จากมติชน รายสัปดาห์
http://www.matichon.co.th/weekly/weekly.php?srctag=0423070148&srcday=2005/01/07&search=no
---------------------------------------------
คลุกวงใน
พิษณุ นิลกลัด
วีนัสน่ารักกว่าชาราโปว่า
ถ้าเมืองไทยไม่อยู่ในช่วงเวลาเศร้าโศกจากสึนามิ เทนนิสนัดพิเศษ มาเรีย ชาราโปว่า ปะทะ วีนัส วิลเลียมส์ จะมีภาพและข่าวปรากฏทางทีวีและหนังสือพิมพ์มากกว่าที่เราได้เห็น
ก่อนแข่งสองสัปดาห์ คุณเดวิด แม็กคอเนล ผู้จัดการบริษัท ไอเอ็มจี ประเทศไทย ซึ่งเป็นบริษัทดูแลผลประโยชน์ให้ทั้งวีนัสและชาราโปว่าให้ความมั่นใจว่าแม้จะเป็นการ "เล่นโชว์" แต่รับรองว่าทั้งสองคน "เอากันถึงตาย" แน่นอน เพราะนี่คือการแข่งขันนัดแรกของปี 2005 ของทั้งสองคน การประเดิมศักราชใหม่ด้วยการชนะนักเทนนิสระดับท็อปเท็นของโลกถือเป็นการเริ่มต้นปีที่ยอดฝีมือทุกคนต้องการ ดังนั้น ขอให้เชื่อเถิดว่าไม่มีซูเอี๋ย ไม่มีออมไม้ออมมือ
ใครที่ได้ชมการแข่งขันเมื่อวันที่ 2 มกราคมที่ผ่านมา ก็คงเห็นอย่างที่คุณเดวิดพูด ทั้งคู่สู้กันเต็มเหนี่ยว ตลอดเวลาชั่วโมงครึ่งไม่มียิ้มให้กันหรือยิ้มกับตัวเองแม้แต่นิดเดียว ยกเว้นตอนจับมือหลังจบแมตช์ที่หน้าเน็ตทั้งคู่ยิ้มให้กันไม่เกิน 2 วินาทีตามมารยาท
ผมไปถึงเชียงใหม่สองวันก่อนแข่งขัน ได้รับการบอกเล่าจากเจ้าหน้าที่ระดับสูงมากของสมาคมเทนนิสไทยซึ่งมีหน้าที่ต้อนรับดูแลอำนวยความสุขและความสะดวกมาเรีย-วีนัสตลอดเวลาที่อยู่ในเมืองไทยว่าทั้งคู่ไม่รักกันเลย ถ้าไม่จำเป็นจริงๆ จะแยกกิจกรรมไม่ทำร่วมกัน ยกตัวอย่างเช่น ถ้ามาเรียไปขี่ช้าง วีนัสจะไปดูการทำร่มที่บ่อสร้าง พอมาเรียจบกิจกรรมขี่ช้าง วีนัสก็จะไปขี่ช้างที่เดียวกันกับที่มาเรียขี่เมื่อตะกี้ ทำให้ผู้สื่อข่าวแต่ละสำนักซึ่งส่งไปทำข่าวนี้สำนักละชุดเดียววิ่งรอกกันหัวปั่น
ถามว่าทำไมจึงไม่ไปขี่ช้างพร้อมกัน ทำกิจกรรมทุกอย่างร่วมกัน ?
ตอบว่าทั้งสองครอบครัวไม่ชอบกันเนื่องจากเป็นคู่แข่งกัน โดยเฉพาะ คุณยูริ ชาราโปว่า พ่อของมาเรียซึ่งตามลูกไปทุกหนทุกแห่งแกเป็นคุณพ่อที่เลื่องลือทั่วโลกในเรื่องทำให้ชาวบ้านเกลียด
ตลอดเวลาที่อยู่ที่เชียงใหม่มาเรียกับวีนัสพักโรงแรมเดียวกัน แต่เห็นหน้ากันครั้งเดียวตอนงานเลี้ยงต้อนรับที่เรียกว่ากาล่า ดินเนอร์ หลังจากนั้นต่างคนต่างอยู่วิลล่าของตัวเอง จะว่ายน้ำหรือออกกำลังในโรงยิมของโรงแรมก็เลือกเวลาไม่ตรงกัน เห็นแล้วทำให้นึกถึงครอบครัวนักว่ายน้ำทีมชาติไทยสมัยเมื่อ 20 กว่าปีก่อนที่พ่อแม่นักกีฬาชิงดีชิงเด่นกันจนทำให้ลูกของแต่ละฝ่ายเกลียดกันไปด้วย
ก่อนแข่ง 1 วัน ผมมีโอกาสจับมือทักทายพูดคุยกับวีนัสและมาเรีย คุณเดวิดแนะนำว่าผมจะเป็นผู้บรรยายถ่ายทอดสดในวันพรุ่งนี้
จากการพูดคุย วีนัสและคุณแม่ดูเป็นคนอัธยาศัยและมารยาทดีกว่ามาเรียและคุณพ่อมาก
มาคราวนี้วีนัสได้ความรักจากคนไทยกลับไปเยอะ ทุกคนพูดตรงกันหมดว่าเธอน่ารักกว่าที่คาดกันไว้จากภาพที่ได้เห็นทางทีวีมากมายนัก
ส่วนมาเรีย-หลายคนยอมรับในความสวยทั้งรูปหน้าและรูปร่าง คุณสุรางค์ เปรมปรีดิ์ กรรมการผู้จัดการของช่อง 7 สี ถึงกับออกปากว่า "หานักกีฬาที่เพอร์เฟ็กต์แบบนี้ยาก" ส่วน คุณศรสวรรค์ ภู่วิจิตร อดีตนักว่ายน้ำทีมชาติไทยทึ่งรูปร่างของมาเรียพร้อมกับตั้งข้อสงสัยว่าเธอสร้างความแข็งแรงให้กล้ามเนื้อด้วยวิธีใดกล้ามจึงไม่ปูดโปนเหมือนนักกีฬาประเภทอื่น
ที่น่าผิดหวังมีอยู่อย่างเดียวคือเธอไม่ค่อย "เฟร็นด์ลี่"
เท่าที่ติดตามประวัติและการเล่น รวมทั้งได้เห็นอย่างใกล้ชิด ผมว่าที่มาเรียเป็นแบบนี้น่าจะเป็นเพราะเธออยู่ภายใต้ความกดดันมาตลอดชีวิตนับตั้งแต่จำความได้
เริ่มเล่นเทนนิสตั้งแต่อายุ 4 ขวบ โดยมีพ่อเป็นโค้ชด้วยความมุ่งมั่นจะปั้นลูกให้เป็นซุปเปอร์สตาร์ พออายุ 9 ขวบ ก็เข้าโรงเรียนประจำซึ่งเป็นโรงเรียนเทนนิสที่อเมริกา ไม่ได้เจอหน้าแม่ 2 ปีเต็มๆ เพราะครอบครัวไม่มีเงินพอจะไปอยู่อเมริกาพร้อมกัน 3 คน
ชีวิตของเธอตั้งแต่ 4 ขวบจนวันนี้อายุ 17 ปี ไม่มีเวลาได้เล่นได้สนุกเหมือนเด็กวัยเดียวกัน มีแต่ซ้อมและซ้อม โค้ชดุมาก พ่อดุที่สุด ปี 2004 เป็นปีเริ่มต้นจะเป็นเศรษฐีพ่อก็เลยยิ่งเคี่ยวหนัก เธอจึงเป็นคนเครียดไม่รู้คลาย ในขณะที่วีนัสและครอบครัวมีเงินเกิน 2,000 ล้านบาทแล้ว แถมอายุมากกว่า 7 ปี เข้าสังคมพบปะสปอนเซอร์และแขกผู้มีเกียรติมาเยอะกว่า จึงรู้จักวางตัวและรู้มารยาทเวลาอยู่ในงานสังคม
ผมคาดว่านับจากนี้อีกสามสี่ปีมาเรียคงจะมีเงินและมีประสบการณ์ชีวิตเท่าวีนัส วันนั้นเธอคงเฟร็นด์ลี่และกิริยาน่ารักขึ้น
--------------------------------------------
จบข่าว....^^
จากคุณ :
sleepless.cs
- [
7 ม.ค. 48 10:28:40
]