ ใช้เงินซื้อความสำเร็จ ไม่เก่งเหมือนแมนยูฯ ว่างั้นเถอะ แต่กลัวคนอื่นจะว่าเกรียน เลย ชักแม่น้ำทั้ง 10 มาอธิบาย โธ่ เด็ก ป.1 ยังดูออก  อย่างนี้เรียกว่า แถได้ป่าว ++++++++++++++++++++++++++++++++++ จากคุณ : redem เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 14:26:26

ความคิดเห็นที่ 32 ครับ ใช้เงินเยอะแล้วไงอะครับ งง จากคุณ : bankook เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 14:26:39

ความคิดเห็นที่ 33 คห.27 พอดีมีแต่ข้อมูลของแมนญิตี้ครับ ขอโทษด้วย --------------------------------------------------------------------------------------- คห.28 รู้ก็เพื่อแก้ข้อครหาว่า ค่าตัวนักเตะแมนยู ต่ำกว่า นักเตะแมนซิตี้เพียง 20 ล้านปอนด์ (แต่เราก็แพ้แค่จำนวนประตู แต้มเท่ากัน) ผมให้ข้อมูลว่ามันมีเรื่องอื่น โดยเฉพาะค่าเหนื่อยที่ดึงดูดนักเตะเก่งๆ ด้วย ส่วนจะทำไงต่อนั้น ป๋าก็ต้องวิเคราะห์ข้อผิดพลาดของฤดูกาลนี้ แล้วหานักเตะเก่งๆ มาเสริม ในตำแหน่งที่เป็นจุดอ่อน รวมถึงวางแผนให้ดีๆ กว่าฤดูกาลนี้ (โดยเฉพาะกองหลังรวมถึงโกล) ซึ่งป๋าก็ทำเช่นนั้นในฤดูกาลที่เสียแชมป์ให้แบล็คเบิร์น, อาร์เซน่อล และเชลซี แล้วก็สำเร็จใน 1-3 ปี --------------------------------------------------------------------------------------- คห. 31 ผมชี้แจงตามข้อมูลครับ  ใครจะคิดว่าแถ ก็เป็นแนวความคิดของแต่ละคน --------------------------------------------------------------------------------------- คห. 31,32 และ login ที่ไม่เห็นด้วยกับผม ลองอ่านคห.30 ดูนะครับ แก้ไขเมื่อ 16 พ.ค. 55 14:35:51 แก้ไขเมื่อ 16 พ.ค. 55 14:34:48 แก้ไขเมื่อ 16 พ.ค. 55 14:33:41 จากคุณ : จขกท (เลขาลิขิต) เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 14:27:24

ความคิดเห็นที่ 34 หนังไทยลงทุน 100 ล้าน, หนังฮ่องกงลงทุน 1,000 ล้าน, หนังฮอลลีวูดลงทุน 10,000 ล้าน แม้ว่าความอลังการจะต่างกัน  แต่อรรถรส เนื้อหา ถ้าสร้างให้ดี ก็น่าติดตาม และมีโอกาสชิงรางวัลตุ๊กตาทองได้เหมือนกัน ท่านดูหนังไทย หนังฮ่องกง หนังเกาหลี หนังฝรั่ง ยังได้ความบันเทิงในแบบต่าง ๆ ถ้าดูฟุตบอลให้เป็นความบันเทิง ก็จะอาจได้หลากหลายรสชาด เหมือนกัน ใครลงทุนมาก ลงทุนน้อย เราไม่ได้เป็นผู้กำกับ เราเพียงเป็นผู้ชม ผู้เสพผลงาน จากคุณ : น้ำองุ่น เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 14:31:03

ความคิดเห็นที่ 35 ใครครหาพี่ครับ หรือว่าพี่ถือหุ้นอยู่แมนยูมีส่วนได้ ส่วนเสียกับกิจการ สโมสรเค้าหรือฮะ ผมนึกว่าดูฟุตบอลทุกวันนี้เพื่อความบันเทิง  (แต้มเท่ากัน แต่ได้ข่าวว่าแพ้ไปกลับ หรือเปล่าครับ) จากคุณ : เกิดมาเพื่อrock เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 14:37:03

ความคิดเห็นที่ 36 สมมติ... ร้านข้าวแกงแมนยูตั้งอยู่คนละฝากถนนกับร้านก๋วยเตี๋ยวแมนซิ ทั้งคู่ก่อตั้งมาพร้อมกันด้วยเงินลงทุนเริ่มแรก 1 ล้านบาทเท่ากัน 15 ปีผ่านไป ร้านแมนยูลงทุนตกแต่งร้านเพิ่มปีละ 1 ล้าน แต่ 15 ปีนั้น ร้านแมนซิลงทุนตกแต่งร้านเพิ่มเพียงปีละแสน 15 ปีผ่านไป ร้านแมนยูจึงลงทุนไปแล้ว 1+15 = 16 ล้าน แต่ 15 ปีผ่านไป ร้านแมนซิลงทุนไปแค่ 1+1.5 = 2.5 ล้าน 15 ปีผานไป ร้านแมนยูจึงประสบความสำเร็จ ลูกค้าเข้าร้านมากมาย 15 ปีผ่านไป ร้านแมนซิจึงมีขาประจำไม่กี่คน ฝุ่นจับร้านเขลอะ ปีที่ 16 เศรษฐีเหมืองแร่เอาเงินจากกองมรดกมาซื้อร้านแมนซิ เศรษฐีเหมืองแร่ตั้งเป้าดันร้านแมนซิให้โงหัวสู้ร้านแมนยูให้ได้ ปีที่ 16-20 เศรษฐีจึงทุ่มเงินจากที่เคยลงปีละแสนมาเป็นปีละ 3 ล้าน ปีที่ 16-20 เศรษฐีจึงลงเงินไปรวมแล้ว 15 ล้าน ดูเยอะมาก รวมกับของเดิมที่ลงทุนปีที่ 1-15 ซึ่งเคยลงไว้ 2.5 ล้าน มาถึงปัจจุบัน ร้านแมนซิลงทุนใส่ร้านไป 15 + 2.5 =17.5 ล้าน ส่วนร้านแมนยูยังลงปีละล้านไปเรื่อยๆ ปัจจุบันร้านแมนยูรวมลงทุนใส่ร้านไป 20 ปี เป็นเงิน 21 ล้าน ถามว่า "สโมสรแมนยู" ลงทุนลงเงินใส่ลงไป ตั้งแต่ก่อตั้งสโมสรมาแล้วกี่ร้อยกี่พันล้านปอนด์ ซื้อนักเตะมาแล้วกี่คน ราคาเท่าไหร่ คิดเทียบค่าเงินเฟ้อย้อนไปด้วยนะ และ "สโมสรแมนซิ" ตั้งแต่ก่อตั้งสโมสรมาจน "ก่อน" กลุ่มอาหรับมาซื้อ สโมสรลงทุนไปเท่าไหร่ ซื้อนักเตะมาแล้วกี่คน ราคาเท่าไหร่ คิดเทียบค่าเงินเฟ้อย้อนไปด้วยนะ คงพอเข้าใจนะครับ ว่าผมพยายามจะชี้ประเด็นอะไร จากคุณ : ผีกรุแตก เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 14:51:39

ความคิดเห็นที่ 37 ผมว่าเค้าใช้เงินเยอะ แต่ก็ใช้เป็นนะ ไม่เหมือบบางทีม ขอละไว้ในฐานที่เข้าใจ จากคุณ : PEDestrain เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 14:57:18

ความคิดเห็นที่ 38 อ่านจนจบแล้วก็คิดว่า แล้วงัยวะครับ "คห.27 พอดีมีแต่ข้อมูลของแมนญิตี้ครับ ขอโทษด้วย" ดูจากที่ตั้งมา จขกท น่าจะเป้นแฟนแมนยูนะครับ แต่ดันมีข้อมูลของแมนซิมากกว่า มันแปลกจริงๆ เดี๋ยวนี้แฟนแมนยูเขาเป็นแบบนี้แล้วหรอครับ รู้เรื่องทีมอื่นมากกว่าทีมที่ตัวเองเชียร์ บางคนรู้เรื่อง Liverpool ดีกว่าเคนนี่อีก จากคุณ : psybuster เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 15:00:16

ความคิดเห็นที่ 39 ครับเห็นด้วยแมนซิแย่ทุ่มเงินซื้อความสำเร็จ น่าหยิกให้เข็ด จากคุณ : tunaz เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 15:02:43

ความคิดเห็นที่ 40 คห.34 ต่างกันตรงที่หนังไม่ได้แข่งกันที่ความสำเร็จเหมือนฟุตบอล รางวัลออสการ์ก็เป็น credit ไม่ได้มีความภูมิใจของสโมสร (สำหรับหนังคงเทียบได้กับช่องหรือบริษัทผู้ผลิต) หรือ manager (สำหรับหนังคงเทียบได้กับ ผู้จัด และ/หรือ ผู้กำกับ) หรือแฟนบอล (หรือผู้ชม) แบบฟุตบอล --------------------------------------------------------------------------------------- คห.35 ไม่มีใครครหาผม แต่เขาครหาแมนยูที่ผมเชียร์ครับ และเราก็ไม่ได้ดูบอลเพื่อบันเทิงอย่างเดียว ความภาคภูมิใจในสโมสร และการใช้เงิน support (ซึ่งเมืองไทยอาจมีไม่มากคนนัก) ก็เป็นสิ่งที่สำคัญไม่แพ้กัน ปล.ส่วนเรื่องแพ้ไปกลับ ก็เป็นความเสียใจไม่น้อย แต่ถ้าได้แชมป์ลีก ก็ไม่ใช่เรื่องสำคัญแต่อย่างไร (แต่เป็นเรื่องที่แมนซิตี้จะเอามาแก้ต่างในกรณีเป็นรองแชมป์) แต่ถึงจะได้รองแชมป์ การเป็นรองแชมป์ก็ยังทำให้เสียใจมากกว่าแพ้ไปกลับมากนัก --------------------------------------------------------------------------------------- คห.36 ผมเข้าใจว่า คงหมายถึงว่า โดยรวมตั้งแต่ตั้งสโมสรแมนยูอาจใช้เงินมากกว่าแมนซิตี้ แต่ปีที่ 16-20 แมนซิตี้ลงทุนสูงกว่าแมนยู แล้วแมนซิตี้มาประสพความสำเร็จในปีที่ 19(FA Cup), 20(EPL) เพราะฉะนั้น ต้องเปรียบเทียบกันให้ถูกต้องด้วย (ผมตั้งข้อสังเกตุว่า ไม่ใช่ปีที่ 15 แมนยูจึงประสพความสำเร็จ แต่แมนยูน่าจะประสพความสำเร็จเป็นส่วนใหญ่ตั้งแต่ปีที่ 10(1992/93) จนถึงปีที่ 19(2010/11)) ใช่ไหมครับ ? (ซึ่งผมไม่มีข้อมูลเพียงพอที่จะวิเคราะห์ขนาดนั้น) --------------------------------------------------------------------------------------- คห.38 ข้อมูลเรื่องมูลค่าการซื้อตัวนักเตะ, ค่าแรง และค่าใช้จ่ายอื่นๆ ขึ้นกับการวิเคราะห์ และการเผยแพร่ข้อมูลของแหล่งข่าวที่ผมเสพครับ ซึ่งแหล่งข่าวที่ผมอ่านมีแต่ข้อมูลของแมนซิตี้ ไม่มีข้อมูลแมนยูครับ ไม่ใช่ไม่สนใจข้อมูลของแมนยูนะครับ แก้ไขเมื่อ 16 พ.ค. 55 15:12:24 จากคุณ : จขกท (เลขาลิขิต) เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 15:05:05

ความคิดเห็นที่ 41 ดื้นกันใหญ่  5555+ แก้ไขเมื่อ 16 พ.ค. 55 15:05:56 จากคุณ : The Angel On My Shoulder เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 15:05:48

ความคิดเห็นที่ 42 แล้วถ้าอาบูฯมันเทคโอเวอร์ผีจะมีกระทู้นี้ป่าวคับ จากคุณ : tunaz เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 15:06:04

ความคิดเห็นที่ 43 รู้แต่ว่าปีนี้แมนซิตี้ได้แชมป์ครับ ยิงทดเวลาเจ็บสองลูก เจ็บจี๊ดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดดด ไปถึงหัวใจ จากคุณ : thoncha เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 15:10:29

ความคิดเห็นที่ 44 แพ้แล้วพาล รำคาญชิบ จากคุณ : หงส์หัดบิน เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 15:11:58

ความคิดเห็นที่ 45 คห.41,42,43,44 ความเห็นไม่ได้เกี่ยวกับข้อมูลที่ผมต้องการจะบอกในกระทู้นี้เลยครับ โดยเฉพาะพวกแฟนทีมบอลที่เป็นคู่ปรับขี้อิจฉา (และประสพความล้มเหลวมากที่สุดในประวัติศาสตร์ใน EPL) แก้ไขเมื่อ 16 พ.ค. 55 15:19:27 แก้ไขเมื่อ 16 พ.ค. 55 15:18:02 จากคุณ : จขกท (เลขาลิขิต) เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 15:14:25

ความคิดเห็นที่ 46 จะสื่อว่าถ้ามีเงินทำทีมเท่ากัน ทีมท่านคว้าได้ทุกถ้วยแชมป์ในจักรวาลว่างั้น แก้ไขเมื่อ 16 พ.ค. 55 15:18:09 จากคุณ : ice-gooner เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 15:17:43

ความคิดเห็นที่ 47 ตอบ คห.40 ก็ต้องย้อนถามไปเช่นกันว่า แล้วประเด็นของการตั้งกระทู้คืออะไรครับ ในเมื่อทุกทีมก็ใช้เงิน บางทีมก็ใช้มาก เช่นแมนยู เชลซี แมนซิ ก็ใช้เงินมาก แล้วไงครับ ก็เดิมไม่เคยมีกติกาห้ามไว้ จะใช้มากน้อยกว่ากันเท่าไหร่ เดิมก็ไม่มีห้ามไว้ แล้วประเด็นของการตั้งกระทู้คืออะไรครับ ในเมื่อทุกทีมก็อยากใช้เงิน อยากมีเงินให้ใช้ แม้แต่ทีมปืนใหญ่ที่ขึ้นชื่อปั้นเด็กขาย แต่พอสโมสรร้างถ้วยไปนาน แฟนบอลก็ยังอยากให้ใช้เงินซื้อนักเตะดีๆแพงๆบ้าง หรือถ้าใครไม่ใช้เงิน ไม่ซื้อ ภูมิใจในความสามารถปั้นเด็ก ก็ไม่มีใครว่า ถ้าไม่ไปแขวะทีมอื่นที่เขาไม่ปั้นเด็ก แต่ซื้อเด็ก ซึ่งมันก็เป็นสิทธิของเขา เป็นวิธีของเขาที่ต่างกันไป แล้วประเด็นของการตั้งกระทู้คืออะไรครับ ในเมื่อสโมสรฟุตบอลมันก็คือธุรกิจ เช่นภาพยนต์นั่นแหละ หนังไหนจะลงทุนมากน้อย ใช้เงินจากไหน ค่าของหนังก็อยู่ที่ตัวเนื้อหนัง หรือหนังที่ไม่ได้ออสการ์ จะเปิดประเด็นว่าหนังที่ได้ออสการ์เพราะลงทุนมากกว่า หรือหนังที่ไม่ได้ออสการ์ จะเปิดประเด็นว่าหนังที่ได้ออสการ์เพราะเอาเงินลงทุนจากไหนก็ไม่รู้ ? จากคุณ : ผีกรุแตก เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 15:21:30

ความคิดเห็นที่ 48 เค้าคงหาที่ระบายอะแต่นี่มันบอร์ดพันทิบไม่ใช่บอร์ด FA ให้เค้าระบายหน่อยไม่ว่ากันเชิญจ้ะๆ จากคุณ : tunaz เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 15:28:19

ความคิดเห็นที่ 49 ผมว่า... แฟนแมนยูเองนั่นแหละที่อิจฉาแมนซิตี้/เชลซี ฯลฯ  ที่มีเงินให้ใช้ซื้อนักเตะไม่ขาดมือ  ขณะที่ทีมตัวเองต้องลุ้นตาละห้อยว่าใครจะมา ก่อนปิดตลาดทุกปีแฟนผีทั้งอย่างได้คนโน้นทีคนนี้แต่ตีราคาค่าตัวฝั่งตรงข้ามซะต่ำเตี้ยเรี่ยดิน...  พอคนอื่นซื้อราคาแพงก็ว่่าเอาเงินฟาดหัว  ยกเรื่องการเงินมาอ้างทั้งนั้น น่าผิดหวังนะครับ  แพ้ทั้งในสนามและนอกสนามเลย จากคุณ : 123 ปลาฉลามขึ้นบก เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 15:37:54

ความคิดเห็นที่ 50 เอ่อ ผมก็งงเหมือนกันว่าประเด็นที่ จขกท ต้องการสื่อคืออะไรเหรอครับ จากคุณ : mr_kitti เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 15:41:07

ความคิดเห็นที่ 51 คห.46 ก็ไม่ใด้ชัวร์ในเรื่องความสำเร็จทุกๆ แชมป์ ขนาดนั้นครับ แต่ก็จะรู้สึกแฟร์มากกว่านี้ --------------------------------------------------------------------------------------- คห.49 ผมจะอิจฉาเชลซีไปทำไมครับ ในเมื่อแมนยูลงทุนน้อยกว่าเยอะ แต่ก็กลับมา ประสพความสำเร็จ หลังตามหลัง 3 ฤดูกาล ได้ต่อเนื่อง (นอกจากฤดูกาลนี้) ส่วนสำหรับแมนซิตี้ก็ไม่ได้อิจฉาอะไร เพราะขนาดใช้เงินโดยรวมน้อยกว่าเยอะ (ทั้งค่าซื้อนักเตะ, ค่าเหนื่อย, ค่าบริหารจัดการ และจิปาถะ) ยังจบด้วยคะแนนเท่ากัน (และได้ถึง 89 คะแนน ซึ่งถ้าเป็นฤดูกาลที่ผ่านๆมา ของ EPL ก็จะได้แชมป์ค่อนข้างชัวร์) แพ้แค่จำนวนผลต่าของประตูที่น้อยกว่า -------------------------------------------------------------------------------------- คห.47,49,50 ประเด็นของกระทู้นี้ นอกจากจะให้ข้อมูลจำนวนเงินที่ใช้เพิ่มเติมนอกจาก ค่าตัวนักเตะที่ลงแข่งในฤดูกาลนี้แล้ว ผมอยากได้การแข่งขันที่ยุติธรรมสักหน่อย ทำนองเดียวกับอเมริกันฟุตบอลได้ก็ดี (คาดว่าถ้ากฏ financial fair play ของยูฟ่าใช้บังคับจริงในฤดูกาลหน้า จะช่วยได้) แต่อย่างที่ได้ตอบไปหลายคห. ยังเชื่อมั่นในฝีมือป๋าอยู่ครับ ว่า 1-2 ปีก็คืนตำแหน่งแชมป์ได้ ถึงจะมีเงินให้ใช้น้อยกว่าเยอะก็ตาม แก้ไขเมื่อ 16 พ.ค. 55 16:04:43 แก้ไขเมื่อ 16 พ.ค. 55 16:01:28 จากคุณ : จขกท (เลขาลิขิต) เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 15:56:55

ความคิดเห็นที่ 52 เออ แปลกเนอะ พอจขกท.เค้าเอาข้อมูลมาหักล้าง ก็ไปว่าเค้าแถอีก อคติมันบังตาขนาดนั้นเลยรึไง  อีตอนซุปเปอร์เอาข้อมูลมามั่ง เออออห่อหมกตามเค้า ส่วนประเด็นของจขกท. เค้าก็บอกอยู่แล้วว่ามีคนมาตั้งกระทู้แมนยูใช้เงินไม่ต่างกับแมนซิติ้ จขกท.แกเลยไปข้อมูลมาให้ดู  แทนที่จะหาข้อมูลมาหักล้าง ยังจะไปถามหาประเด็นเค้าอีก  อ่านหนังสือ เฉพาะหัวข้อรึไงสำหรับพวกอคติ จากคุณ : น้องเนยตัวน้อย เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 16:06:29

ความคิดเห็นที่ 53 พูดแบบ #46  ตั้งกะคห.แรก กระทู้นี้ก็จบไปนานแล้วครับ จขกท.... เก่งที่สุดใน8โลกกกกกกก 5555555555 เอางี้ไหม เอางบแมนยูเป็นที่ตั้งของลีคว่าปีนี้แมนยูตั้งงบเท่าไหร่แล้วค่อยตั้งเป็นงบกลาง ออกกฏให้ใช้งบเท่านี้ เหมือนกับทดเจ็บนัดสุดทเายให้จบพร้อมๆกัน 5555 ทั้งนานทั้งบ่าวเลยเวร้ยยย เมื่อ20-30ล้านทุ่มได้ ทีมอื่นบ่นก็บอกกรูรวยอ่ะก็ทีมมันรวย พอมาเจอทีมที่รวยกว่า ทำไมออกลูกนี้ล่ะครับ 55555555555555555555555555555 จากคุณ : คุณลุงมาดขรึม เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 16:08:37

ความคิดเห็นที่ 54 อาร์เซน่อล ใช้เงินน้อยกว่า แมนยู ก็คว้าแชมป์ได้ครับ ถ้าจะเอาเรื่องงบมาวัดกัน มันก็ไม่ใช่หรอก แมน ซิตี้ จะว่ากันไปก่อนจะโดนเทค โดย อดีตนายก นี่ก็ทีมล่าง ๆ ตารางเลยนะ หวังสร้างทีมระยะสั้น ก็ต้องใช้เยอะหน่อย เพื่อยกระดับเป็นทีมลุ้นแชมป์ จากคุณ : oommy เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 16:08:44

ความคิดเห็นที่ 55 บอลมันจบไปแล้ว แมนซิได้แชมป์ ไปลุ้นกันใหม่ในฤดูกาลหน้าดีกว่า จะมาโต้เถียงกันทำไม จากแฟนแมนยู จากคุณ : anantook เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 16:11:55

ความคิดเห็นที่ 56 เท่าที่อ่าน ประเด็นคือ จขกท. เค้าก็หาตัวเลขมาให้คนที่บอกว่าซิตี้ใช้เงินมากกว่าแมนยูแค่ 20 ล้านปอนด์มันไม่ถูก และ คห. ที่มาแย้งก็เหมือนยอมรับกันนี่ครับว่า ซิตี้ใช้เงินเยอะ แล้วเถียงไรกันยืดยาวครับนี่ ผมแฟน แมนยู ถามว่าอิจฉาที่ซิตี้ เชลซี มีเงินใช้แบบนี้มั้ย ตอบได้เลยว่าอิจฉาครับ ยิ่งเห็นแผนกระจายหุ้นแบบโครตปลิงเกลเซอร์ยิงอิจฉา แต่เมื่อไม่มีก็หาทางอื่นกันไป ใช้เงินแล้วทีมได้แชมป์ ผมก็ไม่เห็นว่าเป็นเรื่องน่าอายอะไร มีก็ใช้ และก็ไม่เห็นจะทำให้แมนซิตี้ เป็นทีมที่ดีน้อยกว่าแมนยูตรงไหน แล้วถ้าแมนยูทำตามแผนซื้อดาวรุ่งแล้วเป็นแชมป์ได้ มันก็คืออีกแนวทางในการเป็นแชมป์ ได้แชมป์เหมือนกันไม่มีอันไหนดีมากน้อยกว่าหรอกครับ เพราะผลก็คือทีมเป็นแชมป์เหมือนกัน ความเห็นส่วนตัวผม มีเงิน ใช้มั่ว ก็ซื้อความสำเร็จไม่ได้ แต่ถ้ามีเงินมหาศาล ใช้ให้ถูก มันเป็นแต้มต่อที่ทำให้ความสำเร็จมันมาไวขึ้นมากๆ ลองคิดดูถ้าแมนซิตี้มีทีมบริหารที่ยอดเยี่ยม แต่มีเงินนิดหน่อย กว่าจะบริหารโดยซื้อนักเตะที่ดีกว่าเดิมในราคาเหมาะสม ขยายแฟนบอล เอาเงินกำไรที่ได้มาลงทุนเพิ่ม จากทีมครึ่งล่างตารางกว่าจะขึ้นมาถึงจุดนี้ได้คงเป็นสิบปีครับ เพราะมันช่วยลัดขั้นตอนในการหาเงินมาซื้อนุกเตะดีๆ หรือการสร้างทีมเยาวชนเก่งๆขึ้นมาไป ส่วนการใช้เงินแบบไม่ต้องสนใจเพราะมีเงินจากที่อื่นมาหนุนเป็นปัญหาแน่นอนครับ และส่วนใหญ่ในยุโรปก็คงเห็นว่าเป็นปัญหาจะทำลายวงการฟุตบอล และไม่เป็นธรรมกัน financial fair play จึงเกิดขึ้นครับ จากคุณ : arctan45 เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 16:13:23

ความคิดเห็นที่ 57 จากคุณ : เกิดมาเพื่อrock เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 16:17:13

ความคิดเห็นที่ 58 เฮ้อ...มีถ้วยเหลือ ๆ ก็เอาให้มันไปสักถ้วยเหอะว้า รำคาญว่ะ จากคุณ : love you till I die เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 16:18:41

ความคิดเห็นที่ 59 ออกมาแถอะไรวะเนี่ย จากคุณ : AMD_Kamilia เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 16:20:05

ความคิดเห็นที่ 60 ตอบ คห.51 ต่อให้เอาทีมตอนนี้ไปเข้ากฏ มันก็คงไม่แฟร์ขึ้นมาเท่าไหร่ ทีมบางทีมใช้เงินลงทุนไปจนติดลมบนแล้ว อย่างทีมคุณทีมผม ใช้เงินจนสะใจพอใจแล้ว ก็สบายลอยลำลอยตัวไป ส่วนทีมจนๆก็ยิ่งยากจะโงหัวมาลุ้นแชมป์บ้าง อีกกี่ชาติแฟนนอร์ริช ทีมวูลฟ์จะได้สมหวังเป็นแชมป์ลีก ใช้กฏเดิมแล้วฝันให้มีเศรษฐีมาลงทุนผมว่าบางทียังอาจดีกว่าหรือเปล่า ดังนั้นกฏควบคุม ผมก็จึงไม่เห็นว่ามันจะแฟร์กว่าเดิมตรงไหน ผมก็ยังไม่เห็นว่ามันจะช่วยทีมเล็กๆให้มาลุ้นแชมป์ยังไง " มันช่วยทีมที่ใหญ่อยู่แล้วให้ใหญ่เหมือนเดิม แต่ไม่ต้องทุ่มเงินแข่งกันต่อไปมากกว่า " จะให้แฟร์ต้องเริ่มจากศูนย์ แล้วใส่ฐานที่เท่ากันซิครับ เอาไหม เอามูลค่าลงทุนทุกทีมมาลงขันเป็นกองทุนร่วมกัน แล้วเฉลี่ยทุกอย่างกันไปให้ใช้เท่ากัน ซึ่งมันก็ทำไม่ได้ นี่มันโลกธุรกิจ แนวคิดนี้ก็เหมือนจำกัดทุนสร้างหนังให้เท่ากัน รางวัลออสการ์จะได้ตกไปอยู่กับฝีมือโดยไม่เกี่ยวกับทุนนะแหละ ซึ่งมันตลก ขนาดกีฬาโอลิมปิค ยังต่อสู้ความจริงไม่ได้เลยครับว่าเงินอัดฉีดมันต่างกัน สภาพแวดล้อมของนักกีฬาแต่ละชาติก็ต่างกัน อย่างนักกีฬาจีนโคตรได้เปรียบเลย เพราะแทบจะฝึกซ้อมได้ทั้งวัน งานการต้องทำมากน้อยแค่ไหนก็ไม่รู้ จะให้แฟร์ืต้องจำกัดเวลาซ้อมให้เท่ากันด้วยซิ อย่างนั้นหรือเปล่า จากคุณ : ผีกรุแตก เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 16:28:44

ความคิดเห็นที่ 61 คห.53 ตอบเรื่องแชมป์ชัวร์ไปแล้วในคห.51 ส่วนการใช้เงินไม่ต้องเอาแมนยูเป็นหลักหรอกครับ ไม่ต้องประชด เอาแบบ financial fair play ก็พอครับ ฤดูกาลหนึ่งๆ รายจ่ายไม่เกินรายได้ -------------------------------------------------------------------------------------- คห.54 อาร์เซน่อลใช้เงินน้อยกว่าแมนยูเป็นแชมป์ได้ ผมก็ไม่ได้ว่าอะไร (แต่แผนเดิม ตอนนี้ ใช้ไม่ได้ผลแล้วนะครับ) แมนยูก็เป็นแชมป์ได้ทั้งที่ใช้เงินน้อยกว่าเชลซีเหมือนกัน หวังสร้างทีมระยะสั้น ต้องทุ่มเงิน ผมก็ไม่เถึยง   แต่ให้มันแฟร์ๆ หน่อย ไม่ใช่กู้หรือเอาเงินเจ้าของมาจ่าย แล้วขาดทุนอื้อ --------------------------------------------------------------------------------------- คห.58 ผมแค่ชี้แจงเหตุผลโต้แย้ง ที่หลายๆ login เถียงว่า แมนซิตี้ไม่ได้ทุ่มซื้อมากกว่าแมนยู ไม่เกี่ยวกับความรำคาญของคุณเลย --------------------------------------------------------------------------------------- คห.60 คุณอาจอ้างว่า การใช้เงินเท่าๆ กัน ไม่ช่วยให้ทีมเล็กๆ เป็นแชมป์ได้ แต่ในอดีตเฟอร์กี้ และทีมบริหาร ก็ทำให้เห็นแล้วว่า แมนยู ที่มีฐานแฟนบอลในแมนเชสเตอร์ น้อยกว่าแมนซิตี้ (ตามที่แฟนแมนซิตี้อ้างกัน) และไม่ได้แชมป์มา 26 ปี ประสพความสำเร็จ ต่อเนื่อง และมีวิธีหารายได้ถึงอันดับ 1 ใน 3 ของโลกมาหลายปีติดต่อกัน มันอยู่ที่กึ๋นในการทำทีม การบริหาร และการวางแผนการตลาด ด้วยครับ ส่วนเรื่องรางวัลออสการ์นั้น 5 รางวัลที่ถือว่าประสพความสำเร็จสูงสุดนั้น (นักแสดงชายยอดเยี่ยม, นักแสดงหญิงยอดเยี่ยม, บทภาพยนต์ยอดเยี่ยม, ผู้กำกับยอดเยี่ยม และ ภาพยนต์ยอดเยี่ยม) หนังที่ทุนต่ำ ได้รางวัลนี้กันบ่อยๆ ครับ  หนังทุ่มทุนมหาศาลได้รางวัลนิดเดียวหรือไม่ได้เลย เยอะแยะไป ส่วนเรื่องจีนประสพความสำเร็จในกีฬาโอลิมปิคนั้นต่างกันกับฟุตบอลพอสมควร เพราะคงไม่มีชาติอื่นเชียร์จีนในเรื่องเหรียญที่ได้ นอกจาก (สาธารณะรัฐประชาชน) จีนเอง ไม่เหมือนบอลที่ ประชาชนในจังหวัดเดียวกัน จังหวัดอื่น หรือ ประเทศอื่น เชียร์ทีมของจังหวัดนั้นๆ รวมถึงจำนวนประชากรของจีนที่มากกว่าประเทศอื่น ทำให้สามารถหาและปั้นนักกีฬาเก่งๆ ได้มากกว่า ซึ่งยังสำคัญกว่าเงินอัดฉีดเสียอีก ส่วนเวลาที่ทุ่มให้การซ้อมได้ โดยรัฐบาลจีนให้ทุนสนับสนุนทั้งเรื่องการซ้อม และ การดำรงชีพนั้น องค์กรอย่างโอลิมปิคสากล ไม่มีอำนาจมากเหมือน EPL หรือ UFA นี่ครับ ประเทศอื่นๆ ก็ต้องก้มหน้ายอมรับไป แก้ไขเมื่อ 16 พ.ค. 55 16:48:41 จากคุณ : จขกท (เลขาลิขิต) เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 16:44:44

ความคิดเห็นที่ 62 จริงๆ มันต้องใช้เงินมากๆสำหรับการ set up ทีมใหม่เท่านั้นแหละครับ หลังจากนั้น ก็คงเปลี่ยนผู้เล่นแค่ปีละ 1-2 คนเท่านั้นแหละ ในกรณีนี้ แมนซิตี้กับเชลซี รอดไปแล้ว ทีมที่จะเสียโอกาส ตามกฏ ใหม่นี้ คือทีมเล็กๆ ที่มีคนจะเข้ามา take over ในอนาคต ถ้าต้องการจะเปลี่ยนทีมใหม่แบบยกชุด คุณก็จะติดกฏ financial fair play ทันที แต่ถ้า จขกท จะเน้นว่า แมนซิ ชนะ เพราะใช้เงิน ผมว่า ถ้าคุณคิดอย่างนั้นแล้วสบายใจ ก็ว่าตามนั้นครับ เพราะสุดท้าย แฟนๆแมนซิตี้ คงไม่แคร์อะไรมากมายอยู่แล้ว จากคุณ : กะลาสี เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 16:45:32

ความคิดเห็นที่ 63 ไม่ซีเรียสครับ กลุ่มทุนของเจ้าของทีมโคตรรวยอยู่แล้ว :) ใช้ปีละพันล้านปอนด์ก็ไม่ซีเรียสไม่ใช่เงินผมนี่นา จากคุณ : totetote เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 16:50:00

ความคิดเห็นที่ 64 ใครใคร่จะซื้อะไรก็ซื้อไป อย่ามารบกวนเงินในกระเป๋าผมก็พอ จบ. จากคุณ : minkexotic เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 16:54:18

ความคิดเห็นที่ 65 เด๋วเจ้าของหาสินค้าตัวเองเป็นสปอนเซอร์ก็ยัดลงระบบได้แล้ว หรือใช้อัฐยายซื้อขนมยายก็มีเงินในระบบเพิ่มอีก   ซึ่งกฏใหม่ก็ไม่ได้ช่วยอะไรอยู่ดี เจ้าของทีมบางคนไม่สนหรอกครับว่าจะเสียเงินเท่าไหร่  ขอแค่แชมป์หรือขอพรีเซนต์ตัวเองก็พอ แก้ไขเมื่อ 16 พ.ค. 55 16:56:58 จากคุณ : 123 ปลาฉลามขึ้นบก เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 16:55:39

ความคิดเห็นที่ 66 เฮ้อ drama effect ทำให้หลายๆ login หน้าเก่าๆ ถึงกับหลุดไปกับเขาด้วย ชอบที่ #36 อธิบายแล้ว คือหลักการลงทุนทั่วไปเลย จะลงทุนเท่าไหร่มันก็ขึ้นกับต้นทุนเดิมด้วยนั่นแหล่ะ บริษัทร้อยล้าน อยากไปแข่งกับบริษัทพันล้าน แต่จำกัดให้งบเท่ากันชาติไหนจะตามทันละนั่น คนอื่นๆก็ช่วยกันอธิบายล่ะนะว่าทำไมมันต้องใช้เงิน เจ้าของกระทู้ก็จะเล่นแต่ประเด็น "มากกว่า/น้อยกว่า" ให้ได้อยุ่นั่นแหล่ะ จากคุณ : ก็แค่ชื่อสมมุติในเน็ต เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 17:00:13

ความคิดเห็นที่ 67 คห.62 ผมได้ตอบช้าไปในคห.61 คือ ผมได้ชี้แจงว่า นอกจากเงินมันต้องใช้กึ๋นผู้จัดการทีม การบริหาร การตลาด และจิปาถะ ด้วย เฟอร์กี้ใช้เวลา 5-6 ปีกว่าจะที่ค่อยๆ สร้างทีมขึ้นมา เจ้าของและผู้บริหารแมนยูก็ใช้กึ๋นและความอดทน ค่อยๆ สร้างฐาน supporter ขึ้นมาทั่วโลก จนประสพความสำเร็จด้านรางวัลและรายได้ สูงติดอันดับ Top 3 ของยุโรป ดังนั้น การจำกัดการทุ่มทุนซื้อเพื่อ set up ทีม ก็ขึ้นอยู่กับว่า เจ้าของ และ ผู้บริหาร จะมีกึ๋นและอดทนแค่ไหนด้วย แต่อ่านมาถึงตอนนี้ ยังเข้าใจว่า ผมอิจฉาแมนซิตี้ที่ได้แชมป์เพราะใช้เงิน ก็ต้องชี้แจงอีกทีว่า วัตถุประสงค์หลักของกระทู้นี้ คือ ชี้แจงข้อเท็จจริงเกี่ยวกับจำนวนเงินที่ใช้ของแมนซิตี้จนประสพความสำเร็จ ว่าไม่ได้เป็นจำนวนมากกว่าแมนยูแค่ 20 ล้านปอนด์ ดังกระทู้ และคห.ก่อนๆ หน้านี้ --------------------------------------------------------------------------------------- คห.65 อย่างแมนซิตี้ก็ขายชื่อสนามให้สายการบินเอดิฮัดเป็นเงิน 150 ล้านปอนด์ ซึ่งไม่ควรมากขนาดนั้น ก็ต้องดูว่ายูฟ่าจะทำยังไงเหมือนกันครับ financial fair play เอาออกมาใช้แล้ว ก็ต้องมีเวลาในการปรับปรุงให้ดีขึ้นเรื่อยๆ เหมือนกฏการ draft และค่าตัวของอเมริกันฟุตบอล -------------------------------------------------------------------------------------- คห.66 ผมไม่ได้เถึยงเรื่องการใช้เงินเพื่อประสพความสำเร็จเลยนะ เรื่องการใช้เงินมากกว่า แมนยูก็เคย (ใช้เวลา) เอาชนะแบล็คเบิร์นและเชลซีมาแล้ว ผมไม่ได้มัวแต่เถียงว่าแมนซิตี้ใช้เงินมากกว่าเลย ประเด็นสำคัญ คือ อย่าเอาเงินกู้หรือเงินของเจ้าของสโมสร มาใช้ให้เป็นภาระคนเชียร์ หรือ เอาเปรียบสโมสรอื่นต่างหาก แก้ไขเมื่อ 16 พ.ค. 55 17:08:50 แก้ไขเมื่อ 16 พ.ค. 55 17:04:43 จากคุณ : จขกท (เลขาลิขิต) เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 17:00:48

ความคิดเห็นที่ 68 แบ่งแยกออกไปตั้งลีกใหม่เลยดีไหม..? ทีมใหญ่ๆ,ทีมรวยๆ ไปรวมกันซักลีกหนี่ง จะได้รู้จริงไปเลยว่า อันไหนแท้,เทียม แก้ไขเมื่อ 16 พ.ค. 55 17:11:19 จากคุณ : sukreewa เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 17:09:16

ความคิดเห็นที่ 69 เกลเซอร์มันเข้ามาดูดอย่างเดียวมันจะใช้ตังค์ตัวเองทำไมหล่ะครับ  ไม่งั้นเค้าจะเรียกว่าปลิงหรอครับ ผมว่าท่านอย่าเล่นประเด็นใช้ตังค์เจ้าของเลยครับ เดี๋ยวจะโดนเค้าสวนเอา จากคุณ : UnTold เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 17:10:51

ความคิดเห็นที่ 77 อากาศร้อนๆ ใจร่มๆดีกว่าครับ พรีเมียร์จบไปแล้ว เรามาลุ้นบอลยูโรกันดีกว่า ไม่มีเรื่องชาติไหนซื้อนักเตะมากกว่าใครด้วย ^^ จากคุณ : มาแอบดู (okeyman) เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 18:03:30

ความคิดเห็นที่ 78 แมนยูก็ใช้เงินเหมือนกันแหละครับ เปรียบเทียบง่ายๆ แมนยู เป็นโรงงานนึง แมนซิเป็นอีกโรงงานนึง แมนยูเป็นโรงงาน ใหญ่มาก่อน ซื้อเครื่องจักรดีๆเข้ามามากมายในช่วง สักสิบปีที่ผ่านมา ( รูน 20, ริโอ 30, เบอร์บาตอฟ 30,  นานี่+ แอนเดอร์สัน 40, ฮาร์กรีฟ 20, คาร์ลิก 15, เดเกอาร์+ฟิล โจนส์ ก็ราวๆ 30, ไหนจะ เบเบ้ โอบาตอง หรือหนักไปกว่า นั้นก็ เวรอน เคลแบร์สัน) นี่นับเล่นๆก็น่าจะสองร้อยกว่าล้าน ปอนด์ละ     แต่แมนซิที่ผ่านมาเค้าเป็นโรงงานเล็กๆ พอมาวันนึงมีเจ้าของ ใหม่มาซื้อ ตั้งเป้าจะเป็นโรงงานขนาดใหญ่เหมือนกัน  เค้าก็ ต้องซื้อเครื่องจักรดีๆเข้ามา เพียงแต่ว่าใช้ระยะเวลาที่สั้น กว่าในการซื้อแค่นั้นเอง อีกอย่างในเมื่อมีข่าวว่า Uefa จะเอา กฏ Financial Fair Play เข้ามาใช้  เค้าก็ต้องรีบกว้านซื้อก่อนที่ จะเริ่มใช้กฏเป็นธรรมดา    ไม่เห็นจะแปลกตรงไหน   จากคุณ : pach.คุง เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 18:20:16

ความคิดเห็นที่ 79 #61 ไม่ได้ประชดครับ เมื่อก่อนทีมคุณ ซื้อ เวรอน รุด ฟาน ฮากรีฟ แอนเดอสัน เฟอดินาน รูนนีย์ นี่มันระดับสถิติทั้งนั้น ไม่นับของใหม่ๆนะ เดเกอา ฟิลโจนน์ อะไรพวกนี้ เมื่อก่อนเค้าก็บ่นว่าแมนยูขี้โกงเงินเยอะกว่าใครเพื่อน พวกคุณก็บอกช่วยไม่ได้ ก็ทีมมันรวยอ่ะ เมื่อก่อนคุณได้เปรียบคุณไม่เคยพูดถึงเลย พอมาตอนนี้คุณเริ่มเสียเปรียบไหงออกมาพูดล่ะครับ และผมก็ไม่ได้ประชด ถ้าจะเอาตัวเองเป็นที่ตั้งแบบนี้ก็จัดไปเลย เรื่องทดเวลาก็เหมือนกันตามข่าวล่าสุดหัวหน้าคุณก็จะทดให้มันจบพร้อมกัน ฟาดงวงฟาดงา บ้าบอคอแตก ไหนว่าเงินซื้อความสำเร็จไม่ได้ไง เตรียมทัยถมเขาซะให้จมดิน สุดท้ายพลิกแล้วมาเจอการฟาดงวงฟาดงาเกี่ยวกับใช้เงินในกระทู้นี้อีก สมเพชว่ะ จากคุณ : คุณลุงมาดขรึม เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 18:30:10

ความคิดเห็นที่ 80 ทีมคุณมันจน จบป่ะครับ??? จนกว่าทีมอื่นเค้า เลยต้องหาอะไรมาอธิบาย จากคุณ : KnightDeva เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 18:30:53

ความคิดเห็นที่ 81 อย่าเถียงต่อเลยเจ้าของกระทู้  ทีมเราแพ้เขาแล้ว  พูดอะไรไปก็เท่านั้น  วิธีการทุ่มเงินมันก็เป็นวิธีของเขา วิธีปั้นเด็กก็เป็นวิธีของเรา  มาคิดว่าปีหน้าเราจะสู้กะการทุ่มของเค้ายังไงดีกว่า ผมว่าเชลซีตอนนั้นน่ากลัวกว่านี้นะ  เถียงไปตอนนี้ก็เท่านั้น เจ็บตัวป่าวๆ ลำพังแฟนแมนซิยังไม่เท่าไหร่แต่HEBที่คอยเกาะความสำเร็จมาเถียงด้วยนี่สิ  ถ้าหน้าไม่ด้านเท่าเค้า ก็อย่าไปเถียงเค้าเลยคับ จากคุณ : สตรีมีกล้าม เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 18:47:41

ความคิดเห็นที่ 83 นับถือ จขกท นะครับ ขยันตอบมากๆ ผมก็เห็นด้วยนะ แล้วก็ไม่ชอบวิธีนี้เช่นกัน แต่อย่างว่า เฟอกี้ก็บอกแล้ว มันคงห้ามไม่ได้ อย่างน้อยก็จนกว่ากฎแฟร์เพลย์จะออก และถูกใช้อย่างเคร่งครัด ซึ่งทางทีมงานซิตี้ ก็คงต้องเริ่มทำการบ้าน หารายรับมาแปะ แน่นอน ก็ต้องดูกันตอนนั้นอีกทีว่าซิตี้ จะแก้โจทย์นี้ยังไง แต่ ณ ปัจจุบัน ในเมื่อไม่ชอบวิธีการ แต่ผลการแข่งขัน มันถูกตัดสินบนตารางคะแนน บนผืนหญ้า และ นักเตะ 11 คนในสนาม มีวิธีเดียวที่ดีที่สุด คือ ตั้งตัวและเตรียมพร้อมในฤดูกาลใหม่ครับ ด้วยการหานักเตะที่ดีขึ้นมาพัฒนาผลงานในสนาม ผมยอมรับเช่นกันว่านักเตะซิตี้เก่งกว่า และเหมาะสมในการคว้าแชมป์แล้ว เมื่อดูจากตารางคะแนน ลูกได้เสีย และอันดับดาวยิงฮะ ส่วนการ ไม่ชอบ ของผม ก็มาระบายในที่นี้ซึ่งเป็นเวบบอร์ด ก็เท่านั้นเองแหละ คิดมากไปก็ทำอะไรไม่ได้นะฮะ บางทีงานยุ่งมากๆ ก็ลืมเรื่องนี้ไปเองเช่นกัน ในฐานะแฟนผี ลองมาดูกันว่า เฟอกี้ และ เกลเซอร์ จะรับมือกับโจทย์นี้ยังไงดีกว่า ฮาซาร์ด ที่แย่งตัวกันจะจบแบบไหน ผีแดงทุ่มเงินสู้ หรือ จะยอมปล่อยให้ดาวโรจน์คนนี้ไปอยู่กับคู่แข่งเบอร์หนึ่ง หรือ จะยังไง บางที กอมปานี อาจเป็นตัวแปรหลักก็ได้ในความเห็นผม และที่ผมเชื่ออีกอย่างคือ มันชินี่ และ นักเตะสตาร์บางคน น่าจะอยู่ไม่นาน และ อึดเหมือนเฟอกี้แน่ครับ เช่น วันนี้ก็มีข่าวว่า ยาย่า อยากได้ความท้าทายใหม่ (ไม่รู้จริงไหม หรือแค่ข่าวลือ) หรือ มันชีนี ก็เปรยว่า สักวันหนึ่งต้อง go back home at Italy ฮะ แต่คงไม่ใช่สองปีนี้แน่ๆ คือการทำทีมแบบนี้ โดยที่แกนหลักไม่ใช่นักเตะท้องถิ่น มันให้ความรู้สึกเหมือน Project work ครับ คือ mission บรรลุแล้ว บางคนก็อยากแยกทาง มันต่างจากว่านักเตะท้องถิ่น พออยุ่ทีมที่รวย ได้เป็นแชมป์ ได้เงินกินอิ่ม ได้อยู่บ้าน มันก็อยู่ต่อไปเรื่อยๆ เหมือนกรณี ริโอ รูนี่ย์ พวกนี้อะ สิ่งที่แมนยู มีเหนือกว่า คือ เฟอกี้ไง ป๋าอยู่มาแล้ว 25 ปี อยู่จนนักเตะเชลซีชุดนั้นของมู ใกล้เลิกเล่นกันหมดแล้ว ป๋าแก็อึดจริงๆ จนปีก่อนที่ได้แชมป์ 19 ทำให้ปีนี้ทีมดูหมดไฟ จัดตัวไม่เน้น ก็กลับได้ไฟซิตี้มาเติมใหม่ ถ้าป๋าอยู่ได้อีกสัก 5-6 ปี ผมว่า ซิตี้ก็มีสิทธิ์ดาวน์ลงมาได้เหมือนกัน ถ้าไม่รักษามาตรฐานให้ดี ผมว่าการแข่งขันทั้งใน และนอกสนามแบบนี้ ต้องดูกันยาวๆครับ ถึงจะตอบได้ เป็นกระทู้ที่ยาว และตอบโต้กันได้ดีฮะ ขอชื่นชมทุกฝ่าย จากคุณ : vdi เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 18:49:43

ความคิดเห็นที่ 84 อยากให้ยุติธรรมและเกิดความภูมิใจอย่างที่ จขกท ต้องการมันจะเกิดได้อย่างไร ถ้าจะให้เกิดได้ ทีม จขกท ก็ต้องคืนถ้วยทั้งหมดให้สมาคมก่อน แล้วต่อจากนั้นก็วางกฏให้ทุกทีมใช้เงินเท่ากัน ใครใช้เกินไม่ได้ ใครไม่ใช้ก็ไม่ได้ แล้วมาแข่งกัน จะเอาแบบทดเวลาเท่ากันทุกสนามตามป๋า ปญอ ของ จขกท ก็ได้ แต่บางทีด้วยเงื่อนไขนี้ป๋าของ จขกท อาจไม่ได้เกิดก็ได้ ปอนด์ต่อปอนด์ เงินที่ลงไป เวงเกอร์กินขาด ชั่วโมงนี้ผมว่าแฟนทีม จขกท สงบใจลงบ้างก็ดี สถานการณ์ไม่ได้เป็นต่อเลย จากคุณ : ซุปเปอร์ซัพ สุดยอดสำรอง เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 18:58:29

ความคิดเห็นที่ 85 อย่าดูถูก financial fair play นะครับ ถึงถลุงซื้อนักเตะกันเสร็จไปแล้ว แต่ดูตัวเลขครับ จะพบว่าไอที่โหดกว่าเงินซื้อนักเตะคือค่าเหนื่อยครับ จากคุณ : arctan45 เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 19:13:48

ความคิดเห็นที่ 86 ค่าเหนื่อยน่ะ แมนยูโหดไม่หยอกหรอกครับ ตัวเลขเปิดเผยเมื่อสองสามปีก่อนบอกว่า ไม่ห่างกับซิตี้เท่าไหร่เหมือนกัน ปีนี้ซิตี้อับดับสามของทุกสโมสรกีฬาทั่วโลก ส่วนแมนยูดูเหมือนอันดับสิบเอ็ด ตัวเลขไม่ได้ห่างกันมากหรอก และถ้ายุติธรรมก็ลดค่าเหนื่อยแมนยูลงเท่ากับทีมกลางตารางให้ได้ แล้วเอาชนะทีมอย่างวีแกน สโต็คให้ได้ก่อนนะครับ แล้วค่อยมาทวงถามความยุติธรรม จากคุณ : ซุปเปอร์ซัพ สุดยอดสำรอง เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 19:24:00

ความคิดเห็นที่ 87 เพิ่มเติมอีกนิด ถ้าอยากให้ใช้เงินตามผลประกอบการจริงๆ ฤดูกาลนี้ทีม จขกท คงต้องขายผู้เล่นออกแล้วล่ะครับ ห้ามซื้อเพิ่ม ผลประกอบการหลังหักค่าใช้จ่ายปีที่แมนยูได้แชมป์พรีเมียร์ เข้ารอบชิงแชมป์เปี้ยนลีค ขายโด้ได้กำไร 80 ล้าน ปีนั้นผลประกอบการมีกำไรแค่ 20 ล้านถ้าจำไม่ผิด ถ้าไม่ขายโด้ออกก็ขาดทุน เพราะค่าเหนื่อยอย่างเดียวก็เกิน 100 ล้านปอนด์แล้ว แล้วคิดว่าปีนี้ ไม่ได้แชมป์พรีเมียร์ ตกรอบแบ่งกลุ่มแชมเปี้ยนลีค ผลประกอบการจะเป็นอย่างไรครับ จากคุณ : ซุปเปอร์ซัพ สุดยอดสำรอง เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 19:36:28

ความคิดเห็นที่ 88 คุณ ซุปเปอร์ซัพ สุดยอดสำรอง  ครับ ถ้าหารายได้ทางอื่นไม่ได้ ต้องขายก็ต้องทำครับ หรือไม่ก็หาทางลดเพดานเงินเดือนนักเตะ  แล้วถ้าทีมที่มีมูลค่ามากที่สุดในโลก มีรายได้อันดับ 3  ยังจ่ายค่าเหนือยเท่านี้แทบไม่ไหว ก้แสดงให้เห็นชัดเจนละครับว่าค่าเหนือยมันสูงขึ้นจนเกินที่การบริหารทีมฟุตบอลปกติแทบจะรับไม่ไหวแล้ว บาซ่า แมดริด เองก็อ่วมเหมือนกัน ทั้งที่ได้ขายลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสดเอง แล้วสาเหตุแห่งความเฟ้อนี้ ก็เริ่มมาจาก เสี่ยหมี มาซ้ำเติมด้วย ซิตี้ แล้วปีนี้ยังเริ่มมี psg กับรัสเซียอีกทีมมาแจม ถ้าปล่อยไปจะยิ่งหนัก  ยูฟ่าจึงต้องหาทางจัดการก่อนปัญหาจะบานปลายกว่านี้ไงครับ จากคุณ : arctan45 เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 20:09:49

ความคิดเห็นที่ 89 . . ถ้าหงส์มีเงินเยอะขนาดนี้ ซื้อตัวแพง ค่าใช้จ่ายเยอะมากๆ แล้วได้แชมป์ ในฐานะแฟนบอล ช่างหัวมันครับ ไม่รู้ว่าผมจะไปแคร์เรื่องการใช้จ่ายสโมสรทำไม ผมเป็นกองเชียร์มีหน้าที่เชียร์ คนบริหารก็มีหน้าที่ของเค้าไป แค่นั้นเอง . . จากคุณ : Porepor เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 20:19:32

ความคิดเห็นที่ 90 เรื่องนี้มันก็ต่างมุมมองครับ บางคนมองทีมตัวเองเป็นทีมฟุตบอลในสนาม บางคนมองทีมตัวเองเป็นคลับ เป็นสถาบัน เป็นบริษัท ขึ้นกับหลายๆอย่าง ว่าจะมองในมุมไหน แฟนบอล ผจก. หรือ ผู้บริหารทีม จากคุณ : vdi เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 20:25:18

ความคิดเห็นที่ 91 มันคงถึงเวลา ผลัด ทีม ที่1 ละมั้ง อุอุ จากคุณ : ล้อยตัมหลวดเอคปอมตัวมา (SHEEP_DOG) เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 20:44:11

ความคิดเห็นที่ 92 เรากับเค้า อยู่ห่างกัน ครึ่งโลกจะไปใส่ใจทำไมกันมากมาย -*- เป็นสีสันดีออก ผมเด็กผียังเฉยๆ ออกเสียใจนิดหน่อย เพราะเค้าลงทุนซะจนาดนั้น ผีแดงลงทุนอยู่บ้างแต่ ไม่ค่อยเต็มไม้เต็มมือ ผมว่าก็เป็นสีนสัน ดีออก จากคุณ : hahesfha เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 20:58:04

ความคิดเห็นที่ 93 #90 ผมเข้าใจครับ ว่าเรื่องนี้มันอยู่ที่มุมมอง บางคนยังมองฟุตบอลยังคงเป็นเกมกีฬา แต่บางคนเขามองว่าฟุตบอลปัจจุบันมันเป็นธุรกิจไปแล้ว ทีนี้ถ้าใครยังมองฟุตบอลเป็นแค่เกมกีฬา ผมว่าให้ข้ามๆกระทู้นี้ไปเถอะ เกมกีฬามันจบไปแล้วซิตี้เป็นแชมป์มา 2-3 วันล่ะ แต่ถ้ายังอยากถกประเด็นธุรกิจ คิดว่าการเติบโตของบริษัทมันใช้แต่กำไรจริงๆเหรอ คิดว่ากำไรฟุตบอลมันมากพอให้รีลมาดริดไปซื้อนักเตะราคาเป็นร้อยล้านทุกปีเหรอ ถ้านักฟุตบอลเป็นสิ่งบริโภคการซื้อนักเตะซักคนคงเรียกว่าการซื้อได้ แต่การซื้อนักเตะก็เหมือนการลงทุน บริษัทจะทำกำไรได้ยังไงถ้าไม่มีการลงทุน ซิตี้ รีลมาดริด ต้องการกำไรมากๆ ซึ่งผลกำไรของเกมฟุตบอลคือถ้วยรางวัล ไม่ใช่ผลประกอบการ การที่เขาลงทุนแล้วได้รางวัลนั่นก็คือเขาประสบผลสำเร็จ แต่ก็อย่างที่เป็นเรื่องปกติของกลไกธุรกิจ มันจะเฟ้นหาผู้แพ้เอง นั่นคือเมื่อลงทุนไปแล้วคุณไม่ได้กำไรคุณก็ขาดทุน สุดท้ายคุณก็ล้มเหลว เหมือนเช่นที่เคยเกิดกับลีดส์ กับแบล็กเบิร์น หรืออาจเกิดกับเชลซี แมนซิตี้ก็ได้ในอนาคต ไม่ต้องไปห่วงตรงนั้นคนที่เป็นผุ้ลงทุนเขาก็รู้ตรงนั้นดีกว่าใคร แล้วประเด็นที่มาของเงินก็ไม่พูดแล้วนะ #74 อธิบายไปแล้ว แต่ไอ่ที่สงสัยมากๆ คือทำไมมาพูดตอนนี้ ตอนที่ตัวเองอยู่สูงกว่าชาวบ้านไม่พูดถึง แต่พอมีคนอยู่ในจุดที่สูงกว่ากลับพึ่งมาจุดประเด็น ตอนที่ชาวบ้านเขาซื้อขายตามกลไกตลาดที่อย่างมากก็แค่สิบล้านปอนด์ แต่เล่นไปถอยกองหลังจากทีมแย่งแชมป์มามากกกว่าราคาตลาดทั่วไปถึงสามเท่าเพื่อทำแบรนด์ของตัวเอง หรือแม้กระทั่งวัยรุ่นที่เป็นที่กล่าวถึงที่สุดของประเทศเป็นแม่เหล็กของคนดู ก็มีเวลาให้ต้นสังกัดได้ยลโฉมกับทีมชุดใหญ่แค่นัดสองนัด เพราะปฎิเสธราคาไม่ไหว จนต้องทำให้แฟนบอลไม่พอใจกับการกระทำเช่นนั้นมากๆ มันจะน่าตรองกันเรื่องนี้มากกว่านี้ ถ้าทีมที่พูดถึงเป็นวีแกน เอฟเวอตันอะไรแบบนั้น แต่มันน่าขันที่ดันเป็นแมนยูที่เป็นหนึ่งในกระบวนการธุรกิจฟุตบอลด้วยกันนี่แหล่ะ ใครมาพูดว่าแมนยูเป็นทีมปั้นเด็กแข่งนี่ผมตลกเลยนะนั่น แก้ไขเมื่อ 16 พ.ค. 55 21:05:01 จากคุณ : ก็แค่ชื่อสมมุติในเน็ต เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 21:02:53

ความคิดเห็นที่ 94 โถๆ ป๋าเก่งน่ะยอมรับ แต่ อยากจะบอกว่าป๋านี่แหละ ตัวซื้อนักเตะแพงๆ http://www.siamsport.co.th/Sport_Football/110201_183.html จากคุณ : nisas เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 21:13:55

ความคิดเห็นที่ 95 ผมว่าจขกท.คุยคนละฐานนะครับ ทีมฟุตบอลมีความสำเร็จใน 2 ทางคือ ผลทางการเงินหรือผลประกอบการ กับผลบนตาราง ซึ่งต้อง  Compromise กัน ผลบนตารางแมนยูเริ่มจากกี่แต้มต่อฤดูกาลครับ ในขณะคนไทยเป็นเจ้าของแมนซิตี้ ตอนนั้นมีแต้มเพียง 40แต้ม + ชั่ยมั้ยครับ อยู่ครึ่งล่างของตารางขณะนั้น ต่อมาพวกที่ได้ 40 แต้มต้องหนีตกชั้น แมนซิตี้เริ่มจากตรงนั้น ในขณะที่แมนยูใช้เงินไปก่อนเป็นสิบปี เชลซีตอนโรมันเข้าซื้อก็ไม่ได้อยู่ครึ่งล่างของตารางนะครับ ถึงเรียกกันจนติดปากว่า Big 4 ไงครับ ตอนนี้แมนซิตี้ มีผลบนตาราง 89 แต้มจึงไม่แปลกครับ ที่ต้องใช้เงินมาก เพราะในทุกปีทีมอื่นก็เสริมทัพเข่นกัน และก็ค่าเปลี่ยนชื่อสนามเท่าที่ทราบ 400 ลป ปีหน้าเปลี่ยนชุดแข่งเป็นไนกี้ ได้ปีละเท่าไหร่ไม่รู้ แชมป์ EPL ก็จะได้ส่วนแบ่งสูงกว่า ปีที่ผ่านมา True ก็ขึ้นราคาเพราะค่าลิขสิทธิ์ถ่ายทอดสูงขึ้น Derby Match ที่ ETIHAD STADIUM มีคนดู 7ร้อยกว่าล้านคนคิดว่าแมนซิตี่ได้ส่วนแบ่งเท่าไหร่ ได้เงินมาเยอะจ่ายให้นักเตะมากเพื่อผลบนตาราง ผิดรึครับ ถ้าเทียบกับขายโด้ 80 ลป.หายไปไหนไม่รู้ จากคุณ : หนุ่มบางปะกง เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 21:48:21

ความคิดเห็นที่ 96 หลังจากที่เข้ามาเชียร์ทีมซิตี้เพราะมีคนไทยเป้นเจ้าของ แล้วกลุ่มทุนจากอบูดาบีมาซื้อ ผมชอบใจมาก  อยากเห็นเงินซื้อความสำเร็จครับ ลองคิดเล่นๆ คุณเป็นนักธุรกิจที่มีทุนน้อยมาก แต่คุณมีความคิด อยากทำธุรกิจใหญ่ๆ แล้วอยู่มีเงินมากองอยู่พันล้าน คุณจะบอกมั๊ยว่า ไม่เอาหรอก มันไม่แฟร์กับคนอื่น จากคุณ : คนบ้านฉาง เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 21:53:26

ความคิดเห็นที่ 97 คิดแล้วขำ ต่อไปคุณครูตรวจข้อสอบนักเรียน คงต้องหักคะแนนเด็กครอบครัวฐานะดีซะด้วย เพราะไม่งั้นเกิดว่าเด็กฐานะดีสอบได้ที่ 1 เด็กคนอื่นๆก็คงจะบอกว่า "เอาเปรียบ" แถมเด็กที่แพ้บางคนอาจจะขุดคุ้ยดูซะด้วยนะว่า เด็กที่ได้ที่ 1 ใช้เงินจ้างครูมาสอนพิเศษเท่าไหร่ เอาเงินมาจากการหารายได้ในครอบครัวหรือเปล่า หรือถ้าเป็นเงินจากมรดกที่คุณปู่ทิ้งให้หลานไว้เป็นทุนการศึกษา ก็จะยอมไม่ได้ เพราะเป็นเงินนอกระบบ พ่อ แม่ ลูก (ฮา...) คิดแล้วขำ ผมไม่เคยสอบได้ที่ 1 เก่งสุดก็ได้ที่ 2 แต่ผมก็ยอมรับในกติกาการสอบ "ตราบที่คนได้ที่ 1 ไม่ได้โกงข้อสอบ ไม่ใด้ให้กรรมการคุมสอบช่วย" แค่นี้พอ ผมคงไม่ไปสนใจหรอกว่าคนได้ที่ 1 เอาเงินมาจ้างครูสอนพิเศษมากมายแค่ไหน เงินที่จ้างสอนจะมาจากกระเป๋าพ่อเขา หรือมาจากเงินในกระเป๋าคุณปู่ที่มอบให้เป็นทุนการศึกษาด้วยความพิศวาสรักหลาน เพราะถ้าผมไปเปิดประเด็นอย่างนั้นในสังคมทุนนิยมเสรี ผมน่าจะถูกมองเป็นพวกริษยาที่เกินระดับอิจฉา หรือไม่ก็ขี้แพ้ชวนวิวาทมากกว่า หรือไม่ผมก็คงต้องไปอยู่ในประเทศสังคมนิยมที่ทุกคนจนเท่ากันหมด จะได้ไม่มีใคร "เสียเปรียบ" ใคร จะได้ "ภูมิใจ" แท้ๆลึกๆสมใจอยาก อุ อุ อุ... จากคุณ : ผีกรุแตก เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 22:10:07

ความคิดเห็นที่ 98 เพิ่งฉลองครบรอบ 20 ปี EPL ไป เสียใจด้วยที่ ว่าวทุกแชมป์ Spoil งานฉลอง YOU WERE THE BEST BUT NOW WE ARE BETTER 80 ลป จากโด้เสียดายมั้ยครับ จขกท. ควรจะตำหนิใครครับ ระหว่างเจ้าของแมนซิตี้ หรือเจ้าของแมนยู จากคุณ : หนุ่มบางปะกง เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 22:23:38

ความคิดเห็นที่ 99 เข้ามาช้าไปหน่อย กะจะตอบทุกคห.ที่ตอบผม แต่คงช้าไปแล้ว คงอยากเข้านอนกันหมดแล้ว สรุปเป็นว่า 1. สโมสรเป็นบริษัทจำกัด ไม่มีบริษัทระดับโลกที่ไหนอยากขาดทุนเพื่อความสะใจของเจ้าของสโมสรหรอกครับ 2. ทางตลาดหลักทรัพย์ทั่วโลก ก็ไม่ยอมรับการขาดทุนไม่จำกัดของบมจ.ที่ list ในตลาดฯ เหมือนกัน มีการนำออกจากตลาด กันทุกแห่ง 3. ถ้าใช้เงินเท่าไหร่ก็ได้ ทาง NFL คงไม่ออกกฏควบคุมการใช้เงินและ draft นักเตะออกม    รวมถึงทางยูฟ่าก็คงไม่ออก financial fair play ออกมาหรอกครับ แล้วก็ลองอ่านคห.ที่ 83, 85, 93 รวมถึงการแสดงคห. ในกระทู้หัวข้อ : แฟนผีที่ว่าแมนซิใช้เงินซื้อความสำเร็จเข้ามาดูอะไรนี่หน่อย link : http://www.pantip.com/cafe/supachalasai/topic/S12103681/S12103681.html#42 post ตอนเวลา 21:16:31 และตอบล่าสุด (ที่ไม่ใช่ตห.ของผม) เวลา 23:15:30 อ่านแล้วใช้เป็นที่ discuss กันดีกว่าครับ  เพราะ up-to-date กว่ากระทู้นี้แล้ว ขอบคุณทุกๆ คห.นะครับ แก้ไขเมื่อ 16 พ.ค. 55 23:53:04 จากคุณ : จขกท (เลขาลิขิต) เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 23:45:04

ความคิดเห็นที่ 100 จขกท. แมนฯซิตี้เอาเปรียบทีมอื่นตรงไหนเหรอครับ เงินก็เงินเจ้าของ แมนฯซิตี้ใช้เงินเจ้าของแล้วมันทำให้เงินแมนฯยูลดลงเหรอครับ งงจริงๆ จากคุณ : bankook เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 23:51:18

ความคิดเห็นที่ 101 เฟอกี้ บอกไว้เมื่อต้นฤดูกาลว่า นักเตะของอั๊วะชุดนี้ดีพอที่จะเป็นแชมป์ (อั๊วไม่ซื้อใครแล้ว) และตราบใดที่อั๊วะยังอยู่ แมนซิตี้อย่าหวังจะเป็นแชมป์ EPL จขกท. จำไว้ให้ขึ้นใจนะครับ เฟอร์กี้มีตังค์ให้ซื้อแต่ไม่ซื้อ จนว่าวทุกแชมป์ เฟอกี้ ผิดพลาดเอง เกี่ยวอะไรกับการใข้เงินของแมนซิตี้ครับ จากคุณ : หนุ่มบางปะกง เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 23:58:56

ความคิดเห็นที่ 102 ว่าจะไม่ยุ่งแล้วนะ เพราะเรื่องของการทำธุรกิจของทีมใน EPL หลังล่วงเข้ามาศตวรรษที่ 21 หรือจะว่าตั้งแต่ แมนฯ ยูฯ เป็นโต้โผเอาทีมเข้าตลาดระดมทุนในตลาดหลักทรัพย์ ...EPL มันกลายเป็นอะไรที่ซับซ้อนและทำให้เกิดการผสมปนเปกลยุทธ์ทางธุรกิจเข้ามาจนทำให้การทำทีมฟุตบอลทุกวันนี้มันเลยหลักเกณฑ์หรือธรรมเนียมพื้นฐานรายได้จากแฟนบอลไปเยอะ ... ซึ่ง EPL เองก็ดันเห็นดีเห็นงามตามลักษณะของประเทศที่เด่นในเรื่องของวิชาการบริหารการจัดการหรือการตลาด ... เพราะคุ้นเคยกันอยู่ว่าคุณเลขาฯ เป็นแฟน แมนฯ ยูฯ แนวเดียวกับเฮียหงบใจ จริงๆ ก็อยากให้คุณเลขาฯ เป็นผู้ควบคุมประเด็นในกระทู้เองมากกว่าเพราะเป็นเจ้าของกระทู้ แต่ยิ่งอ่านเดี๋ยวจะยิ่งเข้าใจผิดกันไปใหญ่เพราะหมู่กองแช่งกองซ้ำบางคนก็ไม่คุ้นเคยคุณเลขาฯ เท่ากับแฟน แมนฯ ยูฯ ด้วยกัน ... ไม่รู้หรอกว่าคุณเลขาฯ เป็นอะไรที่หากคุยดีๆ คุณจะได้การแลกเปลี่ยนทัศนคติที่ได้อรรถรส ไม่ใช่แนวเกรียนอย่างที่หลายคนที่มาตอบโต้เข้าใจผิดไป ... จริงๆ มันก็ซับซ้อนนะ ...เริ่มจากอะไรดี ...อืม ...เริ่มจากข้อมูลทางการเงินย้อนหลังไปถึงปี 2007 ละกัน ข้อมูลนี้ถูกเก็บรวบรวมโดยเว็บเจ้าประจำที่ข้าเจ้าชอบเข้าไปดูบ่อยๆ อย่าง http://www.myfootballfacts.com เริ่มจากตารางปี 2007-2008 ....อะ ข้อมูลต่อไปนี้เค้าไม่ได้อิงรอบตามฤดูกาลแข่งขันนะฮะ เขาจะอิงรอบการสรุปบัญชีทางการเงินที่ต้องแจกแจงออกมา ดังนั้น ถ้าใครไปไล่รายละเอียดลงไปถึงกิจกรรมการเคลื่อนไหวทางการเงินอาจจะงงได้ ก็ขอให้ดูเป็นปีๆ ละกัน ..แล้วก็ ปี 2007-2008 เค้าน่าจะรวบยอดมาเลย อันนี้ข้าเจ้าก็ไม่แน่ใจว่าย้อนไปกว่านี้มันหายไปไหน ท่านใดตามตัวเลขได้ก็ลองเอามาแชร์ละกันฮะ ... ตารางการเงิน ปี 2007-2008 เรียงตามตัวอักษรนะฮะ (ให้สังเกตว่า แม้บางทีมอาจจะมี % ที่ติดตัวแดง แต่ไม่ได้หมายความว่าเลวร้ายมากเมื่อดูขนาดตัวเลข ขนาดองค์กร ขนาดทีม และมูลค่าทางการตลาด) จากคุณ : _K_F_C_ เขียนเมื่อ : 16 พ.ค. 55 23:59:55

ความคิดเห็นที่ 103 ว่าจะไม่ตอบแล้ว แต่มีเพิ่มมาอีก 2-3 คห.ตอบเพิ่มก็เลยขอตอบดังนี้ --------------------------------------------------------------------------------------- คห.102 ขอบคุณ คุณ KFC.ครับที่ให้เกียรติผมว่า กระทู้ผมและคห.ผมจะออกมาดีกว่านี้ คือ ผมคงอ่านกระทู้หลังซิตี้ได้แชมป์มากไป พอได้ข้อมูลการลงทุนสูง ของแมนซิตี้ก็เลย post ทันที ไม่ได้หาเหตุผลให้สมเหตุสมผลเขียนในกระทู้ (ไม่ใช่คห) มากพอ ก็เลยใช้ภาษาตอบออกจะเกรียนไปบ้าง แต่ก็ได้พยายามให้เหตุผลในการตอบทุกคห.แล้วนะครับ --------------------------------------------------------------------------------------- ทุกคห. ที่สงสัยว่า ทำไมผมไม่เห็นด้วยกับการทุ่มทุนของแมนซิตี้ ทั้งๆ เป็นเงินของเจ้าของ ขอตอบว่า เพราะสโมสรระดับลีกสูงๆ ในประเทศต่างๆ (รวมทั้ง Premier League ของไทย) เป็นบริษัทจำกัด (ไม่ใช่ร้านก๋วยเตี๋ยวครับ) รายรับ รายจ่าย กำไรขาดทุนของบริษัทฯ จึงเป็นเรื่องสำคัญ ไม่เช่นนั้น ตลาดหลักทรัพย์ทั่วโลก รวมถึง NFL และยูฟ่า คงไม่ออกกฏให้มีการจำกัด การใช้เงิน หรือ กำไรขาดทุน ของบริษัทฯ และ สโมสร Football และ Soccer ขึ้นมา หรือ ประเทศต่างๆ คงไม่มีกฏหมายการห้ามทุ่มทุนเพื่อทำลายคู่แข่งหรอกครับ แก้ไขเมื่อ 17 พ.ค. 55 00:34:13 จากคุณ : จขกท (เลขาลิขิต) เขียนเมื่อ : 17 พ.ค. 55 00:16:29

ความคิดเห็นที่ 104 จริงๆ มันมีรายละเอียดที่ "อย่าด่วนฟันธงถ้าไม่ศึกษาลักษณะโครงสร้างทำธุรกิจของทีมกับกฎการถือครองสิทธิ์ในการบริหารหรือการเป็นเจ้าของทีม" ...ซึ่งในส่วนกฎที่ว่าหรือข้อบังคับในการทำธุรกิจทีมฟุตบอลของ FA ...ข้าเจ้าขี้เกียจหาอะ แบบช่วยกันคนละไม้คนละมือหน่อย แต่แนะนำเลยว่าต้องลองศึกษาดูแล้วจะเห็นอะไรที่บางทีก็น้ำท่วมปากอยู่เหมือนกัน ... สิ่งที่อยากให้เข้าใจก่อนจะดูตารางต่อไปเลยคือ เค้าจะแยกส่วนที่เป็นการกู้ยืมออกจากรายจ่ายของสโมสร ...ตรงนี้นี่แหละที่กำลังเป็นประเด็นถ้าคนอ่านตีประเด็นตรงนี้ไม่ออก มันก็จะเกิดความเข้าใจผิดในการสื่อสารกันแบบด่าไปมาได้ ...ทำไมต้องแยก ... เพราะในปัจจุบัน ลักษณะของการทำธุรกิจแบบทุนนิยม มันมีเรื่องของการกู้ยืม บริษัทบริหารจัดการที่เป็นตัวแทน หรือภาษาแสบๆ ในบ้านเราเรียก "นอร์มีนี" ซึ่งตรงนี้มันจะเป็นประเด็นกับทางยูฟ่า ...เดี๋ยวเราจะมาว่ากันในภายหลัง เพราะอยากให้เห็นตารางการเงินโดยภาพรวมก่อน ... มันจะมีสัดส่วนอยู่ 2 รูปแบบที่สำคัญๆ และควรต้องศึกษาทำความเข้าใจก่อนจะฟันธงอะไรๆ นะฮะ ... - Wages/Turnover หรือ สัดส่วนค่าใช้จ่ายในรูปค่าจ้าง เงินเดือนต่อรายได้หมุนเวียนที่เข้ามา (ไม่ใช่ผลกำไรสุทธินะฮะ เอาเป็นว่าเพื่อให้เข้าใจง่ายๆ อย่างหยาบๆ มันก็คือรายได้) - Debt/Turnover อันนี้เป็นสัดส่วน เงินกู้ยืมต่อรายได้ ... ซึ่งทางยูฟ่าเค้าจะเน้นไปทางตัว Wages/Turnover เพราะเป็นสิ่งที่เป็นกิจกรรมโดยตรงของสโมสร แต่ในส่วนของการกู้หนี้ยืมสิน มันเอามาพิจารณาลำบาก เพราะบางสโมรก็เป็นตัวสโมสรไปกู้มาเอง บางสโมสรผู้ถือสิทธิ์ครอบครองก็ใช้การอัดเงินส่วนตัวเข้ามาเอง (พบได้ในธรรมเนียมเจ้าของทีมแบบดั้งเดิม) ...และบางสโมสร เกิดจากการให้มีตัวแทนเข้ามาจัดการซึ่งทำให้ทางยูฟ่าอาจจะไม่สามารถเข้าไปก้าวล่วงสิทธิ์ในการบริหารทีมในรูปแบบนี้ได้ ...เค้าจึงเน้นออกกฎจับไปที่กิจกรรมทางการเงินที่เป็นรายจ่ายโดยตรงของสโมสรแทน ... อันนี้เป็นตารางปี 2009 ฮะ จากคุณ : _K_F_C_ เขียนเมื่อ : 17 พ.ค. 55 00:17:17

ความคิดเห็นที่ 105 บางท่านอาจไม่เห็นในสาระจากปัญหาการใช้เงินมหาศาลจากแหล่งอื่นมาใช้จ่ายอย่างเกินจริงในวงการฟุตบอลของทีมเศรษฐีทั้งหลาย แต่ยูฟ่าเห็นครับ การที่มีทีมทำแบบนั้น มันทำให้โครงสร้างค่าเหนื่อยและราคาซื้อขายนักเตะมันกระทบทั้งระบบ จนเกิดการจ่ายค่าจ้างและค่าตัวนักเตะที่สูงเกินไป ทีมอื่นๆ ต้องการจะรักษานักเตะไว้ ก็ต้องฝืนขึ้นค่าเหนื่อยสู้กันทีมที่มีเงินจากธุรกิจอื่นหนุ่น ถ้าไม่ทำก็เสียนักเตะฝีเท้าดี ทำก็ขาดทุน ปัญหาคือทีมทั่วไปจะฝืนขาดทุนได้นานเท่าไหร่ บาซ่าได้แชมป์มากมาย แต่เลือกประธานคนใหม่เสร็จก็พบว่า ประธานคนเดิมตกแต่งบัญชี สางบัญชีเสร็จผลก็คือขาดทุน เมื่อค่าเหนื่อย ค่าตัวนักเตะที่แพงขึ้นมหาศาล ทำให้ทีมที่ประสบความสำเร็จที่สุด มีรายได้เป้นอันดับ 2 ยังขาดทุน  มันก็บ่องบอกชัดเจนแล้วว่าที่เป็นอยู่ ทีมฟุตบอลทั่วไปแทบรับไม่ไหวแล้ว อนาคตต่อไป ถ้าไม่ไหว ก็ต้องหาทางเพิ่มรายได้ ขึ้นค่าตั๋ว ขึ้นค่าเสื้อ ของที่ระลึก ไม่พอก็ขึ้นค่าลิขสิทธิ์ มันก็มาลงกับแฟนบอล ซึ่งก็มีทีมที่มีศักยภาพจะทำแบบที่ว่าได้ในตอนนี้ก็มีไม่กี่ทีม แต่ใช่ว่าทำแล้วจะสำเร็จ เพราะเศรษฐีเหล่านี้มีเงินระดับที่พร้อมจะจ่ายเงินค่าจ้างเพิ่มขึ้นไปอีกเพื่อให้ได้นักเตะที่ต้องการ ซึ่งมันก็คล้ายเอาเปรียบทีมอื่นกลายๆ เพราะไม่ว่าทีมอื่นที่ไม่ได้มีเจ้าของรวย จะทำทีมดีแค่ไหนก็ไม่มีทางจ่ายเงินระดับนี้ได้ สุดท้ายก็คงไปลงเอยที่ เหลือทีมใหญ่ผูกขาดนักเตะเก่งๆ เป้นยอดทีมไม่กี่ทีม นักเตะเก่งทั้งตัวจริง ตัวสำรอง  ที่มไหนไม่มีโครตเศรษฐีมาซื้อก็กลายเป็นไม่ประดับ แล้วบอลมันจะสนุกมั้ยครับ การทำแบบนี้มันมีโอกาสทำลายวงการฟุตบอลโดยรวม ทีมที่มีเงินในอดีตที่ผ่านมา เค้าก็หามาจากการบริหารทีมที่ดีมาเป้นเวลายาวนาน มีแฟนมาก รายได้มาก ทีมขนาดเล็ก เล่นดีก็มีโอกาสกลายเป็นทีมขนาดกลาง ทีมขนาดกลาง บริหารดี ก็มีโอกาสมีเงิน มีแฟนบอลเพิ่ม กลายเป็นทีมใหญ่ขึ้นมาซึ่งต้องใช้เวลา แต่ก็มีโอกาส ทีมเศรษฐีใหม่จะทำให้ทีมโตเร็ว ทุ่มเงิน ผมก็ว่าดี จะได้มีทีมใหญ่ๆ เก่งๆ เพิ่มขึ้นมาแข่งกัน แต่มันต้องมีระดับควบคุมครับ จะได้ไม่ไปบิดเบือนโครงสร้างจนลำบากไปทั่ว ยูฟ่า ถึงให้ขาดทุนได้สามปีไม่เกิน 40 ล้าน   ค่อยๆสร้างจากทีมเล็ก มากลาง มาใหญ่ บริหารงานในส่วนที่เป็นธุรกิจฟุตบอล ขยายฐานแฟนบอล สร้างระบบทีมเยาวชนคู่กันไปด้วย มันถึงจะเกิดประโยชน์กับวงการโดยรวมครับ บริหารให้ทีมอยู่ได้ด้วยทีมเอง ไม่ใช่ใช้เท่าไหร่ก็ใช้ไป เดี๋ยวเอาที่อื่นมาโปะให้ ซึ่งหวังว่า financial fair ply นี้ จะทำให้ค่าจ้างนักเตะค่อยๆ ลดลงมาเรื่อยๆ ในอนาคต ถ้าฝันจะเป้นจริง ค่าเหนื่อยทีมใหญ่ กับค่าเหนื่อยสูงสุดที่ทีมเล็กจะจ่ายได้เพื่อรั้งสตาร์ของทีมไว้จะไม่ต่างกันมาก  จะได้มีนักเตะที่เลือกจะอยุ่เป้นตำนานของทีมมากกว่าย้ายไปเล่นทีมใหญ่แบบ เลอร์ทิสซิเอ ทีมเล็กก็มีสตาร์ประจำทีมเหมือนเมื่อก่อน บอลจะได้แข่งกันสนุกมากขึ้นครับ ปล.ที่ว่ามาทั้งหมด ไม่ได้เกี่ยวกับว่าใช้เงินมากแล้วเป็นแชมป์ทีมนั้นมันไม่เจ๋ง ไม่น่าดีใจแต่อย่างใด แมนซิตี้เป็นทีมที่ดีกว่าในปีนี้แน่นอน สมควรเป็นแชมป์ และ ถ้าแมนยูใช้นโยบายซื้อดาวรุ่งแล้วเป็นแชมป์ ก็ไม่ได้หมายความว่าวิธีนี้มันดีกว่าแต่อย่างใด มันก็แค่วิธีการสร้างทีมเป็นแชมป์ที่ต่างกัน จะทางไหนก็คือทีมเล่นเก่ง เป็นแชมป์เหมือนกัน ปล. ถ้าเอาเงินเหมือง มาเปิดร้านข้าว ขายไม่สนใจว่าจะขาดทุนเท่าไหร่ ถ้าผมจำไม่ผิดจะติดคุกข้อหาทุ่มตลาดครับ :) คุ้นๆ มาจากตอนมีคนไปฟ้องให้ตรวจว่าพวกห้างใหญ่ขายของ่ตำกว่าทุนรึเปล่า ไม่ใช่มีเงินแล้วจะเอามาทำธุรกิจแบบขายขาดทุนเล่นๆ ได้นะคร้าบ คนอื่นเค้าเดือดร้อน จากคุณ : arctan45 เขียนเมื่อ : 17 พ.ค. 55 00:17:39

ความคิดเห็นที่ 106 ขอบคุณคุณ KFC และ คุณ arctan45 มากครับ คห.ของคุณทั้ง 2 มีสาระและมีเหตุผลมากกว่าของผมเยอะ เพียงแต่ post ดึกไปหน่อย และไม่ใช่ข้อความในกระทู้ด้วย  คงไม่มีแฟนบอลท่านอื่นมากนัก ที่จะอ่านคห.ของท่านทั้ง 2 เพื่อเป็นประโยชน์ต่อตัวเองและห้องศุภชลาศัย (ทั้งฟุตบอลไทย, ต่างประเทศ และกลุ่มย่อยอื่นๆ) ก็ขอขอบคุณอีกทีครับ จากคุณ : จขกท (เลขาลิขิต) เขียนเมื่อ : 17 พ.ค. 55 00:29:55

ความคิดเห็นที่ 107 คือ จริงๆ มันก็ค่อนข้างซับซ้อนอยู่ฮะคุณเลขาฯ ข้าเจ้าอ่านตอนคุณตั้งกระทู้ใหม่ๆ แล้วกับข้อมูลที่คุณยกมาแล้วรีบสรุปความเลยข้าเจ้าก็อดเป็นห่วงไม่ได้ว่า "งานเข้าคุณแน่ๆ" ... แล้วก็เป็นจริงๆ ...ประเด็นเรื่องการใช้เงินในการบริหารทรัพย์สินทางธุรกิจแบบนี้มันต้องแยกออกจากกีฬาฮะ ...แต่ห้องนี้มันห้องกีฬา น้อยคนที่จะมองแยกแยะประสาทควบคู่กันได้ ...มันยากเกินความสุนทรีย์ในการเสพย์เกมกีฬาฮะ ... แต่ถ้าเิริ่ีมแล้ว ก็ไม่อยากเห็นการถกกันแบบไร้ทิศทาง เต็มไปด้วยการกระแนะกระแหน หรือยกเมฆสุ่มๆ คำพูดมาคัดง้่างให้เกิดการผิดใจกันเปล่า ...ยิ่งห้องนี้มันมีพวกบ่างช่างยุ ขาเกรียนที่ชอบสนุกเมื่อได้เห็นคนเค้าทะเลาะแตกแยกกันคอยแอบหยอดยาพิษด้วย ...ต้องระวังฮะ จากตารางปี 2009 เราจะเห็นอะไรที่เริ่มเพิ่มเข้ามา ... เห็นมั้ยฮะ .... "UEFA guidelines suggest a limit of 70% wages/turnover ratio." ...นี่เป็นข้อความที่เป็นดัชนีที่ทางยูฟ่าเริ่มให้เป็นข้อสังเกตเชิงกรอบนำ ก่อนที่จะเริ่มกลายเป็นกฎ เค้าจะมีดัชนีที่เป็นสัดส่วนบังคับออกมาโดนโฟกัสไปที่รายจ่ายที่เป็นกิจกรรมสโมสร ... ทำไมต้องเป็น Wages ...? เพราะมันเป็นปลายทางของรายจ่ายที่เป็นผลกระทบโดยตรงไงฮะ ...เค้ามองว่าเพราะมันเป็นการจ้างงาน มันเป็นพื้นฐานของการเป็นทีมฟุตบอล ต่อให้ไม่มี Stadium เป็นของตัวเอง แต่ตราบใดที่คุณยังมีบุคลากรทำงานได้ กิจกรรมของสโมสรก็ยังสามารถเดินหน้าต่อไปได้ ...ทีนี้ที่ไม่นับเอาหนี้จากการกู้ยืมมาเป็นดัชนีชี้วัดด้วย เพราะมันเป็นวิธีหนึ่งในการบริหารทางธุรกิจที่เป็นเอกสิทธิ์ส่วนนิติบุคคลที่ยูฟ่าเองไม่มีสิทธิ์เข้าไปยุ่มย่าม ...ตราบใดที่คุณยังมีเงินจ้างบุคลากรให้ทำกิจกรรม ต่อให้คุณค้าอาวุธสงคราม (แต่ถ้าค้ายาเสพติดเนี่ยข้าเจ้าก็นึกไม่ออกเหมือนกันนะว่าจะได้หรือเปล่า เพราะในแถบยุโรปบางพื้นที่ ยาเสพติดบางอย่างมันจัดอยู่ในการควบคุมไม่ถึงกับต้องห้าม) เอาเงินจากตรงนั้นมาสร้างทีมก็ไม่ผิด ...แต่ถ้าคุณค้างค่าจ้างบุคลากร .. อันนี้เป็นเรื่อง... เค้าจึงกำหนดดัชนี้คร่าวๆ ให้เริ่มปรับตัวอยู่ที่ 70% ...คือ สัดส่วนรายจ่ายด้านเงินเดือนหรือค่าจ้างเมื่อเทียบกับรายได้ไม่ควรเกิน 70% ...แน่หละ เค้าคงไม่อยากเห็นค่าใช้จ่าบไปเท่ากับรายได้ เพราะถ้าแค่จ่ายค่าเหนื่อยนักเตะแล้วเกลี้ยงเลย ส่วนอื่นๆ ของสโมสรมันจะโตได้ยังไง ...เค้าจึงเผื่อ gap ตรงนี้ไว้ด้วย 30% แสดงว่าเค้าให้ความสำคัญส่วนที่นอกเหนือจากคนไม่ต่ำกว่า 30% (รายจ่ายคนไม่ควรเกิน 70% ของรายได้ แต่ไม่จำกัดขนาดสโมสรในส่วนอื่นๆ) ...ส่วนหนี้จากการกู้ยืมเนี่ย ยังไงถ้าสโมสร หรือเจ้าของทีม หรือผู้ถือหุ้นใหญ่เกิดจัดการไม่ได้ มันก็จะส่งผลมาที่การจ่ายเงินพนักงานเอง ...ดังนั้นเค้าจึงเลือกไปจับตัวชี้วัดที่ค่าจ้างเป็นปลายทาง เท่ากับ "เค้าให้อิสระในการบริหารหรือหาเงินมาสู่ทีม" อยู่ในระดับหนึ่งเลยทีเดียว ... ตรงนี้แหละที่ข้าเจ้าเป็นห่วงว่าตราบใดที่กฎใหม่ยูฟ่ามันยังไม่ชัดเจนออกมาหรือยังไม่มีการบังคับใช้จริงๆ เค้าจะเน้นกรอบตรงนี้เป็นหลักก่อน ....ตรงนี้เองที่ยังเป็นปัญหาที่ยูฟ่าอาจจะกำลังปวดหัวไม่สามารถเข้าไปกะเกณฑ์ในส่วนวิธีการได้มาของรายได้ ...จึงได้แต่พยายามร่างกฎข้อบังคับโดยยึด Wages เป็นศูนย์กลาง ...นั่นคือ ไม่ว่าสโมสรจะอัดเงินมาด้วยวิธีไหน สิ่งที่ดีที่สุดเพื่อไม่ให้กระทบต่อค่าใช้จ่ายของบุคลากรมันควรจะต้องให้สโมสรมีศักยภาพในการบริหารรายได้ด้วยตัวเอง ...ตรงนี้ข้าเจ้าไม่ได้ไปแกะกรอบตรงนี้ออกมาเพราะกฎที่ว่ามันยังไม่ได้ถูกประกาศใช้ ยูฟ่าทิ้งแค่กรอบตรงนี้เป็นจุดเริ่มไว้ ถ้าท่านใดสามารถหาแหล่งยืนยันกฎข้อบังคับกับรายละเอียดในส่วนที่เหลือเกี่ยวกับข้อบังคับที่มาของรายได้ได้ รบกวนแชร์เพื่อเป็นวิทยาทานด้วยนะฮะ ... อันนี้เป็นตารางล่าสุดที่เค้าทำ คือปี 2010 ...คาดว่าของปี 2011 เดี๋ยวก็คงออกมาเร็วๆ นี้แหละ จากคุณ : _K_F_C_ เขียนเมื่อ : 17 พ.ค. 55 00:43:33

ความคิดเห็นที่ 108 สังเกตให้ดีๆ นะฮะ ...ซิตี้ในปี 2010 มีการกู้แค่ 41 ล้านปอนด์ ตรงนี้แหละที่ข้าเจ้าว่ามันเป็นการกู้ยืมที่เกิดจากตัวสโมสรเองเหมือนๆ กับทีมอื่นๆ ซึ่งมันจะขัดกับตัวเลขเงินที่เราทราบๆ กันดีว่าทางอาบูดาบีอัดเข้ามาเท่าไหร่ ... ดูให้ดีๆ นะฮะ ...เมื่อเทียบกับค่าเหนื่อยแล้ว ซิตี้มีระดับของสัดส่วนค่าเหนื่อยกับรายได้ที่บ้าคลั่งตัวแดงมาก ...ตรงนี้แหละฮะที่เป็นประเด็นที่ทางยูฟ่าเล็งเป็นความเสี่ยงของทางสโมสร เพราะผลกระทบจากที่มาของรายได้ สโมสรกู้เองยังแค่ 41 ล้านฯ แต่รายจ่ายบุคลากรมันไปถึง 133 ล้านฯ มันเลยดูตลกๆ ไปนิดถ้ามองแค่สโมสร มันกลายเป็นสโมสรกำลังแขวนอยู่กับเส้นด้ายนอกสโมสร ....บางท่านอาจจะมองว่า แมนฯ ยูฯ มันก็เหมือนกันตรงที่เงินที่เข้ามาก็มาจากการทุ่มเข้ามาจากภายนอก ... แต่สังเกตมั้ยฮะ สัดส่วนรายจ่ายบุคลากรกับรายได้สโมสรมันกลับอยู่ในเกณฑ์ของยูฟ่า ... อ้าว ..! แล้วหนี้จากการกู้ยืมที่เป็นตัวดงหละ ... มันก็ไปอยู่กับบริษัทนอมีนีไงฮะ ..ทางเกลเซอร์เค้าตั้งบริษัทเข้ามาเทคหนี้ตรงนี้ แยกความเสี่ยงทางการเงินจากการลงทุนออกจากหัวข้อการลงทุนของสโมสร ...แต่ก็ต้องยอมรับว่าด้วยการสั่งสมบารมีที่มีมาก่อนหน้านี้ ตัวสโมสร แมนฯ ยูฯ เองก็มีความสามารถในการบริหารรายได้ดีอยู่แล้ว ไม่ว่าจะมูลค่าในตลาดหลักทรัพย์ มูลค่าทางการตลาด กิจการขายสินค้า ...ซึ่งตรงนี้เป็นสิ่งที่ทางอาบูดาบีกรุ๊ปคงกำลังพยายามสร้างให้เกิดกับสโมสรตัวเองให้ทันก่อนการประกาศใช้กฎของยูฟ่า ...เพราะท่าประกาศแล้วดัชนีคุณยังมีปัญหาไม่ผ่านเกณฑ์อยู่ ต่อให้รวยแค่ไหนยูฟ่าก็ไม่นับฮะ เค้าจะดูที่ความสามารถในการหารายได้ที่เป็นตัวเลขจากทางสโมสรเท่านั้น ทุกอย่างมันถึงต้องเกิดการทุ่มสะบั้นเพื่อกรุยทางแชมป์ให้เร็วที่สุด เพื่อสร้างเครดิตและมูลค่าทางการตลาดให้ขึ้นสูงให้เร็วที่สุด... จริงๆ รายละเอียดของเทคนิคการใช้ตัวแทนเข้ามาถือครองสิทธิ์บริหาร และเทคนิคการเล่นแร่แปรธาตุตรงนี้มันลึกซึ้งพอดู ...ข้าเจ้าเองก็ไม่ได้เอกทางบริหารธุรกิจฟุตบอลซะด้วย ...มันน่าสนใจมากสำหรับคนที่อยากศึกษา โดยเฉพาะพวกทำ Thesis เนี่ย หรือจะมองเป็นหนังเรื่องหนึ่งยังได้เลย ...มันมากไม่แพ้หนังบู๊การเงินอย่าง Wall street ด้วยซ้ำ... จากคุณ : _K_F_C_ เขียนเมื่อ : 17 พ.ค. 55 01:01:51

ความคิดเห็นที่ 109 โอ๊ะ.. ไปกันใหญ่ ดูท่าจะว่ากันยืดเยื้อออกไปถึงวิชาการธุรกิจบัณฑิตย์ปี 4 โน่น คือง่ายๆสั้นๆดีกว่าครับ ประเด็นกระทู้นี้คืออะไร จะบอก จะเสนอ จะพูด หรือจะกล่าวหาอะไร ? ถ้าเจ้าของกระทู้บอกว่า 1. ประเด็นสำคัญ คือ อย่าเอาเงินกู้หรือเงินของเจ้าของสโมสร มาใช้ให้เป็นภาระคนเชียร์ ผมก็ตอบว่า ในฐานะคนเชียร์ ผมไม่เคยจะเดือดร้อนเลย ไม่ต้องมาห่วงทีมผม เพราะทีมผมไม่มีปัญหานี้ ไม่มีปัญหาว่ากลุ่มทุนอาหรับจะมาสร้างภาระให้กองเชียร์ทีมผมแต่อย่างใด ไม่ต้องมาห่วงแทน ส่วนถ้าทีมคุณมีปัญหานี้ ก็เชิญห่วงกันไปในคลับของคุณซิครับ จะออกมาพูดเพื่ออะไร 2. อย่าเอาเปรียบสโมสรอื่น ซึ่งผมก็คงตอบว่า ทีมแมนซิทำตามกติกาพรีเมียร์ลีกนะครับ ได้แชมป์ก็ตามกติกาที่วางไว้ทุกประการ ได้แชมป์ก็จึงมีสิทธิ "ภูมิใจ" และไม่ได้คิดว่าเรา "เอาเปรียบ" ใครในกติกาของพรีเมียร์ลีก ถ้าเราเอาเปรียบ และกติกาไม่ให้เราเอาเปรียบ ก็ยืดถ้วยคืนไปเลยครับ แต่ถ้าเราทำตามกติกา พรีเมียร์ลีกยอมรับ ยอมให้ถ้วย มันไม่น่าภูมิใจ มันเอาเปรียบอะไรใครตรงไหน ก็อยู่ในกติกาเดียวกัน ก็ใช้กติกาเดียวกัน ดังนั้นถ้าใครหน้าไหนมาว่าเราเอาเปรียบ คุณใช้กฏเกณท์กติกาของใครครับ ของพรีเมียร์ลีก หรือกติกาตามใจฉันของคุณเอง เพื่อดิสเครดิตทีมอื่น ? เริ่มตั้งแต่ ทีมฉันสร้างเด็กเอง ถูกกติกา ทีมคุณใช้เงิน ผิดกติกา เอาเปรียบ ไม่น่าภูมิใจ พอข้อมูลออกมาว่า ทีมคุณก็ใช้เงินนี่นา ก็จะมีกติกาตามใจฉันออกใหม่ว่า ทีมฉันใช้เงินน้อย ทีมคุณใช้เงินมาก เอาเปรียบ ผิดกติกา ไม่น่าภูมิใจ พอข้อมูลออกมาว่า ทีมคุณก็ใช้เงินมากเหมือนกันนี่นา ก็จะมีกติกาตามใจฉันออกมาว่า ทีมฉันใช้เงินมากแต่ก็ในระบบ ทีมคุณใช้เงินนอกระบบ ผิดกติกา ไม่น่าภูมิใจ และก็คงจะหาประเด็นไปเรื่อยๆ เพื่อจะพูดว่้าเอาเปรียบ ไม่น่าภูมิใจ งั้นหรือครับ ? ถามว่านั่นมันกติกาของใครครับ กฏของใคร กติกาของใคร พูดมาเพื่อไร มันเป็นกฏกติกาของพรีเมียร์ลีก หรือของตัวคุณเองสุดจะสรรมา ? ถ้าทีมผิดกติกาพรีัเมียร์ลีก ยึดถ้วยคืนไปซิครับ เอาคืนไปทันทีเลย แต่ถ้าเราไม่ผิด ผิดที่กติกาของตัวคุณ พวกคุณ ที่สร้างกันขึ้นมาเอง ก็ต้องถามว่านี่มันอะไรครับ เพื่ออะไร... ตอบได้ไหมครับ... เป็นเรื่องของผู้แพ้ ที่ไม่อยากแพ้ ก็พยายามดิสเครดิต หาประเด็นมากล่าวหาผู้ชนะ ว่าผิดกติกาที่ตั้งมาเองจากผู้แพ้ ? หรืออย่างไร ? ตกลงจะบอก จะพูด จะกล่าวหาอะไรกันหรือครับท่าน ? คิดทบทวนให้ดีนะครับ . จากคุณ : ผีกรุแตก เขียนเมื่อ : 17 พ.ค. 55 01:08:30

ความคิดเห็นที่ 110 คุณ KFC ครับ  คห.107 นั้น ยอมรับว่าผมพลาดในการตั้งกระทู้จริงๆ ส่วนคห.102, 104, 107, 108 นั้น ประเด็นที่คุณ post มา มันซับซ้อนจริงๆ   ผมว่า ต่อให้ผมเอาข้อมูลคุณไป post เป็นกระทู้ ก็จะโดน log in ส่วนใหญ่ ที่ไม่ได้เรียนด้านบริหารธุรกิจมาสักเท่าไหร่  post กระทบกระเทียบว่า แถก หรือ ตอบไม่ตรงข้อความในกระทู้ ก็ขอขอบคุณมากๆ ครับ สำหรับข้อมูลที่เป็นประโยชน์ และชวนให้คิดหาเหตุผลมาสนับสนุน หรือ โต้แย้ง จากคุณ : จขกท (เลขาลิขิต) เขียนเมื่อ : 17 พ.ค. 55 01:15:41

ความคิดเห็นที่ 111 เท่าที่ดูข่าว FA เค้าออกมาบอกแล้วว่าไม่ขวางการสร้างทีมของแมนซิตี้ ทำไมถึงไม่ขวาง ก็คงต้องไปถาม รายละเอียดจาก FAละครับ   สำหรับยูฟ่าเดี๋ยวเค้าก็คุยกันเองละครับ แต่ที่ยกมานี่ Limit 70% wages/Turnover เท่ากับช่วยทีมใหญ่ให้ใหญ่ต่อไป นะครับ อย่างนี้ถึงจะเรียกว่า Fair ชั่ยมั้ยครับ 555+ จากคุณ : หนุ่มบางปะกง เขียนเมื่อ : 17 พ.ค. 55 01:26:48

ความคิดเห็นที่ 112 คห.109 คุณผีกรุแตกครับ แน่นอนหล่ะว่า แมนซิตี้ได้แชมป์โดยไม่ผิดกฏระเบียบอะไรเลย แต่นอกจากกฏระเบียบของ EPL และ UEFA แล้ว มันมีจริยธรรม หรือ ความเหมาะสม หรือ ผลกระทบต่อวงการฟุตบอลโดยรวมด้วยนะครับ ขอลอกคห.105 ของคุณ arctan45 มา post นะครับ (ผมอธิบายได้ไม่ดีเท่า) : การที่มีทีมใช้เงินมหาศาลจากแหล่งอื่นมาใช้จ่ายอย่างเกินจริงในวงการฟุตบอลของทีมเศรษฐีทั้งหลาย  มันทำให้โครงสร้างค่าเหนื่อยและราคาซื้อขายนักเตะมันกระทบทั้งระบบ จนเกิดการจ่ายค่าจ้างและค่าตัวนักเตะที่สูงเกิน ทีมอื่นๆ ต้องการจะรักษานักเตะไว้ ก็ต้องฝืนขึ้นค่าเหนื่อยสู้กันทีมที่มีเงินจากธุรกิจอื่นหนุ่น ถ้าไม่ทำก็เสียนักเตะฝีเท้าดี ทำก็ขาดทุน ปัญหาคือทีมทั่วไปจะฝืนขาดทุนได้นานเท่าไหร่ บาซ่าได้แชมป์มากมาย แต่เลือกประธานคนใหม่เสร็จก็พบว่า ประธานคนเดิมตกแต่งบัญชี สางบัญชีเสร็จผลก็คือขาดทุน เมื่อค่าเหนื่อย ค่าตัวนักเตะที่แพงขึ้นมหาศาล ทำให้ทีมที่ประสบความสำเร็จที่สุด มีรายได้เป้นอันดับ 2 ยังขาดทุน  มันก็บ่องบอกชัดเจนแล้วว่าที่เป็นอยู่ ทีมฟุตบอลทั่วไปแทบรับไม่ไหวแล้ว อนาคตต่อไป ถ้าไม่ไหว ก็ต้องหาทางเพิ่มรายได้ ขึ้นค่าตั๋ว ขึ้นค่าเสื้อ ของที่ระลึก ไม่พอก็ขึ้นค่าลิขสิทธิ์ มันก็มาลงกับแฟนบอล ซึ่งก็มีทีมที่มีศักยภาพจะทำแบบที่ว่าได้ในตอนนี้ก็มีไม่กี่ทีม แต่ใช่ว่าทำแล้วจะสำเร็จ เพราะเศรษฐีเหล่านี้มีเงินระดับที่พร้อมจะจ่ายเงินค่าจ้างเพิ่มขึ้นไปอีกเพื่อให้ได้นักเตะที่ต้องการ ซึ่งมันก็คล้ายเอาเปรียบทีมอื่นกลายๆ เพราะไม่ว่าทีมอื่นที่ไม่ได้มีเจ้าของรวย จะทำทีมดีแค่ไหนก็ไม่มีทางจ่ายเงินระดับนี้ได้ สุดท้ายก็คงไปลงเอยที่ เหลือทีมใหญ่ผูกขาดนักเตะเก่งๆ เป้นยอดทีมไม่กี่ทีม นักเตะเก่งทั้งตัวจริง ตัวสำรอง  ที่มไหนไม่มีโครตเศรษฐีมาซื้อก็กลายเป็นไม่ประดับ แล้วบอลมันจะสนุกมั้ยครับ การทำแบบนี้มันมีโอกาสทำลายวงการฟุตบอลโดยรวม ทีมที่มีเงินในอดีตที่ผ่านมา เค้าก็หามาจากการบริหารทีมที่ดีมาเป้นเวลายาวนาน มีแฟนมาก รายได้มาก ทีมขนาดเล็ก เล่นดีก็มีโอกาสกลายเป็นทีมขนาดกลาง ทีมขนาดกลาง บริหารดี ก็มีโอกาสมีเงิน มีแฟนบอลเพิ่ม กลายเป็นทีมใหญ่ขึ้นมาซึ่งต้องใช้เวลา แต่ก็มีโอกาส ทีมเศรษฐีใหม่จะทำให้ทีมโตเร็ว ทุ่มเงิน ผมก็ว่าดี จะได้มีทีมใหญ่ๆ เก่งๆ เพิ่มขึ้นมาแข่งกัน แต่มันต้องมีระดับควบคุมครับ จะได้ไม่ไปบิดเบือนโครงสร้างจนลำบากไปทั่ว ยูฟ่า ถึงให้ขาดทุนได้สามปีไม่เกิน 40 ล้าน   ค่อยๆสร้างจากทีมเล็ก มากลาง มาใหญ่ บริหารงานในส่วนที่เป็นธุรกิจฟุตบอล ขยายฐานแฟนบอล สร้างระบบทีมเยาวชนคู่กันไปด้วย มันถึงจะเกิดประโยชน์กับวงการโดยรวมครับ บริหารให้ทีมอยู่ได้ด้วยทีมเอง ไม่ใช่ใช้เท่าไหร่ก็ใช้ไป เดี๋ยวเอาที่อื่นมาโปะให้ นี่แหล่ะที่ผมบอกว่า เป็นการใช้เงินที่เป็นการทำลายวงการฟุตบอลโดยรวม  ไม่เช่นนั้น ประเทศต่างๆ คงไม่ออกกฏหมายห้ามการทุ่มตลาด (ขายขาดทุน (เอาเงินจากเจ้าของหรือกู้ยืมสูงๆ) โดยหวังผลว่า คู่แข่งจะล่มจม ตัวเองจะประสพความสำเร็จมากๆ และรายได้เยอะภายหลัง) และยูฟ่าคงจะไม่ออกกฏ financial fair play ออกมา -------------------------------------------------------------------------------------------------------------- คห.111 คุณ หนุ่มบางปะกง ครับ เรื่อง financial fair play เราคงต้องรอดูกันต่อไป ว่า จะใช้บังคับจริงได้หรือเปล่า ? แต่ถ้าให้สโมสรทั่วยุโรปโหวตกัน ก็คง "ผ่าน" ส่วน Limit 70% wages/Turnover ก็เป็นความพยายามการออกกฏ จากเหตุผลที่ยูฟ่าพอจะคิดได้  แล้วถ้ามันยังใช้ไม่ได้ดี ก็ต้องมาปรับปรุงกันในภายหลัง แก้ไขเมื่อ 17 พ.ค. 55 01:33:46 แก้ไขเมื่อ 17 พ.ค. 55 01:32:15 จากคุณ : จขกท (เลขาลิขิต) เขียนเมื่อ : 17 พ.ค. 55 01:27:38

ความคิดเห็นที่ 113 จขกท ดูก่อนครับว่าแมนยูมีความสามารถซื้อนักเตะเพิ่มจากที่มีอยู่มั้ย มีความสามารถจ่ายค่าเหนื่อยมั้ย ถ้ามีทำไมไม่ซื้อ ทำไมไม่จ่าย   ไม่จ่ายเพราะมันถูกจริยธรรมรึครับ จากคุณ : หนุ่มบางปะกง เขียนเมื่อ : 17 พ.ค. 55 01:37:09

ความคิดเห็นที่ 114 คห.113 อย่างไงซะบริษัทแมนยูฯ ก็ไม่ได้มีการใช้จ่ายเกินรายได้หล่ะครับ และผมเชื่อว่าตราบใดที่ เฟอร์กี้ยังอยู่ ไม่ว่าใครเป็นเจ้าของบริษัทแมนยูฯ เขาก็ไม่ใช้รายจ่ายเกินรายได้แน่ๆ และบริษัทแมนยูฯ ก็ยังมีกำไรอยู่ทุกปีแน่ๆ เช่นกัน อนึ่ง ผมใช้คำว่าจริยธรรมผิดไป ควรใช้คำว่า "ความสมเหตุสมผลทางธุรกิจ" มากกว่า ที่ธุรกิจต้องมองถึง รายรับ รายจ่าย กำไร ขาดทุน ของบริษัทเป็นหลัก  ซึ่งผมมองไม่เห็นถึงจุดนี้ของแมนซิตี้ในระยะสั้นหรือระยะยาวเลย เอาเป็นว่าผมชี้แจงแค่นี้นะครับ นอนหล่ะ จากคุณ : จขกท (เลขาลิขิต) เขียนเมื่อ : 17 พ.ค. 55 01:50:18

ความคิดเห็นที่ 115 อย่าลืมนะครับเฟอกี้ยืนยันว่าทีมนี้ดีพอจะเป็นแชมป์ จึงไม่ซื้อนักเตะเพิ่ม ไม่ใช่จริยธรรมนะครับ ถ้าซื้อนักเตะเพิ่มแล้วได้แชมป์คงไม่มีปัญหานี้   อีกอย่าง ผมไม่เคยเห็นผู้มีจริยธรรมเอาเงินสกปรกมาเผาทำลายสักครั้ง จากคุณ : หนุ่มบางปะกง เขียนเมื่อ : 17 พ.ค. 55 01:50:31

ความคิดเห็นที่ 116 เอ่อ... คุณหนุ่มฯ ... limit นั่นมันเป็นกรอบในการพิจารณาให้แต่ละทีมที่อยากจะสังคายนาในถ้วยยุโรปควรจะมีสัดส่วนค่าใช้จ่ายบุคลากรไม่เกิน 70% ของรายได้ฮะ ... รายได้ ---> เอาไปใช้ - ค่ายใช้จ่ายบุคลากร <= 70% ของรายได้ - บริหาร "สโมสร" (ไม่ใช่ใช้หนี้นะ) >= 30% ของรายได้ ... ขนาดของสโมสรจะใหญ่ไม่ใหญ่ไม่ใช่ประเด็นเท่ากับความสามารถในการประคับประคองจ่ายเงินค้าจ้างคนให้ตรงตามกำหนด ไม่เบี้ยวเงินค่าจ้างฮะ ... ถ้ามันเกิน 70% นั่นเท่ากับว่าหามาได้เท่าไหร่แม่มก็เอาไปจ่ายค่าจ้างหมด แล้วสโมสรในส่วนอื่นมันจะเอาที่ไหนกินเพื่อโตหละ ...กรอบนี้มันสมเหตุสมผลแม้แต่กับทีมขนาดเล็ก (แต่การทดสอบสมมุติฐานแนวรับของตัว % นั้น ข้าเจ้าไม่ทราบ คงต้องไปทำเรื่องต่อคณะกรรมการยูฟ่าเพื่อขอดูสูตรหรือสมการของการทดสอบสมมุติฐานตัวนี้) ...เค้าไม่ได้ออกมาเเพื่อส่งเสริมทีมใหญ่ ...แต่เพื่อให้ทุกทีม "ระวังตัวทางด้านการเงินเพื่อความอยู่รอด" ฮะ คุณผีกรุแตก ...จขกท. เค้าคงแค่ติดใจกับคำพูดที่ว่าซิตี้ใช้จ่ายเงินเยอะ "มากกว่า แมนฯ ยูฯ นิดเดียว แค่ 20 ล้านปอนด์" ...เค้าไม่ได้สงสัยในชัยชนะ หรือสงสัยไม่ยอมรับการได้แชมป์ของซิตี้ฮะ ... ส่วนข้าเจ้ามาเสริมในข้อมูลเพราะเห็นเริ่มมีบางคนเริ่มยกคำพูดลอยๆ กันมากขึ้นเกี่ยวกับรายได้ รายจ่าย ค่าเหนื่อย การกู้ ...เพื่อไม่ให้มันหมางใจกันมั่วๆ ก็เลยเอาตัวเลขมาให้ดูเลยดีกว่า จะได้ถกประเด็นกันอย่างมีกรอบที่ชัดเจนและน่าจะเป็นที่ยอมรับมากกว่าการพูดลอยๆ แล้วไม่จบสิ้นจนนำไปสู่การไปเกรียนกันในกระทู้อื่นๆ ...ทั้งๆ ที่สำหรับ จขกท. คนที่เป็นแฟน แมนฯ ยูฯ เล่นห้องนี้มานาน จะคุ้นเคยกับ log in นี้ดีตั้งแต่กระทู้ TOD เกิดมาใหม่ๆ แล้ว ...เค้าไม่ใช่คนคุยไม่รู้เรื่องฮะ .. ขอออกตัวแทนท่านอื่นๆ เลยฮะ ...แฟน แมนฯ ยูฯ ส่วนใหญ่เห็นเค้าลาง และเริ่มทำใจเรื่องโอกาสโดนซิตี้แย่งแชมป์ได้ตั้งแต่แพ้วีแกนแล้วฮะ ...ยิ่งมาแพ้ซิตี้ซ้ำ 2 แม้แต่ข้าเจ้าเองยังรู้สึกเลยว่าปีนี้ยอมไปก่อนเลย แมนฯ ยูฯ ไม่พร้อมไม่เหมาะกับแชมป์จริงๆ สำหรับฤดูกาลนี้ ... ส่วนเรื่องประเด็นการลงทุนเนี่ย แล้วแต่มุมมองฮะ ...ส่วนตัวจะเห็นต่างจาก จขกท. นิดหน่อยตรงที่ไม่ได้อะไรมากกับการทุ่มเงินเข้ามาในระบบสโมสรของกลุ่มอาบูดาบี เพราะเข้าใจอยู่แล้วว่าทางนั้นคงต้องมองข้ามช็อตไปถึงการรับมือกฎการเงินของทางยูฟ่าแล้ว ...เริ่มนับหนึ่งจริงๆ คงเป็นปีหน้า ตอนนี้ก็ถือว่าซิตี้จับขบวนรถไฟสู่ความสำเร็จทันพอดี เหลือแต่จะเกาะไปให้ถึงโบกี้หน้าได้แค่ไหน อยู่ได้นานมั้ย ...ข้าเจ้ามองแค่วิธีมันต่าง แต่ไม่ได้มองเป็นเรื่องสูงต่ำ (ถ้าไม่ผิดศีลธรรม) อาบูดาบีเน้นเงินจากแหล่งใหญ่จากในส่วนของนิติบุคคลรายเดียว แมนฯ ยูฯ กำลังจะเน้นแหล่งเงินจากตลาดทุนด้วยการเอาไปลงในตลาดหลักทรัพย์ใหญ่เพื่อกระจายความเสี่ยง (ข่าวเกี่ยวกับการจะเอาไปเข้าตลาดหุ้นสิงคโปร์) ...มันก็แค่เทคนิคใครเทคนิคมัน ไม่มีใครผิดถูก แต่วิธีใครจะให้ผลที่เหมาะสมกับทีมตัวเองมากกว่ากันก็อยู่ที่ความพึงพอใจของกองเชียร์ว่ารับกับผลที่ตามมาได้แค่ไหนเท่านั้นเอง จากคุณ : _K_F_C_ เขียนเมื่อ : 17 พ.ค. 55 01:53:12

ความคิดเห็นที่ 117 แต่เพื่อให้ทุกทีม "ระวังตัวทางด้านการเงินเพื่อความอยู่รอด" งั้นก็สบาย  แมนซิตี้ สิครับ แมนซิตี้ โดยเจ้าของคือชีคมันชูคงไม่มีปัญหาความอยู่รอดมั้งครับ จะ Sponsor จนเสื้อทีมกลายเป็นเสื้อ Formula 1 ก็ได้นะครับ ไม่จำเป็นต้องเป็นยี่ห้อในเครือด้วย จากคุณ : หนุ่มบางปะกง เขียนเมื่อ : 17 พ.ค. 55 02:06:52

ความคิดเห็นที่ 118 เอ่อ ...ค่อยๆ อ่านนะฮะ .. เพื่อให้ทุก "ทีม" ...กรอบนี้เพื่อสโมสรฮะ ไม่ใช่เพื่อสวัสดิภาพผู้ลงทุนหรือแหล่งเงินทุนฮะ ...คนละกลุ่มเป้าหมาย คนละกลุ่มสมาชิก ไม่เกี่ยว ... ยูฟ่าไม่สนหรอกฮะว่าเจ้าของจะไปเป็นใหญ่ที่ไหน มีกิจการครอบจักรวาลยังไง เค้าห่วงแค่ทีมสโมสรที่เป็นในสมาชิกยูฟ่า ...ยูฟ่าเค้าไม่สนสถานะภาพความมั่งคั่งชีคอยู่แล้วฮะ เผลอๆ จะมองเป็นตัวกระตุ้นความดังของลีกในตลาดใหม่อย่างตะวันออกกลางด้วยซ้ำ เพียงแต่มันไม่ใช่กรอบการบริหารของยูฟ่าที่จะไปเกี่ยวข้องตรงนั้น เค้าห่วงแค่อยากเห็นสโมสยืนอยู่ด้วยลำแข้งตัวเองฮะ ...ตอนนี้ถ้าถามข้าเจ้าเกี่ยวกับความเห็นในตัวชีคของซิตี้ ข้าเจ้าก็คงหวังว่าที่ชีคแกกำลังให้ซิตี้ ...คือเครื่องมือจับปลาราคาแพง ไม่ใช่ปลาซาดีนสำเร็จรูป ...แต่คงไม่ต้องห่วงละมั้ง ถ้าแฟนซิตี้มองว่าธุระไม่ใช่ หรือกำลังพอใจอยู่แล้ว ...อย่าพึ่งรีบตอบรีบสงสัยฮะ ลองไล่ๆ อ่านความคิดเห็นท่านอื่นๆ ย้อนขึ้นไปซัก 10-20  post ... ข้าเจ้าว่ามีคำอธิบายดีๆ ชัดเจนในระดับนึงอยู่แล้วฮะ ... จากคุณ : _K_F_C_ เขียนเมื่อ : 17 พ.ค. 55 02:17:53

ความคิดเห็นที่ 119 รับทราบครับคุณ _K_F_C_ ผมก็ขอเสริมเหมือนกันว่าผมไม่เถียง ถ้าจะพูดว่าระบบที่เคยเป็น มันอาจจะมีการได้เปรียบเสียเปรียบต่อกัน ซึ่งผมก็บอกแล้ว ขึ้นชื่อว่าสโมสรฟุตบอล ถ้ามันเป็นธุรกิจอย่างหนึ่ง มันก็ไม่แฟร์มาแต่ต้นแล้ว ธุรกิจในระบบทุนนิยมมันแฟร์ซะที่ไหนล่ะ แต่มันไม่แฟร์ที่ตัวระบบ ส่วนคนในระบบ ก็เล่นไปตามกติกาของระบบ เมื่อระบบไม่แฟร์ จะโทษระบบ จะแก้ระบบ ผมก็ยังไม่แย้งไม่ค้าน เหมือนคนเราเกิดมาตัวเตี้ยกว่า จะไปเล่นวอลเลย์บอล มันย่อมเสียเปรียบคนสูงกว่าวันยังค่ำ ผมยังอยากให้วอลเลย์บอล แก้ไขกติกา แบ่งเป็นแข่งขันตามระดับความสูง อย่างกีฬายกน้ำหนักด้วยซ้ำ แต่ประเด็นของผมคือ ทีมชาติไทย ชาติพันธ์เราเสียเปรียบส่วนสูงเฉลี่ยสู้ฝรั่งเขาไม่ได้ หากไปแข่งชนะ เราภูมิใจโครต แต่ถ้าเราแพ้ เราจะไปพูดว่า เอร๊ย... ทีมคุณมันคัดเอาคนตัวสูงกว่าเรามาทั้งนั้นนี่นา "เอาเปรียบ" นิหว่า คุณชนะนี่ภูมิใจเหรอ ทำไมคุณไม่เอาคนตัวสูงเฉลี่ยพอๆกับทีมฉันมาแข่ง ตรงนี้ต่างหาก ที่ผมว่า แพ้แล้วชวนวิวาทะ ทีมวอลเลย์บอลเรา ถ้าแพ้อเมริกา บราซิล ฯลฯ ที่ชาติพันธ์เขาโดยเฉลี่ยตัวสูงกว่าเรานี่ ถ้าเขามีทั้งมีฝีมือ และก็ได้เปรียบตรงตัวสูงกว่า โอกาสเขาก็มีมากกว่า ซึ่งถ้าเขาชนะ เราก็ต้องปรบมือให้ ยอมรับ เพราะ "อยู่ในกติกาเดียวกัน" ครับ เราเสียเปรียบ "ใช่" ไม่เถียง เขาได้เปรียบ "ใช่" ไม่เถียง แต่เมื่อใดเราแพ้เขา แล้วจะไปว่าทีมอเมริกา "เอาเปรียบ" ทีมเรา ตรงนี้ต่างหาก ที่ผมว่า "ไม่ใช่ครับ" ตรงนี้ต่างหากครับ ที่เป็นประเด็นที่ผมอยากชี้ แมนซิได้เปรียบไหม ถ้าจะมีกลุ่มทุนที่แข็งแรงเข้ามาเป็นเจ้าของ ก็ต้องตอบว่า "ใช่" เป็นความได้เปรียบ ได้เปรียบ แต่ไม่ใช่ "เอาเปรียบ" เพราะเราอยู่ใต้กติกาเดียวกัน จะโ่ทษระบบ จะปรับปรุงระบบ ก็ปรับปรุงไป แต่เมื่อใดข้ามจากระบบ มาพยายามดิสเครดิตใส่ทีมในระบบ สภาพมันก็เหมือนทีมวอลเล่ตัวเตี้ย แพ้แล้วพยายามชวนคุยเรื่องความสูง คุยเรื่องการ "เอาเปรียบ" แต่อาจลืมไปเรื่อง "น้ำใจนักกีฬา" ก็คุณแพ้ในกติกา แพ้ในเกมแล้วนะครับ ปรบมือให้ผู้ชนะ ผมว่าสวยงามกว่ามาเปรยว่า แหม.. ทีมคุณตัวสูงจัง ผมว่ามันน่ะละอายน่ะครับ นี่ไม่ได้หมายถึงคุณนะ แต่ผมหมายถึงคนอื่นบางคนที่อาจพยายามลากให้ไปในแนวนั้น เหมือนนักเรียนสอบได้ที่ 2 นั่นแหละครับ ปรบมือให้คนได้ที่ 1 สวงยงามกว่าจะมาถามว่าพ่อเธอรวยไหม ใช้เงินจากไหนมาจ้างครูสอนพิเศษ เป็นเงินในครอบครัวหรือเงินคุณปู่ ฯลฯ จากคุณ : ผีกรุแตก เขียนเมื่อ : 17 พ.ค. 55 02:24:10

ความคิดเห็นที่ 120 แฟนผีนี่เป็นผู้แพ้ที่เลวจริงๆ ทั้งหัวหงอก เกรียน อ้างโน่นอ้างนี่ไม่ต่างไรกับนักการเมืองแย่ๆของไทยเลย เหมือนข้างบนบอกเป๊ะ สอบได้ที่สองแต่อ้างว่าที่หนึ่งเขามีเงินจ้างครูพิเศษสอน บลาๆๆ จากคุณ : RockCafe เขียนเมื่อ : 17 พ.ค. 55 07:36:22

ความคิดเห็นที่ 121 แฟนแมน ยู แมร่งตลกปัญญาอ่อนดีวะ เวลาแพ้ว่าว ต้องไปยกเหตุผลทั้งกรุงลงกามาแถ ตลกดีวะ แถมว่างมาก ไม่มีอะไรทำ จากใจแฟนซิตี้ ทีมตรูแชมป์วะ จากคุณ : still solo one เขียนเมื่อ : 17 พ.ค. 55 08:29:07

ความคิดเห็นที่ 122 เอาตัวเลขมาชี้แจงแล้วไง ก็ตัวเองขายทีมให้ปลิงมะกันเองนิ จากคุณ : Elef เขียนเมื่อ : 17 พ.ค. 55 11:40:47

ความคิดเห็นที่ 123 ขอบคุณข้อมูลดีๆ และการโต้ตอบด้วยสาระ อย่างมีเหตุผลและสร้างสรรค์ค่ะ ส่วนบางคห. ที่มุ่งโต้ตอบด้วยสำนวนโวหารเพียงเพื่อความสะใจของตนเอง ก็เป็นสิทธิของท่านค่ะ เพียงแต่อ่านแล้วก็อดจะรู้สึกไม่ได้ ว่าคนที่ไม่พยายามจะมีเหตุผลนี้มันช่างมีมากมายจริงหนอ เราแฟนผีค่ะ ยอมรับว่าทีมแพ้ ไม่ได้สักถ้วย ก็เป็นเพราะความสามารถของทีมเรามันทำไม่ได้เอง ไม่เคยแถ ไม่เคยอ้างเรื่องอื่นมากลบเกลื่อน จะหัวหงอกหรือหัวเกรียน พอมาเป็นแฟนผีแล้ว มัีนเลวไปหมดทุกคนเลยหรือคะ ท่าน เกลียดกันมาแต่ชาติปางไหนหรือคะ ถ้าไปเจอกันข้างนอก เราจะโดนแฟนแมนซิรุมด่าหรือเปล่าคะ แฟนทีมอื่น ช่วยคิดหน่อยนะคะ ว่าแฟนผีเกรียนๆ นิสัยเลวๆ มีหลายคนก็จริง แต่ไม่ใช่ทุกคนนะคะ หวังว่าทุกท่านคงพอจะยังมีน้ำใจ ไม่ด่ากราดเหมายกเข่งหรอกนะคะ ขอแสดงความยินดีกับทีมแมนเชสเตอร์ซิตี้ ทีมของคุณดีจริงค่ะ เราขอยอมรับความพ่ายแพ้อย่างแมนๆค่ะ จากคุณ : Angel iN BeD เขียนเมื่อ : 17 พ.ค. 55 12:18:13

ความคิดเห็นที่ 125 ไม่แน่ใจว่าคุณเลขาฯ แกจะเข้ามาอ่านต่ออีกหรือเปล่า เพราะกระทู้ก็ยาวแล้วก็ไหลตกมาเยอะแล้วอะฮะคุณเมี่ยงฯ .... เอาเป็นว่าข้าเจ้าลองถือวิสาสะเดาความคิดเค้าตอบให้ละกันว่า ...จขกท. เค้าไม่ก็ไม่ได้เชิงไม่ยอมรับการเป็นแชมป์ด้วยวิธีการใช้เงินเยอะ เค้าแค่อาจจะหงุดหงิดเพระาไปอ่านความคิดเห็นมาจากไหนก็ไม่รู้ที่เจอคนมาบอกว่าตอนที่กลุ่มอาบูดาปีใช้เงินเยอะๆ มันมากกว่าที่ แมนฯ ยูฯ ใช้แค่ 20 ล้านปอนด์ ...จขกท. เค้าก็เลยพยายามหาตัวเลขมาให้ดูจริงๆ เพื่อไม่ให้เป็นการพูดขึ้นมาลอยๆ ว่ายังไงซิตี้ก็ใช้เงินเยอะมากกว่ามากในเวลาอันสั้นกว่าที่ แมนฯ ยูฯ จะมามีเงินมากให้ใช้อย่างทุกวันนี้ ... เงินของทางอาบูดาบีที่อัดฉีดเข้ามามันมาไวและเยอะจริงๆ ... แต่ จขกท. เค้าไม่ได้มุ่งหวังร้ายจะไม่ยอมรับวิธีการใช้เงินตรงนี้ เค้าอาจจะแค่พยายามจะบอกว่ามันอาจจะสร้างปัญหาได้กับวงการฟุตบอลและก็ทางยูฟ่า .... แต่ในส่วนของข้าเจ้าคิดว่าคุณเมี่ยงฯ คงอ่านแล้ว ...หวังว่าคงเข้าใจในส่วนของข้าเจ้า ส่วนท่านอื่นๆ ที่ไม่ใช่แฟน แมนฯ ยูฯ ก็อยากให้เข้ามา "อ่านดีๆ ก่อนตอบ" เพราะจนขนาดนี้ก็ยังมีคนสักแต่เข้ามาตอบก่อนอ่านอยู่ดี ...เพราะดูจากลักษณะการตอบแล้วมันน่าจะเกิดจากไม่ยอมอ่านรายละอียดทำความเข้าใจ หรือไม่ยอมดูในข้อมูลเลย วิ่งเอาขวานมาจามก่อนเพียงแค่เห็นหน้าโดยไม่พูดคุย จากคุณ : _K_F_C_ เขียนเมื่อ : 17 พ.ค. 55 14:03:22

ความคิดเห็นที่ 126 จะตอบคห.124 คุณเมี่ยง@เมี่ยงช้าไปไหมเนี่ย จุดประสงค์ของกระทู้นี้ 1. ต้องการสื่อว่า ที่มีการให้ข้อมูลว่า การที่บอกว่า แมนซิตี้ไม่ได้ทุ่มทุนมากมายอะไร    โดยใช้เงินซื้อนักเตะมากกว่าแมนยูเพียง 20 ล้านปอนด์เท่านั้น  ไม่เป็นข้อมูลที่ครบถ้วน     ต้องนับเงินค่าจ้างนักเตะ, ค่าบริหารและอื่นๆ ด้วย       ซึ่งข้อมูลจากกระทู้จะเห็นว่า รวมแล้วเป็นจำนวนเงินที่สูงมากๆ 2. ต้องการบอกว่า การใช้เงินจากเจ้าของมาทุ่มทุน เพื่อสโมสรที่เป็นบริษัทจำกัด    ประสพความสำเร็จโดยขาดทุนเป็นจำนวนเงินสูงมาก จนไม่น่าจะเป็นไปได้    ในการที่จะทำให้คุ้มทุน ไม่ว่าจะเป็นในระยะเวลาเท่าใด  เป็นการดำเนินธุรกิจที่ไม่สมเหตุสมผล     ซึ่งเหตุผลข้อที่ 2 มีเหตุผล support โดยที่ทาง NFL และ UEFA ได้พยาออก      กฏห้ามการใช้เงินมากมายโดยไม่มีเหตุผลรองรับเพียงพอออกมา เพื่อให้เป็นธรรม      และ ไม่เป็นการเปรียบสโมสรอื่นจนเกินเหตุ ซึ่งจะทำลายวงการฟุตบอลโดยส่วนรวมได้     (ซึ่งเหตุผล support ข้อนี้ ให้อ่านที่คุณ _K_F_C ให้ความเห็นไว้ในคห. 105) ส่วนที่ว่า แมนซิตี้ได้เป็นแชมป์ ผมไม่มีข้อโต้แย้งอะไรทั้งนั้น ถูกกฏ EPL ทุกประการ และขอแสดงความยินดีด้วยครับ ส่วนที่ได้ตอบเกรียนๆ ไปบ้าง มันเป็นอารมณ์ที่เกิดจากการโต้เถียงจากหลายๆคห. ที่อ่านแล้วเป็นการตอบที่ไม่ใช้เหตุผลเลย เอาอารมณ์และเสียดสีเป็นที่ตั้ง ก็ต้องขอโทษด้วย --------------------------------------------------------------------------------- คห.125 คุณ _K_F_C พอดีผมเขียนคห.126 ก่อนที่คุณจะ post คห.125 เพียงนิดเดียว ก็ต้องขอขอบคุณอีกครั้ง ที่ได้พยายามอธิบายแทนผม แก้ไขเมื่อ 17 พ.ค. 55 14:23:43 แก้ไขเมื่อ 17 พ.ค. 55 14:18:17 จากคุณ : จขกท (เลขาลิขิต) เขียนเมื่อ : 17 พ.ค. 55 14:11:57

ความคิดเห็นที่ 127 คุณเมี่ยงครับ ลองอ่านไล่ดูทุก คห. ก็น่าจะได้คำตอบนะครับ จากคุณ : arctan45 เขียนเมื่อ : 17 พ.ค. 55 14:22:04

ความคิดเห็นที่ 129 อ่านมา เข้าใจเจ้าของกระทู้ค่ะ ประเด็นคือจขกทต้องการหาข้อมูลมาหักล้างคำพูดที่ว่า "แมนซิใช้เงินมากกว่า 20 ล้านปอนด์ " ถ้ากฎที่FIFAคิดมาลงตัว เราอาจได้เห็นความสูสีในลีมมากกว่าเดิม (ต้องใช้เวลากว่าที่ทีมเล็กจะขึ้นมาเทียบทีมใหญ่) คล้ายๆNBAที่ไม่มีทีมผูกขาดแชมป์นานๆ แต่เรื่องการตลาดของทีมมูลค่าแบรนด์จะเป็นตัวแปรสำคัญกว่าเดิม ทีมเล็กก็ต้องหาจุดเด่นของทีมมาสู้ เช่น สวอนซี เล่นบอลบนพื้นสวยงาม แต่ในปีนี้ยืดอกยอมรับเลยว่าแมนซิตี้สมเป็นแชมป์ทุกประตู สมศักดิ์ศรีทุกอย่าง ส่วนตัวออกจะภูมิใจที่ได้ที่2ทำแต้มเท่าแชมป์ ฤดูกาลหน้ามาแข่งกันใหม่นะคะ ปล.ถึงท่านแฟนผีที่เกรียนๆทุกท่าน เวลาที่ท่านสำเร็จความไคร่โดยการตั้งกระทู้ ช่วยสงสารผู้หญิงตัวเล็กๆคนนี้ด้วย เพราะเวลาเราพลาดขึ้นมาิ ฝ่ายคนที่หมั่นใส้ก็จะเข้ามาใส่ท่าน(ที่เกรียน) แต่ทีมก็รับไปเต็มๆเช่นกัน เพลาๆลงหน่อยนะคะ ช่วงนี้เจ็บปวดช้ำในอยู่เงียบๆคนเดียว จากคุณ : ผีหลายบทบาท เขียนเมื่อ : 17 พ.ค. 55 15:43:40

ความคิดเห็นที่ 130 อ่านมา เข้าใจเจ้าของกระทู้ครับ ประเด็นคือจขกทต้องการหาข้อมูลมาหักล้างคำพูดที่ว่า "แมนซิใช้เงินมากกว่า 20 ล้านปอนด์ " ผมเชื่อว่า จขกท คิดและอยากนำเสนอข้อมูลอย่างเป็นรูปธรรมเพื่อดิสคัสกันจริงจ้ง เพียงแต่ว่า จขกท ตั้งผิดเวลาครับ ผมเชื่อว่ากระทู้นี้จะเรียกแขกแฟนๆแมนยูกับแมนซิ และได้รับการดิสคัสอย่างเป็นรูปธรรมมากกว่านี้ หากตั้งสักช่วงแมนยูกับแมนซิแต้มสูสีเท่ากัน เอาสักตอนแมนยูนำ แต่คุณเลือกตั้งในเวลาที่แฟนๆแมนซิเขากำลังฉลองแชมป์แล้วอยู่ๆเหมือนมีคนมาพูดดักคอ ซึ่งเวลานี้ข้างนอก แฟนแมนซิก็ปุดๆเหมือนกันเรื่องใช้เงินซื้อความสำเร็จ  แล้วจู่ๆมีคนมาตั้งแบบนี้ เราก็มองได้ว่าคุณตั้งมาเพื่อกวนโอ๊ยกันนี่หว่า ทีตอนเราเสียเปรียบเห็นพูดจัง เงินซื้อความสำเร็จไม่ได้ พอตอนนี้มาหาเหตุผลใหญ่ว่าเงินซื้อได้(ผมไม่ได้บอกว่า จขกท คิดแบบนี้ แต่ผมวิเคราะห์อารมณ์แฟนแมนซิและตัวผมเองได้ราวๆนี้ครับ) ตอบ จขกท ถูกคับ แมนซิใช้เงินมากกว่า20ล้านแน่นอน จากข้อมูลที่ให้มาครับ  ทุกอย่างมีเหตุผลรองรับหมด เถียงไม่ได้เลย แต่ก็อยากจะบอกว่าที่แฟนๆแมนซิเอาเรื่องนี้มาพูดบ่อย เพราะเรารำคาญบางคนที่บอกแมนซิใช้เงินเยอะ แล้วข้อมูลไม่แน่นพอ ก็เลยหยิบเอาค่าตัวเฉพาะส่วนตัวจริงมาพูด แน่นอนว่ามันก็ใช้ได้ผลกับหลายๆคนที่ไม่ตั้งใจค้นคว้าข้อมูล ซึ่งถ้า จขกท เอาข้อมูลนี้ซัดกันตั้งแต่ตอนนั้น แฟนๆแมนซิคงไม่เอาเรื่องนี้มาใช้เล่นครับ แต่เรื่องนี้เราใช้กันนานนะครับ แล้วจู่ๆคุณมาพูดตอนเราได้แชมป์ เราเลยเสียความรู้สึกเหมือนว่า คุณ "ไม่จริงใจ" ในการยินดีครับ(ขออนุญาตถือวิสาสะใช้คำว่า "เรา" จากการอ่านความเห็นนะครับ หากมีอันไหนแฟนๆแมนซิคิดว่าผมพลาดก็แย้งได้นะครับ ถือว่าเป็นการต่อยอดกัน) ปล.ผมชอบการคุยด้วยเหตุผลแบบนี้ครับ ส่วนตัวผมอยากให้มีการพูดคุยแบบนี้กับแฟนผีที่แน่นข้อมูลและเหตุผลบ่อยๆครับ จากคุณ : ~southblade~ (pom-en) เขียนเมื่อ : 17 พ.ค. 55 20:30:12