ความคิดเห็นที่ 1 ที่มา http://www.siamintelligence.com/olympic-2012-uk-identity/ พิธีเปิดโอลิมปิก 2012 “ลุ่มลึกแต่ร่วมสมัย” และการเดินทางเพื่อตามหาอัตลักษณ์ใหม่ของอังกฤษ ถ้าให้นิยามพิธีเปิดโอลิมปิก 2008 ที่กรุงปักกิ่ง เมื่อ 4 ปีก่อนด้วยคำว่า “ยิ่งใหญ่อลังการ” เราก็คงต้องนิยามพิธีเปิด “ลอนดอนเกมส์” เมื่อคืนนี้ (27 ก.ค.) ว่า “ลุ่มลึกแต่ร่วมสมัย” โอลิมปิกเกมส์ 2008 ที่ประเทศเจ้าภาพ สาธารณรัฐประชาชนจีน (ในฐานะ “มหาอำนาจใหม่ของโลก”) ทุ่มกำลังแบบสุดตัว ทั้งแรงเงินและแรงกาย เนรมิตพิธีเปิดสุดยิ่งใหญ่จนเป็นที่เลื่องลือ ย่อมส่งผลให้เจ้าภาพโอลิมปิกครั้งถัดๆ ไปต้องเหงื่อตก และหนักใจว่า “จะเอาอะไรไปสู้?” กับความยิ่งใหญ่ของจีน และชาติเจ้าภาพที่ต้องรับบทหนักยิ่งกว่าใครก็คือ “อังกฤษ” ผู้จัดลอนดอนเกมส์ 2012 โอลิมปิกครั้งต่อมาที่ต้องเผชิญกับการเปรียบเทียบของชาวโลกโดยตรง แต่ผลจากการเค้นสมองของทีมผู้จัดการแข่งขันลอนดอนเกมส์ (โดยเฉพาะผู้กำกับภาพยนตร์ Danny Boyle ในฐานะผู้กำกับการแสดงพิธีเปิดทั้งหมด) กลับให้ผลตอบแทนออกมาอย่างคุ้มค่า ถึงแม้พิธีเปิดโอลิมปิก 2012 ไม่ยิ่งใหญ่ในแง่ปริมาณเหมือนกับโอลิมปิก 2008 และไม่มีเทคนิคการจุดคบไฟโอลิมปิกที่หวือหวา แต่พิธีการทั้งหมดก็สร้างความประทับใจอย่างเต็มที่ต่อผู้ชมชาวโลก ทั้งที่อยู่ในสนามและรับชมการถ่ายทอดสดในบ้านของตัวเองห่างออกไปหลายพันกิโลเมตร :::ร่วมสมัย::: ไฮไลท์สำคัญของพิธีเปิด “ลอนดอนเกมส์ 2012″  คงไม่มีช่วงไหนโดดเด่นไปกว่าวิดีโอแนะนำตัว “ควีนอลิซาเบธที่สอง” ก่อนพระองค์เสด็จเข้าสนามแข่งขันในฐานะองค์ประธานเปิดกีฬาโอลิมปิกครั้งนี้ พระราชินีกับประโยคที่จะกลายเป็นประโยคคลาสสิค “Good Evening Mr. Bond” ทีมผู้จัดโอลิมปิกเลือกใช้บริการของสายลับชาวอังกฤษที่มีชื่อเสียงมากที่สุดในโลก “เจมส์ บอนด์ 007″ (แสดงโดยเดเนียล เครก นักแสดงชาวอังกฤษ ผู้รับบทบาทเป็นเจมส์ บอนด์ คนปัจจุบัน) นั่งแท็กซี่แค็บสีดำตามแบบฉบับ เดินทางเข้าพระราชวังบั๊กกิงแฮมมาทำหน้าที่เป็น “บอดี้การ์ดเฉพาะกิจ” คุ้มครองสมเด็จพระราชินีอลิซาเบธที่สอง ขึ้นเฮลิคอปเตอร์เสด็จตัดผ่านกลางกรุงลอนดอนมายังสนามกีฬา London Olympic Park ที่ย่าน Stratford เพื่อเป็นประธานพิธีเปิดมหกรรมกีฬาของมวลมนุษยชาติ ก่อนจะ “หักมุม” คนดูด้วยฉากสมเด็จพระราชินีกระโดดร่มลงสู่สนามแข่งขัน กลายเป็น “ช็อตเด็ดประทับใจ” ครั้งใหญ่ของโอลิมปิกครั้งนี้ จากคุณ : Modster เขียนเมื่อ : 31 ก.ค. 55 15:37:09

ความคิดเห็นที่ 2 “พระราชอารมณ์ขัน” ของวิดีโอนี้ย่อมกลายเป็น “อารมณ์ขันแห่งชาติ” ไม่สามารถเกิดขึ้นได้เลย ถ้าหากสมเด็จพระราชินีไม่อนุญาตให้ถ่ายทำซีนลักษณะนี้ และมันก็กลายเป็นแกนกลางสำคัญของการนำเสนอภาพลักษณ์ “อังกฤษยุคใหม่” ที่ใช้เวทีลอนดอนเกมส์ 2012 เป็นจุดตั้งต้น (ถึงแม้ว่ามีเสียงวิจารณ์ว่า “ควีน” ตัวจริงนอกวิดีโอจะหน้าบึ้งตึงไปสักหน่อยตอนที่เสด็จเข้าสนามแข่งขันจริงๆ) นอกจากซีนของพระราชินีที่เป็นไฮไลท์สำคัญแล้ว การผลิตซ้ำ “ภาพลักษณ์ใหม่” ของอังกฤษยังเกิดขึ้นอย่างต่อเนื่องตลอดพิธีเปิดการแข่งขัน ไม่ว่าจะเป็นการใช้ Mr.Bean คาแรกเตอร์ชื่อดัง (แสดงโดยโรแวน แอตคินสัน) มาร่วมแสดงดนตรีกับวงซิมโฟนีออเคสตร้าแบบแหกคอก (ชนิดที่ไม่มีทางเป็นไปได้ในบ้านเรา) หรือการฉายวิดีโอแสดงการเคลื่อนขบวนคบเพลิงโอลิมปิก “แบบเท่ๆ” (ถ้าใช้ตามศัพท์ของ พ.ต.ท.ทักษิณ ชินวัตร) ด้วยสปีดโบ๊ทเรืองแสง ล่องตามแม่น้ำเทมส์ ลอดใต้สะพานทาวเวอร์บริดจ์อันเป็นเอกลักษณ์ของลอนดอน ที่มิวายหยอดมุข “แบบเท่ๆ” ด้วยคนขับเรือกิตติมศักดิ์อย่าง “เดวิด เบ็คแฮม” นักฟุตบอลทีมชาติอังกฤษชื่อดัง จากคุณ : Modster เขียนเมื่อ : 31 ก.ค. 55 15:39:17

ความคิดเห็นที่ 3 การวิ่งคบเพลิงตามสถานที่ต่างๆ ในลอนดอน ที่มีเดวิด เบ็คแฮมเป็นพระเอก บรรดาบุคคลหรือตัวละครที่มีบทบาทต่อ “อารยธรรมอังกฤษร่วมสมัย” (Contemporary British) ต่างถูกเรียกใช้เพื่อสร้างสีสันกับพิธีเปิดอย่างเต็มที่ ไม่ว่าจะเป็น เจ.เค. โรวลิ่ง ผู้เขียนนิยายชุดแฮร์รี่ พ็อตเตอร์ แมรี ป๊อปปิน ไปจนถึงท่านเซอร์พอล แมคคาร์ธนีย์ สมาชิกคนสำคัญของวงสี่เต่าทอง The Beatles ธีมหลักที่ถูกสื่อสารอย่างต่อเนื่องในโอลิมปิกครั้งนี้คือ ความทันสมัย (กราฟิกสมัยใหม่ สนุกสนาน สีสันสดใส วัฒนธรรมป๊อป) ความเยาว์วัย กล้าคิดกล้าทำ (ตัวแทนผู้วิ่งคบเพลิงที่เน้นเด็กและเยาวชน) การมีส่วนร่วมของชุมชน (ตลอดการวิ่งคบเพลิง และวิดีโอกราฟิกการเข้าสนาม)  ซึ่งมีส่วนอย่างมากต่อการ “รีแบรนด์” ภาพพจน์ของอังกฤษดังจะกล่าวต่อไป จากคุณ : Modster เขียนเมื่อ : 31 ก.ค. 55 15:40:41

ความคิดเห็นที่ 4 ::ลุ่มลึก::: อย่างไรก็ตาม อังกฤษก็ไม่ได้ทิ้งรากเหง้าอันยาวนานของตัวเอง ในพิธีเปิดเรายังเห็นการสื่อสารถึง “วัฒนธรรมดั้งเดิม” ของอังกฤษอย่างชนบทแบบดั้งเดิม ชีวิตแบบบ้านสวนเน้นเกษตรกรรม วรรณกรรมของเช็คสเปียร์ หรือสิ่งที่อังกฤษเคยเป็นผู้นำโลกอย่างการปฏิวัติอุตสาหกรรม สัญลักษณ์ของประเทศอย่างสโตนเฮนจ์  รวมไปถึงการย้อนความสัมพันธ์อันยาวนานระหว่างลอนดอนกับโอลิมปิก ในฐานะเมืองเดียวในโลกที่เคยจัดโอลิมปิกฤดูร้อนมากถึง 3 ครั้งในรอบ 104 ปี (เจ้าภาพปี 1908, 1948 และ 2012) แต่การนำเสนอวัฒนธรรมประเพณีของชาติ กลับไม่ใช่เป็นการนำเสนอด้วยกรอบแบบ “วัฒนธรรมอันเก่าแก่ดีงาม” อันเป็นวัฒนธรรมคงที่ที่ถูกแช่แข็ง (freezed) ภาพลักษณ์แบบเก่าๆ ให้หยุดนิ่งเหนือกาลเวลา (ดังที่เราเห็นในกรอบการเสนอ “วัฒนธรรมไทย” แบบของกระทรวงวัฒนธรรม) สิ่งที่เกิดขึ้นกลับเป็น การตีความใหม่ (re-interpret) ของวัฒนธรรมเดิมให้เข้ากับยุคสมัยปัจจุบันและวิถีชีวิตตามสภาพความเป็นจริงของคนสมัยใหม่ รูปแบบการนำเสนอลักษณะนี้เห็นได้ชัดเจนในการแสดงชุด “ปฏิวัติอุตสาหกรรม” ที่นำเสนอวิถีชีวิตในช่วงศตวรรษที่ 18-19 ที่เน้นชีวิตในโรงงาน เครื่องจักรกล เป้าหมายเพื่อสร้างการผลิต แต่ก็แสดงออกมาในโทนสีที่สดใส สนุกสนาน และกล้านำเสนอรูปแบบการแต่งกายหรือฉากหลังแบบดัดแปลง ที่ไม่จำเป็นต้องตรงตามประวัติศาสตร์ 100% แต่ก็ยังคงเอกลักษณ์ที่เห็นแล้วแยกแยะได้ว่า “เป็นแบบอังกฤษ” ได้ทันที จากคุณ : Modster เขียนเมื่อ : 31 ก.ค. 55 15:44:56

ความคิดเห็นที่ 5 การตามหาอัตลักษณ์ใหม่ของอังกฤษ “อัตลักษณ์ของชาติ” หรือ national identity ถือเป็นทั้ง “อาวุธ” และ “กำแพง” ทางด้านวัฒนธรรม ชาติที่มีอัตลักษณ์ของตัวเองโดดเด่น มีความเข้มแข็งทางวัฒนธรรมสูง ก็ย่อมสามารถแผ่อิทธิพลทางวัฒนธรรมไปยังชาติอื่นๆ ได้ง่ายและไกลกว่า ตัวอย่างการแผ่อิทธิพลทางวัฒนธรรมด้วย “สัญลักษณ์” ที่ชัดเจนคือ อารยธรรมป๊อปแบบอเมริกันสมัยใหม่ เช่น แมคโดนัลด์ สตาร์บัคส์ โค้ก ไอพ็อด หรือภาพยนตร์ฮอลลีวู้ด ที่เจาะตลาดทะลุทะลวงกำแพงเหล็กไปยังประเทศคอมมิวนิสต์อย่างโซเวียต จีน คิวบา หรือแม้กระทั่งโลกอิสลามได้อย่างมีประสิทธิภาพ ถึงแม้ประเทศเหล่านี้จะมีปฏิกริยาตอบโต้กลับต่อการรุกรานทางวัฒนธรรม แต่ก็ปฏิเสธไม่ได้ว่าคนจำนวนหนึ่งในประเทศเหล่านี้ก็ยินดีรับ “อัตลักษณ์อเมริกัน” เหล่านี้ไว้ในอ้อมกอดเป็นอย่างดี สำหรับอัตลักษณ์ของอังกฤษ ซึ่งเป็นชาติมหาอำนาจในยุคทศวรรษที่ 17-19 ย่อมเคยเรืองอำนาจอย่างสูง ตัวอย่างเช่น สถาปัตยกรรมแบบโคโลเนียล ชุดทหารพระราชวังบั๊กกิงแฮม บิ๊กเบน เช็คสเปียร์ เป็นต้น แต่หลังจากความเสื่อมถอยของอังกฤษในศตวรรษที่ 19-20 อันเนื่องมาจากปัจจัยทั้งด้านอาณานิคมและสงครามโลก ทำให้สหรัฐอเมริกาผงาดขึ้นมาเป็นผู้นำโลกรายใหม่ วัฒนธรรมป๊อปแบบอเมริกันแซงหน้า (และกดข่ม) วัฒนธรรมอังกฤษแบบไม่เห็นหัว ดังนั้นในแง่อัตลักษณ์เชิงวัฒนธรรมของอังกฤษจึงต้องปรับตัวเพื่อหาจุดยืนใหม่ของตัวเองบนเวทีโลกอีกครั้ง ช็อตเด่นจากภาพยนตร์เรื่อง Love Actually ที่นายกรัฐมนตรีอังกฤษ (แสดงโดยฮิวจ์ แกรนต์) ตอบโต้ประธานาธิบดีสหรัฐ ว่าอังกฤษเองก็มีของดีมากมาย สะท้อนความอัดอั้นของอังกฤษที่โดนอเมริกาแซงหน้ามานาน และกลายเป็นช็อตประทับใจชาวอังกฤษถึงขนาดเสนอให้ ฮิวจ์ แกรนต์ ลงสมัครนายกรัฐมนตรีจริงๆ จากคุณ : Modster เขียนเมื่อ : 31 ก.ค. 55 15:46:43

ความคิดเห็นที่ 6 พิธีเปิดลอนดอนเกมส์ 2012 ผมว่าลุ่มลึก และเข้าถึงได้ดีกว่าพิธีเปิดครั้งไหนๆ การเอาเยาวชนเข้ามามีส่วนร่วมก็ทำได้ลึกซึ้ง เหมือนจะบอกจีนว่า ไม่ต้องฟอร์มยักษ์ ก็กินใจได้ จากคุณ : องค์ประกอบศิลป์ เขียนเมื่อ : 31 ก.ค. 55 15:48:01

ความคิดเห็นที่ 7 การค้นหาตัวตนใหม่ทางวัฒนธรรมของอังกฤษเคยเกิดขึ้นในทศวรรษ 90s ผ่านกระบวนการเคลื่อนไหวที่ปัจจุบันถูกขนานนามว่า Cool Britannia ซึ่งสอดคล้องกับจังหวะการขึ้นมาเรืองอำนาจของรัฐบาลพรรคแรงงานที่นำโดยอดีตนายกโทนี่ แบลร์ ที่ลุกขึ้นมาปฏิวัติภาพลักษณ์ “สุภาพบุรุษอังกฤษอันน่าเบื่อหน่าย” ของรัฐบาลพรรคอนุรักษ์นิยมที่ครองอำนาจมานาน 18 ปี ด้วยภาพลักษณ์คนรุ่นใหม่ กล้าที่จะแหกกรอบปฏิบัติเดิมๆ กระแสวัฒนธรรม Cool Britannia เริ่มมาจากโลกดนตรีที่มีดนตรีตระกูลบริทป๊อป (Brit Pop) เป็นตัวชูโรง วงดนตรีอย่าง OASIS, Suede และ Blur กลายเป็นวงกำหนดเทรนด์ของโลกดนตรีตะวันตกในช่วงทศวรรษ 1990 จากนั้นเราก็พบอัตลักษณ์ทางวัฒนธรรมแบบใหม่ๆ ของอังกฤษผุดขึ้นตามมา ไม่ว่าจะเป็น “สาวซ่าสมัยใหม่” อย่าง Spice Girls, กระแสภาพยนตร์ทางเลือกจากอังกฤษที่รูปแบบการนำเสนอต่างไปจากฮอลลีวู้ด (เรื่องที่คนไทยคุ้นเคยที่สุดน่าจะเป็น Love Actually และ Bridget Jones’s diary), ฟุตบอลพรีเมียร์ชิพอังกฤษที่นำกระแสโดยเดวิด แบ็คแฮม, นิยายชุดพ่อมดน้อยแฮร์รี พ็อตเตอร์ ในเชิงเศรษฐกิจแล้ว รัฐบาลอังกฤษสามารถหยิบฉวยประโยชน์จากกระแสวัฒนธรรมใหม่ของอังกฤษได้อย่างเต็มเม็ดเต็มหน่วย โดยส่งออกสินค้าเชิงวัฒนธรรมเหล่านี้ไปยังตลาดโลก ผ่านนโยบาย Creative Economy ที่ทำรายได้เป็นกอบเป็นกำ (อ่านรายละเอียดได้ในบทความเก่าหมวด Creative Economy ที่ SIU นำเสนอมาโดยตลอด) ส่วนในเชิงวัฒนธรรมและสังคม โดยเฉพาะการสร้าง “อัตลักษณ์” ของอังกฤษ ที่ผ่านมารัฐบาลไม่ได้มีนโยบายชัดเจนนัก สิ่งที่เกิดขึ้นเป็นภววิสัยที่เกิดขึ้นโดยความเคลื่อนไหวของสังคมอังกฤษเอง (organic movement) ที่ร่วมกันหล่อหลอมอัตลักษณ์ใหม่ของชาติอย่างต่อเนื่อง และเวทีโอลิมปิก 2012 ครั้งนี้ก็เป็นความเคลื่อนไหวอย่างเป็นรูปธรรมของรัฐ โดยหยิบฉวยเอาอัตลักษณ์ใหม่ๆ ที่ถูกผลิตขึ้นในรอบ 20 ปีให้หลัง มาวางโชว์ให้ชาวโลกเห็นและรับรู้ว่า “นี่แหละคืออังกฤษแห่งศตวรรษที่ 21″ อังกฤษภายใต้อัตลักษณ์ใหม่ไม่ได้มีแต่ตู้โทรศัพท์แดง ผู้ชายสูทดำถือร่ม ทหารเปลี่ยนกะ อัศวินใส่เกราะ หรือปราสาทหินยุคกลาง ดังที่ชาวโลกคุ้นเคยมานาน แต่อังกฤษสมัยใหม่เองก็ไม่ใช่การเนรมิตอารยธรรมขึ้นมาใหม่หมด เป็นนครไฮเทคเต็มไปด้วยตึกระฟ้าดังที่ชาติเกิดใหม่หลายแห่ง (ไม่ว่าจะเป็นสิงคโปร์หรือดูไบ) พยายามนำเสนอ สิ่งที่ “รัฐอังกฤษใหม่” ต้องการจะเป็นคือการผสมผสานเอาวัฒนธรรมเก่า มาผนวกกับอัตลักษณ์ใหม่ๆ ผ่านการตีความแบบใหม่ๆ ที่พยายามฉีกตัวเองไปจากกรอบอนุรักษ์นิยมแบบเดิมๆ สิ่งที่เราเห็นในพิธีเปิดโอลิมปิกครั้งนี้จึงเป็น    * ภาพที่ซ้อนกันของ “ของเก่า” อย่างทาวเวอร์ออฟลอนดอนกับ “ของใหม่” อย่างลอนดอนอาย    * ภาพที่ซ้อนกันของ “ทาวเวอร์บริดจ์สีทึมเทา” กับ “สปีดโบ๊ทเรืองแสง” ของเดวิด แบ็คแฮม    * ภาพที่ซ้อนกันของ “เป็ดแม่น้ำเทมส์” กับ “รถไฟความเร็วสูง” และ “โรงไฟฟ้านิวเคลียร์”    * ภาพที่ซ้อนกันของ “บ้านไม้ชนบท” กับ “วัยรุ่นหน้าใส” ที่สามารถไปยืนอยู่ในเมืองสมัยใหม่ได้อย่างไม่ขัดเขิน **บ้านอิฐหน้าแคบแบบอังกฤษ ปะทะ Mini Cooper แสดงวิถีชีวิตร่วมสมัย (ภาพจาก London2012.com) จากคุณ : Modster เขียนเมื่อ : 31 ก.ค. 55 15:49:51

ความคิดเห็นที่ 8 ตัวตนใหม่ผ่านโลโก้ เหตุการณ์ใหญ่ๆ ของโลก ไม่ว่าจะเป็นงานเอ็กซ์โปหรือการแข่งขันกีฬา ชาติเจ้าภาพมักนำเสนอ “ตัวตน” และ “อัตลักษณ์” ของตัวเองผ่านโลโก้ของงานครั้งนั้น เพื่อให้ผู้ชมทั่วโลกจดจำและแยกแยะได้ง่าย ตัวอย่างคือโอลิมปิก 3 ครั้งล่าสุดที่ออสเตรเลีย กรีซ และจีนเป็นเจ้าภาพ ทั้งสามงานต่างใส่ “อัตลักษณ์ของชาติ” ลงไปอย่างชัดเจน เช่น บูมเมอแรง มงกุฎมะกอก และตัวอักษรพู่กันประเทศไทยเองก็หนีไม่พ้นการแทรกตัวตนของชาติลงไปในโลโก้ ตัวอย่างเช่น โลโก้ของเอเชี่ยนเกมส์ 1998 ที่ใช้เจดีย์และหน้าจั่วแบบไทย หรือโลโก้การเสนอตัวเป็นเจ้าภาพงานเอ็กซ์โป 2020 ที่อยุธยา ซึ่งใช้รูปลักษณ์ของปลาตะเพียนสาน กรณีของประเทศอังกฤษกับงานใหญ่ๆ อย่างโอลิมปิกก็ยึดโยงกับแนวทางลักษณะนี้เช่นกัน ตัวอย่างคือ โอลิมปิก 1948 ที่ใช้หอนาฬิกาบิ๊กเบนและอาคารรัฐสภาอันมีชื่อเสียงมาเป็นสัญลักษณ์ สำหรับการจัดงานแข่งขันโอลิมปิก 2012 ในครั้งนี้ ช่วงแรกก็ “ดูเหมือนว่า” ลอนดอนจะใช้แนวทางมาตรฐานและอนุรักษ์นิยม โดยนำเสนอโลโก้สำหรับการเสนอตัว (bidding city) ที่ไม่หวือหวา เป็นเพียงตัวอักษรพาดด้วยเส้นสายตามสีของคณะกรรมการโอลิมปิกสากล (สีของวงกลมทั้ง 5 ห่วง) เท่านั้น แต่เมื่อลอนดอนสามารถเอาชนะปารีส ชิงสิทธิ์การเป็นเจ้าภาพโอลิมปิก 2012 มาได้สำเร็จ และเวลาผ่านมาจนถึงการเปิดตัว “โลโก้” กับ “มาสค็อต” อย่างเป็นทางการแข่งขัน ทางคณะผู้จัดการแข่งขันก็ช็อคโลกด้วยโลโก้ที่แหวกขนบ ฉีกธรรมเนียมเดิมๆ ทิ้งไปอย่างสิ้นเชิง ด้วยโลโก้ London 2012 แบบฟิวจูริสต์จากอนาคต พร้อมสีสันแสบสะท้านทรวง จนคนอังกฤษ (และประชากรโลก) หลายคนรับไม่ได้อย่างแรง ส่วนของมาสค็อตหรือ “ตัวนำโชค” ที่มักใช้สัตว์ประจำชาติ ก็ไม่ได้ต่างไปกว่ากันนัก เพราะลอนดอน 2012 เลือกใช้ “ตัวอะไรก็ไม่รู้” สองตัวชื่อ Wenlock กับ Mandeville ที่หลายคนวิจารณ์ว่ามันเป็นสัตว์ประหลาดตาเดียวจากนอกโลก มาเป็นพรีเซนเตอร์หลักของการแข่งขัน อัตลักษณ์แบบฉีกแนวของ Wenlock และ Mandeville ยังถูกผลิตซ้ำๆ ในการปรับเปลี่ยนมันเป็นมาสค็อตของการแข่งกีฬาชนิดต่างๆ ด้วย จากภาพตัวอย่างเราจะเห็นการคิดแบบแหวกขนบมากมาย เช่น นักมวยหัวสีชมพู หรือนักว่ายน้ำใส่มงกุฎพระราชา ราวกับว่ามันมาจากเกมหรือแอนิเมชันล้ำยุคมากกว่ามาสค็อตของโอลิมปิกที่ดูเคร่งขรึมจริงจัง จากคุณ : Modster เขียนเมื่อ : 31 ก.ค. 55 15:52:59

ความคิดเห็นที่ 9 Cool Britannia นับจากการเปิดตัวในปี 2010 โลโก้ London 2012 และมาสค็อต Wenlock/Mandeville ถูกวิพากษ์วิจารณ์อย่างหนักในแง่สไตล์การนำเสนอ และอัตลักษณ์ที่ “ดูไม่สะท้อนความเป็นอังกฤษ” ตามที่ชาวอังกฤษคาดหวัง แต่มาถึงวันนี้ เราอาจใช้คำอธิบายใหม่จากพิธีเปิดการแข่งขันที่แหวกแนว มาอธิบายได้ว่า สัญลักษณ์ของโอลิมปิก 2012 ไม่ใช่การ “สะท้อนอัตลักษณ์เดิมของอังกฤษ” ให้ชาวโลกได้รับรู้ว่ามีดีที่ตรงไหน แต่มันอาจเป็นการ “กำหนดอัตลักษณ์ใหม่ของอังกฤษ” ว่าจากนี้ไป อังกฤษแห่งศตวรรษที่ 21 ควรจะมีหน้าตาเป็นอย่างไรต่างหาก ตัวตนของ “อังกฤษแห่งอนาคต” จึงไม่จำกัดเพียงสัญลักษณ์เชิงวัฒนธรรมที่คุ้นเคยอย่างบิ๊กเบน ไม่จำกัดกรอบประเพณีแบบเดิมๆ ชนิดว่า “ผิดจากนี้ไม่ใช่เรา” อย่างที่หลายประเทศพยายามสร้างกำแพงป้องกันตัวในเชิงวัฒนธรรมเอาไว้ แต่อังกฤษสมัยใหม่คืออังกฤษยินยอมให้โลโก้สีม่วงสะท้อนแสงแขวนอยู่บนสะพานหินเก่าสมัยศตวรรษที่สิบเก้า เป็นอังกฤษที่เปิดกว้างยอมให้พระราชินีมาเล่นมุขกระโดดร่มสู่สนามกีฬา เป็นอังกฤษที่พยายามเปิดรับความคิดใหม่ๆ ของคนรุ่นใหม่ โดยยังพยายามสืบสานรากเหง้าของตัวเองเอาไว้ แต่ก็ไม่ได้พิทักษ์ปกปักษ์จนแตะต้องแก้ไขอะไรไม่ได้เลย ไม่ว่าจะเป็นพ่อมดเมอร์ลินหรือแฮร์รีพ็อตเตอร์ เดอะบีทเทิลหรือสไปซ์เกิร์ล รถเมล์สองชั้นหรือมินิคูเปอร์เปิดประทุน เช็คสเปียร์หรือเจ.เค.โรวลิ่ง เชอร์ล็อคโฮล์มหรือเจมส์บอนด์ พิธีเปิดการแข่งขันโอลิมปิก 2012 ครั้งนี้ เป็นโอกาสที่อังกฤษร้องตะโกนบอกให้โลกรู้ว่า “ทั้งหมดนี้แหละคือเรา” จากคุณ : Modster เขียนเมื่อ : 31 ก.ค. 55 15:54:37

ความคิดเห็นที่ 10 ส่วนนี้ขอเพิ่มเติมจากบทความด้านบทเพราะไม่ได้เขียนถึง พิธีการจุดคบเพลิงโอลิมปิก 2012 ที่เรียบง่ายแต่เน้นการมีส่วนร่วม (และไม่มีสลิง!) โดยปกติโอลิมปิกที่ผ่านมามักจะคัดเลือกบุคคลที่มีชื่อเสียงมาเป็นคนจุดคบเพลิง แต่โดยคอนเซปต์หลักทั้งหมด ที่มุ่งเน้นไปยังอนาคต การเปลี่ยนแปลง การสืบสานวัฒนธรรมจากรุ่นสู่รุ่น พิธีการจุดคบเพลิงเป็นอีกสิ่งหนึ่งที่ชาวโลกจับตามองว่าจะยิ่งใหญ่อลังการ มีเทคนิคพิธีอะไร ก่อนหน้านี้เคยมีข่าวลือว่า อาจจะให้เดวิด เบ็คแฮม เตะบอลไปจุดไฟคบเพลิงก็เป็นได้  และการรอคอยก็ไม่ผิดหวัง   เด็กน้อยเยาวชนหน้าตาจิ้มลิ้ม กล่มหนึ่งเป็นคนรับคบเพลิงต่อจาก นักกีฬาระดับชาติติดเหรียญทอง ๕ เหรียญ จนได้ชื่อว่าเป็นตำนานในเกมกีฬา "เซอร์สตีฟ เรดเกรพ" เด็กกลุ่มนั้น เป็นนักกีฬาเยาวชนตัวแทนความหวังของชาวอังกฤษสู่อนาคตที่คัดเลือกโดยนักกีฬาเหรียญทองโอลิมปิก  เป็นการสื่อถึงความหวังแห่งอนาคต สืบทอดจากรุ่นสู่รุ่น เราจะยังไม่หมดหวัง จากคบเพลิง 1 คบเพลิง นักกีฬารุ่นเก่า ได้จุดถ่ายทอดต่อไปยังรุ่นเยาวชน และเด็กกลุ่มนั้น ต่างช่วยกันจุด  รูปแบบที่เรียบง่ายแต่ความหมายลึกซึ้งมาก จากไฟหลายๆ ดวงค่อยๆ แผ่ขยายไปรวมกันชู่ช่อเป็น 1 ดวงกลางสนาม "จากมวลชนสู่ึความเป็น หนึ่ง" นัยนะในการจุดคงเป็นเช่นนั้น  มองจากมุมกล้องด้านใน  คบเพลิงที่ลุกโชติ เปรียบเสมือนดวงอาทิตย์ที่กำลังฉายแสง สมกับคำว่า Our Moment to Shine มาถึงตรงนี้ ต้องยอมคารวะ แดนนี่ บอยด์ โคตรอัจริยะจริงๆ จากคุณ : Modster เขียนเมื่อ : 31 ก.ค. 55 16:07:24

ความคิดเห็นที่ 11 วงเปิด Arctic Monkeys ตัวแทนของวัฒนธรรมดนตรียุคใหม่ หลายๆคนคงเฝ้าคอยดูวงเปิด และคาดหวังว่าน่าจะเป็น MUSE วงที่ทำเพลงธีมครั้งนี้ แต่พลิกโผกลับกลายเป็นวงกวนโอ้ยอย่าง Arctic Monkeys ไปเสียนี่ (เราชอบ) จากภาพโดยรวมทั้งหมด การสื่อสารความเป็นอังกฤษยุคใหม่ การคิดค้น WWW ของเซอร์ทิม เบอร์เนร์ส-ลี  ชาวอังกฤษ ที่เชื่อมต่อทุกคนบนโลกใบนี้ วิถีประจำวันกับการใช้ Social Network ที่ถูกถ่ายทอดในโชว์ที่อุทิศเพื่อ ของเซอร์ทิม เบอร์เนร์ส-ลี "This is for every one" มันทำให้เห็นภาพชัดขึ้นว่า ทำไมต้องเป็น Arctic Monkeys หากใครเป็นแฟนเพลงของวงนี้จะรู้ว่า วงอาร์กติก มังกี้ส์ ใช้ Social Network ที่เรียกว่า MY Space ในการโปรโมทตัวเองจนโด่งดัง จนได้เซ็นต์สัญญากับค่ายใหญ่ www ที่ชาวอังกฤษคิดค้นขึ้นมา ได้ถูกนำมาใช้อย่างสร้างสรรค์  วง เล่นเพลงตัวเอง 1 เพลง และ คัพเวอร์เพลง Come together ของ The Beatles รูปแบบโชว์ก็สวยงาม นกพิราบเรืองแสง บินร่อนไปทั่วท้องสนาม สัญลักษณ์ของสันติภาพ ที่เบ่งบานในกลางกรุงลอนดอน ไม่มีวิดีโอให้ดู เพราะทาง official site ไม่อัพโหลด เป็นใครอัพโหลดก็โดยบล๊อกไปแล้ว เห็นบอกว่า NBC ไม่ได้ถ่ายสดช่วงนี้ไป อเมริกา จากคุณ : Modster เขียนเมื่อ : 31 ก.ค. 55 16:25:24

ความคิดเห็นที่ 12 ฉากสมเด็จพระราชินีกระโดดร่มลงสู่สนามแข่งขัน - ข้างล่างมืดแล้ว บนเฮลิคอปเตอร์ตอนกระโดด สว่างจ้าเลย ไม่น่าพลาด พอโดดลงมาแล้ว ตัดมาที่สมเด็จพระราชินี เดินออกมาที่นั่ง ใส่ชุดเดียวกัน - คิดว่ามันทื่อไปหน่อย ไม่ค่อยรู้สึกว่า ต่อเนื่อง หรือเชื่อมกันเท่าไร คหสต. ถ้ามีสายร่มสักหน่อย หรือ เดินมากับเดเนียล เครก-เจมส์ บอนด์ ที่มีสายร่มอะไรแบบนี้ ยังจะรู้สึกเชื่อมโยงมากขึ้น จากคุณ : คนตะวันออก เขียนเมื่อ : 31 ก.ค. 55 16:25:43

ความคิดเห็นที่ 13 ไหนๆก็นำเสนอความทันสมัยและพลังคนรุ่นใหม่ น่าจะให้ Christopher Nolan กำกับไปเลยนะครับ จากคุณ : XBOX360 เขียนเมื่อ : 31 ก.ค. 55 16:26:18

ความคิดเห็นที่ 14 MUSE : SURVIVAL มหากาพย์มาก เป็นเพลงธีมโอลิมปิกที่เท่มาก จากคุณ : Modster เขียนเมื่อ : 31 ก.ค. 55 16:27:13

ความคิดเห็นที่ 15 ความคิดเห็นที่ 13   คุณ XBOX360 อาจจะเป็นเพราะ โนแลน ถือสองสัญชาติหรือเปล่าอเมริกัน-อังกฤษ  แดนนี่ อังกฤษจ๋ามาก และมีอารมณ์ขัน ตลกร้าย ช่างประชดประชัน อินดี้โคตร หากผู้กำกับที่มีความเป็นบริติชสูงขนาดนี้ จะถ่ายทอดเรื่องราวออกแบบไหน และอีกอย่าง แดนนี้ ในเรื่องของโปรไฟล์ที่มีออสการ์  การันตีด้วยยิ่งแล้ว รัฐบาลคงเลือก แดนนี่  ถึง โนแลน จะเป็นผู้กำกับรุ่นใหม่ที่ทำงานเก๋ เปรี้ยว ล้ำโคตร แต่ไม่กลิ่นของความเป็นอังกฤษ ไม่เหมือน แดนนี่ --อันนี้ วิเคราะห์เองนะ ถ้าหากข้อมูลเจอ จะเอามาแชร์อีกที   แก้ไขเมื่อ 31 ก.ค. 55 16:37:44 จากคุณ : Modster เขียนเมื่อ : 31 ก.ค. 55 16:30:41

ความคิดเห็นที่ 16 เมื่อได้ยิน Hey Jude สุดคลาสิก คนวัย 40+++ จะจำได้ว่าช่วงชีวิตนั้นเขาทำอะไรอยู่เมื่อเพลงนี้ขึ้นอับดับหนึ่งไปทั่วโลก Hey Jude ของเด็กรุ่นใหม่ เมื่อเซอร์พอลร้องปิด เขาจะนึกถึงพิธีเปิดลอนดอนโอลิมปิกส์ 2012 ทุกครั้งที่ได้ยิน na-na-na-sha-na-na-na...คงความอมตะต่อไป นี่ถ้าจอห์นยังอยู่ อาจได้เห็น Lennon & McCartney together again เพื่อหน้าตาของชาติ งานครั้้งนี้ไร้รูปแบบไม่อลังการงานสร้าง(เท่าที่หลายคนคาดหวัง) แต่น่าประทับใจอย่างนึกไม่ถึง ทำให้เราเซอร์ไพรซ์ได้อย่างที่ผู้จัดบอกไว้จริงๆ จากคุณ : la liga fan เขียนเมื่อ : 31 ก.ค. 55 16:32:31

ความคิดเห็นที่ 17 โนแลนติดคิวถ่าย Batman หรือเปล่า จากคุณ : jukbee เขียนเมื่อ : 31 ก.ค. 55 16:39:55

ความคิดเห็นที่ 18 โดยเฉพาะ ฉากที่ นางเอกทำมือถือหาย และพระเอก เอามาคืนแล้วปิ้งบั้งกัน และร่วมดาวสาวเต้นมาสะบัดช่อ ด้วยเพลงดังก้องโลก จากคุณ : june_ju เขียนเมื่อ : 31 ก.ค. 55 16:43:11

ความคิดเห็นที่ 19 ผมดูก็ยังชอบเลย มันแหวกแนวจริงๆ จากคุณ : nattapon86 เขียนเมื่อ : 31 ก.ค. 55 16:51:21

ความคิดเห็นที่ 20 สี่ปีที่แล้วพิธีเปิดที่จีนจบ ทำให้ประเทศจีนเป็นเหมือนคนที่ยืนอยู่บนภูเขาสูงตระหง่านเพื่อประกาศความยิ่งใหญ่ของตนที่ยากจะไม่ใครมาแย่งจุดยืนของความยิ่งใหญ่ไปได้ ปีนี้อังกฤษก็มาแย่งตำแหน่งความยิ่งใหญ่จากจีนไปไม่ได้ครับ เพียงแต่ เค้าไปยืนตระหง่านอยู่บนยอดเขาของภูเขาอีกลูกนึงที่มีความสูงเท่าๆกัน  นับถือในความฉลาดของผู้กำกับจริงๆครับ ที่เค้นความเป็นอังกฤษออกมาได้ครบทุกอนูจริงๆ จากคุณ : chai7072 เขียนเมื่อ : 31 ก.ค. 55 16:57:49

ความคิดเห็นที่ 21 ดูพิธีเปิดแล้วทำให้เข้าใจได้เลยว่า ทำไมเจ้าภาพถึงได้เลือกแดนนี่ บอยล์ มาเป็นผู้กำกับรายการ ทั้งที่ผู้กำกับหนังฝีมือดี ๆ ของอังกฤษมีอยู่มากมายหลายคน คงเพราะเห็นฝีมือมาจากการสร้างหนังทุนต่ำอย่าง slumdog millionaire ให้ประสบความสำเร็จด้านเสียงวิจารณ์และรางวัลได้ และพิธีเปิดโอลิมปิกคราวนี้ก็ออกมาอย่างนี้เลย คือไม่ได้อลังการ แต่ออกมาอย่างเก๋ไก๋มีไอเดียแบบหนังอินดี้ยังไงยังงั้น ส่วนตัวคิดว่าพิธีเปิดของลอนดอนเกมส์คราวนี้ คงทำให้บราซิลและคนที่จะเสนอตัวเป็นเจ้าภาพโอลิมปิกคราวต่อ ๆ ไปคงหายใจโล่งอกขึ้นได้เยอะว่าถ้าใช้ไอเดียดี ๆ ก็สามารถจัดพิธีเปิดออกมาได้อย่างโดดเด่นแสดงออกถึงความเป็นตัวตนของชาติตัวเองได้โดยไม่ต้องทุ่มทุนสร้างให้มันอลังการมากมาย ถ้าอังกฤษเลือกแข่งความอลังการกับจีนขึ้นมา คงเป็นปัญหาหนักของเจ้าภาพครั้งต่อไปที่จะต้องจัดให้อลังการยิ่งกว่าเพื่อไม่ให้น้อยหน้าครั้งก่อนหน้า ดีไม่ดีโอลิมปิกอาจจะกลับไปซบเซาเหมือนยุคก่อนปี 84 ที่ไม่ค่อยมีใครอยากเสนอตัวเป็นเจ้าภาพก็ได้ จากคุณ : เกียรตินำ เขียนเมื่อ : 31 ก.ค. 55 18:11:20

ความคิดเห็นที่ 22 โนแลนน่าจะติดถ่ายทำ Batman นะ ต่อให้อังกฤษเลือกโนแลนก็คงมาทำให้ไม่ได้อยู่ดี แล้วก็งานสไตล์ของโนแลนออกแนวหม่นทึมมากกว่า ในขณะที่แดนนี่ บอยล์ กล้าจะแหกคอกได้ในทุกรูปแบบ ดูได้จากหนังที่ทำได้ในหลากหลายแนว แล้วเป็นที่อื่นก็คงไม่มีใครคิดจะเอาวงดนตรีอิเลกทรอนิกมาเปิดตัวแบบนี้แน่ๆ แต่นี่คือแดนนี่ บอยล์ ซึ่งตัวตนของอังกฤษที่คนทั่วโลกยุคสมัยใหม่คุ้นเคยสุดก็คือความเป็น Brit Pop สุดแนวนี่แหละ วงดนตรีชื่อดังที่คนทั่วโลกรู้จักอย่าง Oasis, Coldplay, Pet Shop Boys, Take That ก็มาจากอังกฤษทั้งนั้น (เออ เพิ่งนึกได้ว่าร็อบบี้ วิลเลี่ยมส์หายไปไหนหว่า 555) Brit Pop จะเหมาะกับใครที่จะถ่ายทอดออกมา ถ้าไม่ใช่แดนนี่ บอยล์ แล้วเราก็ได้เห็นในทุกอณูของทุกโชว์เปิดตัวจริงๆ แล้วยังผสมกับอารมณ์ดราม่าแบบหนังได้ลงตัว ปกติ พิธีเปิดจะทำได้แค่ตราตรึง แต่พิธีเปิดครั้งนี้ทำได้อีกขั้นด้วยการทำให้คนดูรู้สึกเข้าไปมีส่วนร่วมได้ด้วย โดยเฉพาะตอนช่วงจุดคบเพลิงนี่สุดๆแล้ว เรารู้สึกได้ทันทีว่า เรากำลังเป็นส่วนหนึ่งของการส่งต่อไฟให้เจเนอเรชั่นใหม่ และการเป็นส่วนหนึ่งของการรวมใจกัน ผ่านคบเพลิงที่ออกแบบมาได้มีความหมายมาก แล้วยังทำให้คนไม่รู้สึกจบหลังดูพิธีเปิด เชื่อว่าหลายคนต้องไปหาเพลง Hey Jude ของอมตะวงอย่าง The Beatles มาฟัง ไหนจะ Score ตอนจุดคบเพลิงที่ติดหูอีก พิธีเปิดไม่ได้ใหญ่โตอลังการ แต่มีมนต์เสน่ห์ที่กลับไม่ใช่แค่นั่งดูแล้วก็จบ ยังไปมีต่ออีก สมกับเป็นคนทำหนังเด็กแนวที่เคยทำให้วัยรุ่นคลั่งมาแล้วกับ Trainspotting เอาเพลง Score ตอนช่วงโชว์ปฏิวัติอุตสาหกรรมไปฟังกันครับ เชื่อว่าหลายคนคงจะคึกคักจนอยากขยับเท้ากันเลยทีเดียว จากคุณ : CatCakeMaru เขียนเมื่อ : 31 ก.ค. 55 18:25:44

ความคิดเห็นที่ 23 -คห. 22 ขอบคุณค่ะ ที่เอามาฝาก ชอบเพลงประกอบฉากส่งต่อคบเพลิง เบ็คแฮมด้วยที่ขึ้นสปีดโบ๊ท  อาจจะเป็นเพราะเราอินกับยุค BritPopของอังกฤษ เลยทำให้การดูโชว์ โอลิมปิก ที่ ลอนดอน เกมส์ สนุกได้ขนาดนี้ก็ไม่รู้ มันมีทั้งความสนุก และลึกซึ้งอยู่ในที -------------------------------- จีนทำไว้อย่างอลังการมาก จน เ้จ้าภาพครั้งต่อไปต้องพูดเสียงเดียวกัน จะเอาอะไรมาสู้ว่ะ เพราะในเรื่องของกำลังทรัพย์ไม่มีทางอยู่แล้ว จีนให้เงิน มหาศาลมาก เป็นประวัติศาสตร์ ของการเปิดโอลิมปิก และก็อลังการจริงๆ เรายกจีนไว้บนหิ้งในเรื่องของความอลังการ ตื่นตา กับเทคนิคต่างๆ แต่สำหรับ อังกฤษ มันดูสนุก ดูแล้วคิดตาม และดูแล้วเข้าใจ แม่เจ้า นี่มัน "โคตรอังกฤษเลยนี่หว่า"  เพื่อนชาวอังกฤฤษอัพเดตสเตตัสกันว่า "Do you hear that world we INVENT everything !!"   มันดูเป็นพิธีเปิดที่มีเสน่ห์ กล้า และซ่ามาก ไม่สนใจโลก เอ็งจะเข้าใจ หรือไม่เข้าใจข้าไม่รู้ เพราะข้าเป็นอย่างนี้ มีความหยิ่งผยองในตัวเอง มีอารมณ์ขันแบบตลกร้าย มีการประชดประชัน แบบแซ่บๆ  ไม่ว่าจะเป็น การเอาควีนอลิซาเบธที่ 2 มาร่วมซีน หรือ การเอา มร. บีนส์ มาร่วมเล่น กับวงออร์เคสตร้า ที่ได้ชื่อว่ามีชื่อเสียงติดอันดับโลก หลุดกรอบ และแหก แนวมากๆ แน่นอน เพลงที่บรรเลง Chariot of Fire หนังสดุดีนักวิ่ง 2 คน ที่คว้าเหรียญทองกีฑาให้อังกฤษ และตัวหนังเองก็เป็นม้า มืดในการคว้ารางวัล ได้รางวัลออสการ์  ฉากจบที่เป็นคบเพลิง ดูเหมือน พระอาทิตย์กำลังฉายแสง ทำให้นึกถึงหนัง ที่แดนนี่ บอยด์ กำกับ "Sun shine" เลย --------------------------------- เรื่องการประชดประชัน ก็ไม่มีใครเกินชาวอังกฤษ Isles of Wonder เปิดฉากเป็นท้องทุ่งสวยงาม แสดงถึง ยุคก่อนการปฏิวัติอุตสาหกรรม ดูสงบสุขเขียว ขจีกันไป แต่การ เข้ามาสู่ยุค ปฏิวิตฯ แดนนี่ กล้ามาก ลองจินตนาการภาพในห้อง ประชุมบอร์ด ตอนแดนนี่ เสนองาน แดนนี่:: " อืม เราจะทำท้องทุ่ง เขียวขจี สื่่อความเป็นอังกฤษนะ ภาพผู้คนยิ้มแย้ม สดใส มีความสุข ...." กรรมการ:: " ดีมาแดนนี่ อย่างนั้นที่เราต้องการบอกชาวโลก ว่าประเทศเราอุดมสมบูรณ์ น่าอยู่ สงบสุข.." แดนนี่:: "อืม..แต่สักพัก ..จะมีกลุ่มนายทุนเขามาทำลาย ความเขียวขจี สงบสุข มีการหลั่งไหลเข้ามาของนานาประเทศในเครือจักรภาพฯ แล้วเราจะเปลี่ยนเป็นภาพของโรงงานอุตสาหกรรม ดำทมึน สกปรกๆ ขึ้นแทนนะ" นึกแล้วก็ฮาไม่น้อย กว่าจะมาถึงวันนี้คาดว่า คงทะเลาะเถียงกัน หัวแทบแตกแน่ๆ และตอนนี้ แดนนี่ คงนั่งจิบแชมเปญ อยู่ เพราะทั่วโลกต่างบอกว่า พิธีเปิดครั้งนี้ ยอดเยี่ยมมาก (แต่ไม่มีใครเปรียบเทียบความอลังการ กับจีนนะ) --------------- แต่ภาพท้ายสุดในโชว์ The industrial revolution ที่เป็นห่วงโอลิมปิกลอยรวมตัวกันบนท้องฟ้า ช่างตระการตานัก เราคิดไปเองว่า ในยุคนั้น ถึงจะเป็นช่วง ปฏิวิต มีความอดอยาก ลำบากต่างๆ สงครามเอย มากมาย แต่ อังกฟษก็ยังได้เป็นเจ้าภาพหลายครั้ง และโอลิมปิกก็เสมอความ หวัง ที่จะนำความสุขกลับมาอีกครั้ง ------------------ ในโชว์ของ NHC  National Health Care ก็เป็นการตบหน้ารัฐบาลประกาศก้อง ต่อชาวโลกว่า นี่คือสิ่งที่อังกฤษภูมิใจ อังกฤษเป็นประเทศไม่กี่ประเทศในโลกที่มีระบบบริการรักษาสุขภาพฟรี สำหรับประชาชน เป็นโชว์ที่พาดพิงการเมืองเล็กน้อย เพราะก่อนหน้านี้รับบาลพยายามที่จะล้มเลิกโครงการนี้ แต่ประชาชนไม่ยอม การที่ แดนนี่ บอยด์ เอาโชว์นี้มาเป็นส่วนหนึ่งของพิธีเปิดก็เป้นการประท้วงกลายๆ  ว่า อย่ามาคิดจะล้มโครงการนี้เชียว เพราะชั้นประกาศความภาคภูมิใจไปแล้ว การเอา ลอรด์ โวลดามอร์ และเหล่าสมุนผู้เสพความตาย นัยยะหนึ่งอาจะเป็นเรื่องของโรคภัยไข้เจ็บ แต่มองอีกมุม น่าจะเป็นกลุ่มคนที่คิดจะล้มโครงการนี้   แก้ไขเมื่อ 31 ก.ค. 55 20:06:54 แก้ไขเมื่อ 31 ก.ค. 55 18:53:34 แก้ไขเมื่อ 31 ก.ค. 55 18:51:35 จากคุณ : Modster เขียนเมื่อ : 31 ก.ค. 55 18:37:11

ความคิดเห็นที่ 24 ผมชอบมาก ความคิดแปลก สร้างสรรค์แกตต่างจากพิธีเปิดกีฬาอื่นๆ ปรกติพิธีเปิดจะเล่นเรื่องราวต่างๆของประเทศนั้นๆตั้งแต่สร้างอาณาจักร ก่อตั้งประเทศ ยิ่งอารยธรรมเป็นพันปีแบบจีน อลังการมากๆ แต่อังกฤษมานำเสนอในวัฒนธรรมสมัยใหม่  โลกของดนตรี หนัง วันรุ่นสมัยใหม่ โดยเฉพาะตอนจุดคบเพลิงให้เด็กเยวชน 7 คน จุด นอกจากจะเป็นการบ่งบองว่า เด็กๆเหล่านี้จะเป็นตัวแทนนักกีฬาของชาติต่อไปในอนาคตแล้ว ประเทศชาติจะเป็นอย่างไรก็ต้องฝากไว้กับคนรุ่นต่อไปด้วย จากคุณ : TrojanTHM เขียนเมื่อ : 31 ก.ค. 55 18:51:17

ความคิดเห็นที่ 25 ชอบมากที่เขาสามารถดึงหลายสิ่งหลายอย่างของอังกฤษที่คนทั่วโลกรู้จักมาใช้ในงานนี้อย่างน่าประทับใจ แม้แต่ Queen Elizabeth ก็ยังมีส่วนร่วมในงานนี้ ฉากที่พระองค์ร่วมแสดง นับว่าเป็นไฮไลท์ทีเดียว จากคุณ : padivarutda เขียนเมื่อ : 31 ก.ค. 55 19:11:58

ความคิดเห็นที่ 26 หลังพิธีเปิดไปแล้ว  ผมไปอ่านดูตามเวปบล๊อกจีน  เท่าที่ผ่านตามา  มีเวปบล๊อกหลายคนชื่นชอบแบบลอนดอนนะครับ โดยเฉพาะแนวคิดที่เน้นความเป็นสามัญ  และยกย่องคนธรรมดา  เขาชอบความยุ่งเหยิงแต่มีชีวิตชีวาอย่างฉากคนงานในยุคปฏิวัติอุตสาหกรรม  สุดท้ายช่วยการหลอมห่วงทองขึ้นไปประกอบบนฟ้าเป็นสัญลักษณ์โอลิมปิก บล๊อกเกอร์รายนึงปิดท้ายด้วยประโยคว่า  หากปราศจากซึ่งความเป็นมนุษย์แล้ว  การแสดงมันก็เป็นแค่กายบริหารอย่างพร้อมเพียงเท่านั้นเอง จากคุณ : โกกิลา เขียนเมื่อ : 31 ก.ค. 55 23:24:37

ความคิดเห็นที่ 27 คห26 ตอนดูเปิดปักกิ่งเกมส์ เห็นถึงความเพียบพร้อม แรงงานมนุษย์นับหมื่น ความอลังการของเทคโนโลยี ทําให้นึกคิดว่ากว่าจะออกมาได้ขนาดนี้ต้องอดทนฝึกฝนกี่ฝนกี่หนาวกันนะ แต่ใจนึงพาลคิดว่าทําไมเป็นหุ่นยนต์ที่เป๊ะกันได้ขนาดนี้ ประเทศที่สามารถทําได้ทุกอย่าง จากคุณ : Modster เขียนเมื่อ : 1 ส.ค. 55 00:05:55

ความคิดเห็นที่ 28 เราประทับใจมาก ปกติก็ชอบลักษณะอารมณ์ขันแบบตลกร้ายแบบนี้อยู่แล้ว เค้าเข้าใจจัดให้ฉีกแนวออกไปจากจีนนะ ไม่เน้นความอลังการแต่เน้นวัฒนธรรมร่วมสมัยที่ใครๆก็ปฏิเสธไม่ได้ว่านี่แหละคืออังกฤษ ดูพิธีเปิด+ช่วงจุดคบเพลิงแล้วเข้าใจเลยว่าLONDON2012 = Inspire the Generation จริงๆ จากคุณ : aquatitle เขียนเมื่อ : 1 ส.ค. 55 14:25:36