Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com  


 
+-+-+-+ [Forza Azzurri] : Preview เกร็ดก่อนเกมนัดชี้ชะตา ลา โรฆ่า ปะทะ อัซซูรี่ ใครจะครองบัลลังก์แชมป์ !!... +-+-+-+ ติดต่อทีมงาน

เหลืออีกไม่กี่ชั่วโมง เกมยูโร 2012 นัดชิงชนะเลิศระหว่าง สเปน กับ อิตาลี จะลงทำศึกกันแล้ว พอดีมีเวลานิดหน่อย เลยรวบรวมข้อมูล เกร็ดเล็กเกร็ดน้อยที่น่าสนใจมาเรียกน้ำย่อยแฟนๆ ให้อ่านเล่นก่อนแข่ง ผมไม่แน่ใจว่ามีใครได้นำข้อมูลตรงนี้มาเสนอเป็นพรีวิวไปบ้างแล้วหรือยัง ถ้ามีแล้วต้องขอโทษด้วยนะครับ ...

1. ก่อนอื่นก็คงต้องเริ่มที่ผลงานการพบกันของทั้ง 2 ทีม สเปน และ อิตาลี เคยเจอกันมาแล้วทั้งหมด 26 นัด เป็นฝ่าย อิตาลี ที่ทำผลงานได้ดีกว่าเล็กน้อย ชนะ 8 เสมอ 11 และ สเปน เอาชนะไปได้ 7 นัด แต่หากจะนับแค่รายการระดับเมเจอร์แล้ว (ฟุตบอลโลกและยูโร) ทั้ง 2 ทีมพบกันมาทั้งหมด 7 นัด อิตาลี เอาชนะไปได้ 3 ครั้ง เสมอ 3 และ สเปน เอาชนะ อิตาลี ไปได้เพียงครั้งเดียวเท่านั้น ก็คือนัดที่ดวลจุดโทษชนะไป 4 - 2 หลังจากเสมอกันใน 120 นาที 0 - 0 ในศึกยูโร 2008 รอบ 8 ทีมสุดท้ายนั่นเอง หรือจะพูดได้ว่า อิตาลี ไม่เคยแพ้ให้กับ สเปน ในช่วงเวลาปกติเลยเมื่อพบกันในรายการระดับเมเจอร์

2. ผลงานในรอบชิงฯ ยูโร ของทั้ง 2 ทีม สเปน ผ่านเข้าชิงชนะเลิศเป็นครั้งที่ 4 หลังจาก 3 ครั้งแรกได้แชมป์มา 2 ครั้ง (1964 และ 2008) ส่วนในปี 1984 ได้แค่รองแชมป์ จากการแพ้ ฝรั่งเศส ในรอบชิงฯ 0 - 2 ทางด้าน อิตาลี การเข้าชิงฯ ครั้งนี้ คือครั้งที่ 3 ของพวกเขา หลังจากได้แชมป์และรองแชมป์มาอย่างละครั้ง (แชมป์ในปี 1968 และรองแชมป์ในปี 2000)

3. หาก สเปน สามารถคว้าแชมป์ยูโร 2012 ได้ พวกเขาจะได้แชมป์ยุโรปเป็นครั้งที่ 3 (เทียบเท่ากับ เยอรมัน) หลังจากที่ 2 ครั้งที่ผ่านมา ได้แชมป์ในปี 1964 และ 2008 และจะเป็นทีมแรกในประวัติศาสตร์ฟุตบอลยุโรปที่สามารถป้องกันแชมป์ได้สำเร็จ และแน่นอนพวกเขาจะเขียนประวัติศาสตร์ขึ้นมาใหม่ ว่าพวกเขาคือทีมแรกที่สามารถกวาดแชมป์รายการเมเจอร์ได้ 3 รายการติดต่อกัน ไล่จาก ยูโร 2008 ฟุตบอลโลก 2010 และ ยูโร 2012

4. ส่วน อิตาลี ถ้าพวกเขาสามารถคว้าแชมป์ยูโรครั้งนี้ได้ พวกเขาก็จะได้แชมป์ยุโรปเป็นครั้งที่ 2 โดยครั้งแรกนั้นได้มาในปี 1968 ที่น่าสังเกตคือพวกเขาได้แชมป์ครั้งแรกก็ได้ต่อจาก สเปน ที่เป็นแชมป์ครั้งแรก และ 4 ปีก่อน สเปน ก็ได้แชมป์ครั้งที่ 2 น่าสนใจว่า อิตาลี ชุดนี้จะตามรอยทีมรุ่นคุณปู่ได้หรือไม่ และหาก อิตาลี ได้แชมป์ พวกเขาจะได้แชมป์ฟุตบอลรายการระดับเมเจอร์เป็นครั้งที่ 6 (แชมป์โลก 4 สมัย แชมป์ยูโร 2 สมัย) ขึ้นมาเทียบเท่ากับ เยอรมัน (แชมป์โลก 3 สมัย แชมป์ยูโร 3 สมัย) ทันที

5. ถ้า สเปน ภายใต้การคุมทีมของ บิเซนเต้ เดล บอสเก้ สามารถคว้าแชมป์ยูโร 2012 มาครองได้สำเร็จ จะทำให้ เดล บอสเก้ เป็นเทรนเนอร์ทีมชาติคนที่ 2 ในประวัติศาสตร์ ที่พาทีมชาติคว้าทั้งแชมป์โลกและแชมป์ยูโร ต่อจาก เฮลมุต เชิน อดีตเทรนเนอร์ทีมชาติเยอรมัน ที่พาอินทรีเหล็ก คว้าแชมป์ยูโร 1972 และแชมป์โลกในปี 1974 นั่นเอง (ส่วนยูโร 2008 ที่สเปนได้แชมป์นั้น เทรนเนอร์ทีมชาติขณะนั้นยังเป็น หลุยส์ อราโกเนส คุมทีม)

6. ยูฟ่าได้ทำการคัดเลือกผู้ตัดสินที่จะลงทำหน้าที่ในเกมนัดนี้เป็นที่เรียบร้อยแล้ว ได้แก่ เปโดร โปรเอ็นก้า เปาชาวโปรตุเกส ซึ่งเขาเป็นผู้ตัดสินเพียงคนเดียวในทัวร์นาเมนท์ ที่ได้ลงตัดสินถึง 4 เกม โดยในทัวร์นาเมนท์นี้ เขาลงตัดสินในเกมที่ สเปน ชนะ ไอร์แลนด์ 4 - 0 รวมทั้งเกมที่ อิตาลี ดวลจุดโทษผ่าน อังกฤษ มาในรอบ 8 ทีมสุดท้าย และหากแฟนบอลท่านใดจำได้ เขาคือคนที่ลงทำหน้าที่ในเกม UCL รอบชิงฯ ระหว่าง เชลซี กับ บาเยิร์น มิวนิค เมื่อเดือนพฤษภาคมที่ผ่านมานั่นเอง

7. และจากการที่ได้เข้าชิงฯ กับ สเปน ทำให้ อิตาลี สามารถคว้าตั๋วเข้าร่วมการแข่งขันศึกฟีฟ่า คอนเฟดเดอเรชั่นส์ คัพ ปี 2013 ที่ประเทศบราซิล เป็นที่เรียบร้อยแล้ว แม้ว่าผลการแข่งขันในรอบชิงฯ จะออกรูปใดก็ตาม เนื่องจาก สเปน จะใช้โควต้า แชมป์โลก 2010 เข้าร่วมการแข่งขันนั่นเอง โดยตอนนี้ได้ 7 จาก 8 ทีมเข้ารอบไปแล้ว ประกอบด้วย บราซิล (เจ้าภาพ) สเปน (แชมป์โลก) อิตาลี (แชมป์หรือรองแชมป์ยุโรป) ญี่ปุ่น (แชมป์เอเชีย) เม็กซิโก (แชมป์คอนคาเคฟ) อุรุกวัย (แชมป์อเมริกาใต้) ตาฮิติ (แชมป์โอเชียเนีย) เหลือรอเพียงแชมป์จากทวีปแอฟริกาทีมเดียว

8. การลุ้นตำแหน่งดาวซัลโวของยูโรครั้งนี้ ตอนนี้มีผู้นำร่วมที่สามารถทำได้ 3 ประตู อยู่ถึง 5 คน คือ มาริโอ โกเมซ (เยอรมัน) มาริโอ มานด์ซูคิช (โครเอเชีย) อลัน ซาโกเยฟ (รัสเซีย) คริสเตียโน่ โรนัลโด้ (โปรตุเกส) และ มาริโอ บาโลเตลลี่ (อิตาลี) ซึ่ง 4 คนแรกนั้นไม่มีโอกาสผลิตสกอร์เพิ่มแล้ว แต่ทางด้าน บาโลเตลลี่ ยังมีโอกาสอีกอย่างน้อยก็ 90 นาที ที่จะยิงเพิ่มเพื่อก้าวขึ้นมาเป็นดาวซัลโวของทัวร์นาเมนท์ แต่คู่แข่งของเขาก็ยังมี 3 นักเตะทีมชาติสเปน อย่าง เฟอร์นานโด ตอร์เรส, เชส ฟาเบรกาส และ ชาบี อลอนโซ่ ที่ทำไปแล้วคนละ 2 ประตู

9. สำหรับแชมป์ในครั้งนี้ นอกจากจะได้รับถ้วย อองรี เดอโลเนย์ แล้ว จะยังได้รับรางวัลเป็นเงินถึง 7.5 ล้านยูโรเป็นรางวัลอีกด้วย (ไม่รวมกับรางวัลเงินโบนัสที่ยูฟ่ามอบให้ในแต่ละเกม เช่น เสมอได้ 5 แสนยูโร ชนะได้ 1 ล้านยูโร) ส่วนรองแชมป์จะได้รับรางวัลเป็นเงิน 4.5 ล้านยูโร และ เยอรมัน กับ โปรตุเกส ที่ตกรอบรองฯ ได้รับไปทีมละ 3 ล้านยูโร นั่นหมายถึงว่า หาก สเปน ได้แชมป์ พวกเขาจะรับรางวัลเป็นเงิน 23 ล้านยูโร ส่วนถ้า อิตาลี เป็นแชมป์ พวกเขาจะได้ไป 22.5 ล้านยูโร นั่นเอง

10. ยูโร 2016 ที่จะจัดขึ้นในอีก 4 ข้างหน้า จะลงเล่นกันที่ประเทศฝรั่งเศส โดยยูฟ่า ได้เพิ่มโควต้าทีมที่ผ่านเข้ารอบสุดท้ายจากเดิม 16 ทีมเป็น 24 ทีมเป็นครั้งแรกด้วย

สำหรับผมในฐานะแฟนบอลอัซซูรี่มานาน 18 ปี (ตั้งแต่บอลโลก 94 ซึ่งก็คงเหมือนแฟนบอลอิตาลีหลายๆ ท่าน) ยอมรับว่าทีมชาติอิตาลีชุดนี้เดินทางมาได้ไกลเกินกว่าที่คาดหมายไว้ เพราะตอนแรกหวังไว้แค่ผ่านเข้าสู่รอบน็อกเอ้าท์ก็พอใจแล้ว จากปัญหามากมายก่อนที่ทัวร์นาเมนท์จะเริ่มขึ้น ทั้งกรณีล้มบอล อาการบาดเจ็บของผู้เล่นหลักในทีม ... แต่เมื่อมาถึงจุดนี้แล้ว มันไม่มีอะไรจะเสียแล้วครับ ขอประกาศเสียงดังๆ เลยว่า แชมป์ยูโร 2012 อิตาลีขอ !!...

Forza Azzurri !!!...

จากคุณ : pinturicchio boy
เขียนเมื่อ : 1 ก.ค. 55 21:08:37




ข้อความหรือรูปภาพที่ปรากฏในกระทู้ที่ท่านเห็นอยู่นี้ เกิดจากการตั้งกระทู้และถูกส่งขึ้นกระดานข่าวโดยอัตโนมัติจากบุคคลทั่วไป ซึ่ง PANTIP.COM มิได้มีส่วนร่วมรู้เห็น ตรวจสอบ หรือพิสูจน์ข้อเท็จจริงใดๆ ทั้งสิ้น หากท่านพบเห็นข้อความ หรือรูปภาพในกระทู้ที่ไม่เหมาะสม กรุณาแจ้งทีมงานทราบ เพื่อดำเนินการต่อไป



Pantip-Cafe | Pantip-TechExchange | PantipMarket.com | Chat | PanTown.com | BlogGang.com