ความคิดเห็นที่ 1 ผมเข้ามาก้มหัวยอมรับการทำทีมของเฟอร์กี้ครับ เกือบ 26 ปีนั้น เค้าปรับทีมของเขาให้เข้ากับฟุตบอลยุคใหม่ได้ตลอดด้วยตัวเค้าเอง (ผู้ช่วยด้วยละกัน) ทำให้ทีมทีมนี้ยังอยู่แถวหน้าของยุโรปและเป็นเบอร์หนึ่งของอังกฤษ อาจจะเล่นไม่สวยงามมากนัก แต่การเข้าทำหลากหลาย ปรับแนวคิดการเล่นใหม่ๆ อยู่ตลอดเวลา พัฒนาทีมทั้งในและนอกสนาม ที่แค่ทึ่งน่ะครับ ไม่ได้วิเคราะห์อะไรให้ จขกท เลย ส่วนน้ามู ผมไม่ค่อยชอบ เลยไม่อยากพูดถึงครับ (ส่วนตัวคิดว่าถ้ากุนซือยุคใหม่เป๊ปเจ๋งกว่าครับ) จากคุณ : mr.virgin เขียนเมื่อ : 22 ต.ค. 55 09:05:08

ความคิดเห็นที่ 2 แสดงความเห็นได้เฉพาะข้อ 1 อ่ะนะ ตามความเห็นของเรา แผนของน้ามู จะบุกอยู่ 3 แบบ 1 ปีกสองข้างจี้ดๆ ตัดเข้าในแล้วยิง หรือ เปิดบอล ส่วนใหญ่ใช้คนถนัดขวาไปปีกซ้าย 2 ใช้กลางรุก 1 ตัวยืนหน้ากรอบเขตโทษรอเข้าฮอส และยิงไกล 3 เน้นใช้หน้าแบบยืนค้ำ ครองบอล ยิงแบบโป้งปิดบัญชี สำหรับเกมส์โต้กลับโดยเฉพาะ การเล่นเกมส์รุกแบบเฮียมูจะเล่นจังหวะกันน้อย เน้นบอล direct ด้วย คือ บุกต้องจบด้วยการยิง เพื่อไม่ให้โดนโต้ ส่วนกลางรับจะใช้ 2 ตัว ตัดเกมส์ทั้งคู่ แบ็กสองข้างสลับกันขึ้น ถ้าขึ้นขวาซ้ายจะยืนหลัง เน้นซ้อมลูกเซตพีซมากๆ โดยเฉพาะเตะมุม จากคุณ : @Love_ที่รัก เขียนเมื่อ : 22 ต.ค. 55 09:23:36

ความคิดเห็นที่ 3 ไม่ตอบเรื่องแทคติก เพราะเราไม่รู้.... มูริญโญ่ ปรัชญาหลักชัดเจน เล่นเพื่อชัยชนะ แทบไม่เลือกวิธีการ อุดได้ถ้าจำเป็น บุกได้ถ้าทรัพยากรมี เกรียน+ตุกติกได้ ถ้าเป็นผลบวกกับทีม เสกแชมป์ลีคได้ทุกทีมที่ไปคุม เฟอร์กี้ ปรัชญาหลักเน้นบอลริมเส้น อาศัยความเร็วในการเข้าทำ+การเลือกตัวผู้เล่นที่ตรงกับงานในสนาม มีการแก้เกมส์ที่ยอดเยี่ยมจนน่าจะเป็นเบอร์หนึ่งของโลก - ถ้านับแชมป์กัน ใครจะไปแซงท่านเซอร์ได้นาทีนี้ล่ะเนี่ย - ถ้านับบุคลิกภาพ ภาวะผู้นำ การได้ใจลูกทีม มูริญโญ่ น่าจะเหนือกว่าแบบเส้นยาแดงผ่าแปด จากคุณ : icute123 เขียนเมื่อ : 22 ต.ค. 55 10:38:23

ความคิดเห็นที่ 4 4-3-3 ของเฮียมู เป็นแผนที่ผมทึ่งจริงๆครับ จำได้ลางๆว่าสมัยนั้น นอกจาก 4-4-2 ที่เป็นระบบพื้นฐานสากลโลกแล้ว ก็จะมีอีกแผนการเล่นยอดฮิต โดยเฉพาะทีมใหญ่ๆสมัยนั้น ที่มักจะใช้ 4-2-3-1 ที่ติดตาเลยก็ชุดขาวกาแลคติกอสนี่แหละ เกมรุก 3 ตัวใช้ ซีดาน-ราอูล-ฟิโก้  แล้วหน้าเป้าก็เป็น R9 ไปซะ เป็นอะไรที่ดูแล้วสยองขวัญมาก แถมเกมรับก็ไม่ต้องห่วงเพราะมีกลางรับยืนคุมถึง 2 ตัวอยู่หน้าแบ็กโฟร์ ตอนนั้นผมก็คิดว่า 4-2-3-1 นี่แหละ เจ๋งสุดในโลกแล้ว จนมูเข้ามาคุมเชลซี แล้วมาปรับให้ทีมเล่น 4-3-3 (จริงๆคือ 4-1-2-3) กลางรับเหลือคนเดียว ซึ่งถ้าเลข 1 ตรงนั้นคือ โคล้ด มาเกเลเล่ พี่แกคนเดียวก็เอาอยู่แล้ว คู่กลาง 2 ตัวคุมจังหวะ พร้อมทำเกมรุกได้แบบไม่ต้องพะวงหลัง (แต่ก็ต้องวิ่งเป็นผึ้งงานเหมือนกันนะ) ซึ่งระบบนี้แหละ ทำให้แลมพาร์ดโด่งดังเป็นพลุแตก ยิงประตูได้จนเป็นประวัติศาสตร์สโมสร ปีก 2 ข้างต้องเป็นพวกตัวจี๊ด ทะลุทะลวง ของเชลซีก็เป็น ดัฟฟ์-รอบเบน ตอนวัยกำลังคึกคะนองแบบสุดๆ แถมยังสลับฝั่งกันเล่นไปมาได้ด้วย และอย่าลืมว่ามีโจ โคล คอยสแตนด์บายอยู่ข้างสนามอีกคน หน้าเป้าก็เป็นตัวชน ตัวพิง เก็บบอล แข็งแกร่ง และพร้อมจะจบสกอร์ จะมีใครเหมาะกับหน้าที่นี้เท่าดร็อกบาเนี่ย นี่ยังไม่ต้องพูดถึงแผงหลังทั้ง 4 กับโกล์แบบปีเตอร์ เชค เวอร์ชั่นยังไม่สวมหมวก ทั้งหมดนี้มันเป็นอะไรที่ลงตัวโคตรๆ ไม่รู้ว่าระบบการเล่นมันดี หรือเพราะเฮียมูแกหานักเตะ มาใส่ลงในช่องว่างเหล่านั้นได้ดีกันแน่ แต่ผลออกมาก็อย่างที่เห็น.. เชลซีได้แชมป์ลีกครั้งแรกของสโมสรในรอบ 50 ปี และนั่นก็เปลี่ยนความคิดของผมจนถึงทุกวันนี้ ว่า 4-1-2-3 คือแผนการเล่นที่ดีที่สุดสำหรับผมครับ จากคุณ : Limelight เขียนเมื่อ : 22 ต.ค. 55 10:43:23

ความคิดเห็นที่ 5 มูเล่นแบบไร้ปีก  การเล่น 4-3-3 หรือ 4-2-3-1 ไม่มีตัวเล่นริมเส้น แต่หุบเข้ามาช่วยแดนกลางมากกว่าถ่างไปทางปีก ปรัญชาคือ รับก็ได้รุกก็ดี อะไรก็ได้ที่นำมาซึ่งชัยชนะ (ที่ยิงได้มากปัจจุบัน ต้องให้เครดิตโด้ด้วย) ---------------------------------------------------------------------------------------------------- เฟอร์กี้มีหลายฟอร์เมชั่น 4-4-2 ตามในอดีต (ก่อนคศ 2000) เป็น 4-5-1 (สมัยรุดกับฮวน เวรอน) เป็น 4-3-3 (สมัยโด้ เตเวช รูนีย์) และ ปัจจุบันมิดฟิลด์แบบไดอามอนด์ (คล้ายๆ ของมูยุค 4-3-3) ปรับได้ตามผู้เล่น (แต่เฟอร์กี้พอรู้ว่าจะซื้อใครเข้ามา เขาก็จะปรับระบบให้เข้ากับผู้เล่นนั้นๆ ตอนนี้ก็หาทางปรับให้เข้ากับวิธ๊เล่นของคากาวะอยู่ เพราะเห็นเกมดอร์ทมุนด์บดบี้บาเยิร์นเละเทะในเดเอฟเบ โพคาลรอบชิงซีซั่นก่อน ปรัชญาเน้นบอลชิ่งสลับโยนยาว เกมโต้กลับของแมนฯยูเป็นเต้ยในยุทธจักรเสมอมา (อาจยกเว้นช่วงนี้) ---------------------------------------------------------------------------------------------------- แถมเป๊ป เล่นในระบบ 4-3-3 กำลังหลักคือ บุสเก็ต (ซงกับมัสเคร่าโน่ประปราย), อิเนียสต้า, ซาบี้ กองหน้าสลับระหว่างเมสซี่ กับ ซิลวา กับ เชสต์ ปรัญชาคือ เน้นบอลชิ่ง ครองบอลมากว่าทีมอื่น เป็นจุดแข็งสำคัญที่สุด --------------------------------------------------------------------------------------------------- หวังว่าคงเป็นประโยชน์ จขกท.บ้าง จากคุณ : เลขาลิขิต เขียนเมื่อ : 22 ต.ค. 55 12:04:11

ความคิดเห็นที่ 6 กระทู้ดี จากคุณ : ชื่อนี้มีคนใช้แล้ว เขียนเมื่อ : 22 ต.ค. 55 12:39:28

ความคิดเห็นที่ 7 รู้แต่ว่าสองคนนี้มีโจทย์ยากที่แตกต่างกัน 1. มูริญโญ่ สามารถเข้าถึงนักเตะได้เร็ว รู้วิธีชนะใจแฟนบอล เพราะโจทย์ยากของเขาคือการที่ต้องเปลี่ยนทีมบ่อยๆแล้วต้องทำผลงานให้ได้ภายในปีนั้นๆ หากคุณเคยเป็นบอสระดับผู้จัดการฝ่ายขึ้นไปแล้วต้องย้ายที่ทำงาน คุณจะรู้ว่ามันยากแค่ไหนกกว่าจะคอนโทรลลูกทีมใหม่ๆได้ บารมีในที่ทำงานเก่าๆไม่สามารถสานต่อไปยังสถานที่ใหม่ได้ ไม่ใช่แค่ว่าการที่คุณมีดีกรีด๊อกเตอร์แล้วโฟร์แมนอาชีวะจะเชื่อฟังคุณเสมอไป การแข็งข้อย่อมมีอยู่ แต่มูริญโญ่จัดการมันได้ดี ถึงไม่ได้ก็จัดการให้มันอยู่แต่ภายในห้องได้ ส่วนข้อง่ายของเขาคือการที่เขาจัดการให้ทีมเป็นกราฟที่พุ่งขึ้นได้ พาไปจุดสูงสุดได้ แต่พอหลังจากนั้น พอทีมเริ่มตกลง นักเตะถึงวัยที่ต้องเปลี่ยนยุค เขาย้ายไปสร้างตัวกับที่อื่น ทิ้งบริษัทเก่าเจ๊งไป เพราะการจัดการที่เก่งของเขาเลยทำให้ทีมที่เขาอยู่เหมือนเป็นทีมของมูริญโญ่ พอไม่มีมูริญโญก็เหมือนบริษัทที่พึ่งแต่ CEO คนเดียวและล้มเมื่อ CEO คนนั้นลาออก 2. เฟอร์กุสัน มีโจทย์ที่ตรงข้ามกับมูริญโญ่ เขาสร้างทีมมาหลายยุคสมัย การที่คุณเคยรุ่งเรืองแล้วอยู่ๆก็ประสบปัญหาดิ่งลงล่าง (ทั้งที่นักเตะเลิก ย้าย และเฮียแกขายเอง) คุณต้องพลิกแพลงเพื่อดึงตัวเองลุกขึ้นมา ซึ่งเฟอกุสันเคยล้มแล้วลุกมาหลายครั้ง เขาเลยมีรูปถ่ายฉลองแชมป์ตัวเองกับลูกทีมหลายๆหน้าตา และทีมของเฟอกุสันก็ไม่เคยตายตัวปรับได้กับยุคสมัย ไม่เคยโบราณ แต่ข้อง่ายก็ตรงข้ามกัน ตรงที่การที่เขาได้ลูกทีมมาหลายยุค แต่ทั้งหมดก็เพียงเข้ามาอยู่ในบริษัทที่เขาเหมือนกุมอำนาจเสร็จสรรพ staff ทุกคนเป็นคนของเขา พนักกงานหน้าใหม่ได้แค่เพียงก้มหัวและยอมรับในสิ่งที่เขาคิด แม้กระทั่งเจ้าของบริษัทยังต้องเกรงใจ เลยเป็นเรื่องง่ายในการที่เขาจะนึกคิดทำอะไร ไม่ต้องมารับผิดในบางครั้งที่มีการตัดสินใจพลาด ก็คือทั้งสองคนเป็นคนเก่งมากๆในสองเรื่องที่ต่างกันมากๆ จากคุณ : ก็แค่ชื่อสมมุติในเน็ต เขียนเมื่อ : 22 ต.ค. 55 12:41:07

ความคิดเห็นที่ 8 ยุค มูริญโญ่ นี่จำได้เด่นมากคือ เกมส์รับระดับสุดยอด แล้วตอนมีโอกาสที่จะได้ประตู  คือต้องได้  อย่าพลาดง่ายๆ   ลูกทีมเวลาเล่นไม่ละเอียดโดนตะโกนด่าข้างสนามอยู่บ่อยๆ  แท็คติคละเอียดมากจริงๆ แล้วจะไม่เสียบอลง่ายๆเหมือนยุคหลังๆเท่าไหร่ เปอร์เซ็นต์ครองบอลเยอะ แล้วเล่นชัวร์ หลังแน่น   - แลมพาร์ด สุดยอดมากๆ แทบไม่มีเจ็บ ไม่มีลา ลงเป็นตัวจริงเป็นแกนกลางของทีมตลอด สถิติลงตัวจริงลากยาวช่วงนึงนี่เหลือเชื่อมากๆ จำไม่ได้ว่ากี่นัด แล้วเกมส์รุก ก็เล่นมีมิติมาก เป็นมิดฟิลด์แบบที่ มูริญโญ่ ชอบแบบสุดๆ บอกว่าเอานักเตะคนไหนมาแลกแลมพ์ ผมก็ไม่ยอม   ตอนนั้นแลมพ์ ได้รองอันดับ 1 บัลลงดอร์  ดิญโญ่ ได้ตำแหน่งไป ก็เหมือนตำแหน่ง เหรียญเงินประมาณนั้น อันดับ 2 [ได้ แชมป์ลีก + ลีกคัพ] ส่วน เจอร์ราด ที่ฟอร์มเยี่ยมมากเหมือนกันได้ที่ 3 ไป [หงส์ได้แชมป์ UCL] - ปีก โจมตีริมเส้นพวก ดัฟท์ ร็อบเบน โจโคล นี่สุดยอดมากๆ ปีกแบบที่ เชลซี ขาดหายไปหลายปี แบบที่เล่นจู่โจมริมเส้น ธรรมชาติได้  แถมมาตรงกลางก็ยังเล่นได้เยี่ยมอยู่ - มาเกเลเล่ ช่วย แลมพาร์ด ตรงกลามสนามได้มากๆ เทคนิค ชั้นเชิงสูง เบียดกับพวกหนาๆใหญ่ๆได้สบาย ทั้งที่ตัวเองตัวเล็ก เพราะทางบอล อ่านเกมส์เด็ดขาดเหลือเกิน - ตัวรับ โดยเฉพาะหลักๆ เทอร์รี่ คาร์วัลโญ่ เหนียวแน่นมากๆ  แถมยังมีเช็คที่ฟอร์มระดับเวิร์ลคลาส เฝ้าหลังบ้าน เลยยิ่งชัวร์มากขึ้น   ทั้งฤดูกาลเสียไป 10 ประตูนิดๆเองมั้ง ปีแรกที่จบ 95 คะแนน แพ้นัดเดียว ใน ฤดูกาลแรก แต้มมากสุดของ EPL  - ทั้งช่วงเวลา 3 ปีครึ่งที่คุม ไม่เคยแพ้เกมส์ลีกใน สแตมฟอร์ด บริดจ์ แม้แต่นัดเดียว ถ้าลากไป ปอร์โต้ เชลซี อินเตอร์ มาดริด รวม 9 ฤดูกาล ไม่แพ้ใครในลีก ในบ้านของทีมที่ตัวเองคุม > เป๊ป ก็บอกว่าเป็นสถิติ สุดมหัศจรรย์  ในโลกคงไม่มี โค้ช คนไหนในโลกทำได้อีกแล้ว แต่คนที่หยุดตอนไปคุมมาดริด รู้สึกจะเป็นทีม กิฆอน นะ แพ้ 1-0 ตอนนี้หลายคนคิดว่าจะเป็น บาร์ซ่า ที่ทำได้  แต่ไม่ใช่ สถิติ เชลซี สมัยนั้น ขึ้นนำในบ้านแทบการันตี 3 คะแนนได้ แลมพ์  เป็นนักเตะคนสำคัญของเค้ามากๆเลย (2 ฤดูกาลแรกที่ได้แชมป์ และป้องกันแชมป์ลีกได้ ฟอร์มเยี่ยมสุดๆ) ซึ่ง มูริญโญ่ จะพูดให้เครดิตลูกทีมคนนี้บ่อยมาก จากคุณ : Angelus เขียนเมื่อ : 22 ต.ค. 55 13:16:43

ความคิดเห็นที่ 9 มูริญโญ่ จัดการเรื่องในทีมได้ลงตัวกว่า โบอาส ครับ เลยทุกอย่างไปได้สวย ของ โบอาส ปัญหาเพียบ   พอมีเปลี่ยนตัว ผจก เป็นดิมัตเตโอ ลูกทีมเล่นแบบดูดีขึ้นอย่างเห็นได้ชัด แล้วนักเตะ กับ ผจก เป็นกันเองกว่าตอน AVB คุมมากๆ ดูยืดหยุ่นกว่า ดิมัตเตโอ กับ มูริญโญ่ บุคลิก ก็ไม่ใช่เหมือนกันซะทีเดียว แต่สำคัญสุดคือเอาชนะใจลูกทีมได้ทั้งคู่ ไม่มีใครคิดหรอกว่า AVB จะพา เชลซี เป็นแชมป์ยุโรปได้ด้วยฟอร์มก่อนโดนปลด ยุค มูริญโญ่ นี่หลายคนยังเชื่อมากกว่า เพราะฟอร์ม+ขุมกำลังและชื่อชั้น ผจก ได้ลุ้นกว่ามาก  แล้วก็ใกล้เคียงจะเข้าชิง 2 ปี ปีที่เข้าชิง 2008 ที่แกรนท์คุมแทนนั่นก็นักเตะ มูริญโญ่ ทั้งทีม จะได้อยู่แล้วด้วย ที่ JT ยิงพลาดลูกสุดท้ายไป จากคุณ : Angelus เขียนเมื่อ : 22 ต.ค. 55 13:27:02

ความคิดเห็นที่ 10 ผมกล้าพูดเลยเอาเรื่องแทคติค การวางแผนการเล่น เฟอร์กี้ถือเป็นผู้จัดการทีมระดับธรรมดาในระดับโลกเลย แต่สิ่งที่ทำให้เฟอร์กี้เป็นสุดยอดผู้จัดการทีมคนหนึ่งของประวัติศาสตร์ฟุตบอลคือ 1.การบริหารจัดการทีม ในแมนยูเฟอร์กี้เป็นคนกำหนดนโยบายส่วนใหญ่ของสโมสร การซื้อขายผู่เล่น นโยบายทีมเยาวชน การฝึกซ้อม ไม่มีผู้จัดการทีมคนไหนในโลกที่มีสิทธิในการจัดการทีมเท่าเฟอร์กี้แล้ว 2.บารมี จริงๆได้เปรียบผู้จัดการทีมคนอื่นๆตรงที่คุมทีมมายาวนานมาก แต่ผมกล้าพูดได้เลยว่ากระทั่งเฟอร์กี้ทำแมนยูตกชั้น สโมสรไม่มีทางที่จะไล่เฟอร์กี้หรือบีบให้ออก(แฟนๆบางคนอาจจะมีการโห่) 3.คาแรกเตอร์ สังเกตุดูนักเตะทุกชุดของแมนยูจะมีพวกที่เรียกว่าเป็นแรงกระตุ้นของทีมแบบยอมตายดีกว่ายอมแพ้ อย่างเช่น สตีฟ บรู๊ซ ปีเตอร์ ชไมเคิ่ล เอริค คันโตน่า รอย คีน แกรี่ เนวิลล์ ริโอ เฟอร์ดินานด์ เวนย์ รูนี่ย์ พวกนี้ความมุ่งมั่นจะสูงมาก ทำให้เพื่อนๆฮึกเฮิมตาม 4.ปรับตัวตามยุคสมัย เฟอร์กี้เป็นผู้จัดการทีมคนแรกๆของอังกฤษที่เห็นประโยชน์ของวิทยศาสตร์การกีฬาแล้วนำมาใช้ ไม่ว่าจะเป็น โภชนาการ สถิติ การนำวิทยาศาสตร์เข้ามาใช้ในการฝึกซ้อม ในขณะที่ผู้จัดการทีมร่วมรุ่นของเขาหลายๆคนกลายเป็นไดโนเสาร์ที่หมดไฟไปแล้ว เช่น อิล แทร็ป มาเซโล่ ลิปปี้ คิง เคนนี่ ฯลฯ ในขณะที่เฟอร์กี้ปรับแทคติกให้เข้ากับยุคสมัยตลอดเวลา ทำให้เกือบ 30 ปี ที่อยู่แมนยูมาเฟอร์กี้ยังอยู่ในจุดสูงสุดถึงทุกวันนี้ 5.ระเบียบวินัย ไม่มีใครสำคัญกว่ากฏระเบียบในยุดเฟอร์กี้ ใครคิดจะออกจากกรอบก็เตรียมหาสโมสรใหม่ได้เลยไม่ว่าจะเป็นซุปเปอร์สตาร์มากจากไหน รอย คีน ด่าสโมสรออกสื่อ ยังโดนยกเลิกสัญญา นี่ขนาดกับตันทีมนะครับ ยังไม่มีข้อยกเว่น ทำให้เฟอร์กี้คุมนักเตะได้อย่างไม่มีใครกล้าหือเท่าไร 6.สร้างและทำลายทีม มีคนกล่าวไว้ว่าทีมฟุตบอลที่ดีจะมีเวลาอยู่ในจุดสุดยอดแค่ 5 ปี ทำให้เฟอร์กี้ทำลายทีมแล้วสร้างใหม่มาแล้วหลายชุดอย่างที่แทบไม่มีผู้จัดการทีมคนไหนทำได้ ที่สำคัญไปกว่างนั้น ยกเว้นชุดที่เขาได้รับสือทอดมาจาก รอน แฮ๊ตกินสันแล้ว ทุกชุดของเฟอร์กี้ได้แชมป์ถ้วยเล็กใหญ่มาแล้วทุกชุด ขอแบ่งทีมของเฟอร์กี้เป็น ชุดย่อยๆคือ ชุดปี 94 ชไมเคิ่ล บรูซ พัคอลิสเตอร์ ปาร์กเกอร์ เออร์วิน คีน อินซ์ กิกส์ ฉคนแคน คันโตน่า ฮิวส์(แมคแคร์) ชุดปี 99 ชไมเคิ่ล ก.เนวิลล์ สตัม ยอนเซ่น เออร์วิน คีน สโคลส์ เบคแฮม กิกส์ โคล ยอร์ค(โซลชา) ชุดปี 2003 บาร์เตซ ก.เนวิลล์ บล็องค์ ริโอ ซิลแวตส์ คีน เวรอน เบคแฮม สโดลส์ กิกส์ รุด ชุดปี 2008 ฟาน เดอร์ซาร์ บราวน์ ริโอ วิดิช เอฟร่า สโคลส์ คาร์ริค ฮากรีฟ ค.โรนัลโด้ เตเวซ รูนี่ย์ ส่วนชุดปัจจุบันนั้นน่าสนใจตรงที่มีเด็กแววดีหลายคนขึ้นมา ทำให้ผมเชื่อว่าตราบใดที่เฟอร์กี้ยังไม่ส่งชุดนี้ถึงฝั่งฝัน แกยังไม่วางมือง่ายๆหรอกครับ จากคุณ : HuNkeL เขียนเมื่อ : 22 ต.ค. 55 16:25:24

ความคิดเห็นที่ 11 ผมว่ายุคใหม่ต้องศึกษาการเล่นแบบบาซ่า (สมัยเป็บคุมนะ) และสเปนครับ จัดทีมไม่มีกองหน้า 4-6-0 จากคุณ : เด็กขงเบ้ง เขียนเมื่อ : 22 ต.ค. 55 19:14:20

ความคิดเห็นที่ 12 แผนของมูรินโย่ คือ ทุกคนต้องเล่นเกมรับครับ พอทุกคนเล่นเกมรับ  ทีมเสียประตูหรือแพ้  ก็สามารถโทษได้ทั้งทีม   ไม่ใช่โทษแต่กองหลัง โทษแต่ผู้รักษาประตู เวลาเล่นเกมรุก  กองหลังก็กล้าขึ้น  เพราะไม่ต้องกลัวโดนตำหนิ  ทำให้เกมรุกมีความดุดัน  กดดันคู่แข่งได้มากขึ้น เฟอรืกี้ก็เหมือนกัน จากคุณ : ชาวบางนา เขียนเมื่อ : 22 ต.ค. 55 20:37:40

ความคิดเห็นที่ 13 เฟอร์กี้เกมรับสู้มูริญโญ่ไม่ได้ครับ ยอมรับตรงๆ  ด้านอื่นพิสูจน์ได้ยาก จากคุณ : เลขาลิขิต เขียนเมื่อ : วันปิยมหาราช 55 01:44:38